Custom Search

Nov 7, 2009

ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์ : Ninja Returns




เหตุผลในการเลือกเข้ามาเรียนในขณะนิเทศศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ของแต่ละคนยอมแตกต่างกัน
บ้างก็เลือกเพราะเป็นคณะที่คะแนนสูงสุด
บ้างก็เพราะกำลังเป็นที่นิยม เรียนตามเพื่อน

พ่อแม่บังคับ อยากเป็นดารา แต่หากย้อนกลับไป
เมื่อปี 2521 เหตุผลที่ทำให้นักเรียนมัธยมปลาย
จากสวนกุหลาบวิทยาลัยคนหนึ่ง เลือกเรียนคณะนี้ก็เพราะ

"ดูว่าคณะไหนสอบน้อยวิชาสุด พอดีเหลือบไปเห็นนิเทศแค่สี่วิชา
เอาแม่งเลย ไหน ๆ ก็เป็นจุฬา ใกล้บ้าน พ่อแม่รู้จัก"

" ทั้งที่เป็นนิเทศฯคะแนนอันดับโหล่ แต่พี่ก็ยังมาเรียน

เพราะว่าตอนนั้นเป็นคนเรียนเก่ง ที่บ้านก็ตามสมัยนิยม
อยากให้เรียนหมอ พอ ม.ศ.3 ขี่เกียจเรียนเลย
อยากเปลี่ยนมาเรียนถาปัด พอม.ศ.5 ก็ไม่เอาแล้ว
ไปเป็นบรรณาธิการหนังสือประจำปีของโรงเรียน

ไม่ได้เรียนเลย ออกจากบ้านก็ไปเข้าโรงพิมพ์ทุกวัน
ทำไปก็นั่งคิดว่าคงไม่มีปัญญาเข้าถาปัดแน่
เลยหยิบหนังสือเอนทรานซ์มานั่งเปิดดู"

"วิธีเตรียมสอบของพี่ก็คือ ไปซื้อหนังสือรวมข้อสอบสิบปี
แล้วเอามานั่งท่องคำตอบเลย ผลของมาได้ที่ 2 ของคณะ"
นอกจากเชื่อในธรรมเนียมนิสิตชายรุ่น 14 แล้ว

ชนินทร์ยังถูกจัดขึ้นทำเนียบในฐานะเป็น
หัวหน้าหอการจัดงานรับน้องอย่างเต็ม รูปแบบครั้งแรก
และสนุกสนานที่สุดของนิเทศฯ จุฬาฯ อีกด้วย

" พอได้เข้าไปเรียน คฯเรามันไม่มีบรรยากาศ
ของความสร้างสรรค์ ต้องเข้าใจว่าคนที่มาเรียนนิเทศฯ
สมัยนั้นส่วนใหญ่เป็นคนที่ไม่รู้จะไปเรียน อะไร


"รับน้องน้องก็แค่ระดับโอเค แต่ก็ไม่พีต"

"พอ ขึ้นปีสอง พี่เลยอาสาเป็นคนจัดรับน้องรวม
แต่ก็เฟล เพราะความอ่อนหัดของเราเอง

ทำหิ้กมาไม่ดี เฮิร์ทมาก เลยบอกกับตัวเองว่า
ปีหน้าจัดรับน้องให้ดีมี่สุดของจุฬาฯเลย"

" พอขึ้นปีสาม พี่ก็พวก กร๋อย (กิตติพงศ์ ทุมวิถาต)
พวก เก้ง (จิระ มะลิกุล) ที่ตอนนั้นอยู่ปีสองว่า
เฮ้ย ต้องมาช่วยกันนะ เราจะทำรับน้องที่ทุกคณะ
ต้องกล่าวขวัญถึง ก็เป็นจังหวะที่เผอิญตอนนั้นพี่ดันไปทำคอนเสิร์ต
และมีโอกาสได้ใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ"


"ที่เข้าไปทำกับ ไนท์สปอตได้เพราะมีอยู่วันหนึ่ง
อาจารย์ มานพ แย้มอุทัย มาตามพี่ที่บ้าน
บอกว่าที่ไนท์สปอตอยากให้ไปทำสปอตหน่อย
ไอ้เราก็ อ๋อ คงอยากให้เราไป เขียนสปอตโฆษณา ก็ดีสิ
อาชีพนี้เราชอบ ก็แต่งตัวผูกไทด์เอาสมุดไปเตรียมจดด้วย
พอไปถึงไอ้ฝรั่งมันพาเราไปที่ follow spot
มันจะให้เราฉาย follow spot คือ วงดนตรีมันเป็นฝรั่ง

คนเล่นไฟเป็นฝรั่ง แล้วต้องฉาย follow กับนักดนตรี
มันไม่มีคนไทยที่ฟังรู้เรื่องเลยให้พี่ไปฉาย"

"ได้ค่าจ้างรอบละ 60 บาท ต่มับัตรคล้องคอเขียนว่า
ไนท์สปอตตอนนั้นบริษัทดังมาก
พี่ก็ชอบมาก เห่อมาก ใส่ไปเรียนหนังสือทุกวันเลย"

" ไปทำงานเรื่อย ๆ จนปิดเทอม ฝรั่งก็มาถามว่า

สนใจอยากทำงานด้านนี้มั้ยจริง ๆ พี่ไม่อยากทำงานด้าน lighting
พี่เป็นคนดนตรี พี่อยากเป็นคนมิกส์เสียงก็เลยบอกว่า
อยากเป็น sound engineer มันบอกว่าไม่ได้หรอก
เพราะถ้ากูให้มึงเป็น sound engineer
แล้วมึงจะให้กูเป็นอะไร พี่ก็ อ้ะ lighting ก็ lighting"


"ทำมา ได้สักระยะมันก็ไว้ใจ ให้กุญแจดูแลโกดังเก็บของ
มูลค่าเป็นล้าน ๆ พี่ก็เอาน้อง ๆ มาทำงาน พวกไอ้เก้ง ไอ้กร๋อย
ไอ้สองคนนี้มันก็แสนจะครีเอทให้มันไปฉายไฟ
มันก็ทำเป็นเกมแพ็คแมนไล่กินกัน
คอนเสิร์ตน้าหงาเพิ่งออกมาจากป่า
มันก็เลยทำเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหม่ขึ้นมาเลย
มันยังเคยใช้ไฟเล่นสนุกให้คนได้ฮากันด้วย"


"ทีนี้ก็เริ่มมีลูก น้องจากนิเทศฯมาทำงานกันเป็นทีม
พี่เป็นคนดูแล พอปีนั้นจะจัดรับน้องพี่เลยขนเครื่องมือ
มาจากสปอตไนท์ซะเลย มีการตั้งนั่งร้านด้วยต้องคิดนะ
ว่าสมัยนั้นไฟตามมหา’ลัย มันเป็นกระป๋องโอวัลตินใส่หลอกเล็ก

แต่ของพี่มาเป็นโคม แบบคอนเสิร์ต มีสปอตคอนโทรลอันใหญ่ ๆ
คิดดูว่าแค่วันติดตั้ง คนที่ผ่านไปมาก็ตาเหลือกแล้ว
มีบอมบ์ มีดรายไอซ์ด้วยนะ"

"แล้ว วันนั้นไฮไลต์คือ ลูกทุ่งนิเทศ ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่า
ไวร์เลส ไมค์ คือ อะไร พี่ก็เอามาด้วย
เป็นครั้งแรกที่มีสเตจเมเจอร์ มีคนปล่อยคิว
มีสคริปต์ มีซีเควนซ์ มีทุกอย่าง ทั้งนิติ คุรุ

ไม่มีใครอยู่รับน้องที่คณะตัวเองเลย มาอยู่ที่คณะเราหมด
เป็นงานรับน้องครั้งแรกที่ทุกคน
รวมถึงอาจารย์ อยู่จนเลิกมันสนุกจนไม่อยากกลับ"

"คืนนั้นมันอยากแสดงศักยภาพ ของความเป็นนิเทศศาสตร์

เราคิดว่าเราเรียนกันมา แต่ว่าทำไมไม่เคยใช้เลย
หลังจากนนั้นก็เลยกลายเป็นวัฒนธรรมว่า
รับน้องรวมนิเทศฯ มันต้องยิ่งใหญ่"

นี่ คือภาพในความทรงจำแบบม้วนเดียวจบของ

ผู้ชายที่เป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ เจ้าของค่ายเทป ครีเอเทีย
และ โอ้ มาย ก้อด และแน่นอนนักจัดตอนเสิร์ต
แถวหน้าของเมืองไทยในนาม นินจา เอนเตอร์เทนเม้นท์
ที่เคยจับงานใหญ่ระดับ ประเทศมานับไม่ถ้วน

แต่เมื่อถามถึงงานที่ภูมิใจที่สุด คำตอบที่ได้กลับ
เป็นเรื่องราวของงานรับน้องเล็ก ๆ
ที่จัดอยู่ใต้ถุนตึกของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อกว่า 20 ปีก่อนในค่ำคืนนั่นเอง
ความสุขของนินจา ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์ 'กิเลสของผมคือความสำเร็จ'
มโนมัย มโนภาพ


ครั้งนี้กลับมาในความมืดมิด แต่ความคิดเจิดจ้า
เคลื่อนไหวเร็ว แต่ยังคงดูนุ่มนวล จิตใจแข็งแกร่ง
แต่ลีลาอ่อนโยน ชัดเจนในหลักการ แต่ท่วงทีจะประนีประนอม

*****************
ผมเชื่อในเรื่องการเป็นแบบอย่าง
เราต้องยอมรับว่าช่วงเวลาหนึ่ง
วัยรุ่นไทยขาดแบบอย่าง ตอนผมเรียนมัธยม
แบบอย่างผมคือเสกสรรค์ ประเสริฐกุล,
ธีรยุทธ บุญมี แต่เด็กรุ่นนี้ไม่มีใครเป็นแบบอย่าง
เขาโตมาท่ามกลางไอดอล
ผมเติบโตท่ามกลางฮีโร่ แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับเขา

*****************

นับจากความสำเร็จอย่างเอกอุของ 'นินจา' ซึ่งได้รับการยกย่องว่า
เป็นทีมจัดแสดงคอนเสิร์ตมืออาชีพรายแรกของประเทศ
จวบจนถึงการก่อตั้งสังกัดเพลง อย่าง 'ครีเอเทีย' และ 'โอ! มายก็อด'
ผลิตนักร้องดาวเด่นมากมาย ตั้งแต่ ปั่น-ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว,
อุ้ย รวิวรรณ จินดา, เฉลียง จนถึง อัญชลี จงคดีกิจ
เรื่องราวของผู้ชายวัย 40 เศษคนนี้ที่มีการบอกเล่ามาแบบปะติดปะต่อนั้น
แทบไม่ต่างจากการเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่เท่าใดนัก
วันนี้ ความสำเร็จของคณะบุคคลที่เรียกตัวเองว่า 'นินจา'
ไม่ได้เป็นเรื่องเล่าจากอดีตอันไกลโพ้นอีกต่อไป
เมื่อถึงคราวการกลับมาของ 'นินจา' หรือ 'นินจา รีเทิร์นส์'
ด้วยคอนเสิร์ตคุณภาพที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องในระยะหลัง
ห่างหายไปนานด้วยเงื่อนไขของสุขภาพ(จิต)ส่วนตัว
ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์ ค่อยๆ กลับคืนสู่แวดวงบันเทิงอีกครั้ง
ภายใต้จุดยืนอันหนักแน่นมั่นคง
แต่ด้วยท่าทีและสายตาของการมองโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เมื่อเขาขึ้นรั้งตำแหน่งบุคคลบนปก
'จุดประกาย-เสาร์สวัสดี'
คราวนี้ ใครบางคนที่ทราบข่าวอดถามไถ่ไม่ได้ว่า
"แล้วคุยกับชนินทร์รู้เรื่องดีเหรอ !#@"
บทสัมภาษณ์เบื้องล่างเป็นหลักฐานชัดเจนว่า
เขาไม่เพียงคุยรู้เรื่องเท่านั้น
หากยังรู้ลึกลงไปในแต่ละหัวข้อของการสนทนาอีกด้วย
หากคุณมีโอกาสประสบพบเจอเขาที่ไหน
ลองทักทาย 'นินจา' คนนี้สักหน่อยเป็นไร
บางทีเขาอาจจะเป็นกระจกสะท้อนให้คุณเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น.
ช่วงเริ่มต้น 'นินจา รีเทิร์นส์' ใหม่ๆ
งานคอนเสิร์ตเข้ามาเองหรือว่าวิ่งไปชนเอามาเอง
ส่วนใหญ่จะโทรมา อย่างเช่น คาราบาว พี่แอ๊ด (ยืนยง โอภากุล)
ก็ให้คนโทรมาตาม ส่วน บอยด์ (โกสิยพงษ์)
ก็โทรมา เลยเป็นจุดตัดสินใจให้กลับไปทำงานตรงนั้น

จำได้ว่า เจอกันคราวที่แล้ว คุณกำลังหัดเล่นเปียโนอยู่เลย ?
ใช่ ตอนนั้นช่วงเวลาว่างเยอะ
แต่มองอีกด้านหนึ่ง หลายคนรู้สึกอิจฉาชีวิตคุณตอนนั้น
คือมีเวลาเป็นของตัวเอง ฝึกเล่นดนตรี

อ่านหนังสือ เหมือนเสพสุขไปเรื่อยๆ ... ?
อย่าลืมว่าตอนนั้นผมไปทำแอมเวย์ด้วย มันไม่เหมือนงานประจำ
เลยมีเวลาเยอะ ช่วงนั้น ถ้ามีอะไรใกล้ตัวและคิดว่าหาความสุขได้
ก็จะทดลองเข้าไปใช้ชีวิตดู
จริงๆ ยังไม่รู้ว่าเราอยากจะกลับมาทำงานตรงนี้หรือไม่
เหมือนกับว่ามี 2 ความรู้สึก ความรู้สึกหนึ่งก็อยากจะอยู่สบายๆ
ใช้ชีวิตแบบธรรมดา กับอีกความรู้สึกหนึ่ง
รู้สึกว่าตัวเองยังไม่ได้พิสูจน์อะไรบางอย่าง
และเวลาของชีวิตก็เริ่มเหลือน้อยลง
นี่เรียกว่าเหลือน้อยลงแล้วเหรอ
ก็ อายุ 40 กว่าแล้วนะ เริ่มน้อยลง คือตัวผมจะมีความคิด
ความเชื่ออยู่ในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องธุรกิจ
หรือเรื่องที่เกี่ยวกับดนตรีอะไรอย่างนี้ และอยากพิสูจน์ตัวเอง

ความเชื่อนี้ยังดำรงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลง ?
ก็อาจจะมีเปลี่ยนแปลงบางจุด ให้ทันสมัยขึ้น ให้เหมาะกับยุคสมัย
แต่ตัวแก่นไม่เปลี่ยน ผมเคยเชื่อว่าดนตรีคืออะไร
ก็ยังเชื่อเหมือนเดิม เพียงแต่วิธีการนำเสนอดนตรีอาจจะต้องเปลี่ยน
แต่เนื้อหาเนื้อแท้ของดนตรีคืออะไร
ผมยังรู้สึกเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
สำหรับ ผม ดนตรีคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ทำให้เรามีอารมณ์
มีอะไรต่างๆ แต่บางคนอาจจะมองว่า
ดนตรีก็เหมือนกับโปรดักท์อันหนึ่ง
ถ้ารู้จักใช้ รู้จักคิด ก็จะทำเงินได้
จากผลงานที่ผ่านมา ผมว่าคุณเอง

ก็มองมุมทำเงินตรงนั้นเหมือนกันแหละ ?
ผม ก็มองมุมนั้น แต่ไม่ได้เอามาเป็นมุมเอก แต่คนบางส่วน
เขามองมุมทำเงินเป็นมุมเอก ทีนี้ผมพยายามที่จะคิดว่าจะทำยังไง
ให้ตัวเองคงอยู่ ขณะเดียวกันก็สามารถทำเงินได้ด้วย
ทีนี้ เรามีความเชื่อของเรา แต่ที่สำคัญคือถ้าเราหยุดเลย
และไม่ทำอะไรต่อเลย สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเคยพูดกับใครต่อใครไว้
ก็อาจจะเป็นแค่เรื่องไร้สาระเรื่องหนึ่งที่ เกิดขึ้น ถูกไหมฮะ
ผมเลยรู้สึกว่ามันมีเวลาน้อยแล้วที่เราอยากจะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิด
สิ่งที่เราเชื่อ หรือสิ่งที่เราทำได้ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
คุณพิสูจน์ตัวเองมาระดับหนึ่งด้วยผลงานต่างๆ ที่ผ่านมา

ยังคิดว่าไม่เพียงพออีกหรือ
ผม คิดอย่างนี้ครับ การที่เราจะพิสูจน์อะไรให้ใครเห็น
สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่เราทำ นอกจากจะเป็นสิ่งที่ดีแล้ว
มันควรจะสามารถอยู่ได้นานๆ ไม่ใช่ดี แต่วูบวาบ
นึกออกไหมฮะ สิ่งที่ผมทำมาในชีวิตผม มันจะไม่ค่อยเป็นแบบนี้
เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ ดีแล้วก็หาย ไม่สามารถคงที่
คงเส้นคงวา ให้คนได้ใช้เป็นแบบอย่างจริงๆ
ส่วน ใหญ่สิ่งที่ผมทำ จึงเป็นแค่แรงบันดาลใจ
แต่เป็นแบบอย่างไม่ได้ เช่น อาจจะทำให้น้องๆ หลายๆ คน
ในรุ่นต่อๆ มามีแรงบันดาลใจที่อยากจะทำอะไร
แต่วิธีการที่ผมทำหรือวิธีคิดอาจไม่ใช่แบบอย่างที่เขาจะเอาไปใช้
ลึกๆ แล้ว ผมชอบจะเป็นแบบอย่างมากกว่าแรงบันดาลใจ
ผมเป็นคนมีปัญหา ไม่รู้สิ ผมรู้สึกดีเมื่อเวลาที่ผมรู้สึกว่า
มีใครทำอะไรโดยเอาเราเป็นแบบอย่าง
และต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยนะฮะ
ทีนี้เลยเกิดความรู้สึก 2 อันนี้ชั่งกันอยู่
สุดท้ายผมก็พบว่าผมชอบทางนี้มากกว่า
ชอบทำมากกว่าอยู่เฉยๆ
ผมไม่สามารถดำเนินชีวิตเป็นคนธรรมดา
และวันๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร
แต่มีความสุข ผมทำไม่ได้

รวมแล้วคุณอยู่กับสภาวะสุขแบบนั้นกี่ปี
ปี สองปีได้ แต่แล้วผมก็พบว่า
ผมชอบมากกว่าที่จะได้ทำอะไรเยอะๆ ทำๆ ๆ
และก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้บอกว่าอะไรดีกว่าอะไร
แต่ผมพบว่าผมชอบแบบนี้ ผมชอบที่จะเหนื่อย
ผมชอบที่จะยุ่ง และผมชอบที่จะเห็นสิ่งที่ผมทำ
มันผลิดอกออกผล
โดยเฉพาะถ้ามันเป็นประโยชน์ต่อใครก็ตาม
ผมชอบที่ได้เห็นมันเจริญเติบโต

นี่คือที่มาของ ? นินจา รีเทิร์นส์? ?
ใช่ คือในวันที่ผมตั้งนินจาขึ้นมา
ผมจะมีนิยามนินจาในสมัยแรกเลย
ทำไมถึงใช้ชื่อบริษัทนินจา
เพราะผมมีความรู้สึกผูกพันกับการเป็นนินจา
ในสมัยนั้นผมรู้สึกว่าคุณสมบัติสำคัญมากของนินจา
อันที่หนึ่งเลย นินจาเป็นบุคคลที่ทำอะไรก็ตาม
ไม่ค่อยเสนอหน้า เป็นคนเบื้องหลัง ทำงานไม่เอาหน้า
ทำงานให้สำเร็จเป็นชิ้นๆ ไปตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
และไม่มีใครเคยรู้ว่าคนๆ นั้นเป็นใคร
อัน ที่สอง นินจาเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็ว เคลื่อนที่ไว รวดเร็ว
มีคาถาอาคมมากมาย อันที่สาม มีเครื่องมือมีอาวุธเยอะ
ที่จะใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เอาตัวรอดได้ตลอด
และนั่นคือสิ่งที่ผมคิดว่าผมอยากจะสร้างกลุ่มคนทางด้านบันเทิง
ด้านดนตรี ด้านคอนเสิร์ตตรงนั้นให้มีคุณลักษณะแบบนี้
คือ คนของผมทุกคนต้องไม่บ้าชื่อ ไม่เอาหน้าคนของผม
ทุกคนต้องทำงานเร็ว ต้องมีเทคนิคแพรวพราว นั่นคือสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้
แต่มันเดินทางมาได้ไม่เท่าไร 2-3 ปีก็ต้องเลิกลาไป
ซึ่งตอนนั้นดูเหมือนว่ากำลังจะมาได้ดี และ
รู้สึกว่ากลุ่มนินจาในยุคนั้นเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วเป็นที่
กล่าวขวัญ เด็กๆ นักเรียนจะชอบ ใครๆ ก็อยากจะเป็นนินจา
รู้สึกดีใจที่เห็นพี่ๆ นินจา ผมก็รู้สึกดีตอนนั้น
พอมาวันนี้ ผมกลับมาทำนินจาใหม่ สำนึกของความรู้สึกที่มี
ต่อคำว่านินจาไม่เปลี่ยนแปลง ผมเลยตั้งชื่อบริษัท นินจา รีเทิร์นส์
แปลว่า การกลับมาของนินจา แต่การกลับมาคราวนี้
มันมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในเชิงความลึกของวิธีคิด จิตสำนึกลึกซึ้งขึ้น
มันลึกจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา 20 กว่าปี ผ่านร้อน ผ่านหนาว
ผ่านล้มลุกคลุกคลาน ผ่านความสำเร็จล้มเหลวมาเรื่อยๆ
วันนี้ผมก็มีนิยามนินจาที่กว้างขึ้น ลึกขึ้นกว่าเดิม
ผม มองว่านินจาคือกลุ่มคนที่จะกลับมา การกลับมาครั้งนี้
กลับมาในความมืดมิด แต่ความคิดเจิดจ้า เคลื่อนไหวเร็ว
แต่ยังคงดูนุ่มนวล จิตใจแข็งแกร่ง แต่ลีลาอ่อนโยน
ชัดเจนในหลักการ แต่ท่วงทีจะประนีประนอม
จะไม่เหมือนนินจาเก่า นินจาเก่าจะแบบใช้ได้
โช๊ะๆ ๆๆ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไป โตขึ้น ลึกขึ้น
ที่ สำคัญคือสิ่งเดียวที่ยึดมั่นของนินจาตอนนี้คือ
ความไม่ยึดติด นี่คือสิ่งที่เราคิด และสุดท้ายเราเลยคิดว่า
ชีวิตที่หมุนเวียนหมุนวนอยู่ตรงนี้ ทำให้คนอย่างพวกเราเป็นนินจา
คือนินจาคราวนี้ที่รีเทิร์น มันจะรีเทิร์นมาแบบคุณสมบัติทั้งหมด
ที่มีมาในตอนแรก ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่เพิ่มความลึกของทุกคุณสมบัติ
เหมือนเต๋า เหมือนหยิงกับหยาง
เร็ว นุ่มนวล แข็งแกร่ง อ่อนโยน คือบาลานซ์
เมื่อ ก่อนผมไม่ใช่คนอย่างนี้เลย ผมจะเป็นคนที่สุดขั้ว
ด้านใดด้านหนึ่งเสมอ
เมื่อก่อนจะเป็นคนที่รวดเร็ว รุนแรง
เวลาอ่อนโยนก็อ่อนโยนซะจน...
โอ เข้าใจใช่ไหมฮะ
อ่อนไหวซะจน ... ฉะนั้นตอนนี้ไม่แล้ว
ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สมดุล

แต่ความเคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกับงานยังมีอยู่เหมือนเดิม ?
ไม่ เรียกว่าความเคร่งเครียด เรียกว่าความตั้งใจ
ไม่เปลี่ยนแปลง ความตั้งใจ ความทุ่มเทในงานที่ทำเหมือนเดิม
แต่วิธีจัดการดีขึ้น และที่สำคัญก็คือความเครียดมีน้อยมาก
เพราะผมพบว่าอะไรก็ตามที่เราได้ลงมือกระทำอย่างที่สุดแล้ว
มันจะมีคำตอบอยู่แค่ 3 อย่างเท่านั้น
อันที่หนึ่งก็คือ เราทำงานอะไรออกไปแล้ว จะมีคนพวกหนึ่งชอบมัน
และจะชื่นชมมัน มันจะมีคนพวกหนึ่งที่ไม่ชอบมันและติมัน
และจะมีคนพวกหนึ่ง เขาจะไม่สนใจเลย เฉยๆ ฉะนั้นเมื่อมี 3 คำตอบ
สิ่งที่เราทำได้ก็คือเมื่อมีคนพวกหนึ่งชมเรา เราก็คงต้องภูมิใจ
แต่ก็ต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่าหลงระเริงไปกับคำชมหรือความสำเร็จ
และถ้ามีคนอีกพวกหนึ่งที่เขาเฉยๆ กับสิ่งที่เราทำ
ก็อย่าไปหงุดหงิดที่เขาไม่ได้มาสนใจกับสิ่งที่เราทำ
และมีคนพวกหนึ่งที่เขาติหรือไม่ชอบงานที่เราทำ
ก็ต้องบอกกับตัวเองว่าอย่าหมดกำลังใจกับสิ่งที่เขาติ ต้องตั้งใจทำใหม่
แต่เราก็ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ
เป้าหมายมีได้ไงครับ คือตอนที่คุณตั้งใจทำอะไรสักชิ้นหนึ่ง
มันก็บรรลุเป้าหมายแล้ว แต่ผลของมันเป็นแค่โบนัส
ถ้าคุณทำออกมาแล้วมันเกินคาด มันก็คือโบนัส

คุณกำลังบอกว่ากระบวนการที่เราทำมีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว?
ความ สำเร็จอยู่ตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว มีคนถามผมว่า
เราจะไม่ให้ความสำเร็จเหรอ ตอนที่คุณเริ่มทำและมีความสุข
ทำอย่างเต็มที่ คุณสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ทำไมจะต้องให้คนอื่นมาบอกคุณว่า
มันสำเร็จหรือไม่สำเร็จ คุณบอกตัวเองไม่ได้เหรอ
คุณมีความสุขไหมเวลาคุณเขียนหนังสือ คุณเต็มที่ไหม
ถ้ามันขายไม่ได้ คุณถือว่ามันสำเร็จไหม


จะเรียกได้ไหมว่านี่คือความแตกต่างระหว่าง
ชนินทร์คนเดิมกับชนินทร์คนใหม่ ?
คือ ผมมีธรรมชาติอย่างหนึ่ง ผมคิดอะไรได้เร็ว เช่น
วันนี้ผมมีความคิดว่าอะไรเป็นแบบนี้ พอพรุ่งนี้ผมได้พบสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งเข้ามาประเทืองปัญญา ผมสามารถจะตกผลึกความคิดใหม่ๆ
และปล่อยทิ้งความคิดเดิมๆ ได้ ผมจะไม่รู้สึกเสียดาย
หรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่ผมเคยยึดติดหรือยึดมั่น
ตราบใดถ้าผมมีความรู้ใหม่ๆ เข้ามา และทำให้ผมรู้ว่า
อ๋อ ! ไอ้ที่ผมเคยคิดเมื่อวานมันไม่ใช่ว่ะ ผมก็จะเปลี่ยน


บทเรียนจากการที่คุณไม่สบายอยู่ช่วงหนึ่ง
คงสอนคุณไม่น้อยเหมือนกัน ?
ถ้า ถามว่ามันสอนอะไรผม มันคงจะทำให้ผมได้รู้ว่า
ชีวิตคงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้แล้ว ฉะนั้นจากนี้ไป
ผมน่าจะได้กำไรคนอื่นๆ หมดเลย เพราะผมได้สัมผัสกับ
สิ่งที่แย่ที่สุดสำหรับชีวิตผมไปแล้ว คนบางคนอยู่บนโลกใบนี้
เขายังไม่รู้เลยว่าเดี๋ยวตายไปแล้ว เขาจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์
แต่ผมได้ลงไปเหยียบนรกก็แล้ว และถ้าผมตกนรกก็คงไม่ลึกกว่านี้
ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นตอนนี้คือ
ทำยังไงให้ตกนรกชั้นน้อยลงเรื่อยๆ หรือได้ขึ้นสวรรค์
สมมติ ว่าคุณได้กินอาหารเลวที่สุดในโลก ด้วยรสชาติเลวที่สุด
เท่าที่คุณเคยเจอ ผมว่าจะไม่มีอาหารนอกเหนือจากนี้เลวกว่าอีกแล้ว
คุณจะอร่อยกับอาหารทุกอย่างเลย เหมือนกับ
คุณได้ฟังเพลงแย่ที่สุดแล้ว เพลงอะไรมันก็เพราะไปหมด
วิธีคิดแบบนี้เหมือนปรัชญาเต๋าที่บอกว่า

ถ้าวันนี้รู้สึกร้อนที่สุดให้เชื่อเลยว่าวันรุ่งขึ้นจะเย็นลง ?
จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้นะ ผมไม่ค่อยได้ให้
ความสนใจกับปรัชญาเต๋าอะไรเท่าไรนัก
แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจจริงคือพุทธศาสนา ...
ผมเชื่อในเรื่องของความสมดุล
เชื่อในเรื่องหลักที่พระพุทธเจ้าสอนอะไร
นั่นคือหลังจากที่ผมประสบปัญหาสุขภาพ
ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสนาจากคำแนะนำของเพื่อน
บวกๆ กับอะไรหลายๆ อย่าง และบวกกับที่ผมเป็นคนค่อนข้างช่างสังเกต
ผสมผสานจนในที่สุดออกมาเป็นวิธีคิดในการดำเนินชีวิตของผม
ผม มักจะมีหลักอะไรออกมาใหม่ๆ พอผมคิดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ได้
ผมชอบเอาจุดนี้ไปแชร์กับเพื่อนๆ เล่าให้เพื่อนๆ ฟัง ว่า
เฮ้ย ! อย่างนี้เป็นไง วิธีคิดอย่างนี้เป็นไง
ซึ่งบางคนบางครั้งบางความคิดของผม
เพื่อนๆ ก็เออเข้าท่าดีเว้ย บางอันก็ใช้ไม่ได้ก็มี
อย่าง เมื่อสักปีกว่าๆ มีอยู่วันหนึ่ง
ผมพบว่าผมกำลังนั่งลิสต์รายชื่อ
คนที่ผมอิจฉา คือผมบอกตัวเองว่าวันนี้ผมจะไม่หลอกตัวเองนะ
ผมอิจฉาใครบ้าง ผมจะจดออกมาให้หมด
ไม่ว่าจะอิจฉาในเรื่องฐานะเขา อิจฉาหน้าตาเขา
อิจฉาความสามารถเขา อิจฉาอะไรก็ตาม
ผมไล่ออกมาได้เกือบ 50 ชื่อ
จากคนรอบๆ ตัว ผมพบว่า
ทำไมผมนี้โคตรช่างอิจฉาคนมากขนาดนี้
แล้วผมก็พบว่าถ้าผมอิจฉาคนมากขนาดนี้
ชีวิตผมจะมีความสุขได้ไงวะ

วิธีการแบบนี้คงไม่สงวนสิทธิ์ให้คนอื่นนำไปใช้ ?
ไม่รู้ แต่ผมทำดูแล้วก็สนุกดีนะ
ผมว่ามันแปลกอย่างหนึ่งเท่าที่ผมเจอมา
ไม่มีใครทำอะไรแบบนี้เลย ทุกคนมักจะพูดว่า
เฮ้ย ! กูไม่เคยอิจฉาใคร กูไม่บ้าชื่อเสียง กูไม่อิจฉาใคร
แต่ผมรู้สึกว่าผมอิจฉาว่ะ ผมเขียนว่าเคยอิจฉาเก้ง- จิระ มะลิกุล
อิจฉาความสำเร็จของมัน ทำไมมันเป็นคนที่มีแต่ความสำเร็จ
ไม่เคยลงเลย อิจฉาไตรภพ ลิมปพัทธ์ ที่ชีวิตเขาทำไมมีแต่เรื่องดีๆ
อิจฉาอัศนี โชติกุล ...
นึกออกไหม อิจฉาไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม อะไรอย่างนั้น
ที่สำคัญคือมันสนุกมาก ตอนจัดลำดับความอิจฉา
เหมือนจัดอันดับเพลงเลย

เอ๋..เราอิจฉาใครที่สุดหว่า?
นี่..ผมจัดอันดับ Top Ten เลย

บอกได้ไหมว่าเบอร์หนึ่ง
ของคนที่คุณอิจฉาคือใคร ?
ถ้าหนึ่งเลยจริงๆ
ผมอิจฉาคุณไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม
เหตุผลคือ...ผมมีความรู้สึกเองนะ
อาจจะคิดมากไปหรือเปล่าไม่รู้
อันที่หนึ่งผมจบโรงเรียนเดียวกับแกคือสวนกุหลาบ
ผมจบคณะเดียวกันกับแกคือคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
และผมก็ทำงานวงการบันเทิงเหมือนแก
ที่ สำคัญคือบริษัท นินจา
ก่อตั้งก่อนบริษัท แกรมมี่ ประมาณครึ่งปี
และผมกล้าพูดว่าคอนเสิร์ตนินจา
อันแรกเป็นแรงบันดาลใจให้
กลุ่มของคุณไพบูลย์
เกิดวิชั่นเกี่ยวกับธุรกิจนี้ชัดเจนขึ้น
ในวันที่ผมจบปั๊บ ผมออกมาทำนินจาเลย
ขณะที่เขาทำงานมาได้เกือบสิบปีแล้ว
และที่สำคัญคืออิจฉาที่
ทำไมถึงมีคนเก่งๆ รอบตัวเขาหลายๆ คน
มาคอยช่วยทำงาน ขณะที่ทำไมมีผมคนเดียว
ที่ต้องทำเกือบทุกอย่าง
เพื่อพาบริษัทไปข้างหน้า
เมื่อ เรารู้ว่าเราอิจฉา
เราก็พยายามกล่อมเกลาให้ความอิจฉา
เปลี่ยนมาเป็นความชื่นชม
หรือมุทิตาในความสำเร็จของเขา
ถามว่าทำได้ไหม ทำได้ยากมาก
และผมเป็นคนที่ไวมากกับความรู้สึกแบบนี้

ตอนนี้เท่ากับคุณปล่อยวางได้มากขึ้นแล้ว ?
คือ ผมไม่ห่วง ผมไม่รู้สึก สิ่งเดียวที่ผมอาจจะรู้สึกว่า
เป็นกิเลสของผมคือความสำเร็จ ซึ่งเป็นนามธรรม
แต่ในเชิงรูปธรรม ผมไม่มีกิเลส คือผมไม่เคยห่วงของที่ผมมี
ของพรรค์นี้ผมให้ใครก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่คิดว่าเป็นจุดอ่อน
คือการต้องการความสำเร็จ
ผมมีปมด้อยในเรื่องการต้องการเป็นแบบอย่าง
ทุก วันนี้ ผมมีความน้อยอกน้อยใจ อย่างเช่น ทำไมจุฬาฯ
ไม่เคยเชิญผมไปสอนหนังสือ
ทำไมมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
ไม่คิดจะเอาผมไปสอนหนังสือ
ทำไมผมไม่เคยได้รางวัลอะไร
ที่เกี่ยวกับคุณูปการในการสร้างสรรค์งานด้านนี้
ทำไมสิ่งที่ผมทำ ไม่เห็นมีใครเห็นคุณค่า
แต่เดี๋ยวนี้มันเบาบางลงเยอะแล้วล่ะ

การที่คุณสารภาพออกมาเช่นนี้ได้
คงต้องอาศัยความจริงใจต่อความรู้สึกของตัวเองมากๆ ?
ครับ ผมมีจุดอ่อนมากๆ ในเรื่องนี้
ผมชอบที่จะพูดถึงด้านไม่ดีให้คนอื่นฟัง
แล้วมันกลายเป็นเสน่ห์ ...
ผมเป็นคนที่ต้องการให้คนเห็นคุณค่า
ฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่ทำอะไรให้ผมรู้สึกว่า
ผมดูถูกในเรื่องศักดิ์ศรีหรือเรื่องอะไร
ก็ตาม ผมจะโกรธ โกรธได้ง่าย
นี่คือจุดอ่อนของผม
สมมติ คุณจ้างผมทำอะไรก็ตาม
แล้วตกลงกันว่าเป็นเงินเท่านี้
แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เงิน
มันอยู่ที่ว่าคุณให้ความรับผิดชอบ
ในการทำตามที่คุณพูดไหม บอกว่าเสร็จงานแล้ว
ผมจะเอาให้พี่แล้วต้องปล่อยให้ผมมาทวงคุณ
ผมจะโกรธล่ะ ทำไมยูไม่รักษาคำพูด
อย่างเช่นคุณบอกผมว่า
เดี๋ยวผมจะเชิญพี่ไปดูคอนเสิร์ต
แล้วคุณก็หายไปเลย
อย่างนี้ผมรับไม่ได้ เพราะ
ผมทำทุกอย่างที่รับปากเสมอ
และถ้าทำไม่ได้ ผมก็จะโทรไปบอก
บังเอิญผมเป็นคนให้
ความสำคัญแก่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ในขณะที่คนส่วนใหญ่
มองว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

คนวงการบันเทิงมักเป็นแบบนี้เสมอ?
ผมไม่ทราบ เอาอย่างนี้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
ที่ผมทำงานบริษัท นินจา รีเทิร์นส์
ตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัท
จริงๆ เป็นทางการประมาณ 4-5 เดือน
แต่เตรียมงานอะไรกันมาเกือบปี
ผมมีมีตติ้งเยอะมาก ใน 10 มีตติ้ง
ไม่เคยมีใครตรงเวลากับผมเลย
รู้สึกจะมีมีตติ้งเดียวมั้งที่
ตรงเวลากับผมนอกนั้น 9 มีตติ้ง
จะมาสายกว่าเวลานัดไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงเสมอ
โดยไม่โทรบอกและปล่อยให้ผมรอ
จริงๆ แล้วคนเหล่านั้นอายุน้อยกว่าผม
และที่สำคัญเขาอยู่ใกล้ที่มีตติ้ง
มากกว่าผม เข้าใจใช่ไหม
ผมมักจะเป็นคนอันดับแรกที่ไปถึงที่ประชุม
อันนี้ไปถามที่ไหนก็ได้ที่นัดกับผม
ทุกคนก็จะบอกว่าระวังนะ พี่นินทร์โคตรจับเวลา
น่าเป็นห่วงไหมถ้าเรามองสิ่งนี้
กำลังกลายเป็นวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่
ผม ไม่ทราบ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่า
นี่เป็นข้อดีของผม แล้วผมจะเก็บมันไว้
การตรงเวลา การจัดเวลา
ผมเป็นคนหนึ่งที่จัดเวลาเก่ง
จัดเวลาได้พอดี ไม่ต้องมีใคร
มากังวล เหนื่อย เครียดกับผม
ผมแปลกใจว่าทำไมทุกคนมาถึง
ที่ประชุมสายแล้วบอกว่ารถติด
ในเมื่อรู้ว่ารถติดก็ต้องมาให้เร็วขึ้น
มันไม่ควรจะเป็นเรื่อง ? เข้าใจใช่ไหมครับ
ผม ยังคิดเลย บางทีไปให้
รางวัลเยาวชนดีเด่น ศิลปินดีเด่น
แล้วให้รางวัลในเรื่องยาเสพติด
ผมว่าเรื่องนั้นมันไกลตัวไปด้วยซ้ำ
เพราะยาเสพติดเป็น
เรื่องของคนวงจำนวนหนึ่งเท่านั้นเอง

คุณสมบัติตรงส่วนนี้ของคุณกับสภาพแวดล้อม
ของวงการบันเทิงแทบจะเดินสวนทางกัน ?
ไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำคือทำยังไงให้ตัวผม
กลุ่มคนของผมมีคุณลักษณะแบบนี้ได้ นั่นคือเรื่องที่เจ๋ง
พูดถึงการสร้างคนรุ่นใหม่ คุณมองเห็นความเหมือน
หรือความแตกต่างอะไรกับคนรุ่นคุณบ้าง
ช่วงหนึ่ง ผมชอบคิดและชอบบ่นกับเพื่อนๆ ว่า
เด็กสมัยนี้ไม่เหมือนรุ่นผมเลยนะ บ่นสารพัด
ผม มานั่งคิดเมื่อไม่นานนี้เอง
ผมพบว่ามันไม่ใช่ความผิดที่เด็กเป็นอย่างนี้ว่ะ
เพราะเขาไม่รู้ เช่น เราพูดว่าทำไมเด็กไม่รอบคอบวะ
พอเรามานั่งคิด ไม่ใช่เขาไม่รอบคอบหรอก
เขาไม่รู้ว่าอะไรคือความรอบคอบ
เขาไม่มีใครเป็นตัวอย่างสอนเขา
ไอ้รุ่นเราที่รอบคอบเพราะ
บังเอิญรุ่นเรามีรุ่นพี่ที่ตอกย้ำเรื่องพวกนี้เยอะ
ฉะนั้นไปโทษเด็กไม่ได้
ทำไมเด็กสมัยนี้ทำงานไม่เรียบร้อยวะ
ก็มันไม่รู้ว่าเรียบร้อยเป็นไง

คุณเชื่อในเรื่องการศึกษาและการเรียนรู้ ?

ใช่ ผมเชื่อในเรื่องการศึกษา
ผมเชื่อในเรื่องการเป็นแบบอย่าง
ผมคิดว่าบางทีเราก็ต้องยอมรับว่าช่วงเวลาช่วงหนึ่ง
วัยรุ่นไทยหรือคนหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ขาดแบบอย่าง
ตอนผมเรียนมัธยมผมจำได้เลย แบบอย่างผมก็คือ
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, ธีรยุทธ บุญมี
แต่ เด็กรุ่นนี้ไม่มีใครเป็นแบบอย่าง
เขาโตมาท่ามกลางไอดอล
ผมเติบโตท่ามกลางฮีโร่
แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับเขา
แล้วคนที่เป็นพ่อแม่ยุคใหม่มีอะไรก็ประเคนให้ลูกหมด
ลูกไม่เคยลำบากเลย รุ่นผม
ทำไมผมต้องไปโรงเรียนเองล่ะ
ทำไมรุ่นนี้พ่อแม่ต้องไปรับไปส่ง
ทำไมให้มันไปเองไม่ได้วะ
กลายเป็นค่านิยมว่า
ถ้าพ่อแม่คนไหนไม่ไปรับลูก
รู้สึกดูไม่ดีเว้ย ลูกจะมีปมด้อย
ทำไมพ่อแม่ไม่ไปรับ
สมัยนี้พ่อแม่แม่งต้องไปช่วยทำการบ้านด้วย
ทำไมรุ่นผมต้องทำการบ้านเอง
ผมก็สอบได้ที่ 1 เอง
ขณะที่แม่ผมก็เย็บเสื้อ ทำอะไรไป
ผม แปลกใจอีกว่า
ทำไมแม่ผมมีลูก 4 คน เลี้ยงเองหมด
ทำไมคนเดี๋ยวนี้มีลูกคนสองคนต้องมีพี่เลี้ยง
คือสังคมไปทำให้มันยุ่งยากขึ้น
ฉะนั้นไปโทษใครไม่ได้
โทษที่ทุกคนทำมันเอง ร่วมกันที่จะทำ
มันไม่ได้มีอะไรสลับซับซ้อน

มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่
คุณจะกลับไปทำค่ายเพลง

ยัง ไม่คิด ที่สำคัญที่ไม่คิด
เพราะว่าผมมองว่าตราบใด
ที่ขบวนการลิขสิทธิ์หรือก๊อบปี้ไม่
พร้อม ผมว่าไม่รู้จะทำไปทำไมค่ายเพลง
แต่ทำคอนเสิร์ตมันสนุก ก๊อบปี้ไม่ได้
คุณก๊อบปี้การแสดงไม่ได้


อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย ?

ถูกฮะ แต่มันก็ทำเงินเยอะมหาศาล
เหมือนแผ่นเสียงไม่ได้
แผ่นเสียงขายทั่วโลกได้
ก็ต้องแลกกันไป
แต่ถ้าทุกคนคิดแบบคุณ
โอกาสที่ค่ายเทปดีๆ

จะเกิดขึ้น คงเป็นไปได้ยาก ?

ถูก ต้อง ที่เมืองนอกนะครับ
ศิลปินดังๆ เยอะแยะเลย
เขาไม่ยอมมาเล่นเมืองไทย
เพราะเมืองไทยปลอม
เขาจะมาเล่นทำไมให้ของปลอมขาย
คือการปลอมเทปเป็นเรื่องของคนที่มีจิตใจ...
ผมอยากจะใช้คำว่า ต่ำทราม
คิดแต่ตัวเอง ไม่ให้เกียรติผู้อื่น
โอเค คุณไรท์ซีดีกันเอง แค่เพื่อนฝูงไม่ว่าอะไร
แต่คุณอย่าทำถึงขนาดไปวางขาย
ตอน นี้ผมทราบมาว่า
ผลประกอบการทางด้านธุรกิจเพลงใหญ่ๆ
ไม่ได้สวยงามอะไรเลย และ
ผมก็อยากทำงานด้านโชว์โปรดักชั่นให้ดีๆ
ที่สำคัญผมอยากทำให้นินจารีเทิร์นส์ค่อยๆ เติบโต
เป็นกลุ่มคนที่เป็นแบบอย่าง อีกหน่อยก็สามารถไป
ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ประเทศชาติ
และตัวของเขาเองในทุกๆ ด้านได้
ไอเดียใหม่ๆ คุณได้มาทางไหน
ฝันเอาหรือหมกหมุ่นครุ่นคิด
ผม ว่ามาจาก 3 ส่วน ความเป็นคนมีจินตนาการ
ผมเป็นคนมีจินตนาการตั้งแต่เด็กแล้วครับ
ชอบคิดอะไรแปลกแหวกแนว
ให้มันฟุ้งซ่านสนุกๆ แฟนผมยังบอกเลยว่า ผมไร้สาระ
คุยกับผมแล้วจะรู้สึกไร้สาระ คืออะไรไปเรื่อย
ขณะ เดียวกัน จินตนาการของผมดันบวกกับพื้นฐานที่
ผมเป็นคนชอบคิดอะไรเป็นระบบระเบียบมา ตั้งแต่เด็ก
ผมเป็นคนชอบจัดระบบ กระเป๋าผมเนี้ย ถ้าคุณเปิดตกใจ
แฟ้มเรียงเป็นลำดับ เอกสารผมจำได้หมด
ให้ผมหยิบอะไร ไม่ต้องหาเลย เพราะผมรู้ว่าอยู่ตรงไหน
อัน ที่สาม ผมเป็นคนชอบค้าขาย ผมชอบมาร์เก็ตติ้ง
สามอย่างนี้มารวมกันทำให้ผมสามารถทำงาน
ที่มีครีเอทีฟและเซิร์ฟมาร์เก็ตติ้ง ได้
ผมเคยเป็นเซลส์แมน ผมมีวิญญาณนักขาย
บวกกับจินตนาการ ออกมาเป็นคอมเมอร์เชียลอาร์ต

แล้วทางด้านเพียวอาร์ตล่ะ สนใจบ้างหรือเปล่า
ไม่ ค่อย ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยได้สนใจเรื่องเพียวอาร์ต
แต่ทุกอย่าง อะไรก็ตามที่ดูแล้วผมชอบ
ผมไม่เคยมองก่อนว่ามันเป็นอะไร
ผมจะรู้สึกเลยว่าชอบคือชอบ
ผมไม่เคยบอกว่าต้องเป็นแนวนี้นะ แนวนั้นนะ
ผมชอบเพลงได้ทุกแนว เปิดแล้วโดน หมอลำก็ได้
ลูกทุ่งก็ได้ ได้หมด ผมก็ยังเอนจอยเลย
เหมือนผู้หญิงผมชอบได้ทุกแบบ
ผมไม่มีแบบในสเปค
คือผมเป็นคนที่กินหรูก็ชอบ
กินข้างถนนก็ชอบ ได้หมด ผมไม่ได้มีฟอร์ม
ถ้า ผมดูงานอะไรสักอัน
แล้วผมรู้สึกได้ ผมก็รู้สึกเลย
ไม่ใช่แบบว่า อย่างง่ายๆ อย่าง
เวอร์ซาเช่ ที่ว่าสวยนักสวยหนา
แต่ไม่ใช่ทางผมเลย ให้ผมใส่นาฬิกาโรเล็กซ์
ผมยอมตายดีกว่า นี่พูดจริงนะ เบนซ์ก็ไม่เอา
ผมไม่ชอบดีไซน์ มันออกแบบไม่โดน
คุณเชื่อไหมว่าทุกวันนี้ผมเป็นผู้ชายได้ไงก็ไม่รู้
ผมไม่ชอบเรื่องรถยนต์ อาวุธ กีฬา
ผมไม่สนใจสักเรื่อง สนใจแต่ผู้หญิงอย่างเดียว


การเป็นตัวของตัวเองในสังคมก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน ?
ผม ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด เราชอบทำอะไร
เขาเรียกว่า Outside In
เช่น คำว่าแสวงหา คุณออกไปหาหลักคิด
หาว่าอะไรคือสัจธรรม
แต่เราลืมสิ่งที่เรียกว่า Inside Out
คุณไม่ต้องไปหาอะไรหรอก
แค่คุณถามตัวคุณเองว่าวันนี้
คุณรู้จักตัวคุณเองดีแค่ไหน
ตอบคำถามให้ได้ อย่างที่ผมทำว่าผมอิจฉาใครบ้าง
คุณ เคยถามตัวเองไหมว่า
ที่คุณชอบคนนี้ คุณฝืนตามกระแส
หรือกูชอบจริงๆ วะ กูชอบผู้หญิงคนนี้
เพราะว่ากูชอบเรื่องเซ็กซ์
หรือคุณรักเขาจริงๆ เมียที่คุณอยู่ด้วยน่ะ
อย่าหลอกตัวเองนะ
คุณอยู่เพราะเขารวย เซ็กซ์ หรืออะไรแน่
ไม่ใช่พอรู้แล้วไปเปลี่ยนนะ
แต่การที่คุณรู้และยอมรับความจริง ทำให้คุณมีสติ
และอยู่กับความจริง
คุณจะได้ปฏิบัติตัวให้เหมาะกับสิ่งนั้น
ถ้า คุณเป็นคนชอบผู้หญิงสวยก็อย่าหลอกตัวเอง
ก็หาเมียสวยๆ ไปเลย
ไม่ใช่หาเมียดีๆ แล้ววันหนึ่งก็มานั่งหงุดหงิด
ความดีเหล่านั้นอาจจะไม่พอกับคุณก็ได้
คุณอาจเน้นความสวย
อยากพาเมียหุ่นดีๆ ไปเดินอวด
มากกว่าเมียที่มีคุณงามความดี
แต่หน้าตาขี้เหร่ไปเดินให้ชาวบ้านว่า
คุณอย่าหลอกตัวเอง
คุณชอบอะไรทำไปเถอะ
ตราบใดไม่ทำร้ายคน
ดีกว่าไปหลอกตัวเอง
คุณต้องรู้นะว่าตัวคุณเป็นยังไง
อย่าง ผม ผมเคยนะตอนหนุ่มๆ
เชื่อไหมผมเคยคิดว่า
ผมเป็นคนหน้าตาดีมาก
และผมเชื่ออย่างนั้นจริง
จนวันนี้ผมถึงรู้ว่าไอ้เหี้ย
กูไม่ได้หน้าตาดีหรอก
เผอิญกูเป็นคนปากดี เสน่ห์ดี
แต่กูเคยคิดไง พอวันนี้เรารู้ตรงนี้นะ
จีบผู้หญิงง่ายกว่าเมื่อก่อนอีก
เพราะเรารู้ว่าจุดขายเราอยู่ตรงไหน
เมื่อ ก่อนนึกว่าตัวเองหน้าตาดีก็เลยเต๊ะ
กะให้ผู้หญิงมอง
มันคงมองหรอก คุณต้องรู้ให้ได้
ตั้งแต่หัวจรดเท้า
มีอะไรบ้างในตัวคุณ คุณยอมรับมันได้ไหม
คุณไม่ต้องไปคิดหาอะไรแล้ว
แค่นี้จบขบวนการได้เลย เพราะ
คุณก็เป็นแค่อณู อนุภาค โมเลกุล
อะไรสักอย่างของจักรวาลแค่นั้นเอง
และก็ไม่มีใครเป็นคุณได้ด้วย
มีคุณเป็นคุณได้คนเดียว ตั้งแต่หัวมาเลย
ผมรู้เลยผมเป็นคนหัวล้าน
แล้วผมก็แฮปปี้ เพราะผมรู้สึกว่า
หนึ่ง-ไม่ต้องหวีผม
สอง-ไม่ต้องสระผมบ่อย
สาม-กูไม่เหม็นผม เพราะกูไม่มีผมให้เหม็น


ไม่คิดจะปลูกผม ?
เคย มาหมดแล้ว แต่สุดท้ายค้นพบแล้วว่า
แฮปปี้ฉิบเป๋งเลย
ไม่ต้องคอยดูกระจก ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลย
สอง-เราเป็นคนรูปร่างไม่สูงมาก
ก็ดีเหมือนกันนะ
เพราะว่ามันคล่องแคล่วดี
เมืองไทยไม่ใช่เมืองคนสูง
เรา เป็นคนมีกลิ่นตัวนี่หว่า
ก็ใช้โรลออนซิ จะไปฝืนทำไม
ไม่เห็นต้องกังวลว่าเรามีกลิ่นปาก ก็มีสเปรย์
ไม่เห็นต้องพิสูจน์อะไรเลย
มีก็มี ยอมรับมัน เสื้อผ้า เดี๋ยวนี้ผมก็แฮปปี้
ผมเคยคิดว่าจะต้องซื้อเสื้อผ้าหลายๆ แบบ
แต่งตัวให้เหมาะสม
ทำไมคุณไม่หาเสื้อที่เหมือนเสื้อนักเรียน
ใส่มันเหมือนกันทุกวัน
ไม่ต้องเลือกเหี้ยอะไรเลย เหมือนกันทุกวัน
แล้วมันจะทำให้ความคิดสร้างสรรค์น้อยลงไหม
ไม่ เกี่ยวเลย ผมพบว่า 1 ปีมานี้
ผมมีเสื้ออย่างนี้ประมาณ 10 ตัว
และผมมีกางเกงแบบเนี้ย 4-6 ตัว
แล้วเวลาผมแต่งตัวตอนเช้าง่ายมาก
หยิบตรงไหนก็ได้ ผมหยิบได้ทันที
ผมแต่งตัวใช้เวลาน้อยลงจาก
เมื่อก่อนใช้เวลาแต่งตัวครึ่งชั่วโมง
เดี๋ยวนี้เหลือ 5 นาที
ทุกวันนี้ คิดว่าชีวิตคุณมีความสุขด้านไหนบ้าง
ถ้า ตอบตรงๆ ผมไม่ค่อยได้คิดเรื่อง
ความสุขหลายเดือนมานี้
ไม่ค่อยมีเวลาคิดถึงเรื่องนี้เลย
แต่ละวันหมดไป
กับการพยายามทำให้เป้าหมายถึง
ให้เร็วที่สุด เช่นคุณมีเป้าหมายว่า
คุณจะพาบริษัท 1 ปีไปถึงไหนให้ได้
อุตสาหกรรมเพลงบ้านเราจะเป็นยังไงต่อไป
เมื่อ สักประมาณราวๆ เกือบ 20 ปีที่แล้ว
ในสมัยที่ไทยยังไม่มีธุรกิจจัดคอนเสิร์ตแบบนี้
ยังไม่มีค่ายเพลงที่เป็นระบบแบบนี้
บริษัทจัดคอนเสิร์ตอันเดียวที่มีคือนินจา
ในปีนั้น ผมจำได้เลยว่ามีโอกาสบินไป
ประเทศญี่ปุ่นคนเดียว
อยากรู้ว่าญี่ปุ่นเป็นยังไง
ไปโตเกียว ไปดูธุรกิจดนตรีที่นั่น
ผมได้ไปดูคอนเสิร์ตที่บูโดกัน
เล็กกว่าที่อิมแพคอีก
แต่วันนั้นสำหรับผม บูโดกันใหญ่มาก
ที่เมืองไทยยังไม่มีธุรกิจตั๋วออนไลน์
แบบไทยทิคเก็ตมาสเตอร์
ที่ญี่ปุ่นมีแล้ว แผ่นพับคอนเสิร์ต ญี่ปุ่นมีแล้ว
โปสเตอร์สวยๆ มีแล้วทุกอย่าง
วันนั้นประเทศไทยไม่มีอะไรเลย
วิ่ง มา 20 ปี ญี่ปุ่นไปถึงไหน เราไม่พูดถึง
สิ่งที่ผมเห็นวันนี้บริษัทแกรมมี่-อาร์.เอส.ใหญ่โตอย่างนี้
บริษัทจัดคอนเสิร์ตอิมแพคอารีน่า
ไทยทิคเก็ตมาสเตอร์
นั่นคือสิ่งที่ผมเห็นเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่ญี่ปุ่น
ฉะนั้น ตอนนี้วงล้อเหล่านี้กำลังจะไป
คือเราช้ากว่าเขาประมาณ 20 ปี
แต่เรากำลังจะไปข้างหน้าอีก
โตแน่นอน แต่สปีดคือประมาณนี้
เราต้องไล่เขาประมาณนี้ ที่เรียกว่าล้าหลังกว่ากัน
มีโอกาสที่เราจะ 'แวบ' ไปทันเขาพอดี ?
เป็น ไปได้เหมือนกัน
เมื่อไม่มีคำว่าประเทศไทยแล้วไง ก็คือ
ทั้งญี่ปุ่น อเมริกา แม่งมาเมคอัพกับคนไทย
จนกลายเป็นเชื้อชาติขึ้นมาอันหนึ่ง
ผมบอกได้เลยว่า
วันนี้ที่เรามองว่าเราล้าหลังกว่าญี่ปุ่น 20 ปี
ทางด้านธุรกิจดนตรี
คุณว่าแอฟริกาล้าหลังกว่าเรากี่ปีละ
เวียดนามเขาล้าหลังกว่าเรากี่ปี
ด้าน(ธุรกิจ)ดนตรีนะไม่พูดเรื่องอื่นเลย
ก็ล้าหลังเรา 15-20 ปี เราก็ล้าญี่ปุ่น 20 ปี
อเมริกากับญี่ปุ่นอยู่คนละฟาก
ไม่ล้าหลังกว่าใครแล้ว
แต่ญี่ปุ่นอาจจะล้าหลังกับ
ดาวเสาร์อะไรอย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้นบอกได้ว่า ผมมองได้เลยว่า
ธุรกิจดนตรีไทยจะโตอีกไปเรื่อยๆ
ตอนนี้เรามีนักดนตรีเก่งเยอะ

แต่ยังเป็นไปได้ยากใช่ไหม
ที่จะก้าวขึ้นไปอินเตอร์
ถ้าระบบดนตรีบ้านเรายังไม่ดีไปกว่านี้
ผม มองอย่างนี้ เราชอบพูดคำว่าระบบเสมอเลย
เวลามีปัญหาอะไร ระบบที่มันห่วยๆ
แต่ถ้าคนในระบบดีนะ
มันจะเจ๋ง ปัญหาของเราคือคนที่คอนโทรลระบบ

มีทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงต่างหาก ?
ทุกวันนี้คุณได้ทักษิณ ชอบความทันสมัย
ชอบความไฮเทค ไอที
ประเทศเราก็จะไปทางนั้น ตอนยุคคุณจำลอง
คุณจำลองชอบอะไร ชอบอาบน้ำสองขัน
ระบบก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ
อยู่ที่ว่าผู้นำคนนั้นเป็นคนแบบไหน
สมมติ ว่าวันนี้คนที่คุมแกรมมี่
ถ้าพี่เต๋อ (เรวัติ พุทธินันทน์) ไม่ตาย
มันอาจจะเป็นอีกอย่างก็ได้
แล้วคุณจะไปบอกคุณไพบูลย์ (ดำรงชัยธรรม)
ผิดก็ไม่ได้ เขาเติบโตมาแบบนี้
เขาก็มีความรักดนตรีในแบบของเขาแบบนี้ ก็แค่นั้นเอง
อย่างอเมริกาได้ (จอร์จ) บุชมา แม่งก็เละ บ้าสงคราม
ถ้าเป็น (บิลล์) คลินตันอาจจะไม่ทำ ใช่ไหม
ระบบไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
ก็เป็นระบบประชาธิปไตยของเขาแบบนั้นแหละ
ฉะนั้น ถ้าถามเรื่องดนตรี ผมตอบได้เลยว่า
มันอยู่ที่ใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำของระบบ
ถ้าบังเอิญคนที่ขึ้นมาเป็นผู้นำ
เป็นอย่างคนที่ชอบดนตรีจ๋าเลย
เขาก็ต้องพยายามดันทุกอย่างไปสู่ตรงนั้นให้ได้





http://www.youtube.com/watch?v=PzfaWYV6tgg (Not Available 5/10/2563)













































คอนเสิร์ตทำโดยคนไทย

เป็นการจัดคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของวงคาราบาว เมื่อวันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528
ณ สนามเวโลโดรม ในสนามกีฬาหัวหมาก
ซึ่งเป็นครั้งแรกของศิลปินไทยที่มีการจัดคอนเสิร์ตในสนามกีฬา
และถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 อีกด้วย
คอนเสิร์ตครั้งนี้มีผู้ชมประมาณ 60,000 คน

การแสดง

คอนเสิร์ตทำโดยคนไทย อำนวยการสร้างโดย กลุ่มนินจารีเทิร์น
ซึ่งมี ชนินทร์ โปสาภิวัฒน์ และ สมชาย ชีวสุทธานนท์
เป็นผู้จัดการแสดง ปรุงแต่งเสียงโดย เจษฎา พัฒนถาบุตร
โดยมีเครื่องดื่มโค้กเป็นผู้สนับสนุน
คอนเสิร์ตครั้งนี้ได้รับเกียรติจากศิลปินท่านอื่น ๆ ได้แก่
สุรสีห์ อิทธิกุล และ พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
มาร่วมแสดงด้วยการตั้งเวทีเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2528
ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน
การซ้อมใหญ่เกิดขึ้นในวันที่ 8 กุมภาพันธ์
หรือก่อนการแสดงจริงเพียงหนึ่งวัน
คอนเสิร์ตเปิดให้ผู้ชมเข้าในเวลา 15.00 น.
แต่จำนวนผู้ชมแออัดตั้งแต่ยังไม่เปิดประตู
จนทำให้การจราจรติดขัดจนถึง
หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง
การแสดงเริ่มต้นในเวลา 18.00 น. ด้วยการโซโลกลองของ
เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ในเพลง ท.ทหารอดทนและเปิดตัวด้วย
เพลง มนต์เพลงคาราบาว โดยสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7
ได้ทำการถ่ายทอดการแสดงด้วย
โดยใช้ชื่อว่า คาราบาว อินคอนเสิร์ต

เนื่องจากอัฒจันทร์ทางด้านซ้ายของเวทีนั้น
เป็นอัฒจันทร์เก่าที่เลิกใช้งานแล้ว ซึ่งทางผู้จัดได้นำเอาผ้าสีขาว
กับลังโค้กซึ่งเป็นผู้สนับสนุนของทางวงขึ้นไปไว้เพื่อมิให้มีใครปีนขึ้นไปกระนั้น
ด้วยจำนวนผู้ชมที่มีจำนวนมากถึงกว่า 60,000 คน
ทำให้ต้องมีผู้ปีนขึ้นไปนั่งบนนั้น ทำให้อัฒจันทร์ไม่สามารถรับน้ำหนัก
คนจำนวนมากได้จนมีทีท่าว่าจะถล่มลงมา
แอ๊ด - ยืนยง โอภากุลจึงเตือนผู้ชมเป็นระยะ ๆ
ให้ระวังเรื่องความปลอดภัยของอัฒจันทร์
อีกทั้งยังมีเหตุวิวาทกันเองเป็นระยะ ๆ ของผู้ชม
ด้วยการขว้างปาก้อนหิน และ ขวดน้ำทางด้านบนอัฒจันทร์กันไปมา

ในที่สุดก่อนการแสดงจบลงราวครึ่งชั่วโมง
และเหลือเพลงที่ยังไม่ได้เล่นอีก 3 เพลง อัฒจันทร์ก็ได้ถล่มลงมา
มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากทำให้ทางคณะผู้จัดระงับการแสดง
และขอให้ผู้ชมคอนเสิร์ตออกนอกบริเวณในทันที
โดยแอ๊ดได้ร้องเพลง รอยไถแปร
โดยไม่มีดนตรีซึ่งไม่มีในคิวคอนเสิร์ตระหว่าง
ผู้ชมทะยอยออกจากเวโลโดรมจนหมด
ในระหว่างที่แอ๊ดกำลังร้องเพลงรอยไถแปรอยู่นั้นสมาชิกวงคาราบาวทุกคนอยู่ในอาการซึมเศร้า
เล็ก - ปรีชา ชนะภัย มือกีตาร์ ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
อีกทั้งยังได้ขอความร่วมมือจากตำรวจและสารวัตรทหารให้กันตัวสมาชิกออกจากบริเวณแสดงด้วย
วงคาราบาวรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก แอ๊ด นักร้องนำ
ถึงกับก้มหน้าและไม่พูดอะไรเมื่อนักข่าวสัมภาษณ์หลังจบคอนเสิร์ต
คอนเสิร์ตทำโดยคนไทย
เป็นต้นแบบอีกหลายคอนเสิร์ตในภายหลัง
จนกระทั่ง วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2547
วงคาราบาวก็ได้จัดคอนเสิร์ตครั้งใหญ่ในชื่อว่า
คอนเสิร์ต เมด อิน ไทยแลนด์ ภาค 2546 สังคายนา
ณ อิมแพคอารีน่าเมืองทองธานี
เสมือนการแก้ตัวจากคอนเสิร์ตครั้งนี้ด้วย
ซึ่งโปสเตอร์และบัตรคอนเสิร์ตก็เป็นรูปจากการแสดงคอนเสิร์ตทำโดยคนไทยด้วย
และการแสดงก็ได้จบลงด้วยดี
ในปี พ.ศ. 2554 ทาง วอร์นเนอร์ มิวสิก ไทยแลนด์
ต้นสังกัดของวงได้นำวิดีโอบันทึกการแสดงสดครั้งนี้มาจัดจำหน่ายใหม่อีกครั้ง
ในรูปแบบดีวีดี โดยได้ตัดการโซโล่กลองก่อนเริ่มการแสดงของเป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ออก
และเซ็นเซอร์การสูบบุหรี่ขณะเล่นกีตาร์ของเล็ก ปรีชา ชนะภัย
และในวันที่ 19 และ 20 มีนาคม ปีเดียวกัน วงคาราบาวได้จัดคอนเสิร์ตทำโดยคนไทยครั้งที่ 2 หรือ
คาราบาว เวโลโดม รีเทิร์น คอนเสิร์ต อย่างอลังการ
ณ สถานที่จัดเดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมดนตรี 30 ปี คาราบาว
และได้ออกบันทึกการแสดงในครั้งนั้นในรูปแบบวีซีดีและดีวีดีออกมาจำหน่ายด้วย
และมีสมาชิกวงคาราบาวยุคคลาสสิกขึ้นคอนเสิร์ตด้วย
ขาดเพียง เป้า - อำนาจ ลูกจันทร์ ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ
คอนเสิร์ตครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการแก้ตัวจากคอนเสิร์ตทำโดยคนไทยอีกครั้งหนึ่ง
และการแสดงก็ได้จบลงด้วยดี 



สมาชิกที่ขึ้นเล่นคอนเสิร์ต

  • ยืนยง โอภากุล : กีตาร์ , ร้องนำ , ร้องประสาน
  • กีรติ พรหมสาขา ณ สกลนคร : กีตาร์ , ร้องประสาน
  • ปรีชา ชนะภัย : กีตาร์ , ร้องนำ , ร้องประสาน
  • อนุพงษ์ ประถมปัทมะ : เบส
  • อำนาจ ลูกจันทร์ : กลอง
  • เทียรี่ เมฆวัฒนา : กีตาร์ , ร้องนำ , ร้องประสาน
  • อ.ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี : คีย์บอร์ด , แซกโซโฟน , ขลุ่ย , ร้องประสาน

ศิลปินรับเชิญ

ลำดับการแสดง

  1. มนต์เพลงคาราบาว
  2. ทินเนอร์
  3. มหาลัย
  4. คนเก็บฟืน
  5. ลุงขี้เมา
  6. นางงามตู้กระจก
  7. บัวลอย
  8. ราชาเงินผ่อน
  9. (กรึ๊บ) คนชอบเมา : พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
  10. โคราช : พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
  11. สองเฒ่าผู้ยิ่งใหญ่
  12. ลาวเดินดิน
  13. กัญชา
  14. ปลาใหญ่ ปลาน้อย
  15. ลูกหิน
  16. ลูกแก้ว
  17. เฉย : พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ
  18. จับกัง
  19. เดือนเพ็ญ
  20. หำเทียม 
  21.  รอยไถแปร (ร้องสด)