Custom Search

May 6, 2017

สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา(14) ประชุมสงฆ์จำนวนมากที่สุดเป็นครั้งแรก

การประชุมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์นี้เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต (การประชุมใหญ่อันประกอบด้วยองค์ 4) มีขึ้นในวันเพ็ญเดือนสาม ต่อมาถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนาเรียกว่า “วันมาฆบูชา”

คงต้องเท้าความสักเล็กน้อย หลังจากบวชให้ปัญจวัคคีย์ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดให้บรรลุพระอรหัตทุกรูปแล้ว ทรงบวชให้ยสกุมารและสหายอีก 55 ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์หมดทุกรูป

เป็นอันว่าได้เกิดมีพระอรหันต์สาวกจำนวน 60 รูปในเวลาอันรวดเร็ว

พระพุทธองค์ทรงเห็นว่ามีจำนวนพอสมควรแล้ว จึงทรงส่งให้แยกย้ายกันไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังแคว้นต่างๆ

พระองค์เองเสด็จมุ่งหน้าไปยังเมืองราชคฤห์ เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารระหว่างทางได้โปรดภัททวัคคีย์ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม
ประทานอุปสมบทให้ แล้วส่งไปเผยแผ่พระศาสนายังแว่นแคว้นต่างๆ ประทานอุปสมบทให้แก่ชฎิลสามพี่น้องพร้อมบริวารหนึ่งพันและทรงแสดงธรรมให้ฟังจนได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ประทับยับยั้งอยู่ที่เวฬุวัน ที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวาย
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว พระสาวกที่ไปประกาศพระศาสนายังถิ่นต่างๆ คงพากันมาเพื่อเฝ้าพระพุทธองค์ ทำนองมารายงานผลการปฏิบัติงาน ประมาณนั้น กระจายอยู่รอบเมืองราชคฤห์ พระอัสสชิน้องสุดท้องของปัญจวัคคีย์ ก็เช่นกัน ได้เดินทางมายังเมืองราชคฤห์ เพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า

วันหนึ่งขณะท่านเดินบิณฑบาตอยู่ อุปติสสมาณพ เห็นเข้าประทับใจในบุคลิกอันงามสง่า สงบสำรวมของท่าน จึงเกิดความเลื่อมใส ใคร่จะสนทนาธรรมด้วย รอจนได้โอกาสแล้ว จึงเข้าไปไต่ถาม รู้ว่าท่านเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จึงขอให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง
พระอัสสชิกล่าว “หัวใจ” ของพระพุทธศาสนาคือคาถา เยธัมมาฯ สรุปใจความของอริยสัจสี่
อุปติสสะได้ดวงตาเห็นธรรม ไปบอกโกลิตะสหายรักทราบ โกลิตะก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน ทั้งสองคนจึงพากันไปบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า อุปติสสะปรากฏนามภายหลังว่า พระสารีบุตร โกลิตะปรากฏนามว่า พระโมคคัลลานะ
คืนวันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสาม วันที่พระสารีบุตรบรรลุพระอรหัตพอดี เกิดเหตุการณ์พิเศษขึ้น 4 ประการในวันเดียวกันคือ
1. พระภิกษุจำนวน 1,250 รูปมาประชุมกันที่วัดพระเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย
2. ท่านเหล่านั้นเป็นเอหิภิกขุล้วน (พระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง)
3. ท่านเหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา
4. วันนั้นเป็นวันพระจันทร์เสวยฤกษ์มาฆะ ตรงกับวันเพ็ญเดือนสาม

พระพุทธเจ้า ทรงเห็นเหตุการณ์ทั้ง 4 อย่างปรากฏในวันเดียวกัน เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงทรงแสดง “โอวาทปาติโมกข์” (พระโอวาทอันเป็นหลักสำคัญ) 13 ประการดังนี้
“การไม่ทำชั่วทั้งปวง การทำความดีให้พร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ขันติคือความอดทนเป็นตบะอย่างยิ่ง

พระนิพพาน พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่าสูงสุด
ผู้ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ไม่นับว่าเป็นบรรพชิต
ผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ไม่นับว่าเป็นสมณะ
การไม่ว่าร้ายเขา การไม่เบียดเบียนเขา
การเคร่งครัดในระเบียบวินัย
การรู้จักประมาณในการบริโภค
การอยู่ในสถานสงบสงัด
และการฝึกจิตให้มีสมาธิอย่างสูงเสมอ
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
โอวาทปาติโมกข์นี้มีทั้งหมด 13 หัวข้อ สรุปได้ 4 ประเด็นคือ
1. กล่าวถึงอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือพระนิพพาน
2. กล่าวถึงหลักการทั่วไป คือไม่ทำชั่วทั้งปวง ทำดีให้พร้อม และทำจิตให้ผ่องแผ้ว
3. กล่าวถึงคุณสมบัติของผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนา คือจะต้องมีความเป็นอยู่เรียบง่าย ไม่เห็นแก่กิน อยู่ในสถานสงบสงัด ฝึกจิตอยู่เสมอ
4. กล่าวถึงเทคนิควิธีการเผยแผ่ศาสนาคือ ไม่ว่าร้ายผู้อื่น ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใช้สันติวิธีในการเผยแผ่ รู้จักประสานประโยชน์
ดูตามเนื้อหาของโอวาทปาติโมกข์ น่าจะเป็นการปัจฉิมนิเทศแก่พระธรรมทูตรุ่นแรก และปฐมนิเทศแก่ชุดใหม่ที่จะส่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามากกว่าอย่างอื่น
มากกว่าเหตุผลอื่นใดดังที่นักวิชาการบางท่านพยายามอธิบาย
คือมีนักวิชาการบางท่านตั้งคำถามเองและตอบเองเสร็จว่า ทำไมพระสาวกเป็นพันๆ รูป มาเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมายกัน และจำเพาะเจาะจงมาประชุมกันในวันเพ็ญเดือนสามด้วย
ตอบว่า ท่านเหล่านั้นมาด้วยความเคยชิน เคยชินอะไร ก็ท่านเหล่านั้นล้วนเป็นพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์นั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือนสาม เขาจะมาชุมนุมทำพิธีกรรมทางศาสนาของเขาเรียกว่า วันศิวาราตรี

เมื่อท่านเหล่านั้น แม้จะมาบวชเป็นพระในพระพุทธศาสนาแล้ว เมื่อถึงวันเช่นนี้ ก็รู้สึกเหงาเพราะเคยทำอะไรมาก่อน บังเอิญพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ใกล้ๆ นี้ด้วย จึงพากันมาเฝ้าด้วยความเคยชิน
พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็นโอกาสสำคัญจึงทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ว่าเข้าไปโน่น เข้ารกเข้าพงดีแท้
พระสาวก 1,250 รูป มิได้เป็นพราหมณ์มาก่อนก็มี จะเอาความเคยชินอะไรมาเล่าครับ อีกอย่างพระอรหันต์ ขนาดกิเลสที่ละได้แสนยาก ท่านก็ละได้หมดไม่เหลือหลอ แล้วความเคยชินธรรมดาๆ ยังจะเหลืออยู่อีกหรือ การพูดว่าท่านพากันมาด้วยความเหงา ยิ่งไม่ควร อย่าว่าแต่พูดเลย แม้แต่คิดก็ไม่ควร
เดี๋ยวใครไม่รู้จะเข้าใจว่า วันมาฆบูชาของชาวพุทธ เกิดขึ้นเพราะอารมณ์เหงาของพระอรหันต์


ที่มา มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 23 - 29 กันยายน 2559

คอลัมน์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ผู้เขียน เสฐียรพงษ์ วรรณปก

เผยแพร่ วันพฤหัสที่ 29 กันยายน พ.ศ.2559