Custom Search

Sep 22, 2006

ทัศนคติคือตัวตัดสินอนาคต : Dr. Varakorn Samakoses


รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
http://www.dpu.ac.th/


นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่รู้ว่าตัวเอง
เป็นคนโชคดีแค่ไหนในโลก
ลองดูตัวเลขสักเล็กน้อย
ประชากรโลกในปัจจุบันคือ 6,000 ล้านคน
ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งเดียวคือประมาณ
3,000 ล้านคน เท่านั้นที่มี
อาหารกินครบทุกมื้อ มีชีวิตที่มั่นคงและเป็นปกติพอควร
สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในจำนวน 3,000 ล้านคนนี้
มีไม่ถึงร้อยละ 10 หรือ 300 ล้านคน
ที่มีโอกาสเรียนในระดับอุดมศึกษา


นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน
ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน

หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น
ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลายในขณะนี้

ที่มีความหวัง มีอนาคตสดใส มีงานที่ดีมั่นคง
มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่สุขสบาย
มีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและคนอื่นๆ
ร่วมสังคมของเรารออยู่ข้างหน้า
นี่คือความโชคดีมหาศาล
ที่ท่านอาจไม่ทราบมาก่อน


ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่างกายสมประกอบ แข็งแรง สุขภาพดี
มีหน้าตาสดใส สดสวย
และมีมันสมองที่ดีพอจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย

คนจำนวนมากมายในโลกนั้น
ขอเพียงมีอาหารครบทุกมื้อ
ไม่ต้องถึงกับได้เรียน
มหาวิทยาลัยก็มีความสุขสุดๆแล้ว


ปัญหาก็คือเมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้
มีความหวังและสิ่งดีๆรออยู่ข้างหน้าแล้ว

เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเราในช่วง 4 ปีข้างหน้า
เรื่องนี้น่าขบคิดเป็นอย่างมากเพราะหมายถึง
ว่าเราจะทำให้สิ่งที่เชื่อว่าดีในอนาคตนั้นดีจริง

และดีอย่างเป็นเลิศได้อย่างไร

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน
ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษามากว่า 30 ปี
ที่เห็นคนเดินเข้ามหาวิทยาลัย
ตั้งแต่วันแรกและจบออกไปจำนวนมากมาย
มีทั้งประสบความสำเร็จ
และล้มเหลวจากชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัย

ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้แตกต่างกันนั้น
ไม่ใช่ไอคิวหรือพื้นฐานความรู้ดั้งเดิมที่มีมา
หากแต่เป็นทัศนคติของเขาเอง
ที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศึกษา
เมื่อเริ่มเข้าเรียนซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของเขา
ในมหาวิทยาลัยต่อไป

คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเป็นคนที่ตระหนักดีว่า
โอกาสในชีวิตของคนๆหนึ่งที่จะได้เรียน
ในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเวลานั้นมีจำกัดยิ่ง

ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว
โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้ยากนักหนา
เพราะไหนอายุจะมากขึ้น สมองช้าลง
ความจำเป็นในการทำงานหาเลี้ยงชีพก็มีมากขึ้น
ความรับผิดชอบในชีวิตของคนอื่นที่กิน
ทั้งเวลาและเงินทองนั้นก็มีมากขึ้น
และการหวนกลับมาเรียนอย่างอิสระเช่นคนวัยนี้
นั้นเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้


คนที่ประสบความสำเร็จนั้น
จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า
คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันไดสู่ชีวิต
แห่งความกินดีอยู่ดี มีเกียรติ
ได้รับการยกย่องจากญาติพี่น้อง
เพื่อนบ้านและสังคม ซึ่งหมายถึง

การตั้งใจที่จะบากบั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มกำลัง
ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝนพัฒนาบุคคลิกภาพ
ของตนเองซึ่งอาจได้มาจากการร่วมกิจกรรม
ในมหาวิทยาลัย
เพื่อทำให้บันไดนั้น
ทอดไปสู่ความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง


คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มองว่า
ความรู้เดินมาหาตนเองไม่มองว่า
ความรู้มาจากการงัดปากและป้อนด้วยคณาจารย์

หากมองว่ามาจากความบากบั่น อดทน ขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาความรู้จากอาจารย์
จากการอ่านหนังสือ
จากการคิดวิเคราะห์
จากการถกเถียงทางวิชาการ
จากการฝึกฝนเล่าเรียนด้วยสื่อการสอนสาระพัดชนิด
ที่มหาวิทยาลัยจัดหาไว้ให้ด้วยตนเอง

คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู่การมีความรู้และ
การมีชีวิตแห่งความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน มีเกียรติ
มีศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทุกอย่างล้วนได้มาด้วยความบากบั่น

ต้องเดินตามเส้นทางที่เป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้น
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นตระหนักว่า
ทุกคนมีความเก่งกันคนละอย่าง
โลกมิได้มีแต่ความเก่งในเรื่องการคิดวิเคราะห์
ซึ่งทำให้สอบได้เก่งเท่านั้น ยังมี


-ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่น-ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิลปะ

-ความเก่งในเรื่องการพูดโน้มน้าวใจคนอื่น

-ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส่วนและช่องว่าง
อันเป็นฐานสำคัญของการเป็นสถาปนิกหรือ
ช่างศิลปะ

-ความเก่งในเรื่องการจัดการอารมณ์ของตนเองและคนอื่น

-ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ


เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลกเต็มไปด้วยคนเก่งหลายลักษณะ
และกลุ่มคนที่ครองโลกเพราะมีจำนวนมากที่สุดนั้น
ก็คือคนที่มีความเก่งในเรื่องเหล่านี้อย่างปานกลาง

หากมีทักษะความรู้และคุณลักษณะประจำตน
ในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม
และคุณธรรมอื่นๆประกอบอย่างสำคัญ
คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้

มองว่าตัวเขาเองเป็นคนมีค่า
ชีวิตของเขาสามารถสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว
และต่อผู้อื่นเพราะตระหนักว่าใน 100 คนในโลก
มีคนที่มีโอกาสและมีสติปัญญาสามารถเรียน
ในระดับมหาวิทยาลัยได้เพียง 5 คนเท่านั้น
ถ้าเขาไม่เอาไหนเลยก็คงจะไม่มีโอกาสได้อยู่
ในกลุ่มคนที่ฝรั่งเรียกว่า TOP 5 % ของโลกเป็นแน่


มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้
เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือหล่อสุดๆไม่ได้
เลือกที่จะร่ำรวยมั่งคั่งไม่ได้
และเลือกที่จะได้สิ่งต่างๆ
ที่อยู่นอกการควบคุมของตนเองไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เลือกได้อย่างแน่นอน
และอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองก็คือทัศนคติในชีวิต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่อการเรียนมหาวิทยาลัย
เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันนี้
จะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ
มีอนาคตแห่งการกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน
หรือเป็นบุคคลล้มเหลว
เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยและ
เสียดายโอกาสทองของชีวิตในวันข้างหน้านั้น
อยู่ที่ตัวทัศนคติ เมื่อแรกเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย

นี่แหละเป็นตัวตัดสิน
Mirrors:
http://www.juvethailand.com/forum/index.php?topic=15854.0;wap2

http://icedea.blogspot.com/2004/11/blog-post_29.html


(เพื่อการศึกษา)

เนื้อเพลง: ผู้ชนะ
อัลบั้ม: รวมเพลงประกอบภาพยนตร์ 15 ค่ำ เดือน 11
เสก โลโซhttp://gmmgrammy.com

หากชีวิตคือการดิ้นรน คนหนึ่งคนต้องเดินก้าวไป
ให้เรารู้เส้นทางแห่งใจ แล้วก็ไปให้ถึงที่นั่น

เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น
เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้

ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี
ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

หากปัญหาเข้ามาถ่างโถม อย่าไปโหมให้จงผ่อนคลาย
ค่อยๆคิดสบายๆ ปล่อยมันไปตามเรื่องสักวัน
เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น
เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้

ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี
ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี
ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

Sep 13, 2006

ปรัชญา ดร.เทียม โชควัฒนา "คนคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลก"


คอลัมน์ คมคนคมคิด
จรัญ ยั่งยืน
ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 05 สิงหาคม 2547
เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่หยิบติดมือมาจากร้านเซเว่นฯ
หนังสือชื่อว่า

"ปรัชญาการทำงานและการดำเนินชีวิต ดร.เทียม โชควัฒนา"
แต่อุดมไปด้วยคมคิดที่ง่ายและงาม
โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องคน

ซึ่ง"ดร.เทียม โชควัฒนา" มองได้ทะลุปรุโปร่ง

และเป็นมุมคิดที่สามารถนำมาปรับใช้กับตัวเองได้ทันที

ดร.เทียมเห็นว่า คนคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในโลก

"คนเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งของโลก
แต่คนจะมีคุณค่ายิ่งหากรู้จักประพฤติตน
ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม"

"ความรู้เหมือนดาบ ยิ่งใช้ยิ่งคม"
"ผู้ใดมีความรู้แล้วนำความรู้ของตนมาใช้ และถ่ายทอดให้ผู้อื่น
ผู้นั้นจะยิ่งเกิดความชำนาญและเป็นการเพิ่มคุณค่าแห่งความรู้นั้นด้วย
เปรียบเสมือนดาบที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์
และได้รับการเอาใจใส่ดูแลให้คงไว้ซึ่งความคมตลอดเวลา"

"ทบทวนอดีต ศึกษาปัจจุบัน เพื่อวางอนาคต"


"การทบทวนประสบการณ์จากอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น

และการศึกษาเรื่องราวจากคน
และสิ่งรอบข้างในปัจจุบัน

เป็นแนวทางให้เราวางอนาคต

ได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น"


"ความสำเร็จของงาน อยู่ที่คุณภาพของคน"


"หัวใจในการทำงานให้สำเร็จ มิใช่อยู่ที่การสร้างคน
ให้มีความเชี่ยวชาญในการทำงานเท่านั้น
แต่ต้องรวมถึงการสร้างเสริมให้ทุกคนอยู่ร่วมกันด้วยความรัก และสามัคคีด้วย"


"ความรู้ต้องมองสูง ความเป็นอยู่ต้องมองต่ำ"


"ความรู้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ คนที่อยากก้าวหน้าต้อง
ใฝ่รู้เรียนรู้ให้มากขึ้นอยู่เสมอ แต่ความเป็นอยู่นั้นต้องเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ"


"อยากขยายใหญ่ใจต้องกว้างในการถ
่าย ทอดความรู้ให้ลูกน้อง"
"การขยายกิจการให้ใหญ่โต ต้องอาศัยพลังความสามารถ
ความรู้และความคิดจากทุกคน ฉะนั้น หัวหน้างานต้องใจกว้าง
หมั่นสอนและฝึกฝนความชำนาญให้ลูกน้องเสมอ"

"ศึกษาคนเพื่อมอบงานให้เหมาะกับความสามารถ"


"หัวหน้างานที่ดีต้องเป็นคนช่างสังเกตและใกล้ชิดลูกน้อง

สามารถวิเคราะห์งานได้ว่า งานใดเหมาะกับ
ความสามารถของลูกน้องคนใดเพื่อมอบหมายงานให้ตรงกับความสามารถของเขา"


"เข็มเล่มหนึ่งไม่มีปลายแหลมสองด้าน"
"ทุกคนมีทั้งจุดเด่นและจุดด้อย คนเราจึงไม่มีใครเก่งทุกอย่าง
เปรียบเสมือนเข็มที่มีปลายแหลมสำสำหรับเย็บ ปะ ชุน ได้เพียงด้านเดียว
ฉะนั้นคนเราควรรู้และทบทวนจุดเด่นและจุดด้อยของตนอยู่เสมอ"


เมื่อจะแหงนมองฟ้า ก็อย่าลืมว่าเท้าตัวเองสัมผัสดินอยู่

"คนเราต้องเตือนตนไม่ให้ลืมตัวอย่าทระนงตนนั้นว่าเลิศเลอ

ไปกว่าคนอื่นจงคิดเสมอว่าในโลกนี้มีคนที่ดีกว่าเราอีกมาก"

หมั่นเล่าสร้างความจำ หมั่นซักถามสร้างความรู้
"เมื่อได้เรียนรู้สิ่งใดแล้ว หมั่นถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ จะช่วยให้เราจำได้ดีขึ้น

และเมื่อไม่รู้สิ่งใดก็อย่าอายที่จะถาม เพราะจะช่วยให้เรารู้มากขึ้น

ในขณะที่คนโอ้อวดว่ารู้หมดแล้ว แท้จริงคือคนที่ไม่รู้อะไรเลย"


ความคิดสร้างสรรค์ คือพื้นฐานสำคัญของผู้ประกอบการค้า

"ในการทำธุรกิจ ต้องพัฒนาความคิดสร้าง สรรค์อยู่เสมอ

เพราะการผูกติดกับความคิดเก่าๆ ในขณะที่เวลาเปลี่ยนไปนั้น

เป็นการปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจ"


กินข้าวอย่างมังกร ทำงานอย่างเสือ

"คนจีนมองมังกรเป็นสัตว์ที่สง่างาม
ฉะนั้นถ้าจะทำอะไรรวดเร็วก็ต้องเร็วแบบสง่างาม

ส่วนเสือนั้นคนจีนมองว่าปราดเปรียวในการล่าเหยื่อและไม่กินลูกตัวเอง

หมายถึงให้ทำงานอย่างคล่องตัว ทำงานเป็นทีม และไม่รังแกพวกเดียวกัน"

ตักน้ำเต็มได้แค่ภาชนะบรรจุเท่านั้น
"

ในการดำเนินธุรกิจ
ถ้ารู้จักเสียสละแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือสังคม

รวมทั้งจ่ายภาษีให้รัฐได้พัฒนาประเทศอย่างเต็มที่

ธุรกิจก็จะเจริญรุ่งเรืองขยายกิจการใหญ่โตขึ้นได้
อุปมาเหมือนภาชนะที่มีน้ำเต็มแล้ว
ตักน้ำออกไปทำประโยชน์ที่อื่นบ้าง
ก็จะมีโอกาสจะตักน้ำเติมเข้ามาได้อีกและมากขึ้นเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนภาชนะ
หรือขยายขนาดภาชนะให้ใหญ่ขึ้นได้"

"อยากจะเจริญก้าวหน้า ต้องทำตัวเหมือนคนกำลังขึ้นเขา"

"คนเดินขึ้นภูเขา จะต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเสมอ
เปรียบเสมือนคนอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งจะมีแต่คนรัก
แต่คนเดินลงจากภูเขาต้องเอนตัวไปข้างหลัง
เปรียบเสมือนคนเย่อหยิ่งจองหอง
ซึ่งไม่มีใครชอบ ดังนั้น ถ้าต้องการให้มีคนรัก
และช่วยสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้า
ควรประพฤติตนเสมือนคนที่กำลังเดินขึ้นเขา"
เป็น "คมคิด" ที่หาก "ขบคิด" ตาม
สามารถเติม "ปัญญา" ให้เราได้ไม่น้อยทีเดียว

ประชาชาติธุรกิจ หน้า 8

Sep 9, 2006

ทำงานเพื่ออะไร : PRAPAS.COM


ทำงานเพื่ออะไร
(ประภาส ชลศรานนท์ คอลัมน์ คุยกับประภาส นสพ.มติชน อาทิตย์ 6 มี.ค. 48 หน้า 17)
www.Prapas.com

ถึงพี่ประภาส
เคยถูกถามนะว่าทำงานกันไปเพื่ออะไร อาจจะเป็นคำถามง่ายๆ ไร้สาระนะ แต่หนูก็คิดเหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร เพื่อเงินหรือเปล่า เพื่อตัวเอง หรือเพื่อคนอื่น เพราะแต่ละวันเราก็ต้องทำอะไรที่เหมือนๆ เดิมทุกวัน แต่งตัวตอนเช้า รถติด ตอกบัตร อยู่ที่ทำงานบางทีก็เบื่อ บางทีก็ขยัน เป็นหยั่งงี้ทุกวัน...อยากได้ความคิดเห็นหรือคำตอบดีๆ จากคำถามที่ว่า...ทำงานไปเพื่ออะไร?
สลิด

พี่ประภาส
เวลามีใครถามผมว่าทำงานไปเพื่ออะไร ผมก็ตอบทุกครั้งว่า ทำงานเพื่อเงิน พี่ว่าผิดไหม
มนุษย์งานมนุษย์เงิน

____________________________

วันนี้ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังสองเรื่อง เรื่องแรกคือทฤษฎีของมาสโลว์ เรื่องที่สองคือเรื่องเล่าจากหอไอเฟล
เรื่องแรกนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวความคิดทางจิตวิทยาของชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ที่อาจมีภาษาที่ฟังดูยากๆ ไปสักหน่อย แต่ผมขอรับปากว่าจะพยายามช่วยอธิบายในภาษาของผมให้ดีที่สุด อ่านถึงตรงนี้ถ้าใครอยากข้ามไปอ่านเรื่องเล่าจากหอไอเฟลเลย ผมก็คงจะไม่คิดน้อยใจอันใด เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมอยากอ่านอะไรที่สนุกและเข้าใจง่ายๆ
ถามว่ามันเกี่ยวอะไรกันไหมสองเรื่องนี้ มันไม่เนื่องกันโดยตรงหรอกครับ แค่คล้ายๆ ข้าวเหนียวกับทุเรียนแค่นั้น

เรื่องแรกครับ
อับราฮัม เอช. มาสโลว์ (พ.ศ.2451-2513) เจ้าของทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพและทฤษฎีจิตวิทยามนุษยนิยม ได้กล่าวไว้ว่า "มนุษย์เป็นผู้ไม่หยุดนิ่ง"
ประโยคนี้แปลว่าอะไร มันแปลว่า "มนุษย์นั้นมีความต้องการไม่สิ้นสุดใช่ไหม"

ประโยคที่สองที่ผมแปลนี่มาสโลว์ก็พูดไว้ก่อนแล้ว ฟังดูก็ไม่น่าเร้าใจอะไรเท่าไรนะครับ เราๆ ท่านๆ ก็ฟังคำสอนทางพุทธที่มีความหมายประมาณนี้มาก็เยอะแยะแล้ว
ต่อไปก็เป็นประโยคที่สามครับ มาสโลว์บอกว่า "ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง จะเป็นสิ่งกระตุ้นให้แสดงพฤติกรรม"

ฝรั่งนั้นชอบอธิบายอะไรทำนองนี้เสมอ ฟังอย่างไรก็รู้ว่าเป็นภาษาฝรั่ง แต่ยอมรับนะครับว่าฟังแล้วก็เข้าใจได้ดี ผมชอบเรียกการอธิบายแบบนี้ว่า การอธิบายแบบคณิตศาสตร์ คือมันฟังแล้วเห็นภาพเหมือนสมการสองข้าง เหมือนอนุกรมของตัวเลข

ประโยคที่สี่ของมาสโลว์ครับ ประโยคนี้สำคัญที่สุดเพราะมาสโลว์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเจ้าแห่งทฤษฎีทางจิตวิทยาสายมนุษยนิยมก็ด้วยประโยคนี้แหละครับ

"ความต้องการของมนุษย์เป็นไปตามลำดับขั้น"
มาสโลว์แบ่งลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์ออกเป็น 5 ขั้นคือ

ขั้นที่ 1.ความต้องการทางกาย ความต้องการขั้นพื้นฐานนี้ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่เป็น สัตว์โลกอื่นๆ ก็เป็นครับ หิว กระหาย ก็ต้องการอาหารและน้ำ หายใจไม่ออกก็ต้องการอากาศ หนาวขึ้นมาก็ต้องการเสื้อผ้า ฮอร์โมนมันพลุ่งพล่านขึ้นมาก็ต้องการเพศตรงข้าม ป่วยไข้ก็ต้องการยารักษา

ขั้นที่ 2.ความต้องการความปลอดภัย หลังจากตอบสนองขั้นแรกได้แล้วมนุษย์ก็จะเริ่มคิดเผื่อไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือเริ่มกลัวถูกทำร้าย กลัวอาหารไม่พอ กลัวหนาวเกินไป กลัวร้อนเกินไป ที่พักอาศัยและอาหารที่ต้องตุนไว้จึงเกิดขึ้น การมีนามีไร่ หรือการเลี้ยงสัตว์ไว้มากมาย มีอาวุธไว้ป้องกันตนเองก็เพื่อตอบสนองความต้องการขั้นนี้ทั้งนั้น
ถึงตรงนี้ขออนุญาตหมายเหตุไว้สักหน่อย น่าทึ่งนะครับที่อยู่ๆ มนุษย์ก็คิดค้น "เงิน" ขึ้นมา มันเป็นสิ่งสมมุติที่สามารถเอามาแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งสองขั้นข้างบนได้อย่างดี

ขั้นที่ 3.ความต้องการทางสัมพันธภาพ ความต้องการขั้นนี้เริ่มไม่ค่อยเกี่ยวโดยตรงกับร่างกายแล้ว แต่เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมนั้นไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ย่อมกลัวการถูกทอดทิ้ง กลัวการอยู่เพียงลำพัง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงต้องการความรักและมิตรภาพ
เพื่อน คู่รัก ครอบครัว ชุมชน จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบรับความต้องการขั้นที่สาม
มีข้อคิดบางประการเกี่ยวกับ "เงิน" ที่ผมพูดไว้ในข้อที่แล้ว พอมาถึงขั้นนี้เราอาจเห็นได้ว่าเงินชักจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการขั้นนี้ได้ครบถ้วนแล้ว บางคนอาจจะบอกว่าเขาเคยใช้เงินซื้อเพื่อนหรือคนรักได้ แต่เชื่อผมเถิด ถ้ามันจะซื้อได้จริงๆ มันก็คงได้แค่เพียงผิวเผินชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ลองดูขั้นต่อไปเรื่อยๆ สิครับว่า เงินซื้อได้หมดไหม

ขั้นที่ 4.ความต้องการยอมรับนับถือ ในขั้นนี้มาสโลว์ยังแบ่งเป็นสองแบบ แบบแรกคือ ปรารถนาการนับถือตนเอง ต้องการมีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความความสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ฟังๆ ดูแล้วมนุษย์นี่ช่างเรื่องมากดีแท้ๆ ส่วนแบบที่สองคือ ปรารถนาได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น ก็พวกเกียรติยศชื่อเสียงนั่นแหละครับ
มาถึงขั้นนี้แล้วมองดูผ่านๆ บางคนอาจจะบอกว่าเงินก็ยังน่าจะมีอำนาจซื้อได้อยู่นะไอ้เกียรติ ยศ และสรรเสริญนี่ ไม่รู้สิครับผมว่าสังคมเขารู้นะครับว่าอันไหนซื้ออันไหนไม่ซื้อ ที่สำคัญหากซื้อมาได้จริงมันก็แค่หลอกคนอื่นได้ คนเรามันหลอกตัวเองได้ที่ไหนกัน สุดท้ายแล้วในใจลึกๆ ก็ยังขาดการยอมรับนับถือตัวเองอย่างที่มาสโลว์บอก

ขั้นความต้องการยิ่งสูง เงินก็ยิ่งหมดความหมายไปเรื่อยๆ ว่าไหมครับ ลองอ่านขั้นสุดท้ายของความต้องการของมนุษย์ดูก็ได้
5.ความต้องการในอุดมคติแห่งตน ฟังยากอีกแล้วครับ ภาษาฝรั่งที่มาสโลว์ว่าไว้คือ SELF ACTUALIZATION NEED แปลกันไว้หลายสำนักเสียด้วย สำนักหนึ่งแปลว่า คือความต้องการความสำเร็จตามความนึกคิดของตนเอง อีกสำนักหนึ่งแปลว่า ความต้องการความสมบูรณ์ในความเป็นมนุษย์ ฯลฯ
ขออนุญาตอธิบายดังนี้ดีกว่าครับ

สิ่งที่คานธีทำในประเทศอินเดียจนคนทั้งโลกต้องหันมามอง สิ่งที่แม่ชีเทเรซ่าทำจนโลกต้องค้อมหัว ความรู้ที่เปรียบดั่งกุญแจไขจักรวาลที่ไอน์สไตน์ค้นพบ การช่วยชีวิตสัตว์ป่าให้ได้อยู่ในธรรมชาติอย่างอิสระของคุณสืบ นาคะเสถียร การทำงานโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยของอาสาสมัครในวิกฤตการณ์สึนามิ ฯลฯ มนุษย์เหล่านี้ไม่ได้ทำเพื่อสนองความต้องการทั้งสี่ขั้นต้นนั่นเลย
อุดมคติเป็นสิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึง
เงินไม่มีค่าอันใดเลยสำหรับความต้องการขั้นสูงสุดของมนุษย์ตามทฤษฎีของมาสโลว์

…………………..
เรื่องที่สอง เรื่องเล่าจากหอไอเฟล เรื่องนี้สั้นๆ และเบาๆ ครับ
ระหว่างที่กำลังสร้างหอไอเฟลที่กรุงปารีสอยู่นั้น มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกทำสกู๊ปสัมภาษณ์คนงานที่กำลังก่อสร้างหอ เพื่อนำมาลงหนังสือพิมพ์ให้เห็นถึงบรรยากาศการก่อสร้าง แต่ละคนก็ให้ความเห็นและบอกเล่าความรู้สึกแตกต่างกันออกไป
มีอยู่สามคนที่มีการนำมาอ้างถึงในปัจจุบัน เมื่อมีการพูดคุยกันว่าคนเรานั้นทำงานเพื่ออะไร
คนแรกให้สัมภาษณ์ว่า "ก็ทำงานไปวันๆ พอยาไส้ ถึงเวลาเลิกงาน ถ้าได้เหล้าสักเป๊กสองเป๊กแก้ปวดเนื้อปวดตัวก็พอใจแล้ว"
คนที่สองให้สัมภาษณ์ว่า "ครอบครัวของผมห้าปากห้าท้องต้องอาศัยรายได้จากงานนี้ ผมทำงานด้วยความตั้งใจอย่างสูง หัวหน้าก็คงมองเห็นความขยันของผมแล้ว ผมคิดอย่างนั้น และอีกไม่นานบริษัทก็คงขยับหน้าที่การงานผมให้สูงขึ้น"
คนที่สามให้สัมภาษณ์ว่า "ผมกำลังสร้างหอเหล็กที่สูงที่สุดที่โลกนี้เคยมีมา เมื่องานนี้สำเร็จคนทั้งโลกจะต้องได้ยินชื่อและเดินทางมาดูมัน ผมภาคภูมิใจมากที่ได้มีส่วนร่วมในวิศวกรรมอันยิ่งใหญ่ชิ้นนี้ นับเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผมและวงศ์ตระกูล"

คนหนึ่งทำเพื่อทน

คนหนึ่งทำเพื่อทำ

คนหนึ่งทำเพื่อธรรม


คุยกับประภาส # 1 : PRAPAS.COM

มุมมองของชีวิต - 11 ก.ค. 2547
http://www.prapas.com/

ถึงพี่ประภาส พี่ประภาสคงเคยได้ยินเพลงของพี่บอย โกสิยพงษ์ ที่ร้องว่า
"อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด"
แบบนี้ก็แสดงว่าให้เรายอมแพ้และยอมรับความพ่ายแพ้นั้นซะ อย่าไปต่อสู้เพื่อฝัน ใช่มั้ยครับ
ตกลงเราควรจะฝันให้ไกลไปให้ถึงหรือ เรียนรู้และยอมรับมัน กันแน่ >ตุลย์
==========================================
"ปัญหา" เป็นของคู่กับ "ชีวิต" เหมือนกับว่ามันได้ถูกผูกติดมาด้วยกันตั้งแต่แรกเกิด เมื่อมองปัญหาชีวิต ผมมองแยกออกเป็นสองประเภท
นั่นคือประเภทที่อยู่ในมือเราและประเภทที่อยู่ในมือคนอื่น ประเภทแรกก่อนนะครับ อะไรก็ตามที่อยู่ในมือเรา ก็ย่อมหมายความว่าเราสามารถควบคุมมันได้ ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควบคุมมันไหม หรือควบคุมมันไหวไหม ผมยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น
ความเกียจคร้านซึ่งผมถือว่าเป็นตัวการใหญที่ทำให้ชีวิตเกิดปัญหาอยู่ตลอดเวลา

ถ้าเรามองว่าความเกียจคร้านเป็นปัญหา ทางแก้นั้นก็คงตอบง่ายๆ
ว่าก็แก้ด้วยความเพียร ความเพียรนั้นเป็นของที่อยู่ในมือเรา
เป็นอาวุธประจำตัวมนุษย์เลยทีเดียวครับ บทความหลายๆ

ตอนที่ผมเขียนถึงความเพียรของโทมัส เอดิสัน
หรือบรรณาธิการที่เป็นอัมพาตทั้งตัวเขียนหนังสือจบเล่มด้วยการกะพริบเปลือกตาข้างเดียว
ก็เพื่อจะสื่อให้รู้ว่าความเพียรของมนุษย์นั้นแทบจะไม่มีขีดจำกัดเลยด้วยซ้ำ
ส่วนปัญหาอีกประเภทหนึ่งที่ผมบอกว่าอยู่ในมือคนอื่นนั้น

ผมให้ความหมายกว้างไกล
นับตั้งแต่มือของคนอื่นทั่วๆ ไป จนถึงมือของพระเจ้า
น ายสมชายอยากได้มอเตอร์ไซค์มาขี่สักคัน ลองมองปัญหานี้กันดูครับ

ผมให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า
นายสมชายเป็นคนมีเงินมีทองคนหนึ่ง ปัญหานี้แก้ง่ายมาก

เมื่ออยากได้ก็ไปซื้อมาขี่ แล้วถ้าผมเปลี่ยนข้อมูลใหม่เป็น
นายสมชายไม่มีสตางค์ละ นายสมชายจะแก้ปัญหานี้ต่อไปอย่างไร
เงื่อนไขเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังถือว่าควบคุมได้ โดยการพยายามขยันทำมาหากินให้ได้เงินทองมา
หรือแม้แต่การไปหยิบยืมคนอื่นมา แล้วค่อยหาใช้คืน

ยังถือว่าเป็นการไขปัญหาที่อยู่ในมือของตัวเองอยู่นะครับ
ลองดูตัวอย่างที่สอง พ่อนายสมชายเสียชีวิต นายสมชายจึงขาดความอบอุ่น

ขาดที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจ
การเสียชีวิตของพ่อ เป็นสิ่งที่นายสมชายไม่อาจควบคุมได้

ชีวิตมนุษย์ย่อมต้องตายทุกคน
ไม่มีใครหลีกเลี่ยงไปได้ ถึงจะต่อสู้หรือเพียรพยายามเท่าใด

ชีวิตของพ่อก็ไม่มีวันหวนคืนกลับมา
ปัญหาแบบนี้ละครับที่มันไม่ได้อยู่ในมือเรา

คนบนโน้นจะเมตตาเราหรือส่งบทเรียนมาให้เรา
ก็แล้วแต่มือของท่าน ตัวอย่างที่สามครับ นายสมชายหลงรักนางสาวสมศรี

และอยากได้นางสาวสมศรีมาเป็นคู่ครอง
ปัญหาซับซ้อนแบบนี้แหละที่ผู้คนในสังคมประสบพบเจออยู่ตลอดเวลา
มันเป็นปัญหาที่จัดอยู่ในประเภทลูกครึ่ง นั่นคือบางส่วนควบคุมได้และ

บางส่วนควบคุมไม่ได้
ลองแยกดูสิครับ นายสมชายสามารถทำตัวดีๆ ให้นางสาวสมศรีสนใจรักใคร่ได้
นายสมชายสามารถเอาอกเอาใจนางสาวสมศรีให้เธอรู้สึกพึงใจได้

วิธีการเหล่านี้ล้วนอยู่ในมือของนายสมชาย
นายสมชายควบคุมได้ ส่วนจิตใจของนางสาวสมศรีจะรู้สึกปฏิพัทธ์นายสมชายหรือไม่

เป็นเรื่องของนางสาวสมศรี
นายสมชายไม่สามารถควบคุมได้ ผมชอบการแยกประเด็นแบบนี้

แล้วผมก็ใช้มันบ่อยๆ
เวลามีความวิตก ใครที่กำลังทุกข์ใจกับการเตรียมตัวสอบ

ที่จะเรียนต่อที่โรงเรียนหรือเข้าทำงานที่ตัวเองอยากเข้า
ลองเอาเรื่องของนายสมชายนี้ไปซ้อนทับเพื่อเทียบดู

ความเพียรของตัวเองที่จะเตรียมตัวสอบนั้นเราควบคุมมันได้
แต่ความเพียรของคู่แข่งนี่ ต้องยอมรับว่าเราควบคุมไม่ได้

นึกออกไหมครับ เราไม่มีทางรู้ว่าจะมีใครคนไหนขยันอ่านหนังสือมากกว่าเราหรือไม่
รวมไปถึงการตัดสินว่าจะรับใครเข้าหรือไม่เข้า ผมกำลังจะบอกว่า

เราจึงไม่ควรไปทุกข์กับปัญหาที่เราควบคุมอะไรไม่ได้
ทุกข์ของคนจะสอบเข้าถ้าจะมีก็ควรเหลือเพียงว่า "เราจะทำข้อสอบได้ไหม"

ไม่ใช่มัวแต่ทุกข์ว่า "จะเข้าได้ไหม"
เพลงของคุณบอยเพลงนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณบอยแต่งขึ้นมา

เพื่อให้ผู้คนเอาไว้ต่างน้ำเย็นประโลมใจยามที่เจอปัญหาประเภทที่ไม่อยู่ในมือเรา
แฟนทิ้ง พ่อแม่เลิกกัน เศรษฐกิจของชาติวิกฤต พลัดพรากจากคนที่รักตลอดกาล

เป็นโรคที่รักษาไม่ได้ ฯลฯ
กับสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราต้องยอมรับมัน

และก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างที่เพลงบอกไว้
ร้องมันทั้งสองเพลงก็ได้ครับ อะไรในฝันที่เราพอจะสั่งมันด้วยมือของเราได้

เราก็ร้อง "ฝันให้ไกลไปให้ถึง"
อย่าได้หยุด ส่วนปัญหาใดที่อยู่ในมือของพระเจ้า

เราก็ยืนหยัดเงยหน้ายอมรับและก็ร้อง live and learn อย่างรู้เท่าทัน

Boyd Kosiyabong







บอย โกสิยพงษ์ กับงานเพลงจากแรงบันดาลของพระเจ้า

ผู้จัดการออนไลน์


“ผมเขียนเพลงไม่ออกมา 6 ปี เขียนเพลงแบบไม่มีความสุขมากขึ้นๆ ทุกวัน”

นั่นคือบทสนทนาประโยคแรกของ "บอย โกสิยพงษ์" เจ้าของเพลง "ฤดูที่แตกต่าง"
หลังจากที่ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองมานานถึง 6 ปีเต็ม
หลายคนสงสัยว่านักแต่งเพลงระดับนึกจะเขียนก็เขียนกันได้

ทุกที่ทุกเวลาอย่างเขานั้นทำไมต้องทิ้งระยะนานขนาดนั้นสำหรับอัลบั้มเพลงส่วนตัว


“มันปัญหาของผมก็คือ เมื่อสมัยแรกที่เราเริ่มต้นอาชีพนี้ ผมเขียนเพลงด้วยหัวใจ
แต่เมื่อเราทำมันจนเป็นอาชีพแล้ว มันกลับกลายเป็นเรื่องเคยชิน
เหมือนงานรูทีนที่เราจะรู้ว่าเขียนออกมาแบบนี้แล้วโดน เป็นรูปแบบที่ตายตัว
ซึ่งผมสรุปได้ว่าผมเขียนเพลงโดยใช้สมองมากกว่าหัวใจ”



บอยบอกว่า เขามีนามปากกาสำหรับเขียนเพลงอยู่ตั้ง 7 ชื่อ
เริ่มไล่ไปตั้งแต่เพลงที่เขียนส่งๆไปงั้น ไปจนกระทั่งเพลงที่ตัวเองชอบ


“นามปากกานี่แตกต่าง ถ้าใช้ชื่อจริงเพลงนั้นจะเป็นเพลงที่เรารู้สึกชอบมัน
แต่ถ้าไม่ใช่ซึ่งต้องขอสงวนนามเอาไว้หน่อย

อันนั้นก็จะรู้สึกว่าทำเป็นหน้าที่ทำตามแพทเทิร์นของเราไว้
ทีนี้พอมาทำอัลบั้มของตัวเอง มันก็เลยแย่ เพราะเราชักรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง
เพราะเรารู้ว่าหลายอย่างมันเฟค พอเขียนหน่อยก็ต้องหยุด ชักเครียดขึ้นมา
ก็ต้องหยุด”


“ยิ่งมีคนถามมากๆ ว่าจะออกเมื่อไหร่ ผมก็ต้องผลัดไปเรื่อยเกรงใจเขาเหมือนกัน
แต่มันทำให้ผมเครียดมาก เพราะมันไม่อยากจะทำ”

อัลบั้มที่สองของบอยนั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่ าไหร่
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เกร็งด้วยหรือเปล่า ?
“ก็มีส่วนนะครับ จริงๆ อัลบั้มนั้นผมว่า มันก็ดี แต่เราตั้งใจมากไป เราอยากจะ
“โชว์”ทุกอย่าง ทีนี้เราก็เลยเอามันทุกอย่าง
หลายคนบอกว่ามันดัดจริตไอ้นั่นก็ใช่ เพราะเราตั้งใจใส่มากไง
เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงอัลบั้มนี้มันก็เลยขัดๆกันอยู่ในตัวเองมากๆ
เราเองก็ไม่รู้จะทำยังไง”


แล้วคิดตกในเรื่องนี้ได้อย่างไร ?


“ช่วงที่ผ่านมามีสองเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้ผมคิดตก อย่างแรกก็คือ
เรื่องของคุณพ่อที่เสีย (เงียบไปครู่หนึ่ง)
เพราะอันนั้นมันเป็นแรงกระแทกอย่างแรงของเรามาก
เพราะชีวิตผมนี้ได้มากที่สุดก็จากพ่อ เมื่อพxxตxxเราก็นิ่งเลย
มีบางวันที่ผมนอนไม่กินอะไรเลย ผมนอนนิ่งๆ อยู่แบบไม่ทานอะไรเลย
ไม่ทำอะไรเลยเกือบอาทิตย์ ภรรยาของผมเขาก็ร้องไห้

บอกว่าเราทำแบบนี้เขาเป็นทุกข์มาก
อย่างน้อยลุกขึ้นมาแสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่หน่อยก็ยังดี
ผมเห็นเธอร้องไห้ก็เริ่มคิด ก็มานั่งนึกว่าถ้าเราทำแบบนี้พ่อก็คงเสียใจ
คนที่อยู่ก็เสียใจ
เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริงว่ามันได้เกิดขึ้นมาแล้ว..."
ก็นึกถึงคำพูดของพ่อที่ท่านสอนผมเอาไว้ก่อนว่า
เราต้องเรียนรู้สติของเราให้ทัน เตรียมพร้อมตัวเองเพื่อรับสิ่งที่มันจะมาหาเรา
รู้จักมันอย่าให้อารมณ์มาครอบงำ พ่อบอกว่าชีวิตของคนเราอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่
เราไม่ได้อยู่กับความฝัน และทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เมื่อภรรยาผมพูดแบบนั้น

ผมยอมรับว่าผมได้คิด วันนั้นผมก็เลยลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”


“อีกเหตุการณ์หนึ่งเหมือนเรื่องมหัศจรรย์ครับ
ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเรียกว่าพระเจ้าหรืออะไร แต่เมื่อผมเครียดมาก
เพื่อนฝรั่งคนหนึ่งบอกผมว่า เฮ้ ยูเอาไบเบิ้ลไปอ่านดูซิ เขาก็ส่งมาให้ผม
ผมนั่งอ่านก็ไปเจออยู่หน้าหนึ่ง เขาบอกว่า คนเรานั้นถ้าทำตามหัวใจจะดีกว่า
ผมก็มานั่งนึกถึงตัวเองว่าที่ผ่านมา เราทำอะไรก็ตามเราคิดใช้สมองนำ

ไอ้การทำงานโดยมีพื้นฐานของหัวใจแบบที่เคยเป็นนั้นมันหายไปหมด
ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า ลืมมันเหอะไอ้สมองเนี่ย
ทำอย่างที่หัวใจเราอยากให้เป็นดีกว่า นั่นคือ ทำด้วยความรัก
เราไม่ต้องไปนึกถึงโจทย์ทางการตลาดหรืออะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปนึกว่า
เขียนแบบนี้แล้วจะมีคนฟังหรือไม่ หรือเขียนแล้วมันจะไปโดนกลุ่มคนฟังกลุ่มไหน
ผมบอกกับตัวเองว่าเราจะกลับไปทำงานให้สนุกอีกครั้ง ใช้หัวใจนำหน้าครับ”


“ใครจะว่าผมบ้าก็ได้แต่ผมเชื่อว่าบางทีใบเบิ้ลที่เพื่อนเอามาให้
อ่านอาจจะเป็นสาส์นที่พระเจ้าต้องกา
รบอก ผมก็ได้
เพราะหลังจากนั้นผมไปพลิกดู

หลายรอบผมหมายถึงผมอยากจะแนะนำให้คนอ่านตรงนี้บ้าง
ผมกลับหาไม่เจอแล้ว
ดูให้ละเอียดยังไงก็หาไม่เจอ
ผมก็เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับตัวผม”


“เพราะฉะนั้นเพลงในชุดใหม่ผมก็เลยทำงานด้วยความรู้สึกแบบที่พ่อสอนก็คือ
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เข้าใจสติของตนเอง
ขณะเดียวกันผมก็ใช้หัวใจที่ผมคิดว่าผมละทิ้งมันไปนานเข้ามาเขียนเพลง”

ผลจากการใช้หัวใจนำหน้าทำให้บอยบอกว่า เขาแต่งเพลงชนิดเหมือนคนบ้า
เพราะเขียนไม่หยุด เขียนไปยิ้มไป เขียนขนาดที่ว่า
มีเนื้อหาวัตถุดิบอยู่เป็นร้อยเลย


“เพราะฉะนั้นงานชุดนี้ถึงชื่อว่า Million Ways To Love Part1
ที่ต้องมีพาร์ตวันเนื่องจากภายในปีนี้ผมจะปล่อยภาคสองออกมา
แล้วตลอดทั้งปีนี้ผมจะปล่อยซิงเกิ้ลในลักษณะพิเศษออกมาตลอด
คือเพลงจะไม่เหมือนกับในอัลบั้มแน่นอน”

บอยกล่าวว่า หลังจากนั้นเขาทำงานง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ยึดติดว่าตนเองจะเป็น
ริทึ่ม แอนด์ บอยด์ เหมือนอย่างงานชุดแรก

หรือต้องกลั่นให้เห็นว่าเขามีฝีมือแค่ไหนเช่นในงานชิ้นสอง
แต่เป็นงานที่มีลักษณะสบายๆ แต่แน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึก


“บรรยากาศในเพลงมันจะแตกต่างกันทั้ง 12 เพลง เพราะผมไม่ยึดติดกับอะไร
แต่ตั้งใจว่าจะให้คนที่ฟังๆ แล้วสบายใจ ตัวผมเองก็สบายใจ ไม่มีเกร็ง
ซึ่งมันได้ผลนะครับ เพราะทุกคนพอรู้ว่าไม่มีกรอบอะไรเลย
เขาก็ทำกันชนิดที่เรียกว่ายอดเยี่ยมอย่างที่ผมไม่นึกมาก่อน

อย่างเพลงแรกที่เราตัดออกมาก็คือ “ใคร” ซึ่ง ป็อด (โมเดิร์นด็อก) เขาร้อง
คนจะแปลกใจ เพราะเขาร้องแบบสบายๆ กว่าทุกครั้งที่เคยร้องเพลง
เพลงอย่าง “ผมแอบชอบคุณอยู่” ก็เป็นเพลงลักษณะที่เรียกว่า
ผมเกิดอารมณ์ขันก็เขียนขึ้นมา

ปรากฏว่าคุณนภแกก็โชว์เต็มที่ในลีลาใหม่
หรืออย่างเพลง "Live And Learn"

ซึ่งเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ คือ
แม่ของสุกี้กับน้อยคือคุณกมลา (สุโกศล)

เป็นคนร้อง
เพลงนี้อยากให้ฟังกันเพราะเธอร้องแปลกมากคือ
ร้องเพลงไทยด้วยสำเนียงบรอดเวย์

ผมบอกท่านว่าร้องไปเลยครับ
ท่านก็ร้องลีลาท่าน มันออกมาดีนะครับ

ผมฟังแล้วก็อิ่ม ฟังไปน้ำตาซึมเลย”


“คือเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเขียนขึ้นจากคำสอนของพ่อก่อน ที่ท่านจะเสีย
เนื้อเพลงทั้งหมดเป็นเพลงของพ่อผม
ผมเองก็อยากจะบอกทุกคนเหมือนกันด้วยเนื้อหาสาระแบบเดียวกัน นั่นคือ
ชีวิตคนเรามันก็เท่านั้น ถ้าเราเข้าใจตัวเรา ชีวิตก็มีความหมาย
คือประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า

แต่ถ้าเราทำแล้วเราทำมันเต็มที่ ทำมันให้ดีที่สุด ไม่หลอกตัวเอง
ใช้หัวใจทำเข้าไป ผมเชื่อว่ามันจะมีความสุขมากๆ กับการมีชีวิตในโลกนี้”

แต่ฟังดูเหมือนกับฤดูที่แตกต่างยังไงพิกล ? เราถามขึ้นมา

“ (หัวเราะ) ใช่ครับ เขียนไปเขียนมาผมว่ามันก็คือ ภาคสองของ Seasons Change
จะว่าตั้งใจก็คงใช่ ผมอยากจะให้คนฟังฤดูที่แตกต่างแล้วมาฟังเพลงนี้

เพราะมันจะครบถ้วนในความเป็นเพลงที่ตั้งใจเอาไว้”

แต่ถึงแม้จะเป็นการทำงานที่สนุก
แต่บอยก็ค้นพบว่าในความสนุกนั้นมันมีปัญหาอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นคือ
เพลงแต่ละเพลงในชุดนี้มีความยาวเกิน 5 นาทีหมด และเป็นเรื่องที่บอยกล่าวว่า
มันก็ช่วยไม่ได้...แต่เขาเชื่อว่า
ถ้าคุณภาพของดนตรีหรือของเพลงมันมีอย่างเต็มร้อย
โอกาสที่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาก็ย่อมจะน้อย


“อย่างเพลง Live And Learn นั้น ยาวมากเกินห้านาที
เพราะเราปล่อยบราสเซคชั่นเต็มที่
หรืออย่างช่วงที่คุณกมลาแอดลิบตอนกลางเพลงนั้น

ท่านปล่อยอารมณ์เต็มที่ คือฟังแล้วขนลุก
เพราะฉะนั้นมันไปตัดไม่ได้ครับ

เพราะมันสมบูรณ์ในตัวมันเองอยู่แล้ว

ซึ่งตรงนี้ลำบากเพราะวิทยุบ้านเรานั้นถ้าเพลงมันเกิน 3 นาที
ดีเจเขาอาจจะไม่เปิด

แต่ผมเชื่อว่าถ้าเผื่อเพลงมันดีเขาก็ไม่น่าจะละเลยมัน”

บอยกล่าวด้วยว่า

ด้วยพลังของพระเจ้ากับคำสอนของพ่อทำให้เขาตั้งใจจะทำงานออกมาให้แฟนๆ
ฟังอย่างจุใจ อย่างตอนปลายปีนี้ก็จะมีงานภาคสองของชุดนี้ หรือ
Million Ways To
Love Part 2 ออกมาให้ฟังกันอีก
เช่นเดียวกับซิงเกิ้ลพิเศษ ก็จะตัดออกมาเรื่อยๆ

ซึ่งเพลงเหล่านั้นจะไม่ซ้ำกับเพลงในอัลบั้มอย่างที่เจ้าตัวบอก...


พลังของพระเจ้านอกจากจะทำให้คนๆ หนึ่ง
ได้ค้นพบหนทางของตัวเองแล้ว

ครั้งนี้มันยังทำให้หัวใจของใครหลายๆ
คนเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความสุข...
หลายคนคงจะเอ่ยคำขอบคุณพระเจ้าออกมาอย่าง

แน่น อนหลังจากที่ได้เสพงานเพลงคุณภาพของผู้ชายคนนี้
ผู้ชายที่ชื่อ "บอย โกสิยพงษ์ "














Sep 2, 2006

จงมั่นใจในทองคำในตัวเอง



ผู้คนในสังคมทุกวันกำลังขาดความมั่นใจกันมากขึ้นทุกทีๆ
บางคนจะทำอะไรก็เอาแต่หวาดระแวงกัน
จะคบใครก็ไม่แน่ใจว่าจะคบดีหรือไม่
จะแสดงออกก็กล้าๆ กลัว ไม่กล้าตัดสินใจ
วิตกกังวลไปซะแทบทุกเรื่อง
บางคนก็ทำลายความมั่นใจของผู้อื่น
เพราะความไม่มั่นใจในตัวของตัวเอง ฯลฯ
ศ.ดร.นพ. วิทยา นาควัชระ ได้เปรียบเทียบว่า
ความมั่นใจของคนเรานั้น
เปรียบเสมือนปริมาณทองคำแท่งในตัวของเราทุก ๆ คน
บางคนมีจำนวนมาก บางคนมีน้อย และบางคนก็ไม่มี
แต่ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วทั้งนั้น แต่มีปริมาณแตกต่างกัน
คนที่จะมีความมั่นใจได้ก็คือ
คนที่มองเห็นคุณค่าของทองคำในตัวของตนเอง
ซึ่งแม้จะมีไม่เท่ากัน
แต่ก็มีค่าทั้งนั้น คนที่จะมีความมั่นใจในตัวเองได้ คือ
คนที่ตระหนักในความมีค่าของตนเองได้ตลอดเวลา
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในเวลานั้น ทั้งดีขึ้นหรือเลวลง
เขาก็ยังตระหนักในความมีค่าของเขาอยู่
ทำให้มั่นใจตัวเองได้ มีความกล้า
เป็นตัวของตัวเอง ไม่โลเล
ไม่ลังเล ไม่กังวลกลัดกลุ้ม
ไม่หวาดระแวงใคร ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค
วิธีที่สร้างความมั่นใจให้ตนเองง่ายๆ

1. ให้นึกถึงทองคำในตัวเสมอๆ คือ
ให้นึกถึงความดี ความเก่ง
หรือสิ่งที่ตัวเองเคยทำได้แล้วเสมอๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ใช้ได้
เช่น เคยช่วยคนยากจน เคยช่วยชีวิตสัตว์ตัวเล็กๆ เคยทำบุญ
นึกถึงเพียง 2-3 อย่างก็พอ นึกบ่อยๆ จนเกิด “ความเชื่อ”
ว่าตัวเองมีค่าที่ทำสิ่งที่ดีๆ ได้มาแล้ว เมื่อเราชื่นชมตัวเองได้
เชื่อว่าตัวเองมีค่า
ก็จะเกิดความมั่นใจตัวเองตามความเป็นจริงได้

2. ให้หัดตัดสินใจและรับผิดชอบต่อผลของการตัดสินใจนั้น
การเลือกตัดสินใจเป็นการใช้ปัญญาของมนุษย์
ซึ่งจะต่างกันไปตามประสบการณ์
ความคิด ความรู้ ความกลัว หลักง่ายๆ ในการตัดสินใจคือ
ให้เลือกทำในสิ่งที่ ไม่ผิดกฎหมาย
ไม่ผิดศีลธรรม และให้นึกถึงความรัก
เพื่อนมนุษย์ด้วยความเมตตาเข้าไปด้วย
ผลของการตัดสินใจมักไม่ผิดพลาด
ขอให้คิดว่าเมื่อเรา “กล้า” ตัดสินใจซักครั้งแล้ว
โอกาสที่จะกล้าตัดสินใจครั้งต่อๆไป จะมากขึ้น
เมื่อเราตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว
ก็ต้องรับผิดชอบต่อผลของการตัดสินใจนั้น
ถ้าผลออกมาดี ก็ทำต่อไป
ถ้าผลออกมาไม่ดี ก็ตัดสินใจใหม่ได้
เปลี่ยนแปลงได้ ไม่เป็นไร
ให้ถือเป็นประสบการณ์ชีวิต
ชีวิตคนเราต้องมีประสบการณ์ทั้งนั้น
ทั้งด้านที่ดีที่พอใจและที่ไม่ดีไม่พอใจ
ไม่เช่นนั้น ขีวิตจะไม่มีค่าหรอก

3. ลดความกลัว
คนจะนึกถึงความกลัวจนไม่กล้าตัดสินใจและไม่มั่นใจในตัวเอง
จงลดความกลัวโดยการนึกถึงคำว่า “กล้า” ให้บ่อยขึ้น
บอกกับตัวเองสิว่า เราจะเติบโตขึ้นทุกวัน เราจะกล้าหาญมากขึ้นๆ
ทุกวันทุกนาทีที่ผ่านไป
ความกล้าหาญอย่างมีสติเป็นคุณสมบัติที่ดีของชีวิต
เป็นคุณสมบัติที่แปลกเพราะ
ถ้าเรานึกว่า เรามีมัน เราก็จะมีมากขึ้นทันที
แต่ถ้าเรานึกว่า เราไม่มีความกล้า เรากลัว เราก็จะ “เชื่อ” ว่าเราไม่กล้า
มีแต่ความกลัวตลอดไป

4. เลิกสงสารตัวเอง ในกรณีที่ตัดสินใจแล้วได้ผลไม่น่าพอใจ
หรือคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิด
ถ้าหากทำสิ่งใดแล้วไม่ได้ดี ไม่ได้ดังใจ ก็อย่าสงสารตัวเองเลย
แค่เห็นใจตัวเองก็พอ อย่าซ้ำเติมตัวเอง จงให้กำลังใจตัวเอง
แล้วลงมือทำใหม่ได้
ทุกอย่างจะกลายเป็นประสบการณ์
ถ้าผลออกมาดี ก็ทำต่อไปตามแบบที่ทำแล้วนั้น
ถ้าไม่ดีก็ให้เปลี่ยนเสีย ทำสิ่งใหม่ ก็แค่นั้นเอง
ขอให้นึกเสมอว่า เวลาทำอะไรให้ทำเต็มที่ ตัดสินใจแล้วลงมือทำเต็มกำลัง
ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นเพราะทำเต็มที่แล้ว ให้ถือว่า เก่งมากและดีมากแล้ว
ส่วนผลที่ออกมาเราควบคุมไม่ได้หรอก ปล่อยไปตามธรรมชาติเถิด
ไม่เป็นไรหรอก ผลเป็นอย่างไรก็ให้ยอมรัรบ แต่ไม่ใช่ความผิดของเรา
ถ้าคิดอย่างนี้ เราจะเกิดกำลังใจ เกิดความมั่นใจ
และมีความกล้าที่จะลงมือทำในสิ่งที่ควรทำตลอดไป

5. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทั้งกับคนที่ดีกว่าหรือกับคนที่ด้อยกว่า
เพราะถ้าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบ่อยๆ คุณจะไม่รักตัวเองในที่สุด
หรือมีพฤติกรรมไม่น่ารักตามมามากขึ้น
ถ้าคุณเปรียบตัวเองกับคนที่ด้อยกว่า คุณอาจจะเหยียดเขา
คุณอาจจะหยิ่งหรือหลงตัวเองได้ง่ายๆ ไม่น่ารักหรอก
หรือบางคนก็มัวแต่สงสารคนอื่นจนตัวเองหมดความสุข
บางครั้งคุณอาจแสดงออกคล้ายคนมั่นใจในตัวเองสูงมาก
แต่ที่จริงเป็นเพียงพฤติกรรมของคนที่ยังขาดความมั่นใจลึกๆในจิตใต้สำนึกอยู่

บางครั้งอาจทำลายความมั่นใจในตัวเองของผู้อื่น
ไปด้วยโดยที่ตัวคุณเองก็ไม่รู้ตัว
ถ้าคุณเปรียบตัวเองกับคนที่เด่นกว่า คุณอาจจะอิจฉาเขา
หรือมัวคิดชิงดีชิงเด่นกับเขาจนไม่จิตใจไม่สงบสุข
หรือคุณอาจรู้สึกดูถูกตัวเองหรือรู้สึกต่ำต้อยจนกลายเป็นปมด้อยไป
จงเปลี่ยนจากการเปรียบเทียบ
ให้เป็นการยอมรับจะดีกว่า เช่น
ถ้าเราดีกว่าหรือทำอะไรได้ดีกว่าหรือมีคุณสมบัติที่เด่นกว่าคนอื่น
ก็ให้ยอมรับ และมีจิตเมตตาต่อคนอื่น อยากช่วยเขา ฉุดดึงเขามากขึ้น
ทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ใช่ต้องทำให้ได้ไปทั้งหมด
เพราะนั่นจะทำให้เกิดทุกข์ได้อีก
แต่ถ้าคนอื่นเขาดีกว่าเรา เด่นกว่าเรา ก็ให้ยอมรับอีก
ให้รู้สึกยินดีกับเขาหรือจะเลียนแบบอย่างที่ดีๆ
จากเขามาบ้างก็ได้
จะทำให้ได้ทั้งมิตรภาพและความเจริญรุ่งเรืองกับตัวเองมากขึ้น
รู้จักเมตตาคนที่ด้อยกว่าและยอมรับยินดีกับคนที่เด่นกว่า
จะทำให้ไม่หลงตัวและไม่เกิดปมด้อยในจิตใต้สำนึก
สังคมจะน่าอยู่ ผู้คนจะน่ารักต่อกันมากขึ้น
ช่วยกันสานฝัน ช่วยฉุดดึง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
คิดและทำแต่สิ่งที่สร้างสรรค์ให้มากขึ้นเถิด
เราจะได้อยู่กันอย่างสันติสุข
ในกลุ่มคนที่พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งๆขึ้น
สรุปมาจากบทความของ...ศ.ดร.นพ. วิทยา นาควัชระ