Custom Search

Mar 28, 2008

นิติพงษ์ ห่อนาค มนุษย์บ้าน งานเพราะ(ขึ้น)

อรการ กาคำ
กรุงเทพธุรกิจ
27 ธันวาคม พ.ศ. 2550
โลกใบปัจจุบัน ใบที่มีใยแมงมุมโยงถึงกันหมด ช่วยให้ใครหลายคนงานได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ...เพียงเพราะไม่ต้องเดินทางหรือไปนั่งจับเจ่าอยู่ในออฟฟิศค่อนวัน
นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงและผู้บริหารจากค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เป็นอีกหนึ่งคนที่พิสูจน์แล้วว่า การทำงานแบบอยู่กับที่ 'เวิร์ค' กว่าเป็นไหนๆ เมื่อเทียบกับการขับรถเข้าเมืองสมัยก่อน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์์์์ : "ที่มาที่ไป คือ อยู่มาวันหนึ่งเป็นนักแต่งเพลง และอยู่มาอีกวันหนึ่ง ต้องไปสวมหมวกเป็นผู้บริหาร อะไรก็ไม่รู้ ถามว่าทำได้ไหม มันก็ทำได้ ถามว่าชอบไหม มันก็ไม่ใช่นิสัย แต่เพราะไม่มีทางเลือก มาตามสายเป็นพี่เขา ต้องดูแลเขา ดูแลคนทำงาน แต่ก็ทำได้ จนผ่านไปเกือบ 10 ปี พายุมันแรงขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มไม่สนุกขึ้นเรื่อยๆ งานแบบนี้มันต้องใช้นักรบ เราก็เลยไม่รบ ขอเป็นนักแต่งเพลง และก็เป็น 'บอร์ดใบ้' อะไรสักอย่าง ทุกฝ่ายก็เห็นด้วยว่าอย่าใช้รถผิดประเภท รถบรรทุกก็บรรทุกไป รถจักรยานก็ให้มันขี่ขึ้นภูเขาไป"
คุณพ่อลูกหนึ่งเปรียบตัวเองว่าเป็นรถตุ๊กตุ๊ก ถนัดวิ่งระยะใกล้
อีกเหตุผลหนึ่งคือ พฤติกรรมการเสพเพลงที่เปลี่ยนไปเป็นการดาวน์โหลด นิยมของถูกและเถื่อน เจ้าตัวจึงขอยอมแพ้ แล้วส่งไม้ต่อไปให้นักรบเลือดใหม่ที่พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลง
"เรื่องการตลาดเราอาจจะล้าสมัย แต่เรื่องแต่งเพลงเรายังไม่ล้าสมัย เพราะว่าเราก็ยังเล่นไฮไฟว์อยู่ เลยต้องมานั่งทำงานอยู่ที่บ้าน"
ตอนนี้ นักแต่งเพลงผิวเข้ม เข้าออฟฟิศเดือนละ 4-5 วัน ตามหมายประชุมสำคัญๆ
พูดได้ว่า ตอนนี้นิติพงษ์ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากกว่าที่ทำงาน ขณะที่งานแต่งเพลงก็ยังเดินหน้าไปเรื่อยๆ

"เป็นความลงตัวพอดี ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ประมาณ 6-7 ปีแล้ว ได้อยู่คุ้ม เพราะว่ามันแพง (หัวเราะ) อ้าว! ก็คนอื่นเขาอยู่บ้านใหญ่ บ้านโต ไม่รู้กี่สิบล้าน ถามว่าเขาได้อยู่บ้านบ้างหรือเปล่า จริงๆ แล้วผมว่าชีวิตแบบนี้เป็นแนวโน้มใหม่ ซึ่งควรจะทำได้แล้ว เพราะตอนนี้อเมริกา ญี่ปุ่น ประเทศที่แข็งแรงทางด้านเศรษฐกิจ ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการทำงานบางอย่าง"
เขายกตัวอย่างความสะดวกต่างๆ นานา ทั้งโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ที่ลดความจำเป็นในการเดินทาง แต่ถ้าจำเป็นต้องไปเจอหน้า รักษาความรู้สึกกันจริงๆ ...

"ตอนนี้ก็มีอยู่แล้ว ดูผ่านจอก็ได้ (เวบแคม) ผมก็พยายามบอกเพื่อนร่วมงานว่าเรามาเปลี่ยนพฤติกรรมกันไหม อยู่ตึก นอกจากจะเสียค่าพื้นที่ ค่าไฟ แล้ว ในเนื้องานที่สถานที่ไม่จำเป็นเท่าโทรศัพท์มือถือ จะไปเสียค่าน้ำมันกันอีกทำไม"

หากไม่เอาระยะทางเป็นตัวตั้ง เขาบอกว่าจะไปตั้งออฟฟิศส่วนตัวที่ไหนก็ได้ ขอแค่ใช้การสื่อสารให้เป็น
"ถ้าเราใช้การสื่อสารให้เป็นประโยชน์ เราอยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ ไม่ต้องซื้อที่ดินแพงมาก ไม่ต้องใช้เวลาเดินทางมาก มีเวลาเหลือ ได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกกับเมีย เนื้องานก็จะเป็นงานเพียวๆ แล้ว จะไม่มีปัจจัยอื่นอีกแล้ว เพราะจริงๆ แล้ว ความเครียดอาจจะไม่ได้มาจากเรื่องงานเพียงอย่างเดียว งานอาจจะมีแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ รถติดอีก 10 เปอร์เซ็นต์ อื่นๆ อีกเยอะแยะ แต่ถ้าทำงานอยู่กับบ้านได้ ปัจจัยเหล่านี้จะถูกตัดออกไปหมด ถ้าจะเครียดก็เครียดเรื่องงานอย่างเดียว"

วัตถุดิบจากโลกเสมือน
เจ้าตัวบอกว่าเป็นความโชคดีที่สามารถเลือกชีวิตแบบนี้มาได้ 4 ปีแล้ว และปัจจุบันนิติพงษ์ได้มีเวลาใกล้ชิดอยู่กับภรรยาและลูก ซึ่งเรียนอยู่ใกล้บ้าน


"อยู่บ้านมากกว่าลูกอีก (หัวเราะ) ลูกยังมีคิวเยอะกว่าเราเลย กลายเป็นพ่อแม่ขาดความอบอุ่นเพราะเด็กสมัยใหม่ต้องเรียน ทั้งภาษาจีน ภาษาไทย บัลเล่ต์ อาร์ต เปียโน ฯลฯ ตอนนี้ 6 ขวบแล้ว บางทีเราต้องห้ามให้หยุด หรือบอกว่ากินข้าวก่อนลูก"

ในบ้านหลังใหญ่ 'ดี้' นิติพงษ์มีเทคโนโลยีครบมือ ทั้งไฮไฟว์และเอ็มเอสเอ็น ซึ่งนอกจากจะใช้พูดคุยเป็นพื้นฐาน ยังเป็นแหล่ง 'วัตถุดิบ' เขียนเพลงได้โดยไม่ต้องออกไปหาแรงบันดาลใจนอกสถานที่อย่างแต่ก่อน

"ไม่จำเป็นจะต้องไปปาร์ตี้ที่อาร์ซีเอ หรือไปดื่มเหล้าในผับ ก็อยู่ในบ้านนี่แหละ อยากกินเหล้าก็เปิดเบียร์กระป๋องหนึ่ง แล้วออนไลน์ ก็มีคนคุยแล้ว อยากฟังเพลงก็เปิด อยากจะคุยแบบไหน แบบพิมพ์หรือแบบพูด แบบเห็นหน้าด้วยหรือเปล่า มีทุกอย่าง ว่าไปแล้ว การคุยแบบแชท มีสมาธิมากกว่าคุยกันต่อหน้าด้วยซ้ำ เพราะเวลาพูดเราก็พูด แต่การพิมพ์จะมีการกลั่นกรองพอสมควร โดยเฉพาะบางคนเจอหน้าไม่คุยกัน แต่พอได้เอ็มเอสเอ็น คุยกันรู้เรื่องขึ้น แปลกนะ ไม่รู้ว่ามันมีเสน่ห์อะไร"

นอกจากนี้ ข้อดีของการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ยังมีอีก เช่น ไม่ต้องกังวลว่าจดหมายจะถึงช้า สูญหายระหว่างทาง ไม่ถึงมือผู้รับ แถมไม่ต้องเสียค่าซองกันกระแทกอีกต่างหาก

"ไม่มีวันหายเพราะมันอยู่ในเมลบ็อกซ์ ความจริงทุกอย่างสะดวกเกินความต้องการด้วยซ้ำ แต่ว่าเราก็ยังขับรถไปที่ตึก เพียงเพื่อจะตอกบัตร แล้วนั่งทำงานไม่กี่ชั่วโมง นั่นหมายความว่า เรายังตามเทคโนโลยีไม่ทัน เพราะการทำงานเราต้องเอาผลงาน ไม่ใช่เอาเวลา แต่โลกนี้เกินกว่าครึ่งมันยังทำงานด้วยเวลาอยู่ไง เข้างานแปดโมงครึ่ง เลิกห้าโมงเย็น ถ้าทำงานเกินนี้ก็รับโอทีไป ซึ่งมันน่าจะหมดสมัยไปเร็วๆ นี้"
เขาย้ำว่า การทำงานควรดูที่ผลงาน อย่าไปขึ้นตรงต่อเข็มนาฬิกามากเกินไป
ถ้ามนุษย์งานสามารถอยู่บ้านกับครอบครัว จัดแจงเวลาเข้า-ออกงานเองได้ แถมเจียดชีวิตบางส่วนไปอยู่กับครอบครัว โดยหนีบงานไปทำเมื่อสบโอกาสเหมาะ ...นี่น่าจะเป็นชีวิตที่ดีในความคิดของนักแต่งเพลงรัก

"เราก็จะได้ประหยัดชีวิตไปเกินกว่าครึ่ง กับเรื่องที่ไม่จำเป็น มีเวลาได้อยู่กับลูกเมีย งานก็ทำได้ครบถ้วน ดีด้วย มีสมาธิด้วย และมีเวลาส่วนตัวเมื่อไหร่ก็ได้ ผมถึงบอกว่า work at home นี่มันดีจริงๆ ก่อนแต่งงานเราเป็นคนเที่ยวทุกคืน ถึงเวลานี้เดาถูกหมดเลยว่าอะไรเป็นยังไงบ้าง เที่ยวกลางคืนก็ไม่มีอะไร แค่ผู้หญิงแต่งตัวไปให้ผู้ชายดู ผู้ชายก็ไปดูผู้หญิงสวยๆ ไม่ได้แตกต่างกันเลย เราก็จะกลายเป็นคนแก่ ไม่ออกจากบ้านไปเที่ยวไหน แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็คุยกับเด็กรู้เรื่อง รู้ว่ายุคสมัยนี้เป็นอย่างไร และในแง่ของการทำงาน ถ้าใครต้องการเจอตัวข้าพเจ้าก็จงมาหาข้าพเจ้าที่บ้าน อย่างมาสัมภาษณ์ บางคนบอกว่าเจอกันที่แกรมมี่ได้หรือเปล่า เราก็ถามว่าสะดวกใครล่ะ ถ้าเจอกันที่แกรมมี่ เธอก็ต้องเดินทางไป เราก็ต้องเดินทางไป เปลืองค่าน้ำมันทั้งคู่ เธอเปลี่ยนจากเดินทางไปแกรมมี่มาที่บ้านพี่ดีกว่าไหม"

3 ปี ที่ผ่านมา 'ดี้' นิติพงษ์ มีเวลาอยู่บ้านประมาณ 97 เปอร์เซ็นต์ เพราะในรั้วหมู่บ้านมีครบทุกอย่างทั้งโรงเรียน ฟิตเนส สนามกีฬา สระว่ายน้ำ ฯลฯ ขาดอย่างเดียวคือ โรงภาพยนตร์ แต่ครอบครัวห่อนาคก็ไม่ได้ตึงถึงขนาดออกจากบ้านไม่ได้ หากเรื่องนั้นอยากดูจริงๆ ก็ขับรถไปซื้อตั๋วได้ เช่นเดียวกันกับกิจธุระสำคัญๆ เช่น งานสังคม งานแต่งงาน หรืองานศพ

"พูดถึงงานศพเดี๋ยวนี้ฝรั่งยังจัดทางอินเทอร์เน็ตเลย ลงชื่อ ส่งดอกไม้ ....คุณมีญาติอยู่ทั่วโลกก็ไม่ต้องลำบากเดินทางมา แต่เรายังต้องเดินทางไปงานศพอยู่ เพราะงานศพเขาไม่มาบ้านเรา (หัวเราะ) จะกินของอร่อยๆ ก็ให้มอเตอร์ไซค์ไปซื้อมากินที่บ้าน อยู่บ้านใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นไม่ใส่รองเท้า"
ทุกวันนี้ หลายๆ คืนบ้านหลังนี้ก็จะมีเพื่อนมาปาร์ตี้ ข้อดีอีกอย่างคือ ถ้าเจ้าของบ้านง่วงก็ขึ้นบ้านนอนได้เลย
ปัจจุบัน work at home น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่เลือกได้ แต่สำหรับคนที่เลือกไม่ได้ ประเด็นสำคัญกว่าอยู่ที่ 'การจัดการ' ให้งานสอดคล้องกับชีวิตและผลิตให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะสำหรับบางคน บ้าน คือ 'วิมาน' ที่ไม่ต้องการให้งานเข้ามาเกี่ยวข้อง

Mar 27, 2008

บทสัมภาษณ์ พี่ดี้ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖


ตัวโน้ตอารมณ์ดี...นิติพงษ์ ห่อนาค

ทชา

สกุลไทย

ฉบับที่ 2561 ปีที่ 50 ประจำวัน อังคาร ที่ 18 พฤศจิกายน 2546

http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=2518&stissueid=2561&stcolcatid=1&stauthorid=189

บนชั้น ๒๑ ของอาคาร GMM แกรมมี่เพลสในช่วงบ่ายแก่ๆ เรามีนัดพูดคุยกับกรรมการผู้จัดการบริษัทแกรมมี่ แกรนด์ จำกัด ในเครือบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) คนหนึ่ง เห็นชื่อตำแหน่งแล้ว หลายคนอาจคิดว่า บทสนทนาคงเต็มไปด้วยเรื่องราวธุรกิจหนักๆ ดูจริงจังเข้าขั้นซีเรียส แต่ถ้าบอกชื่อ ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค ก็แทบจะลบภาพนักธุรกิจผู้เคร่งขรึม ไว้ตัว เกือบไม่ทันแล้วรีบนึกถึงนักแต่งเพลง (ในมาดนักธุรกิจ) อารมณ์ดีผู้มีมุมมองความคิดเฉพาะตัวขึ้นมาอย่างแน่นอน
เขาเริ่มต้นเล่าถึงหน้าที่และความรับผิดชอบ ก่อนเปิดม่านประวัติชวิตให้ชมกันสั้นๆ
“ผมเกิดที่จังหวัดลพบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ พ่อเคยเป็นครู แม่มีอาชีพค้าขาย มีพี่น้อง ๘ คน ตัวเองเป็นคนสุดท้าย จบ ม.๖ ปุ๊บก็เข้ามาเรียนที่คณะสถาปัตย์ฯ ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง เรียนอยู่ ๑ ปี ก็เอ็นทร้านซ์ใหม่เข้าคณะสถาปัตย์ฯ จุฬาฯ
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๑ เรียนจบปี พ.ศ.๒๕๒๗ กี่ปีไปนับเอา ระหว่างเรียนปี ๒-๓ ก็ทำงานไปด้วย ตอนนั้นใครให้ทำอะไรก็ทำหมด ช่วงปี ๓-๔ ก็มาตั้งวงเฉลียง แล้วก็ไปทำงานเขียนเพลงให้แกรมมี่ด้วย แต่ว่ายังไม่ได้เข้ามามากเท่าไร จนปี พ.ศ.๒๕๒๗-๒๘ จึงเข้ามาทำเต็มตัว ถึงวันนี้ก็เกือบๆ ๒๐ ปีแล้วครับ”

อดีตสมาชิกวงเฉลียงคนนี้บอกว่า ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาทำงานตรงนี้ด้วยซ้ำ แต่อาศัยความที่เป็นคนรักเสียงเพลงเป็นทุนเดิม ประกอบกับอุปนิสัยที่ไม่เกี่ยงงานเพราะในเวลานั้นฐานะไม่ได้ร่ำรวย อีกทั้งชอบเปิดเผยตัวเอง จึงมีเพื่อนพ้องน้องพี่ชักชวนพาไปทำงานอยู่เสมอ จนกระทั่งทุกวันนี้ที่ชั่วโมงบินสูงมากพอ และประสบความสำเร็จจากหลายบทเพลงอันไพเราะ คำว่า “นักแต่งเพลง” จึงเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์เด่นประทับบนตัวเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“แม้ว่าผมจะดูแลธุรกิจเพลงในเครือแกรมมี่ แกรนด์ ยีราฟ เรคคอร์ด แล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังแต่งเพลงอยู่ครับ เพราะในความคิดผม คนที่โตๆไปแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีเวลาว่างและความจริงแล้วมันควรจะมีเวลาว่างมากขึ้นด้วยซ้ำ เพื่อที่เราจะได้ดูภาพรวมอะไรหลายอย่าง ขณะเดียวกัน เราก็ต้องแบ่งเวลาให้ถูก ไม่ใช่ไปลงรายละเอียดทุกอันในขณะที่งานมีเข้ามาเยอะ”
หลายบทเพลงที่เขาแต่ง แทบจะเป็นที่รู้จักของคอดนตรีและโด่งดังจนสามารถร้องได้ทั่วทุกหัวระแหง แสดงว่าต้องมีกลเม็ดเคล็ดลับด้วยแน่นอน...

“จริงๆแล้วผมก็ไม่รู้หรอกนะว่า เพราะอะไรที่ทำให้เพลงดัง แต่ก่อนอื่นเลยคือ จะแต่งเพลงให้ตัวเองชอบก่อน แล้วบางเพลงก็เผอิญว่ามีคนเห็นดีเห็นงามไปกับเราด้วย พอฟังกันหลายคนเข้าทำให้รู้ว่า เราก็มีรสนิยมและสามัญสำนึกต่อเรื่องราวเหมือนกับคนจำนวนมากนั้น ฉะนั้น วิธีการเขียนเพลงจึงเขียนตามที่เกิดขึ้นจริงอย่างตรงไปตรงมามาก ไม่ได้มีชั้นเชิงหรือภาษาสละสลวยสวยเก๋ บางครั้งก็ใช้วิธีอ้อมค้อมด้วย เพราะเวลาคนเราพูดความจริงก็จำเป็นต้องอ้อมค้อม ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆสรุปแล้ว เขียนแล้วก็คิดไปด้วยว่าคนส่วนใหญ่จะแสดงปฏิกิริยาอย่างไร เดาเอาจนถึงทุกวันนี้ล่ะครับ”
เดาเรื่อยมาจนประสบความสำเร็จมากมายอย่างนี้ น่าจะมีนักแต่งเพลงต้นแบบในใจแน่ๆ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่า จะใช้วิธีครูพักลักจำจากครูเพลงรุ่นก่อนมากกว่า ทั้งไทยและสากลคืออาจจะไม่ได้รู้จักทุกท่าน แต่ก็คิดตามผลงานไม่ขาดตอน ฟังแล้วก็อยากทราบว่าใครเป็นคนแต่ง ทำให้เรารู้สึกประทับใจและชอบทุกท่านรวมๆกันไป เลยบอกไม่ได้ว่ามีใครเป็นต้นแบบ เพราะมีมากมายเหลือเกิน
นอกจากนี้ ถ้าพูดถึงแนวเพลงที่ถนัดแล้ว คุณดี้ก็ปฏิเสธอีกเช่นกัน พร้อมทั้งบอกว่า ขอให้บอกมาเท่านั้น เขาสามารถแต่งได้ทุกแนวไม่จำกัด ยกเว้นเรื่องการทำซ้ำ ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะทำทันที เพราะเมื่อใดที่คิดแล้วว่ามันซ้ำกับของตัวเองหรือคนอื่น จะเริ่มรู้สึกไม่ชอบขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าเพลงนั้นจะดังติดอันดับหรือไม่ก็ตาม แต่ตัวเองก็จะชอบอยู่คนเดียวได้ไม่เดือดร้อนอะไร
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน สภาพในแวดวงอาชีพต่างๆ มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอตามกระแสสังคมที่ผลัดเปลี่ยนไปไม่สิ้นสุด อาชีพนักแต่งเพลงก็เช่นกัน ตรงนี้คุณดี้เล่าให้ฟังว่า
“นักแต่งเพลงรุ่นก่อนๆนี่ ระบบธุรกิจจะไม่เป็นธุรกิจจ๋าเหมือนตอนนี้ แต่จะเป็นระบบเถ้าแก่แบบไม่ชัดเจน คือ มีการแบ่งสรรผลประโยชน์อะไรไม่ค่อยชัดเท่าไร เขาก็เลยมีความเป็นอยู่สมควรแก่ฐานะ พูดง่ายๆก็คือ ไม่ค่อยมีเงินใช้นั่นแหล่ะ ทั้งๆที่เพลงก็อมตะดังคับฟ้า จนมาถึงรุ่นผม มันเกิดมิติใหม่ที่เป็นธุรกิจมากขึ้น ซึ่งบางคนก็ทำท่าแบบ อู๊ย ศิลปะเป็นธุรกิจไม่ได้หรอก (เสียงสูง) มันน่าเกลียด แต่จริงๆแล้ว การทำทุกย่างให้เป็นธุรกิจคือความถูกต้อง ตรงไปตรงมา มีการจัดสรรประโยชน์อย่างลงตัวและเท่าเทียม ผมเลยเป็นนักแต่งเพลงรุ่นแรกที่เรียกว่าค่อนข้างจะมีชีวิตที่ดี ได้ผลตอบแทนที่สมควรแก่ฐานะเวลาแต่งเพลงออกแล้วคนชอบกันมากมาย ขณะเดียวกัน ในส่วนผู้บริโภคหรือคนฟังก็มีการเปลี่ยนแปลง คนรุ่นใหม่ๆก็มีชีวิตที่แตกต่างไปจาก ๑๐ ปีที่แล้ว เมื่อก่อนกว่าจะเปลี่ยนใช้เวลาเป็นสิบๆปี แต่ตอนนี้เวลามันหดเข้ามาเหลือไม่กี่วัน ความรวดเร็วของการดำเนินชีวิต การปฏิวัติอุตสาหกรรม สื่อสารสนเทศ อินเทอร์เนต ชีวิตคนรุ่นใหม่เขามีตัวเลือกเยอะ ทำให้พวกเขามีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆสั้นลง สนใจอยู่แป๊บเดียว อ้าว เลิกแล้ว ซึ่งจะไปว่าเขาก็ไม่ได้นะ เพราะมันเป็นธรรมชาติของสังคมและไม่น่าจะยุติธรรมกับเขา”

ด้วยเหตุนี้เอง ในทัศนะของเขาแล้ว นักแต่งเพลงในปัจจุบันจึงต้องมีการปรับตัวไปตามสังคมสภาพแวดล้อมนั้นๆ นอกเหนือจากคิดสรรคำให้เขากับจังหวะเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้นักแต่งเพลงสามารถอยู่ได้ในทุกยุคทุกสมัย

“ชีวิตคนฟังสมัยก่อนจะมีเวลามาก สามารถละเลียดเพลงได้ มีภาษาสวยๆเป็นบทกวีก็มี แต่ตกมาถึงคนรุ่นใหม่ โอกาสที่จะทำให้เพลงละเอียด ละเมียดละไมแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคนรับสารสมัยนี้เขามีรูปแบบชีวิตที่เน้นรูปแบบมากกว่าเนื้อหา อีกทั้งสังคมก้าวไปเร็วกว่าเดิม เดี๋ยวนี้เพลงไม่ใช่สิ่งรื่นเริงบันเทิงใจอย่างเดียวแล้ว เขามีแช็ทให้เล่น มีริงโทนให้ต้องเปลี่ยน มีโทรศัพท์มือถือไว้คอยส่งข้อความ ตรงนี้มองอีกแง่หนึ่ง นี่คือโอกาสที่นักแต่งเพลงจะสามารถทำสิ่งที่แตกต่างหรือแปลกใหม่ได้ โดยไม่ต้องมาคอยถามว่า ทำอย่างนี้ถูกหรือผิด แล้วมันจะขายออกหรือเปล่า ถ้าอยากแต่งเพลงก็แต่งในสิ่งที่คิดและชอบเลย ถ้าให้ดีก็อย่าไปทำซ้ำ คนเราควรจะชอบอะไรที่มีเอกลักษณ์บ้าง นอกจากนี้ ถ้าจะทำเพลงอย่างเป็นอาชีพแล้ว ต้องตามใจคนฟัง ต้องรู้ว่าตลาดเขาต้องการอะไร ต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามพฤติกรรมสังคมและผู้คน เพราะถ้าแต่งแบบตามใจตัวเองแล้ว โอ.เค. คุณก็สามารถทำได้ แต่ถ้าถามว่าอยู่ได้ไหม ตอบเลยว่า ไม่ได้หรอก นอกเสียจากจะเป็นลูกคนรวยหรือไม่ก็ทำอาชีพอื่นแล้วเขียนเพลงเป็นงานอดิเรก”
พูดถึงการเขียนเพลงแล้ว ทำให้นึกถึงผลงานเขียนหนังสือของเขาขึ้นมา ซึ่งคุณดี้บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเขียนหนังสือที่ดีเท่าไร เพราะคนเขียนที่ดีต้องมีเวลาและสมาธิมาก อ่านหนังสือและมีข้อมูลเสมอ แต่ด้วยภารกิจหลายอย่างในชีวิตประจำวัน ทำให้เขาห่างจากการนั่งอ่านหรือเขียนหนังสือไปโดยปริยาย ได้แต่เป็นแขกรับเชิญมากกว่า เช่น เขียนคอลัมน์ลงในนิตยสารอิมเมจ และรวมเล่มใช้ชื่อหน้าปกว่า D Type เป็นบทความถาม-ตอบจดหมายที่ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่เขียนเข้ามาถามถึงความคิดเห็น ปัญหา การใช้ชีวิต เขาจะเป็นทั้งผู้รับฟังและผู้เสนอแนะ เรียกว่า เขียนไปก็เตือนสติตัวเองและคนอ่านอื่นๆไปพร้อมกัน ต่อมา เปลี่ยนจากหนังสือเป็นอินเทอร์เนต ได้รับเชิญให้ไปเขียนตอบคำถามเรื่องราวของการแต่งเพลงในเว็บไซต์ www.eotoday.com อยู่มาวันหนึ่ง คุณมนทิรา จูฑะพุทธิ บรรณาธิการนำมารวมเล่มไสกาวออกมาเป็นหนังสือชื่อ เติมคำในทำนอง
“หลักการเขียนเพลงและหนังสือใกล้เคียงกันมาก คือ ต้องรู้ว่าเขียนเพื่ออะไร ถึงอะไร เราเขียนแล้วคนอ่านรู้เรื่องหรือไม่ ประทับใจหรือเปล่า มีต้น กลาง ปลาย เบาหนัก แต่ธรรมชาติของการเขียนเพลงและหนังสือก็จะแตกต่างกัน เพลงนี่เราจะเขียนยังไงใน ๘ บรรทัด ให้คนประทับใจได้ สำหรับผม การเขียนหนังสือจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะส่วนใหญ่จะชินกับงานเขียนเพลงสั้นๆ ไม่กี่บรรทัดมากกว่า เขียนยาวๆก็นึกไม่ออก แล้วก็ไม่เคยคาดหวังอะไรเลย จนเพื่อนบ่นว่า ทำไมชอบปลงนักวะ เวลาทำงานอะไรออกมาที ก็จะปรึกษาคนที่บ้าน ถ้าพวกเขาชอบ เราก็แค่นั้นล่ะ ถ้าขายดี เราก็ เออ ดีเว้ย เท่า ขายไม่ดีก็ เออ ก็ไม่ได้เป็นนักเขียนนี่หว่า เขาไม่ซื้อน่ะถูกแล้ว อย่างไรก็ตามทุกผลงานที่ทำนั้นใส่ความตั้งใจไว้เต็มที่เสมอ”

ทำหน้าที่มาแล้วหลายตำแหน่ง จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้รับบทบาท “พ่อ” ของ เด็กหญิงเพียงออ (ตังเม) ห่อนาค ถึงวันนี้ก็ล่วงเข้าสู่ปีที่ ๒ แล้ว คุณดี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?
“พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าชมลูกตัวเอง (ยิ้ม) พ่อแม่คงเป็นอย่างนี้กันทุกคนนะ คือ รู้สึกว่าลูกตัวเองเก่ง น่ารัก และฉลาดกว่าคนอื่นจัง อย่างดูทีวีเสร็จก็บอกเลยว่า จบแล้ว รีโมทอยู่ไหน เราก็เฮ้ย นี่มันไม่ใช่เด็กเล็กๆพูดแล้วนี่ หรือร้องเพลงชาติได้ระดับเสียงคีย์เดียวกับในโทรทัศน์ เราก็ปลื้มซะ เป็นเด็กที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย ถึก (หัวเราะ) เจอคนก็ไม่กลัว”

แววตาและน้ำเสียงยามพูดถึงน้องตังเม ทำให้เรารู้สึกสัมผัสได้ถึงความรักผูกพัน ความอบอุ่นอย่างใกล้ชิดระหว่างพ่อ-ลูกคู่นี้ เราเลยถามต่อว่า แล้ววางแผนอนาคตให้กับลูกสาวอย่างไรบ้างหรือไม่

“เคยคุยกับแฟน (คุณรุ่งฤดี ห่อนาค) นะว่า จริงๆแล้ว เขาอาศัยท้องเรามาเกิดช่วงหนึ่ง เราช่วยทำให้เขาดูแลตัวเองให้ดีที่สุด หลังจากนั้นสัก ๑๐ กว่าขวบ ชีวิตก็จะเป็นของเขาแล้ว ถ้าว่ากันตามกฎหมายก็คือ หลังอายุ ๒๐ ปีไปแล้ว เขาจะกลายเป็นคนของเพื่อน ของแฟน ของครอบครัวที่แต่งงานไป เราก็เป็นได้แค่ที่ปรึกษาหรือตัวประกอบในชีวิตเขา เพราะฉะนั้น การชี้นำจะไม่อยู่ในหัวเลย เพียงแต่อยากให้เขามีโอกาสได้เลือกในสิ่งที่ให้เลือกให้มากที่สุด แล้วเขาจะเลือกอะไรก็เรื่องของเขา น้องตังเมถือว่าโชคดีกว่ารุ่นผมหรือแฟนผมอีก เพราะเขามีโอกาสในการเลือกมากกว่า เรียกว่ามีทุกอย่างให้เขาได้เลย ซึ่งถ้าถามว่า จะให้เขาลำบากเหมือนเราตอนเด็กได้หรือเปล่า มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งๆที่บางครั้งก็อยากให้เขาได้เรียนรู้ความลำบากของชีวิตบ้าง เพื่ออนาคตของเขาเอง ถึงบอกว่าเขาอยากทำอะไรก็ให้ทำเลย ถ้าสร้างสรรค์ก็จะสนับสนุน แต่ก็ไม่ใช่สปอยล์ไปเรื่อย”
ก่อนจากกัน เราแอบถามถึงเพื่อนๆในวงเฉลียงว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ตอนนี้ยังเจอหน้ากันอยู่เสมอ เพราะเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว เราเลยได้ใจ ถามต่อไปถึงความเป็นไปได้ในการรวมตัวแสดงของวงเฉลียงอีกครั้ง และคำตอบที่ได้รับคือ

“พอแล้วครับ เพราะผมคิดว่ามันเลยจากความสนุกไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเหนื่อยหรอก ทำงานทุกอย่างก็ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา แต่บางอย่างมันควรจบก็จบ แล้วจะสวยงาม ถ้าไม่จบแล้วยื้อต่อไป คงไม่มีประโยชน์อะไร สู้ไปนั่งคิดเล่นและเก็บไว้ในความทรงจำจะดีกว่า (ยิ้ม)”
เอาเป็นว่า ใครอยากเห็นวงเฉลียงขึ้นเวที งานนี้คงต้องอาศัยคำภาวนาอย่างเดียวแน่นอน
นานร่วมชั่วโมงกว่าการสนทนาจะจบ แต่ก็เป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่ทำให้เราทราบว่า ถึงตอนนี้เส้นทางของเขาได้เดินมาถึงจุดของความสำเร็จทั้งการงานและครอบครัวอย่างน่าพอใจ สำหรับมนุษย์คนหนึ่ง ชีวิตต่อจากนี้ของผู้ชายอารมณ์ดีคนนี้ ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค จึงถือว่าคุ้มค่าและได้กำไรมากเกินกว่าที่คาดหวังไว้...

Mar 25, 2008

โชคมนุษย์

พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ

โชคมนุษย์

บทกวีของหลวงวิจิตรวาทการ
จากหนังสือ ชีวิตงาม


โลกมนุษย์ นี้ไม่มี ที่แน่นอน
ประเดี๋ยวเย็น ประเดี๋ยวร้อน ช่างแปรผัน

โชคหมุนเวียน เปลี่ยนไป ได้ทุกวัน
สารพัน หาอะไร ไม่ยั่งยืน

ชีวิตเหมือน เรือน้อย ล่องลอยอยู่
ต้องต่อสู้ แรงลม ประสมคลื่น

ต้องทนทาน หวานสู้อม ขมสู้กลืน
ต้องจำฝืน สู้ภัย ไปทุกวัน

เป็นการง่าย ยิ้มได้ ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่น เหมือนบรรเลง เพลงสวรรค์

แต่คนที่ ควรชม นิยมกัน
ต้องใจมั่น ยิ้มได้ เมื่อภัยมา











คิดแง่บวก คิดแบบผู้ชนะ

ที่มา มติชน

เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรมในวิกฤตย่อมมีโอกาส

เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจองานหนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด

เวลาเจอวิกฤต
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรมในวิกฤตย่อมมีโอกาส

เวลาเจอความจน
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์







Mar 23, 2008

ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จับมือ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรจัดประกวดถ่ายภาพและวาดเส้นสถาปัตยกรรมคลาสสิคในเมืองไทย 2550


July 20, 2007

นายสุรัตน์ชัย กึงฮะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด
พร้อมด้วย ว่าที่ รศ.นพพร วิวรรธกะ อาจารย์ประจำภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน
และ อ.เอกพงษ์ ตรีตรง หัวหน้าภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน
คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกันแถลงข่าวการจัดโครงการ
“ประกวดถ่ายภาพและวาดเส้นสถาปัตยกรรมคลาสสิคในเมืองไทย 2550”
มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์สถาปัตยกรรมแนวคลาสสิคไทยให้คงอยู่ในสังคมไทยแบบยั่งยืน
และเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป นิสิต นักศึกษา
ได้มีเวทีแสดงความสามารถแสดงฝีมือในการถ่ายภาพและวาดรูป ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น เมื่อเร็ว ๆนี้


หลักนักบริหารอนาคต (แนะใช้ กาลามสูตร)
หลักการบริหาร
1. การวางแผน (Planning)
เป็นหน้าที่ของผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการเลือกภารกิจ (Mission)
วัตถุประสงค์ (Objective) และการปฏิบัติ (Actions)
และพยายามให้บรรลุผลสำเร็จซึ่งต้องอาศัยการตัดสินใจและการเลือกแผนการในอนาคต
2. การจัดองค์การ (Organizing) เป็นการกำหนดโครงสร้างบทบาทของบุคคลเพื่อให้ทำงานในองค์การ
3. การสั่งการ หรือการนำ (Directing) เป็นการที่ผู้นำมีอิทธิพลต่อบุคคลเพื่อให้เขาทำประโยชน์แก่องค์การ
มีภาวะเป็นผู้นำ สามารถจูงใจบุคคลให้ปฏิบัติตามความต้องการ มีความสามารถในการติดต่อสื่อสาร
4. การควบคุม (Controlling) เป็นการวัด
และการแก้ไขการทำงานในส่วนบุคคลและองค์การเพื่อทำให้มั่นใจว่าเหตุการณ์เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ถาม: ถาม คุณ ป.  ว่า คุณอยากทำงานอะไร และจะทำอย่างไรให้ทำได้ตามฝัน?
ตอบ: อยากเป็นอาจารย์สอนนักศึกษามหาวิทยาลัย
ถาม: ถ้าใช้"หลักการบริหาร"มาอธิบายการบริหาร"ความฝัน" คุณ ป. จะตอบว่าอย่างไร?
ตอบ:
Planning:
1. ต้องพยายามเรียนให้จบปริญญาตรีด้วยคะแนนดีๆ
2. พยายามหา JOB ระหว่างเรียนปริญญาตรีเพื่อเก็บสตางค์เรียนปริญญาโท
ต่อทันทีเมื่อจบปริญญาตรี
3. วางตัวและบุคลิกดีๆเพื่อให้เป็นที่น่าเชื่อถือ
Organizing:
1. ต้องพยายามขยันเรียน หมั่นหาความรู้ โดยมีตัวเราเป็นผู้เรียน
มีอาจารย์ทำหน้าที่สอน แม่ครัวมีหน้าที่ทำอาหารให้เรากิน เพื่อนมีหน้าที่ช่วยกันคิด
ช่วยกันทำงาน ช่วยกันเรียนให้สำเร็จรอดฝั่ง
ถ้าเปรียบเราเป็นประธานบริษัท การคิดหาทางนำบริษัทของตนไปถึงฝัน
ทุกคนที่อยู่รอบข้างเราก็เปรียบเหมือนองค์กร ที่มีหน้าที่ทำให้เราหรือบริษัทเดินไปได้
Directing: โครงการที่ตั้งขึ้นมีผู้รับผิดชอบคือ ตัวข้าพเจ้าเอง
Controlling: สิ่งที่จะมาควบคุมเรา คือตัวเราเอง รวมทั้งอาจารย์ผู้สอนทุกท่าน
คือเราต้องสามารถบังคับตัวเองให้ตั้งใจเรียน มีความแน่วแน่และมุ่งมั่นในการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆไปได้
ส่วนอาจารย์ผู้สอนก็เป็นเหมือนผู้ควบคุมให้เราคิด ต้อง Design ตลอดเวลา ต้องส่งงานเป็นต้น


July 6, 2007

ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จับมือคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมคลาสสิคในไทย จัดโครงการ “ ประกวดถ่ายภาพและวาดเส้นสถาปัตยกรรมคลาสสิคในเมืองไทย 2550 ” เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปและนักศึกษา ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการสำหรับผู้ชนะรับโล่ห์และเงินรางวัลมูลค่ากว่า 250,000 บาท

โครงการ “ประกวดถ่ายภาพและวาดเส้นสถาปัตยกรรมคลาสสิคในเมืองไทย 2550” หรือ “ Thailand Classical Architecture Photographic & Drawing Contest 2007” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมแนวคลาสสิคไทยให้คงอยู่ในสังคมไทยแบบยั่งยืนตลอดไป นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไป หรือ นิสิต นักศึกษา ที่มีความรู้ความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพและวาดเส้นงานสถาปัตยกรรมคลาสสิค ได้มีเวทีแสดงความสามารถ แสดงฝีมือในการถ่ายภาพและวาดรูป และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รู้จักงานสถาปัตยกรรมคลาสสิคมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมส่งผลงานเข้าประกวดถึง 1,046 ชิ้น มากมายที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยผู้ประกวดมาจากหลากหลายวัย, หลากหลายประสบการณ์ มีทั้งเด็ก, ผู้ใหญ่, มือสมัครเล่น และมืออาชีพ ผลงานแต่ละชิ้นมีคุณค่าทั้งความงาม, รายละเอียด, แรงบันดาลใจ และแนวความคิด ทำให้ทีมงานประทับใจอย่างยิ่งกับผลงานคุณภาพเหล่านั้น



ผลการตัดสิน ประเภทวาดเส้น

1.รางวัลชนะเลิศ รับเงินสด50,000 บาท

พร้อมโล่ห์และประกาศนียบัตร

- น.ส.ปาริฉัตร สุชาติกุลวิทย์

2.รองชนะเลิศ รับเงินสด20,000 บาท

พร้อมโล่ห์และประกาศนียบัตร

- นายศุภวัฒน์ หิรัญธนวิวัฒน์

3.รางวัลชมเชย รับเงินสด10,000 บาทบาท

พร้อมโล่ห์และประกาศนียบัตรจํานวน 3 รางวัล

- นายธนชัย ปิยะชาติ

- นายนิติพนธ์ มหาเจริญ

- น.ส.วิลาวัลย์ สระทองหน

4.รางวัลผลงานที่สมควรได้รับการเผยแพร่รับหนังสือบ้านคู่บารมี มูลค่า 2,200 บาท

พร้อมประกาศนียบัตร จํานวน 5 รางวัล

-นายบัณฑิต พิศณุเสน

-น.ส.รวีฉาย เจริญศิริ

-น.ส.พรรณิภา พรมเด่น

-น.ส.อัจฉราพงษ์ สมบูรณ์

-น.ส.วิชชุดาตึงทอง



ผู้ช่วยศาสตราจารย์เอกพงษ์  ตรีตรง
อาจารย์ประจำภาควิชาออกแบบตกแต่งภายใน
คณะมัณฑนศิลป์
มหาวิทยาลัยศิลปากร

อ.เอกพงษ์ ตรีตรง เขียน

"การวาดเส้นเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบการฝึกฝนการวาดเส้น (DRAWING)

เป็นขั้นตอนแรกที่นักออกแบบรุ่นใหม่ต้องเรียนรู้เพื่อไปสู่ความเป็นมืออาชีพ

จิตวิญญาณของนักออกแบบต้องสะท้อนออกมาเป็นรูปแบบบนกระดาษจากปลายปากกาและดินสอ

การถ่ายภาพเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง ในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ

ที่เกิดขึ้นแล้วนำมาศึกษาต่อยอดไอเดียพัฒนาในงานออกแบบต่อไป

นักออกแบบที่มีรสนิยมมักจะชอบถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจไปพร้อมกับการสร้างสรรค์

ผู้ประกอบการร้านค้า ธุรกิจที่ต้องการให้ร้านปรับเปลี่ยนลักษณะรูปแบบนอกกรอบ

มองไปข้างหน้าเพื่อสร้างความโดดเด่นจะต้องเก็บบันทึกงานผ่านกล้องเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลจากทุกแหล่งทั่วโลก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานสถาปัตยกรรมในอดีตที่สวยงาม

จะต้องได้รับการเก็บรักษาเอาไว้เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาต่อไป

เป็นเสมือนฐานความรู้ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต

ไปหน้าก็ต้องแลหลังเช่นกัน"

Mar 6, 2008

ดี้ นิติพงษ์ ขอบคุณกว่า 2 แสนคะแนนที่คนกรุงเทพฯไว้ใจมอบให้ ยืนยันไม่ทิ้งการเมือง

สำนักข่าวไทย
การเลือกตั้ง สว.ครั้งนี้ คนบันเทิงคนหนึ่งที่อาสามารับใช้คนกรุงเทพฯ
และได้คะแนนมาเป็นลำดับที่ 2 คือ ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค
และทันทีที่ทราบผลการเลือกตั้ง
ดี้ขอเปิดใจกับทีมข่าวบันเทิง สำนักข่าวไทย
ถึงความรู้สึกและเบื้องลึกเบื้องหลังในการกระโดดลงสนามการเมือง

ถึงแม้ ส.ว.กรุงเทพมหานคร จากการเลือกตั้งเมื่อวานนี้
ไม่ได้ชื่อ ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค ตามที่คนบันเทิงหลายคนลุ้นกันตัวโก่ง
แต่นักแต่งเพลงหมายเลข 1 ของไทย
ที่มีดีกรีสถาปัตย์จุฬาฯ คนนี้ก็รู้สึกปลื้มใจที่ชาวกรุงเทพฯ
ต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยคะแนนสูงเป็นลำดับที่ 2
โดยได้คะแนนเกินความหมายถึงกว่า 2 แสนคะแนน
แม้จะเป็นการลงเล่นการเมืองเป็นครั้งแรกในชีวิต

ดี้ นิติพงษ์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าวไทยว่า การลงสนามเลือกตั้ง ส.ว. ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการปูทางสู่สนามการเมือง และไม่ได้เป็นตัวแทนขั้วการเมืองใด รวมถึงนายทุนใหญ่จากแกรมมี่ แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน

ดี้ นิติพงษ์ ยอมรับว่า การลงสนาม ส.ว. ครั้งนี้ ทำให้มีพรรคใหญ่ส่งเทียบเชิญให้ลงทำหน้าที่เป็น ส.ก. และ ส.ข. อย่างเต็มตัว แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธไปแบบไม่ต้องคิด เพราะไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้อำนาจและนโยบายของพรรคการเมืองใด และจากนี้จะขอกลับไปทุ่มเทเวลาให้กับงานที่ตัวเองรักเช่นเดิม ถึงกลับสู่วงการเพลง แต่ดี้ นิติพงษ์ ยืนยันว่าจะไม่ทิ้งการเมือง โดยพร้อมเสนอความคิดเห็นต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ตามโอกาสที่เหมาะสม ด้วยต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะร่วมพัฒนาชาติในภาคประชาชน
***********************
จดหมายถึงเพื่อน จากดี้ นิติพงษ์
กราบเรียนเพื่อนพ้องกัลยาณมิตรที่รักเคารพ
อีกครั้งหนึ่ง
วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2551
ซึ่งผลการเลือกตั้ง สว. กรุงเทพมหานคร
อย่างไม่เป็นทางการได้ออกมาแล้วว่า
เหรียญทองได้แก่ คุณพี่รสนา โตสิตระกูล
หมายเลข 5 ด้วยคะแนนท่วมท้น
ตามมาห่างๆ ด้วยเหรียญเงิน คือ
ผม นายนิติพงษ์ ห่อนาค หมายเลข 29
และเหรียญทองแดงคือ คุณอนุสรณ์ ธรรมใจ หมายเลข 6
น่าเสียดายหน่อยตรงที่ว่า
นี่ไม่ใช่กีฬาโอลิมปิก เขาไม่แจกเหรียญเงินและเหรียญทองแดง
เขาแจกแค่เหรียญทองเท่านั้น และเหรียญทองเหรียญนี้
เป็นเหรียญที่น่าภูมิใจแทน
พี่รสนา แต่ก็เป็นเหรียญที่หนักไม่น้อยเมื่อได้คล้องคอ
เพราะฉะนั้น นอกจากจะต้องแสดง ความยินดีกับพี่รสนาแล้ว
ก็ขอให้กำลังใจในการแบกรับภาระยิ่งใหญ่ที่ได้รับ
มอบหมายจากชาวกรุงเทพมหานครให้ได้อย่างราบรื่น
น่าเสียดายอีกข้อหนึ่งคือ ชาว กทม.ไปออกเสียงเลือกตั้งกันเพียง 40 เปอร์เซนต์
ซึ่งอาจเกิดจากความเบื่อหน่ายการเมือง
และไม่เข้าใจอำนาจหน้าที่ของ สว.
ว่าเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน
ผู้บังคับบัญชาของ สว. คือประชาชน
ซึ่งแตกต่างกันกับ สส. เพราะ สส. นั้น ถึงแม้จะมาจากเสียงของประชาชน
แต่ผู้บังคับบัญชาของ สส. กลับกลายเป็นหัวหน้าพรรค
กรรมการพรรค หรือมติพรรค หาได้มีอิสระเสรีเท่า สว.ไม่
17 วันเต็มที่ผมเดินลงพื้นที่ ตั้งแต่เช้ามืดจรดค่ำ
เพื่อแจกบัตรแนะนำตัวตามชุมชนต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพฯ
ตามเรี่ยวแรงและเวลาที่จะทำได้
สิ่งที่ได้มา คือ การปวดขา ปวดหลัง ปวดเอว เหน็ดเหนื่อย
แต่ที่ได้กลับมา คือ ใบหน้ายิ้มแย้ม คำพูดให้กำลังใจ จับไม้จับมือ
ซึ่งยากจะบรรยายได้ว่า ทำให้หัวใจพองโตได้เพียงไร
ทำให้มีแรงเดินได้ตลอด จนจบแผนอย่างที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะทำตัวแบบนี้ได้
ทำให้เข้าใจว่า “นักเลือกตั้ง” เขารู้สึกกันอย่างนี้นี่เอง222,634 คะแนน
(ยังไม่รวมคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า) ที่ผมได้รับจากพี่น้องชาว กทม.
เป็นคะแนน Hand Made เป็นคะแนนจากเครือข่ายญาติมิตร
ที่ใช้ระบบปากต่อปาก เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน
ที่ให้เกียรติผมโดยที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
แต่มีน้ำใจช่วยเหลือ รวมทั้งพี่น้องที่ไม่เคยพบปะกัน
แต่เชื่อมั่นและไว้ใจในตัวผม เหล่านี้เป็นคะแนนที่มากมายนัก
สำหรับเด็กหลังห้องและหน้าใหม่สำหรับการเมือง
ถือเป็นสิริมงคลแก่ตัวผมอย่างที่ผมนึกไม่ถึง
จะกราบขอบพระคุณเท่าใด จะไปกราบที่ไหน
ก็คงกราบไม่หมด จึงหวังเพียงแต่ว่า
การกราบขอบพระคุณด้วยจดหมายฉบับนี้จะไปได้ทั่วถึงเท่าที่จะเป็นไปได้จากนี้ไป
ผมก็เป็นนักแต่งเพลงอย่างเดิม มีชีวิตครอบครัวปกติ
แต่ในบทบาททางการเมือง คงทำอะไรไม่ได้มากนัก
เพราะทางสายตรงเพื่อไปสู่การ
เป็นปากเสียงของพวกเราชาวไทยรักสงบในสภานั้น
มีเพียง สส. กับ สว.เท่านั้น
แต่ผมก็พร้อมที่จะทำต่อไปด้วยวิถีของราษฎรคนหนึ่ง
ราษฎรคนหนึ่งที่มีคนลงคะแนนเสียงให้สองแสนกว่าคน
ไม่อาจจะละเลยความไว้ใจ และความหวังที่จะเป็นที่พึ่งของทุกท่านได้
ผมไม่อาจรับปากว่าผมจะแก้ไขปัญหา
หรือข้อสงสัย ของทุกท่านได้
เพราะผมไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรทางการเมือง
แต่ผมยินดีจะรับฟังทุกปัญหา และจะพยายามทำเท่าที่จะทำได้
ที่จะแก้ไขปัญหาของผู้ที่ให้เกียรติลงคะแนนให้ผมทั้งสองแสนกว่าคนนั้น
เท่าที่กำลังราษฎรอย่างผมจะทำได้www.nitipongfanclub.com
หรืออีเมล์ n_honark@yahoo.com หรือ hi5 ที่ http://deesakoo.hi5.com
และตู้ปณ. 9 ปณฝ. ประสานมิตร กรุงเทพ 10140 เป็นช่องทาง
ที่ติดต่อผมได้เสมอครับ เปิดดูเปิดอ่านทุกวัน ตอบทุกคนเท่าที่จะตอบได้
เล่นเองตอบเอง ไม่มีนอมินีทำให้ บางทีถ้าอาจจะช้าไม่ทันใจก็ขอให้เข้าใจด้วย
แต่พยายามจะหาคำตอบให้แน่นอน ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง
วันนี้ คงทำได้แค่นี้แหละครับขอบพระคุณอย่างมากมาย
ไม่รู้จะหาคำอะไรที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค
ที่มา http://www.chaliang.com/Board-Detail.asp?ID=10683

Mar 5, 2008

นิติพงษ์ ห่อนาค ผู้สมัคร สว.กรุงเทพฯ หมายเลข 29










กราบเรียน กัลยาณมิตรที่รักทั้งปวงของผม 

เนื่องด้วยมีหลายท่านทราบข่าวว่าผมคิดอ่านลงสมัครสมาชิกวุฒิสภา
ในระบบเลือกตั้งของกรุงเทพมหานครตามสื่อต่าง ๆ แล้วพากันอึ้ง ฉงนใจ
ไถ่ถาม ว่าทำไมผมจึงมีความคิดจะไปป้วนเปี้ยนในระบบการเมือง
ผมจึงอยากไขข้อฉงนของท่านมาพร้อมกัน ณ ที่นี้เสียเลย
ผมเองอยากจะบอกก่อนว่า อย่าว่าแต่ท่านทั้งหลายแปลกใจเลย
ผมเองก็แปลกใจตัวเองเช่นกัน เพราะไม่เคยมีอยู่ในแผนชีวิตมาก่อน
แต่ทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นจากระบบคิดที่สั่งสมมาโดยไม่รู้ตัว
สมัยวัยเรียน ผมจำได้ว่า เวลาครูสอนหนังสือวิชาใด
ก่อนจบชั่วโมง ครูจะถามนักเรียนว่า มีใครไม่เข้าใจตรงไหน
ให้ยกมือขึ้นถาม ก็จะไม่มีใครถามอะไร ไม่กล้ายกมือ
ใครยกมือขึ้นถามก็จะถูกเพื่อนล้อว่าเป็นเด็กเรียน อายเพื่อน น่าขำ
ยิ่งเป็นเด็กหลังห้องจะยิ่งไม่กล้าถาม ปล่อยให้เด็กเรียนหน้าห้องเรียนเก่ง
ถามครู แล้วเพื่อน ๆ ก็คอยนินทาว่าประจบครู
แต่ตัวเองก็ยอมให้ตัวเองเรียนไม่รู้เรื่อง
ทุกวันนี้ก็ยังมีทัศนคติแบบนี้อยู่ในอีกหลายส่วนของสังคม การเรียน
ครูก็อยากให้ทุกคนรู้วิชา เท่าเทียมกัน การเมือง
ก็เป็นเรื่องของทุกคนเท่าเทียมกันเช่นกัน
เราทุกคนไม่ว่าอาชีพใด มีสิทธิ์ "ยกมือ" ถามได้เสมอ
ตามรัฐธรรมนูญที่เขาอุตส่าห์กวักมือเรียกให้เราไปมีส่วนร่วมเท่าที่จะทำได้
ผมเชื่อว่าทุกคนสนใจการเมืองไม่มากก็น้อย เกลียดคนนั้น
รักพรรคนี้ นินทาการเมือง วิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดมัน
ไม่ต่างกับการดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก หรือละครหลังข่าว
เพียงแต่ว่า ฟุตบอลกับละครทีวี
ไม่มีผลกระทบกับชีวิตเราอย่างที่การเมืองเป็น
ผมนินทาการเมือง นักการเมืองกันตามโต๊ะน้ำชา ร้านกาแฟ
แล้วก็กลับบ้านไป มีประโยชน์แค่พอให้ระบายความคับแค้นหรือขำขัน
ผมยี้คนนั้น ยี้คนนี้ ไม่อยากให้คนนั้น คนนี้เข้าไป
ผมด่าคนนั้นคนนี้ ตำหนิพวกเขา แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
ที่จะส่งเสริมคนที่คิดว่าดี ได้เข้าไปทำหน้าที่ที่สำคัญ
ผมไม่เคยคิดส่งตัวเองเข้าไปในวงการเมือง
ในฐานะที่เราคิดว่าเราคิดดี มีแนวคิดที่แตกต่าง
ผมไม่ส่งเสริมเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาเก่ง
หรือคนที่รู้จักที่คิดว่าเขาคิดดี แต่กลับทัดทาน ห้ามปรามว่า
อย่าเข้าไปเลยการเมือง มันเปลืองตัว มันแปดเปื้อน แก่งแย่งชิงดีกัน
ดังที่ผมเคยได้ยินตลอดมา หลายครั้ง ผมได้แต่ตำหนิผู้คนในสภาว่า
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เข้าท่า
แต่เวลาถามตัวเองกลับไปว่า แล้วเอ็งคิดว่าเอ็งแน่
ทำไมเอ็งไม่ลองเข้าไปในนั้นดูมั่งเล่า
ผมก็ตอบตัวเองแบบง่าย ๆ ว่า ไม่เอาละ เรื่องอะไร เปลืองตัว
ผมไม่เคยคิดที่จะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาแต่ไหนแต่ไร
เป็นคนนินทาหรือกองเชียร์อยู่ไกล ๆ ตลอดมา
เพราะคิดว่าตนเองเป็นคนทำงานสัมมาอาชีพ ไม่ว่าง
และอยู่คนละโลกกับพวกเขาที่อยู่ใน "ห้องใหญ่ห้องนั้น"
ทั้ง ๆที่คนใน "ห้องนั้น" มีส่วนอย่างมากที่จะทำให้
เรามีความสุขหรือทุกข์ได้ โลกของพวกเขาเป็นโลกเดียวกัน กับของเรา
เรื่องที่เขาตัดสินกันใน " ห้องนั้น " เป็นเรื่องของเราทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ทัศนคติที่ผมมีต่อการเมืองตลอดมานั้น
ผมคิดผิด ควรต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
แล้ววันหนึ่ง ไม่นานมานี้เอง ผมจึงได้คิดว่า
ถ้าพร้อมเมื่อไร มีโอกาสเมื่อไร จะขอเข้าไปดู เข้าไปเห็น เข้าไปช่วย
เข้าไปทัดทานได้บ้าง จึงได้ตัดสินใจลงสมัครเป็นสมาชิกวุฒิสภา
มีคนถามว่า ผมมีนโยบายอะไรบ้าง ในการจะอาสาเป็น ส.ว.กรุงเทพฯ
ถ้าเป็นคำถามที่ต้องตอบในเชิงการเมือง
ผมคงคิดอะไรหรู ๆ ได้สักสิบเรื่องในเวลาสักชั่วโมงหนึ่ง
แล้วพูดออกมาสวย ๆ อย่างที่เราเคยเห็นพรรคการเมืองเขามีกัน
ซึ่งระดับพรรคการเมืองยังไม่สามารถทำตามสัญญาได้
ระดับ สว.หนึ่งคน จะพูดนโยบายสวยหรูก็คงน่าขบขัน
ตอนนี้ผมขอเพียงตั้งใจอาสาหน้าที่สว.
ในความเห็นของผมเบื้องต้นคือการตรวจสอบ
ให้คำปรึกษา ทัดทาน ยับยั้ง แก้ไขในสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะถูกต้อง
ไม่โดดประชุม พยายามให้กฎหมายที่ร่างออกมานั้น
มีสามัญสำนึกและประโยชน์จริง ทำแค่นี้ให้ได้ก่อนเถิด
อีกประเด็นหนึ่งคือ อยากให้คิดกันเสียใหม่
ว่า ประเทศชาตินี้ มีมนุษย์อีกหลายอาชีพ หลายเผ่าพันธุ์
อย่าปล่อยให้ถูกปกครองจากผู้คนเพียงไม่กี่อาชีพ
นักการเมืองนักปกครองของบ้านเรา
มีสัดส่วนของข้าราชการประจำ ข้าราชการบำนาญ นักกฎหมาย
นักการเงิน เอ็นจีโอหรือ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น
อยู่เต็มสภามานานแล้ว น่าจะมีอีกหลายสิบหลายร้อยอาชีพ
ได้เข้าไปร่วมด้วยบ้างในสัดส่วนที่พอเหมาะพอควร
รัฐธรรมนูญทุกฉบับเขียนให้ราษฎรมีสิทธิเท่าเทียมกัน
มีสมองและปัญญาใคร่ครวญดุจเดียวกัน จึงไม่ควรมีกลุ่มสาขาอาชีพใด
ถูกมองว่าด้อยวุฒิภาวะทางการเมืองกว่ากลุ่มใด การเมือง ไม่ใช่เรื่องของ
" คนกลุ่มนั้น " อีกต่อไป เพราะการเมืองเป็นเรื่องของ " ทุกคน "
พลังเงียบ นักเรียนหลังห้อง ถึงเวลาต้องมาแสดงสิทธิเลือกตั้งแล้วครับ
รวมทั้งถ้ามีโอกาสที่พร้อม
ก็ควรจะแสดงสิทธิและหน้าที่ได้มากกว่าเป็นคนคอยกากบาท
และนั่งลุ้นอยู่ที่บ้าน เลือกตั้ง สว. ครั้งนี้
ผมจะได้รับเลือกตั้งหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้
แต่หวังว่า จะเป็นการกระตุ้นอีกจุดหนึ่ง
ให้กับคนทำงานในวิชาชีพต่าง ๆ อีกมากมาย
ได้ตัดสินใจที่จะแสดงศักยภาพและวุฒิภาวะทางการเมือง
ให้ในสภาฯ มีความหลากหลายมากกว่านี้ มีความ " รู้เรื่อง "
หลากหลายกว่านี้ วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคมนี้ เลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
พลังเงียบอย่าเงียบนะครับ จะเลือกใครก็ตามแต่ใจ แต่แสดงให้
"คนกลุ่มเดิม ๆ นั้น" ทราบว่า ยังมีคนอีกหลายกลุ่มหลายสาขา
เขาก็มีพลังเหมือนกัน
สุดท้ายนี้ ขอให้ความจงรักภักดีสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าอยู่หัว
ที่ท่านมีอยู่ในหัวใจ
จงคุ้มครองสติปัญญา
ทัศนคติของท่านให้ดำรงชีวิตตน ครอบครัว
และส่วนรวมได้อย่างสุขสงบ มั่นคงด้วยเถิด
นิติพงษ์ ห่อนาค
ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร หมายเลข 29
ป.ล. อาชีพผมยังเป็นนักแต่งเพลงอยู่นะครับ

29  นายนิติพงษ์ ห่อนาค
รายละเอียดผู้สมัคร :
สมาชิกวุฒิสภาสำหรับการเลือกตั้งในวันที่ : 2 มีนาคม 2551
ใบสมัครเลขที่ : 29
หมายเลขประจำตัวผู้สมัคร : 29
ชื่อ-นามสกุล : นายนิติพงษ์ ห่อนาค
สัญชาติ : ไทย
วัน เดือน ปีเกิด : 23 มิถุนายน 2503
อายุ : 48 ปี
เพศ : ชาย บิดา : สง่า สัญชาติ : ไทย
มารดา : เปรื่อง สัญชาติ : ไทย
คู่สมรส : รุ่งฤดี สัญชาติ : ไทย
การศึกษาสูงสุด : ปริญญาตรี : สถาปัตยกรรมศาสตร์บัณฑิต
เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี พ.ศ. : - 
หรือสมาชิกวุฒิสภา ปี พ.ศ. : -
หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปี พ.ศ. : - 
อาชีพ : รับจ้าง
คุณสมบัติอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญ
11.3 เคยศึกษาในสถานศึกษา : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่รับสมัครเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี
การศึกษา ระหว่างวันที่ : มิถุนายน 2521 ถึงวันที่ : 22 ตุลาคม 2527
ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี
ระหว่างวันที่ : 6 กรกฎาคม 2537 ถึงวันที่ : 25 กุมภาพันธ์ 2544