Custom Search

Mar 22, 2015

“ลี กวน ยู” อดีตนายกฯคนแรกของสิงคโปร์ ถึงแก่อสัญกรรมแล้วในวัย 91




หมายเหตุ : บทความนี้เขียนโดย คุณวิกรม กรมดิษฐ์ และตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.2555 เมื่อเอ่ยถึงสิงคโปร์สิ่งแรกที่เราต่างนึกถึงคือ “ลีกวนยู” เพราะตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งผู้นำสิงคโปร์เขาได้นำพาความเจริญรุ่งเรือง
ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ มายังเกาะเล็กๆ แห่งนี้จนทำให้กลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่งในโลก “ม้วนเดียวจบ” เมื่อบุตรชายของเขาคือนายลีเซียนลูง เข้ารับช่วงตำแหน่งต่อจากนายโก๊ะจ๊กตง ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย 
ไม่ปรากฏความไม่พอใจจากคนสิงคโปร์หรือจากผู้ร่วมงานในรัฐบาล
เลย ลีกวนยู คือผู้นำของโลกที่สามารถครองอำนาจได้นานที่สุดคนหนึ่งของโลกและเลือกเวลาก้าวลงจากอำนาจได้อย่างสวยงามแบบ ผู้ชนะ เพราะเขาเป็นผู้นำที่ รู้จักการวางตัวให้เหมาะสมทั้งในเรื่องของผลประโยชน์
ความโปร่งใส จนทั่วโลกต่างยกย่องว่า สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชันน้อยที่สุดและน่าลงทุนมากที่สุดในโลก เมื่อปี ค.ศ.1999 สิงคโปร์ได้รับฉายา “สวิตเซอร์แลนด์แห่งตะวันออกไกล” ที่มีรายได้ต่อหัวกว่า 22,000 เหรียญสหรัฐต่อปี โดยใช้เวลาเพียง 30 กว่าปีก็สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศที่ยากจนกว่าไทย แม้กระทั่งน้ำยังไม่พอใช้ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใดๆ เลย ผมมองว่าหากปราศจากลีกวนยูแล้วสิงคโปร์คงไม่มีแบบนี้ในวันนี้แน่

ลีกวนยู คือใคร ลีกวนยู เป็นชาวจีนแคะรุ่นที่สาม ซึ่งบรรพบุรุษของเขาได้อพยพมาจากมณฑลฮกเกี้ยน ประเทศจีน เข้ามาตั้งรกรากในสิงคโปร์เมื่อ 100 ปีกว่าที่แล้ว ลีกวนยูเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวที่คุณพ่อของเขาคือ
ลีซินคุณซึ่งเคยทำงานกับบริษัทน้ำมันเชลล์และต่อมามีอาชีพเป็นพนักงานในร้านขายนาฬิกาและเครื่องเพชรแถวถนนไฮสตรีทใน สิงคโปร์ คุณแม่ของลีกวนยู ชื่อ นางชัวจิมเหนียว เป็นครูสอนการทำอาหารจีนและมาเลย์ ที่มีชื่อเสียง

ลีกวนยู ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2466 พ่อของเขามีอายุเพียง 20 ปี ส่วนแม่ก็มีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น เขาเกิด ณ บ้านเลขที่ 92 ถนนกำปงยะวา สิงคโปร์ ตอนเด็กๆ ลีกวนยูเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยที่สุดในสิงคโปร์ที่ได้รับทุนเรียนที่ Raffles College
เพราะเขาเป็นเด็กที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมจนเขาได้ไปศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ London School of Economics ในประเทศอังกฤษและได้โอนไปเรียนกฎหมายต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์จนได้รับเกียรตินิยมในปี ค.ศ.1949 

การเรียนที่เคมบริดจ์ทำให้เขาได้พบกับภรรยาชื่อ กวาเกี้ยกซู และมีบุตรร่วมกัน 3 คน คนโตคือ ลีเซียนลูง ลูกสาวชื่อ ลีไวหลิง และคนสุดท้องคือ ลีเสียนยาง

ลีกวนยู นับเป็นปัญญาชนอย่างแท้จริงทั้งในด้านบุคลิกภาพ ภาษาอังกฤษของเขาคล่องแคล่วอย่างหาตัวจับได้ยากและเป็นนักคิดที่สมองฉับไว พูดได้ทั้งภาษามาเลย์ ภาษาทมิฬ ภาษากวางตุ้ง ภาษาแมนดาริน ภาษาฮกเกี้ยน และภาษาญี่ปุ่น
เมื่อเขาเรียนจบเขากลับมาเริ่มอาชีพนักกฎหมายในปี ค.ศ.1950 กับสำนักกฎหมายชื่อ Laycoch and Ong เขารู้สึกว่าตัวเองมีความสนใจและชอบการเมือง ปี ค.ศ.1954 จึงได้ตั้ง “พรรคกิจประชาชน” (People’s Action Party) อีก 5 ปี เขารับตำแหน่งเป็นผู้นำสิงคโปร์ในเมื่ออายุเพียง 35 ปี

ชีวิตวัยหนุ่มของลีกวนยู เป็นคนรักพวกพ้องและเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง พูดจาโผงผาง แข็งกร้าวต่อพวกที่บ่อนทำลายชาติ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ตัดสินใจเด็ดขาด ขยันขันแข็ง อดทนและบึกบึนแต่ก็ละเอียดอ่อนมาก ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ เรื่อง แม้การขัดรองเท้าก็จะต้องสะอาดและเป็นมันเงาที่สุด
ลีกวนยู เป็นนักคิดที่คิดอย่างมีเหตุผล สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและต่อเนื่อง มีวิสัยทัศน์โดยธรรมชาติของเขาเองเป็นคนที่มีเลือดนักสู้เพื่อแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้อย่างมีเหตุผล ไม่ได้ต่อสู้อย่างเลื่อนลอย เขาไม่ใช่ปัญญาชนสูงส่งประเภทที่ว่าอยู่บนหอคอยงาช้าง หรือพวกไฮโซแต่อย่างใด แต่เขาก็มีนิสัยจุกจิกจู้จี้พอสมควร เป็นคนละเอียดทำอะไรเรียบร้อย ไม่ชอบอะไรมั่วๆ หยาบๆ โดยเฉพาะในด้านความสะอาด เรียกได้ว่ามือของเขาต้องสะอาดแบบมือ ต้องเกลี้ยงเกลาอยู่ตลอดเวลา
ลีกวนยู ชอบพักผ่อนหย่อนใจด้วยการอ่านหนังสือ ชอบอยู่โดดเดี่ยว กว่าจะเป็นเพื่อนกับใครสักคนได้ต้องใช้เวลาพอประมาณและมักจะระแวงคนที่เป็นกันเองกับใครง่ายๆ ชอบที่จะดูนิสัยคนที่คบด้วยไปนานๆ ก่อนจะลงความเห็นแต่ละคนเป็นอย่างไรและควรปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นคนมีอารมณ์ขันพอสมควร
ลีกวนยู เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพอนามัยเออกกำลังกายทุกเช้า รวมทั้งการวิดพื้น กระโดดเชือก ยกน้ำหนักบริหารกล้ามเนื้อ เขากินอาหารเช้าเล็กน้อยเท่านั้น จิบชาจีนตลอดวัน กินอาหารเย็นเป็นอาหารหลักประจำวัน แต่ก็กินไม่มากนัก และชอบดื่มไวน์สักแก้วสองแก้วในตอนเย็น และที่สำคัญว่ากันว่าเขาชื่นชอบการเล่นกอล์ฟมาก จนอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่เล่นกอล์ฟดีที่สุดในโลก
ลีกวนยู มีลักษณะผสมระหว่างความเป็นนักนิยมความจริงอย่างลึกซึ้ง ปรัชญาการบริหารการปกครองของเขาก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความเคารพต่อกฎหมายกับการมุ่งสู่เป้าหมายอย่างมั่นคง

ด้านการเมือง เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ ลีกวนยู แก้ปัญหาต่างๆ เฉพาะหน้าได้เด็ดขาด เขาเคยเอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งในการเลือกตั้งทั่วไปและการออกเสียงประชามติ จนปัจจุบันคู่ปรปักษ์ทางการเมืองของเขาส่วนใหญ่เลิกราจากเวทีการเมืองไป

ด้านการพัฒนาสังคม - รณรงค์การกำจัดวัฒนธรรมต่างชาติที่ไม่พึงปรารถนา เช่น สั่งปิดโรงระบำโป๊ ห้ามตู้เพลง หนังสือโป๊และสมาคมลับต่างๆ, การส่งเสริมให้มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวใน
ความเป็นชาวสิงคโปร์มีความรักชาติ




Lee Hsien Loong
STATEMENT FROM THE PRIME MINISTER’S OFFICE
The Prime Minister is deeply grieved to announce the passing of Mr Lee Kuan Yew, the founding Prime Minister of Singapore. Mr Lee passed away peacefully at the Singapore General Hospital today at 3.18 am. He was 91.
Arrangements for the public to pay respects and for the funeral proceedings will be announced later.
. . . . .
PRIME MINISTER’S OFFICE
SINGAPORE
23 MARCH 2015

คนไม่ธรรมดา...

เรวัต พุทธินันทน์ชีวิตที่มีดนตรีในหัวใจ...

เขาสูงล้ำค้ำฟ้าตระหง่าน เหล่าภัยพาลคืบคลานเป็นเงา ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยอดเขายังห่างอยู่บนทางนึกหวั่น นึกพรั่น ความหนาว...
                



คุณผู้อ่านหลายท่านคงได้ยินบทเพลงนี้จนคุ้นชิน เพราะมันเป็นบทเพลงที่สะท้อนให้เห็นสัจธรรมหลายๆ อย่างบนโลกใบนี้ที่มีแต่การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น และมีการหวังผลประโยชน์จากฝ่ายตรงข้ามเสมอ...
ยิ่งสูงก็ยิ่งทำให้เราหวั่นๆ ว่าแต่ละคนที่เข้ามาคบหา
เราต้องการอะไรแต่ในอีกมุมหนึ่ง
เพลงๆ นี้ก็จะทำให้คุณผู้อ่านนึกถึงคนๆ หนึ่งที่ไว้หนวดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวบวกกับน้ำเสียงนุ่มๆ ซึ้งๆ ที่เมื่อได้ยินบทเพลงของเขาทีไรทำให้เราเคลิบเคลิ้มได้ทุกที หลายท่านคงยังนึกไม่ออก ผู้เขียนขอเฉลยเลยแล้วกันว่าเขาผู้นั้นคือ เรวัต พุทธินันทน์หรือ พี่เต๋อนั่นเอง ...
ลองมาอ่านประวัติคร่าวๆ ของชายมีหนวดคนนี้กันดีกว่า
                เต๋อ...เรวัต พุทธินันทน์เกิดเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2491 เป็นบุตรของนาวาตรีทวี และนางอบเชย พุทธินันทน์ ชีวิตในวัยเด็กก็เป็นเช่นเดียวกับคนทั่วๆ ไป คือมีหน้าที่เรียนจนกระทั่งมาฉายแววการเป็นนักดนตรี ก็อีตอนที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา เพราะได้มีการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่มีชื่อกิ๊บเก๋ว่า Dark Eyes ซึ่งจะรับเล่นตามงานสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนๆ เท่านั้น และต่อมาไม่นานได้เปลี่ยนชื่อวงเป็น Mosrite เมื่อเข้าประกวดวงดนตรีของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย แถมยังคว้ารางวัลชนะเลิศได้ถึง 2 ปีซ้อน (ปี 2508-2509) เป็นไงเจ๋งไหมล่ะ
                เท่านั้นยังไม่พอ เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าเขาและดนตรีมีความผูกพันกันขนาดไหน จึงตั้งวงดนตรีขึ้นมาในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีชื่อวงว่า Yellow Red ...อ้อ! หลายท่านอาจสงสัยว่าเค้าเรียนสาขาดนตรีหรือเปล่าหนอ? ผู้เขียนขอตอบว่าเปล่าเลย เขาเรียนสาขาการเงินการธนาคาร คณะเศรษฐศาสตร์ (หลายท่านอาจจะร้องออกมาว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับวงดนตรี) ใช่ไม่เกี่ยวกับสาขาที่เรียน แต่เกี่ยวกับความผูกพันมากกว่า
                หลังจากที่วง Yellow Red สลายตัว เขาก็ไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น เป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อตั้งวงดนตรีขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ใช้ชื่อวงว่า The Thanks สมาชิกในวงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็เพื่อนๆ ในจุฬาและธรรมศาสตร์นั่นแหละ ซึ่งในวงจะเป็นการสร้างวงดนตรีสมัยใหม่ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของเหล่านิสิตนักศึกษาในสมัยนั้น เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากนี้ยังมีโอกาสได้ไปแสดงสลับกับวงที่มีชื่อเสียงโด่งดังเปรี้ยงปร้างในสมัยนั้น อย่างเช่น สุนทราภรณ์ และ The Impossible อีกด้วย
                เล่ามาถึงตรงนี้ ผู้เขียนรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ก็แหมมันน่าทึ่งหรือเปล่าล่ะ ที่วงดนตรีโนแนมที่รู้จักเฉพาะกลุ่มนิสิตนักศึกษาจุฬาและธรรมศาสตร์ แต่มีโอกาสได้เล่นสลับกับวงดังๆ อย่างนั้น
                ต่อมาหลังจากจบการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย ด้วยความที่มีความโดดเด่นทางด้านดนตรี บวกกับพรสวรรค์ทำให้ได้รับการติดต่อจากวง The Impossible ให้เดินทางไปเล่นที่ฮาวาย ประเทศ U.S.A. โน้น แถมยังไปในตำแหน่งร้องนำและมือคีย์บอร์ด จากนั้นก็ตระเวนร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำในแถบยุโรป สแกนดิเนเวีย และครั้งหลังสุดก็คือที่ประเทศไต้หวัน กรุงไทเป ตระเวนเล่นอย่างนั้นอยู่ 4 ปี กับวง The Impossible
                ปี 2520 หลังจากวง The Impossible ยุบตัวลงก็ได้รับการชักชวนจากวินัย พันธุรักษ์ ตั้งวงดนตรีขึ้นชื่อ The Oriental Funk ซึ่งก็เดินสายเล่นแถวๆ ยุโรปและอเมริกา ทำวงอยู่ได้ประมาณ 4 ปี ก็รู้สึกว่ามันสุดๆ แล้ว สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามความฝันอย่างอื่นบ้าง ส่วนพี่เต๋อนะเหรอ ก็ผันตัวเองมาอยู่เบื้องหลัง และร่วมกันก่อตั้งบริษัททำเพลงประกอบโฆษณา และเพลงประกอบภาพยนตร์ร่วมกับวินัย พันธุรักษ์ (แหมก็หนีไม่พ้นงานเพลงอยู่ดี)
                ด้วยพรสวรรค์ที่เปี่ยมล้น พวกกับประสบการณ์ที่สั่งสมมานานนับ 10 ปี ทำให้มีมุมมองที่ก้าวไกลโดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้เพลงไทยได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ จึงตัดสินใจลงขันหุ้นกับอากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม (Boss ใหญ่แกรมมี่ในปัจจุบัน) ตั้งบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในปี 2526 ซึ่งสรรค์สร้างผลงานเพลงต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับ พร้อมทั้งผลักดันวงการดนตรีที่คนดูถูกให้กลายเป็นที่ยอมรับ เป็นธุรกิจในรูปของศิลปะอีกแขนงหนึ่งนั่นเอง
                ด้วยความที่เป็นคนที่มีใจรักทางด้านนี้ จึงได้สร้างสรรค์ผลงานของตัวเองออกมา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกก็เป็นได้ ใช้ชื่อว่า เต๋อ 1 ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น จนทำให้มีผลงานเพลง เต๋อ 2 และ เต๋อ 3 และชอบก็บอก รวมเป็น 4 อัลบั้มหลักออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละอัลบั้มล้วนแล้วแต่เป็นที่ยอมรับทั้งสิ้น
                แต่ละเพลงที่ถ่ายทอดออกมาจะแฝงไปด้วยแนวคิด และเกร็ดคุณค่าของชีวิตที่เมื่อฟังกี่ครั้งก็ยังไม่ล้าสมัยอยู่ดี อย่างเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว, เจ้าสาวที่กลัวฝน ฯลฯ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก
                พี่เต๋อนอกจากสวมบทบาทนักร้องแล้วยังมีโอกาสแสดงภาพยนตร์ที่โด่งดังมาก ที่เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องน้ำพุ (ผู้เขียนเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้ดูหรือเปล่า แต่พ่อกับแม่เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนดังมากๆ) นอกจากสาขาการแสดงแล้วยังเป็นเจ๊ดัน เอ๊ย!...ไม่ใช่ผู้ผลักดัน นักร้องรุ่นแรกของแกรมมี่อย่าง นันทิดา แก้วบัวสาย, แหวน ฐิติมา สุตสุนทร หรือแม้กระทั่ง Super Star ตลอดกาลอย่างพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย (โห!...สุดยอดคนดังๆ ทั้งนั้น)
                อ้อ!...ลืมเล่าไปว่าพี่เต๋อแต่งงาน ก็แฟนสาวที่คบกันตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เธอผู้นั้นคือ คุณอรุยา สิทธิประเสริฐ มีโซ่ทองคล้องใจที่เราคุ้นชินกันดีคือ แพ็ท สุทธาสินี พุทธินันทน์ และ พีช สิดารัศมิ์ พุทธินันทน์
                แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาต้องจบชีวิตลงด้วยวัยเพียง 48 ปี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2539 โดยจากไปอย่างสงบ ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนรอบข้าง และก็เป็นการจบตำแหน่งสุดท้ายของประธานกรรมการบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
                แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พี่เต๋อจะจากไปแล้ว แต่ผลงานเพลงต่างๆ ของเขาก็ยังมีคนนำมาร้อง เพื่อให้ระลึกถึงอยู่เสมอ... อย่างเช่น เพลงตะกายดาว ที่แต่งให้กับพี่ติ๊นากับพี่ตู่ร้อง ที่หลายๆ เวทีเมื่อทำการประกวดร้องเพลงเวทีใดก็ตาม ก็จะมีคนหยิบมาร้องทุกครั้ง ผู้เขียนฟังแล้วก็ยังมีกำลังใจที่จะทำงานต่อไปเลย ยิ่งเมื่อไรที่ฟังท่อนที่บอกว่า

                อยากจะเป็น จะมุ่งไป เป็นอะไรดีดีสักอย่าง คงจะมีหนทางก็ฝันกันไป
                อยากจะเป็นคนสำคัญ คงสักวันจะก้าวไกล ไปเป็นดวงดาวใหญ่จะโด่งจะดัง
                แม้จะล้มก็คิดจะคลาน เหงื่อจะซ่านกระเซ็น ก็คิดแล้วคุ้มจะขอไปเป็นอย่างหวัง
                จะร้อนหรือหนาวก็พร้อมจะทน จะไปเป็นคนยิ่งใหญ่ ค้นกันไปหนทาง
                ก็อยากจะดังมันจึงต้องไป ในเมื่อใจมันเอาซะอย่าง ยอมทำทุกทางตะเกียกตะกาย

                ผู้เขียนรู้สึกว่ามันแฝงไปด้วยพลังบวกกับกำลังใจที่ทำให้คนเรารู้สึกว่า อย่าท้อกับปัญหาที่จะพบเจอ ถึงแม้ล้มก็ยังสามารถคืบคลานได้ เพื่อฝันข้างหน้า นี่แหละคือแง่คิดของคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา อย่าง เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์
               
แหล่งข้อมูล:

http://www.ter-rewat.th.gs/

เรียบเรียงโดย : ศิริพร กองเปง  E-mail : Siriporn@fpmconsultant.com