Custom Search

Dec 31, 2009

ในหลวง ร.9 พระราชทานพรปีใหม่ 2553






ในหลวงพระราชทานพรปีใหม่ 2553
ขอให้คนไทยมีสติ คิดให้รอบคอบ
ยึดประโยชน์ส่วนรวม มีความสุขกายสุขใจ ...

"ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่

ข้าพเจ้าขอส่งความปราถนาดีมาอวยพรแก่ท่าน ทุก ๆ คน
ทั้งขอขอบใจท่านเป็นอย่างมาก
ที่วิตกห่วงใยในการเจ็บป่วยของข้าพเจ้า
และแสดงออกโดยประการต่าง ๆ จากใจจริง
ที่จะให้ข้าพเจ้าหายเจ็บป่วยและมีความสุขสวัสดี
ความสุขสวัสดีนี้ เป็นสิ่งที่พึงปราถนาอย่างยิ่งของคนเรา
แต่จะสำเร็จผลเป็นจริงได้ มากน้อยเพียงใด
ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและสติปัญญา
และการประพฤติตัวปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล
ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ชาวไทยทุกคน
ได้ตั้งจิตตั้งใจ ให้เที่ยงตรงแน่วแน่
ที่จะประพฤติตัวปฏิบัติงานให้เต็มกำลังความสามารถ
โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดกำกับอยู่ตลอดเวลา
กล่าวคือจะคิดจะทำสิ่งใด ต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี ให้รอบคอบ
ทำให้ดีให้ถูกต้องข้อสำคัญจะต้องระลึกรู้โดยตระหนักว่า
ประโยชน์ส่วนรวมนั้น เป็นประโยชน์ที่แต่ละคนพึงยึดถือ
เป็นเป้าหมายหลักในการประพฤติตัวและปฏิบัติงาน
เพราะเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืนแท้จริง
ซึ่งทุกคนมีส่วนได้รับทั่วถึงกัน
ความสุขความสวัสดีจะได้เกิดมีขึ้น
ทั้งแก่บุคคลทั้งแก่ชาติบ้านเมืองของไทย
ดังที่ทุกคนทุกฝ่ายตั้งใจปราถนา
ขออนุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ ที่ชาวไทยเคารพบูชา
จงอภิบาลรักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์
ปราศจากโรคภัยให้มีความสุขกายสุขใจ
และความสำเร็จสมประสงค์ ตลอดศกหน้านี้ โดยทั่วกัน"

ส.ค.ส พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปีพุทธศักราช 2553 นี้
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในฉลองพระองค์แจ็คเก็ตสีชมพูเข้ม ปักรูปคุณทองแดงที่ด้านซ้ายของพระอุระ
ทับฉลองพระองค์ชั้นในสีขาว พระสนับเพลาสีกากี
ฉลองพระบาทสีเทาดำ ประทับบนเก้าอี้หวาย
ที่ตั้งอยู่กลางสนามหญ้าและสวนดอกไม้
ทรงฉายกับคุณทองแดงและคุณทองหลาง สุนัขทรงเลี้ยง
ที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างทั้งสองด้าน
ใต้ภาพคุณทองแดงและคุณทองหลางมีชื่อกำกับ อยู่ทั้งสองสุนัข
มุมด้านบนซ้ายมีตราพระมหาชัยพิชัยมงกุฎ และตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า
ส.ค.ส. ๒๕๕๓ (สอ คอ สอ สองพันห้าร้อยห้าสิบสาม)
ส่วนมุมบนด้านขวามีตราผอบทอง
ถัดเข้ามามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2010
(แฮปปี้ นิวเยียร์ ทูเทาว์ซันต์แอนด์เท็น)
ด้านล่าง ส.ค.ส.มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีเหลืองว่า
สวัสดีปีใหม่ ขอจงมีความสุขความเจริญ และมีตัวเลขสัชมพู
ระบุวันเดือนปีว่า 2009 12 27 / 15:25
(สองพันเก้า สิบสองยี่สิบเจ็ด / สิบห้า ยี่สิบห้า)
กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพหน้าคนเล็กๆเรียงกัน
ด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละสองแถว

ด้านข้าง ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันละ 3 แถว
นับรวมกันได้ 418 หน้า ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
บนกรอบ ส.ค.ส. ด้านล่างมีแถบสีชมพู
บนแถบมีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 152527 ธ.ค. 52
(กอ สอ เก้า สิบห้า ยี่สิบเจ็ด ทอ คอ ห้าสอง)
พิมพ์ที่โรงพิมพ์ สุวรรณชาติ ท.พรหมบุรษ. ผู้พิมพ์โฆษณา)
Printed at the Suvarnnachad publishing , D Bramapulra , Publisher
(พริ้นเทด แอ้ท เดอะ สุวรรณชาติ พับบลิชชิ่ง ดี. พรหมบุตร.พัลลิชเชอร์)


Dec 30, 2009

ทหารเก่าไม่เคยตาย

มติชน
30 ธันวาคม 2552
พล.อ.เปรม ลั่นรักอาชีพทหารเป็นชีวิตจิตใจลั่นทหารแก่ไม่มีวันตาย
ไม่ตอบสวมเครื่องแบบวันผบ.เหล่าทัพเข้าอวยพรปีใหม่
เผยไหว้พระสยามเทวาธิราชทุกวัน
ขอให้คนไม่ดีรู้ตัวและกลับใจ
อย่าปล่อยให้มาดูแลชาติบ้านเมืองชาติ
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม
พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ “สนามข่าว 101”
สถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101
โดยเป็นการบันทึกเทปเพื่อออกอากาศในวันที่ 4 มกราคม 2553

พล.อ. เปรมได้กล่าวตอนหนึ่งถึง
การทำให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติสุขว่า
ให้อ่านพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คือทุกคนต้องมีสติรู้ตัว มีปัญญารู้คิด

ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มีพระราชดำรัสว่าให้ทุกคนเห็นแก่ส่วนร่วมมากกว่าส่วนอื่น

ขณะเดียวกันก็ขอให้ยึดมั่นในความดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าทุกคนต้องสร้างความรักชาติให้เกิดขึ้น
รวมถึงสร้างความรักต่อองค์กรที่ตนทำงาน
“ถ้ารักแล้ว แน่นอนที่สุดว่าคุณจะไม่ทำร้ายคนอื่น
ผมเคยพูดกับข้าราชการไว้ว่าถ้าคุณเป็นครู แล้วคุณไม่รักนักเรียน
ผมเคยบอกไว้ว่าให้ลาออกไป ถ้าไม่รักอาชีพที่ทำก็สมควรลาออก
เพราะไม่มีวันเจริญ เช่นเดียวกัน
ถ้าคุณเป็นทหารไม่รักในอาชีพทหาร คุณจะเป็นทหารทำไม”
พล.อ. เปรมกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนที่พล.อ. เปรมรักความเป็นทหารใช่หรือไม่
พล.อ. เปรมกล่าวว่า “รักมากๆ ด้วยชีวิตจิตใจของผม
ผมไม่เคยลืมว่าผมเป็นทหาร ถึงเคยพูดว่าทหารแก่ไม่เคยมีวันตาย
ซึ่งไปลอกฝรั่งเขามา ความจริงแล้วในใจก็ยืดถือเช่นนั้น”

เมื่อถามว่า ด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่ที่ทำให้สวมเครื่องแบบทหาร
ในวันที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพมาอวยพรปีใหม่ พล.อ.เปรมกล่าวว่า
โปรดอย่าถามคำถามนี้ คนก็เดากันไปต่างๆ นานา
ตนคิดว่าสิ่งที่เราควรบอกคนอื่นคือการสร้างความรักให้เกิดขึ้นในตัวเรา
จะทำอะไรก็ทำจากความรัก ซึ่งมันไม่ยาก
โดยสร้างตั้งแต่ครอบครัว ภรรยา ถ้าสนใจฟุตบอล

ก็เคยมีคำพูดจากผู้จัดการทีมอาเซนอลที่พูดไว้ว่า
“คุณจะอยู่ทีมไหนก็ได้ ถ้าคุณรักฟุตบอลซะอย่าง
คุณจะเป็นนักฟุตบอลที่ดี ไม่ว่าจะอยู่ทีมแมนยูฯ
หรืออะไรพวกนั้น ก็เป็นนักฟุตบอลที่ดีได้”
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มักถูกบุคคลอื่นพูดถึงบ่อยครั้ง
พล.อ. เปรมกล่าวว่า “ผมไม่ตอบคำถามนี้ ผมไม่แถมให้”

พล.อ. เปรมกล่าวต่อว่า
บ้านเมืองยังมีทางในการแก้ไข
เพียงแต่เรานำมาใช้หรือไม่นำมาใช้เท่านั้น
ตนได้ไหว้ขอพระสยามเทวาธิราชทุกวัน
โดยสิ่งที่ขอจากท่านคือขอดลบันดาลให้คนไม่ดี

รู้สึกตัวว่าเป็นคนไม่ดี และพยายามทำตัวเป็นคนดี
ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชาติบ้านเมืองปัจจุบัน
โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบัน
ที่มีความเห็นแตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
“คุณเห็นอย่าง ผมเห็นอย่าง
ไม่ตรงกันก็ไม่จำเป็นต้องโกรธกัน
ไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน หรือไม่จำเป็นต้องเกลียดกัน
คือไม่จำเป็นที่คุณต้องเกลียดผม ผมต้องเกลียดคุณ
ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่คุณเห็นอย่างหนึ่ง
ผมเห็นอย่างหนึ่งก็โอเค เป็นความเห็นส่วนบุคคล
ที่เราต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจนว่าเมื่อคุณเห็นเช่นนั้น
ก็ไม่ใช่ว่าคุณไม่ดีคุณจะว่าผมไม่ดี ก็ไม่ได้
เพราะเป็นความเห็นของผม

ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้คนไม่ดีเป็นคนดีได้ง่ายขึ้น
เหมือนกับความปรารถนาดีที่ผมมีต่อคนไม่ดี
สมมติเพื่อนผมไม่ได้ประพฤติเสียหาย
ผมก็จะไปช่วย ผมอยากให้ทุกคนที่มีความเห็นแตกต่างกัน
อย่าเอาความแตกต่างมาเป็นเรื่องหมองใจ ต่อสู้กัน
เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ถ้าคุณบอกว่าความเห็นของผมไม่ดี
คุณก็ต้องชี้แจงว่าไม่ดีอย่างไร จนผมเข้าใจ
และยอมรับว่าที่คุณแนะนำถูก ผมก็จะกลายเป็นคนดี” พล.อ. เปรมกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าคนไม่ดีไม่สามารถสำนึกได้จะมีอะไรดลใจได้หรือไม่
พล.อ. เปรมกล่าวว่า เรื่องนี้หวังไม่ได้ที่จะให้คนไทยเป็นคนดีทั้งหมด
แต่อย่างน้อยจะให้คนไม่ดีมีน้อยที่สุด
และขออย่าให้เขามายุ่งกับเรื่องของชาติบ้านเมือง
เขาจะไปไม่ดีที่ไหนก็แล้วแต่เขา
แต่อย่าให้มาดูแลชาติบ้านเมืองอะไรทำนองนั้น
มันหวังไม่ได้ที่คนไทยทั้ง 66 ล้านคนจะเป็นคนดีทั้งหมด
ไม่มีทางเป็นไปได้ ประเทศที่เจริญอย่างสหรัฐฯ ก็มีคนไม่ดีเป็นล้าน
“ดังนั้นจะมาบอกว่าทำอย่างไร ผมก็บอกว่า
ก็พยายามอย่าให้เขาเข้ามายุ่งกับสังคมกับส่วนรวม
ให้เขาอยู่ของเขา ถ้าเราหมดหนทางที่จะทำให้เขาเป็นคนดีแล้ว
เราก็เห็นจะต้องทำอย่างที่คุณเรียก
ก็อยู่ส่วนของคุณไป อย่ามายุ่งกับผม” ประธานองคมนตรีกล่าว

ภาพประกอบ : ชัย ราชวัตร

Dec 29, 2009

ครึ่งตัวหายไป -- แต่ใจแกร่งเกินคน



เขาสูงเพียง 78 เซนติเมตร
แต่นาย เป็ง ชุยหลิน (Peng Shui-lin) ไม่ได้เป็นคนแคระ

เมื่อมองเพียงแค่ส่วนบนของเขา เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนทั่วไป

เพียงแต่มันหยุดอยู่แค่นั้น -- เขาไม่มีครึ่งล่้างของลำตัว

เมื่อ 13 ปี ก่อน เป็ง ชุยหลิน ประสบอุบัติเหตุครั้งร้ายแรงในชีวิต
เมื่อรถบรรทุกคันหนึ่งพุ่งชนมาที่เขา
และทำให้ร่างกายสองท่อนของเขาขาดแยกออกจากกัน
เหมือนเป็นปาฏิหารย์ที่เขายังรอดมาได้
แต่เขาต้องยอมเสียร่างกายครึ่งล่างของเขาตั้งแต่เชิงกรานลงไป
แพทย์ได้ทำการผ่าตัดหลายครั้งเพื่อนำเอาผิวหนังจากศีรษะของเขา
มาแปะไว้ที่รอยแผลที่ขาดไปทั้งหมด
เพื่อรักษาอวัยวะภายในที่ยังเหลืออยู่เอาไว้ และป้องกันการติดเชื้อ




คุณนึกภาพออกมั้ย หากวันหนึ่งคุณตื่นขึ้นมาบนเตียงโรงพยาบาล

แล้วพบว่าครึ่งล่างของตัวเอง -- หายไป --

คุณจะรู้สึกอย่างไร คุณยังคิดว่าคุณยังมีกำลังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่



แม้เขาจะเสียครึ่งหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ได้หมายความว่า
หัวใจกล้าแกร่งของเขาจะสูญเสียตามไปด้วย
เขาพยายามทำกายภาพบำบัดและฝึกการใช้แขนของเขาเพิ่มขึ้น
เพราะเขารู้ดีว่าตอนนี้แขนสองข้างของเขา
ต้องทำงานเป็นขาให้เขาด้วย
และเขายังไม่ยอมแพ้ที่จะกลับมาเดินได้อีกครั้ง
โดยเขาได้พยายามสรรหาขาเทียมจากหลายแหล่ง
จนกระทั่งศูนย์วิจัยเวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศจีน
(China rehabilitation research centre)
ได้ช่วยออกแบบและสร้างขาเทียมแบบใหม่ให้กับเขา
ซึ่งมีส่วนที่รองรับร่างกายท่อนบนของเขาได้พอดี
ปัจจุบันนี้ ด้วยความช่วยเหลือของขาเทียมและเครื่องช่วยเดิน
ทำให้เป็ง ชุยหลิน สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป

สิ่งที่ทำให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง
อาจจะเป็นเครื่องมือชีวการแพทย์ที่ออกแบบอย่างปราณีต
แต่แรงที่ผลักดันเขาให้ก้าวต่อไปได้ทั้งที่เหลือเพียงครึ่งเดียวของร่างกาย
คงเป็นหัวใจที่อยู่ในอกข้างซ้าย
หัวใจที่แข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์
ที่ร้องเรียกให้ลุกขึ้นเดินด้วยตัวเองอีกครั้ง
เรื่องราวของนายเป็ง ผมเชื่อว่าคงช่วยให้ใครหลายคน
ที่ยังมีแข้งมีขา มีร่างกายครบสมบูรณ์
แต่พลังใจลดน้อยถอยลง ได้กลับมามีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง
เดินหน้าสู้ชีวิตกันต่อไป


ที่มา uk.msn.com และ www.telegraph.co.uk




'พระมหาสมปอง' ความประมาทเป็นลาภอันประเสริฐ ฉ.ฮา





เนื่องในวันปีใหม่ ไทยรัฐออนไลน์ นิมนต์พระนักเทศน์ชื่อดัง
มาเทศน์ในหัวข้อที่ต่างกันเพื่อเป็นสิริมงคล
โดยเริ่มจากพระมหาสมปอง ตาลปุโต
พระนักเทศน์ที่นำธรรมะมาเคลือบวานิลา
ให้มีรสหวานทานง่าย กับ สุดยอดพระนักเทศน์มากมุข กับหัวข้อ ความประมาท

จงอย่าความประมาท...!

ความ เป็นประมาทเป็นหัวของอาตมา ทั้งนี้ตามพุทธศาสนา
คำว่าประมาทหมายถึงในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็น
ประมาทในวัย ประมาทในการขับขี่รถยนต์
ประมาทในการใช้ชีวิตประมาทในการที่เราไม่รู้จักระมัดระวังตัวเอง
มันรวมหลายอย่างถึงใช้คำว่า “ปมาโท มจฺจุโน ปทํ”
ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
เพราะถ้านักเรียนนักศึกษาประมาทไปเที่ยวดีกว่าวันหยุดเยอะเลย
ไปเที่ยวเทค ผับ คลับ บาร์ อาร์ซีเอก็จะตาย
จากความเป็นนักศึกษาที่ดีที่จะสอบผ่านที่จะประสบความสำเร็จ
หรือคนจนแทนที่จนแล้วจะไม่ประมาทกลับกลาย
เป็นจนอยู่แล้วเราก็เล่นการพนันไป เลยทั้งเล่นหวย เล่นโน้น เล่นนี้
ทุกวันนี้งานศพไม่เหงานะอาตมา
ไปงานศพต่างจังหวัดมามา มาแล้วเซียนพนันมาแล้ว
มาขอเป็นเจ้าภาพ 3 วันอย่างเผา ของ 7 วันได้ไหม
เดี๋ยวเป็นเจ้าภาพให้ทุกวันเลย เพื่อที่จะได้เล่นการพนันกัน
ขายของติดไฟกันอย่างกับมีงานประจำปี
ทุกวันนี้งานศพต่างจังหวัดนี้อาตมานึกว่ามีงานประจำปี
นี่ก็ประมาทก็เลยจนกันเข้าไปอีก ต้องเป็นหนี้ทั้งนอกระบบ
ในระบบ เดี๋ยวก็เข้ามาในระบบอีก

ถ้า ประมาทอย่างเช่นปีใหม่เอาแล้วขับรถขับรา
จะมารณรงค์อะไรกันนักกันหนานิดนิดหน่อยๆไม่เป็นอะไรหรอก
ก็ขับไปขับมาแทนที่ จะได้ไปพบเมียพบลูก พบพ่อแม่ ญาติพี่น้อง
ก็ไม่ได้พบปีหน้าปีใหม่ก็ไม่มีกับเค้ามันรวมได้ทุกๆอย่าง
เรื่องของความประมาทเป็นเรื่องที่ครอบคลุมทุกอย่าง
ไม่สามารถแบ่งได้ว่าจะเป็นความประมาท
จากการเดินทางหรือความประมาทจากการใช้ ชีวิต

สติขาดรีบปะ-อย่าขาดซึ่งสติ...!

อย่างนี้อยู่ในเทศกาลวันปีใหม่ ซึ่งมีคนตายเยอะ
บางคนไม่ได้กลับมามีปีใหม่ ไม่ได้กลับมาทำงาน
ไม่ได้กลับไปเรียนหนังสือ แต่ยังไม่ได้ปรากฎว่า
ยังไม่ได้กลับไปเทศน์ (หัวเราะ) ต้องเน้นเรื่องการเดินทาง
หลายคนบอกว่า ตั้งสติก่อนสตาร์ท
หลายท่านก็จะบอกว่าอย่าประมาทไม่ดีหลวงพ่อคูณ
ท่านก็บอกเอาไว้ เมาไม่ขับบ้าง หลายสิ่งหลายอย่าง
เรานึกไว้ว่าคนเดินทางเยอะแยะมากมายเราต้องระวังทั้งตนเอง
และระวังคนอื่นอีก รถซ้ายรถขวา รถหน้ารถหลัง
มันต้องระมัดระวังหลายอย่าง แต่ว่าเอาล่ะเรามาเริ่ม
ที่ตัวเองก่อนอย่างพึ่งไปเริ่มที่คนอื่น
ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีมากมาย แต่มีสติอยู่เสมอ

ฉะนั้น สติให้ได้ ทุกเรื่องโดยเฉพาะปีใหม่นี้
สติต้องมีอยู่มากมาย ต้องไม่ไปทำอะไรที่ขาดสติ
ไม่ว่าจะเป็นแอลกฮอลล์ เป็นเหล้า
ยาเสพติดต้องไม่ยุ่งเกี่ยวเลย 2 เรื่องของจิตใจ
ใจจะต้องใจเย็นถ้อยทีถ้อยอาศัย ผมก็รีบ คุณก็รีบ
ใครก็รีบอย่าไปฉุนเฉียวโมโห
บางคนใครขับปาดหน้านิดหน่อยบรรดาสัตว์เลื้อยคลานเต็มรถเลยบางคน

อาตมา เคยกลับกับโชเฟอร์คนหนึ่ง
ถามว่าหลวงพี่พร้อมไหม พร้อมอะไรล่ะโยม
ก็พร้อมที่จะเสี่ยงกับผมไง แล้วแกก็ขับไปปาดหน้าเค้าเกินแล้วมี
การท้าเอาไหม เอาไหม ชนกับกูไหม รถกูมีพระน่ะ
เราก็คิดค่ารถเราก็จ่าย ทางเราก็บอก
มีปัญญายังจะให้พระเคลียร์อีก คือต้องรักษาอารมณ์ด้วย
คือนึกภาพน่ะ รถติด ขึ้นทางด่วนมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก อันดับ 9
ไปติดบนทางด่วน แต่ช่วงปีใหม่คิดว่าท่านคงจะใจดี
คงจะปล่อยให้ไม่เก็บค่าทางด่วน คงจะปล่อยๆออกไป
ยังไงก็นึกถึงหน้าพ่อแม่ ทุกครั้งที่อาตมากลับบ้าน
อาตมาทำงานเกือบทุกวัน อาตมากลับบ้านทุกเดือน

อย่างเมื่อวานนี้ อาตมาก็พึ่งไปมานึกถึงพ่อแม่ก็จะเตือนโชเฟอร์ว่า
ค่อยๆขับเหนื่อยก็พักน่ะ เมื่อคืนก็กลับมาถึงประมาณ
สัก ตี 4 ตี 5 ค่อยๆไปน่ะไม่แน่ใจก็อย่างไป ไฟเหลืองนี่ก็ต้องเตรียมหยุด
ถ้าไปถามโยมนี่ไฟเหลืองคือไฟที่ต้องเร่งเพื่อไม่ให้ติดไฟแดง
ซึ่งก็ไม่ได้ ฉะนั้นเราก็ต้องนึกถึงหน้าพ่อแม่ พี่น้อง หน้าที่การงาน
ที่เราต้องกลับมาทำต่อ ฉะนั้นมันไม่คุ้มที่เราเสี่ยงเพียงแค่เสี้ยวนาที
แล้วมันเกิดอุบัติเหตุ วันนี้ก็เจอ 3 คนซ้อนเนื่องในวันพ่อ
เวลาเราเห็นปุ๊บเค้าก็จะทักด้วยความตื่นเต้น
อุ๊ยดูสิรถชนกัน เราตื่นเต้นได้ แต่อย่าไปทำเหมือนเค้าน่ะ เราต้องระมัดระวัง

ฉะนั้น ทุกคนควรจะไม่เป็นเลยดีกว่าเพราะมีแต่ความสูญเสีย
ซ่อมรถซ่อมรา รถยังซ่อมได้แต่คนซ่อมไม่ได้
ฉะนั้นก็ต้องระมัดระวัง มีสติในสต็อก
ถ้าเราไม่มีสติในสต็อกระวังจะช็อคและน็อคก่อนหมดสติ
อัปปะนาโทอัปปะมะทังปะนัง
ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความไม่ตาย
ทำอะไรทุกอย่างต้องมีสติ

เคล็ดไม่ลับปะทะความไม่ประมาท

ทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกรู้อยู่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวัง
มันจะอันตราย รู้ว่าเซฟตี้เฟิร์สจะปลอดภัย
แต่คนเราก็ง่ายๆคนของอาตมาตำรวจมา
ข้างหน้ามีตำรวจ รัดเข็มขัดดีกว่า
อาตมาก็ย้ำเลยนี้เข็มขัดนิระภัยนี่
เขาไม่ได้เขียนไว้ข้างๆ น่ะว่ากรุณารัดเมื่อเห็นตำรวจ
กรุณารัดเมื่อเห็นจ่า เมื่อเห็นสารวัตร
เขาให้รัดเพื่อความปลอดภัย
คุณเข้าใจผิดหรือเปล่าคุณมารัดเมื่อเห็นตำรวจอยู่ข้างหน้า

มัน ไม่ใช่คุณต้องรัดเพื่อความปลอดภัยของคุณ
เพราะอุบัติเหตุคือเหตุที่เกิดขึ้นทันทีทันใด
อุบัติขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครคาดการณ์
ฉะนั้นคุณจะต้องเซฟเป็นนิสัย อาตมาไม่รู้หรอก
ถ้าอาตมานั่งหน้าก็จะรัดเข็มขัด หรือว่านั่งหลังก็ตามจับหาแล้ว
ถึงจะมีย่ามวางบนตัวก็เอาออกมารัดเข็มขัดให้เรียบร้อยก่อน
คือต้องทำเป็นนิสัยว่าเรารัดเพื่อความปลอดภัยเพื่อชีวิตของเรา
เพราะว่า 4 อย่างบนโลกนี้เป็นเรื่องยาก
การไม่ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องยาก
การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์เป็นเรื่องยาก

การ เกิด ขึ้นของเราเป็นจักรพัตร พระเจ้าอยู่หัว
เป็นเรื่องยากการไม่เคยเป็นมนุษย์ของเราๆเป็นเรื่องยาก
กว่าเราจะได้เกิดมาบำเพ็ญไม่รู้กี่แสนกี่ล้านชาติ
เราเกิดมาแล้วเรามาตายด้วยความประมาท ความเสียสติ
ความไม่เอาใจใส่มันไม่คุ้มกัน ตายเพราะเพื่อชาติ
กู้ระเบิดผิดพลาดพลั้งไป สุดวิสัยจริงๆ รู้สึกว่าคุ้ม
แต่ว่ามาตายเพราะดื่มนิดดื่มหน่อยไม่เป็นไรหรอกก็เมา
นอนพักผ่อนไม่เพียงพอแต่ผมขับได้ผมเก่งขับไปแล้ว
หลับในมันไม่มีอะไรคุ้มเลย แล้วก็ไม่ใช่ชีวิตคุณชีวิตเดียว
ชีวิตคนอีกมากมาย

อย่างอาตมานี่ ถ้าโชเฟอร์อาตมาประมาทไม่พักผ่อนดื่มเหล้า
ใจร้อนไม่ระมัดระวัง แล้วเกิดอะไรขึ้น อาตมาคุ้มไหมนี่
นอนอยู่บนรถดีๆ นั่งอยู่บนรถดีๆ ก็เสียทรัพยากรอีกเนี่ย
เสียคนเสียทรัพย์สิน เสียอะไรต่างๆเสียชีวิตไปมากมาย
มันก็ไม่คุ้มกัน คิดแค่นี้ก็ต้องสำนึกได้แล้ว
คิดง่ายๆทำอย่างไรให้อารมณ์เย็นแล้วไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ 2 อย่าง
1 คุณออกไปข้างนอกคุณเจอแน่2 สิ่ง หนึ่งสิ่งดีๆ ขับรถมีน้ำใจกับคุณ
พูดดีกับคุณ ไม่ขับปาดหน้า ปล่อยให้คุณไปก่อน
นี่คือสิ่งงดีๆบันทึกไว้ในสมองซีกหนึ่ง
2.กินเหล้าแล้วขับรถ เห็นคนขับรถปาดหน้า
เห็นคนพูดจาหยาบคาย คิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดี
เป็นสิ่งไม่ดี แต่เป็นสิ่งดีสำหรับเรา
เพราะเราจะไม่คิดเราจะไม่พูดเราจะไม่ทำแบบนั้น
เราจะไม่ไปพูดจายียวนกวนประสาท
ปาดหน้ากันแล้วก็ยียวนกัน เราจะไม่เข้าซ้ายออกขวา
ปัจจุบันทำด่วนไม่เปิดไฟเลี้ยวเลย เลี้ยวแล้ว
เห็นเค้าผ่าไปได้เราผ่าไปบ้าง ไม่เอา
อันไหนไม่ดีเป็นสิ่งดีสำหรับเรา
เพราะเราจะไม่คิดเราจะไม่พูดเราจะไม่ทำแบบ นั้น
คุณจะเป็นคนที่ค่อยๆสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆและ
เป็นคนดีมีน้ำใจและมีความปลอดภัย ในชีวิต
ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับคนเรา
อยู่ในโรงพยาบาลไม่มีคนอยากตาย
อยากให้หมอช่วย อยากให้หมอรักษา
ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ
คุณยังไม่ได้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้นเลยคุณป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นดีกว่า

เหมือน คุณศักดิสิทธิ์ แท่งทอง
ผมยอมอยู่ในสนามฟุตบอลวันละ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง
ดีกว่าไปนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเป็นวัน 2 วัน
เป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์ เป็นเดือน 2เดือน
เช่นเดียวกันคุณยอมที่จะไม่ดื่ม คุณยอมที่จะไม่ประมาท
คุณยอมที่จะใจเย็นมีน้ำใจชีวิตคุณปลอดภัย
พ่อแม่ญาติพี่น้องสามีภรรยาลูกหลาน
รอคุณอยู่ซึ่งเป็นของขวัญที่ล้ำค่า
ปีใหม่จะซื้อผ้าถุง ซื้อโสร่ง ซื้อผ้าไหม ซื้อตุ๊กตา
ซื้อสร้อยซื้อแหวนมันก็ไม่มีค่า เท่ากับของขวัญคือชีวิตคุณ
เอาของขวัญเหล่านี้ไปให้มันไม่มีค่าเท่ากับชีวิตคุณ
เขาเห็นหน้าคุณเขามีความสุขแล้ว
ลองคิดดูถ้าคุณเอาของขวัญชิ้นนั้นแล้วคุณจากไป
แล้วมีคนนำของขวัญชิ้นนั้นไปให้พ่อแม่สามีภรรยาลูกคุณ
เขาจะอยากได้ไหม ไม่อยากได้หรอก
เพราะคนที่ให้ไม่อยู่แล้ว ฉะนั้นคนที่ให้เป็นอะไรที่สำคัญที่สุด
สิ่งที่ให้ไม่ได้สำคัญมากกว่าคนที่ให้
ฉะนั้นคุณต้องรักษาชีวิตของคุณก่อน
คิดแค่นี้ก็เป็นเคล็ดลับที่อาตมาต้องย้ำกับทีมงาน
ผู้ประสานงานว่าต้องระมัดระวัง
ต้องใจเย็น ให้เขาไปก่อนก็ให้เขาไป

เรื่องเล่า เรื่องเหล้า สิ่งที่ไม่ควรคู่กัน...?

วันไหนพี่ไทยก็เมา ย้อนกลับไปตั้งแต่กำเนิดเกิดสุรามา
เริ่มจากผลไม้ที่หมักหมมกันแล้วมีแอล์กฮอลล์กินไปก็เริ่มมึนเริ่มเมา
บางคนเอาลูกเชอร์รี่ไปหมักเอาน้ำใส่บางทีก็เป็นแอล์กฮอลล์แล้ว
ไม่มีข้อดีเลย กินที่ปากแล้วเมาที่ขา เดินเป๋
แล้วก็มีเลือดหมูเลือดหมาเลือดงูเลือดเสือ
เลือดหมูก็นอนกลิ้งเกลือก อ้วก หน้าตาเลอะ
เลือดงูก็เดินเลื้อยไปเลื้อยมา เลือดเสือเลือดหมาก็ดุ
หรือเกินบางคนก็ดุเหมือนเสือบางคนก็ดุเหมือนหมาก็จะ
เป็นที่ไม่มีอะไรดีเลย เป็นโรคตับแข็งทำให้ขาดสติทำให้เกิดอุบัติเหตุ
เสียเงินเสียทอง ลูกเมียไม่สบายใจพ่อไปเมา
มาทะเลาะเงินทองจะเหลือไหมไปเที่ยวนั้นเที่ยวนี่
เที่ยวผู้หญิงมีลูกมีหลานก็ข่มขืนได้
ฆ่าคนตายพ่อแม่พี่น้องก็ฆ่าได้ขาดสติ
ฉะนั้นมันไม่มีข้อดีอะไรเลยสักอย่าง
พอหายเมาก็มีแฮ็งค์อีก มึนๆงงๆ จังซี่มันต้องถอนอีก
จริงๆไม่ต้องถอนหรือมันต้องกดออกไปเลย
กดออกไปจากชีวิตเรา

ยกตัวอย่างเช่นพี่ชายคนโตของอาตมาไม่ดื่มเหล้า
ทำงาน สู้พี่ชายคนรองไม่ได้ พี่ชายคนรองทำงานดีกว่า
แต่ทำงานดื่มเหล้า เครดิตของพี่ชายคนโตดีกว่าพ่อแม่ภูมิใจมากกว่า
ทำงานไม่เยอะเท่าพี่ชายคนรองแต่ไม่ดื่มเหล้า
เค้าได้เครดิตเยอะมาก พี่ชายคนรองก็น้อยใจ
เค้าทำงานดีกินเหล้านิดหน่อยทำไมไม่รักเราเท่ากับพี่ชาย คนโต
เราก็ตอบไปเลยเพราะพี่ชายคนโตไม่กินเหล้า
แล้วพี่ชายคนรองก็ไปบวชออกจากเหล้า
ไม่ดื่มเหล้าอีกเลย เขามีเครดิตมากพ่อแม่ญาติพี่น้องชื่นชม
ทั้งๆที่พูดตามตรงทำงานไม่สู้พี่ชายคนรอง
พี่ชายคนรองทำงานขยันขันแข็งแต่ดื่มเหล้าเสียเครดิตไปเยอะ
เสียเงินเสียทอง เอาล่ะไม่เคยว่าใคร ไม่เคยว่าใคร
แต่พอดื่มเหล้า บ่นว่า มันทั้งเสียเครดิต เสียสุขภาพ
เสียเงินเสียทอง เสียชีวิต ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยสำหรับเหล้านี่
เพราะฉะนั้นอย่างไปยุ่งเกี่ยว

ความเชื่อแขวนพระที่คอจะปลอดภัย

เวลา เรายกเหล้ายกเบียร์ข้ามหัวข้ามศรีษะท่านไป
ท่านก็เริ่มมึนแล้วบางทีเมาก็
แกว่งน่ะพระก็แกว่งไปแกว่งมา
บางทีมีเรื่องไปต่อยมาหลวงพ่อช่วยผมหน่อย
จะไปช่วยได้อย่างไงพระยังมึนอยู่เลย
ไม่ปลอดภัยหรอกหลวงพ่อก็ช่วยไม่ได้
เพราะท่านกำลังเวียนหัวอยู่

ข้อดีของการมีชีวิตอยู่

เรา จะเห็นว่าหลายคนที่มีอุดมการณ์เสียชีวิตไป
จากอุบัติเหตุหรือการฆ่าตัวตาย ก็ตาม
อาจจะเกิดจากปรากฎการณ์แรงบันดาลใจให้คนอื่นรักธรรมชาติมากขึ้น
รักป่าไม้มากขึ้น รักสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
แต่ถ้าเกิดท่านอยู่ท่านจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่านี้
ถ้าคุณมิตรชัย บัญชาไม่เสียชีวิตอาจจะเล่นหนังเป็น
พัน สองพันเรื่อง สามพันเรื่อง แทนที่จะเป็น7 ร้อยเรื่อง
ถ้าท่านไม่ประสบอุบัติเหตุท่านต้องเล่นหนังเยอะกว่านั้น
ท่านจะต้องเป็นที่รู้จักมากกว่านี้ ถ้าท่านสืบ นาคะเสถียร
ไม่เสียชีวิตไปเชื่อว่าท่านก็จะทำประโยชน์เป็นความรู้ให้กับลูกหลานหรือ
คน ที่รักป่าไม้รุ่นหลังๆมากกว่านี้แน่นอน
ฉะนั้นการมีชีวิตอยู่สร้างประโยชน์มากมาย
แต่คุณต้องเป็นคนดีทำความดี คิดดีพูดดีคบคนดีไปสู่สถานที่ดีๆด้วย
จึงจะเป็นประโยชน์ฉะนั้นประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ก็คือ
คุณได้ทำประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นต่อตัวคุณเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคม ต่อโลกใบนี้
ดูแลธรรมชาติ ก็จะเป็นชีวิตที่มีประโยชน์อย่างมากมาย
นี่คือสิ่งที่ดีของการมีชีวิตอยู่ กลับมาทำงานให้บริษัท
บริษัทมีพนักงานไม่ต้องหาใหม่
มีกำไรก็เอามาพัฒนาสังคมเป็นภาษีให้กับบ้านเมืองได้
ประโยชน์ก็เกิดขึ้นแล้ว บางคนเป็นหัวหน้าครอบครัว
คุณมีชีวิตอยู่ครอบครัวคุณก็ไม่ลำบาก บางคนเป็นลูกชายคนโต
เป็นลูกสาวคนโต หรือคนรอง เป็นหลักของครอบครัว
สร้างรายได้ให้กับครอบครัว การที่คุณมีชีวิตอยู่ก็ทำให้ครอบครัวคุณมั่นคง

ข้อคิด กับ สิ่งที่ต้องปฏิบัติ

ก่อนจะอวยพรก็ฝากข้อคิดว่าปีเก่าผ่านไปเป็นปีที่
เราจะได้ทบทวนว่าอะไรผิดพลาด พลั้งไป
เราเสียความสามัคคีในชาติ จะได้แก้ไขปรับปรุงพัฒนา
เราเสียประโยชน์ไปมาก ขาดความสุขไปแยะ
เราก็มาพินิจพิจารณาความไม่ดีเราก็จะเลิกไป
พิจารณาว่าอะไรดีๆเราก็จะได้ทำต่อไป
รักกันสามัคคีกันที่เราทะเลาะกันผิดอยู่แค่ 3 ข้อ
ความคิด ความเห็น ความจริง
เราติดอยู่แค่ 2 ท่าน คิดไม่ตรงกัน
เห็นไม่ตรงกันเห็นไม่ตรงกันเราก็เลยทะเลาะแบะแว้งกัน
สุขาสังคสะสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจ(ในการทำความดี)
นำสุขมาให้ ทุกวันนี้ต้องมีวงเล็บด้วย
ความสุขความสามัคคีในการทำความไม่ดีก็มีเยอะ
ความสามัคคีในการทำความดีนำสุขมาให้ปีใหม่เข้ามาแล้ว
โชคดีมากที่เป็นอีกปี หนึ่งที่เรามีอายุเพิ่มขึ้น
ร่างกายเราเจริญเติบโตมากขึ้นประโยชน์ที่เกิดแก่ตัวเรา
ก็ต้องมากขึ้นด้วย อย่าเจริญเพียงแค่เนื้อ
เพียงแค่น้ำหนัก เพียงแค่อายุ
เพียงแค่ความร่ำรวย
แต่จงเจริญด้วยความดี
เจริญด้วยประโยชน์ที่เกิดขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง
เหมือนพ่อหลวงของเรา
ทุกปีที่พระองค์ครองราชย์เพิ่มขึ้นจาก 60 กลายเป็น 62…63…
พระองค์สร้างมาเรื่อยๆจาก 100 โครงการ
1,000 โครงการ จากปัจจุบัน 4,000 กว่าโครงการ
ประโยชน์มากขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เราเองก็เหมือนกันทำประโยชน์อะไรให้กับ ประเทศนี้โลกนี้
สุดท้านถ้าเราขาดกำลังใจนึกถึงพ่อแม่ครอบครัว
สามีภรรยาลูกหลานเราจะต้องดูแลรักษาตัวเองไม่ดื่มเหล้า
ไม่เล่นการพนันไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
ขับขี่ให้ปลอดภัยไม่ประมาทเพื่อที่จะรักษาชีวิตของเรา
เป็นความหวังให้แก่ บุคคลรอบข้างเราแม้กระทั่งตัวเราเองด้วย

เนื่องในโอกาสวันปีใหม่ ขอให้ทุกคนทุกท่านเดินทางไปไหน
ขอให้เดินทางไปไหนเดินทางด้วยความระมัดระวัง
มีสติอยู่เสมอ มีความปลอดภัย ปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใด
ไปขอพรที่ไหนก็ขอให้มุ่งมาถปรารถนา
คิดสิ่งใดหวังสิ่งใดที่เป็นโดยชอบประกอบด้วยธรรม
ขอให้สิ่งนั้นผ่านสำเร็จ แก่ทุกคนทุกท่าน

ขอเดชะพระพุทธรัตนกำจัดทุกข์เจริญสุขกิติศักดิ์มีหลักฐาน
ขอเดชะพระธรรมรัตนกำจัดทาน ให้ไปตามผุดผ่องพ้นผองภัย
ขอเดชะพระสังฆรัตนกำจัดโรค ให้เสื่อมโทรมเกิดจนเกินภัย
ขอเดชะพระตรัยรัตนกำจัดภัย เจริญวัยเจริญศรีทวีงาม
ขอให้อารมณ์ดีตลอดปีตลอดชาติและตลอดปีใหม่และปีต่อๆไป


ภาพประกอบ: ชัย ราชวัตร

Dec 26, 2009

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ.2553




วันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม พ.ศ.2486
คนไทยร่วมกันทำบุญตักบาตรที่ท้องสนามหลวง
นับจากวันนี้อีกเพียง 4 วัน ก็จะถึงวันเปลี่ยนศักราชเป็น พ.ศ.2553
ผมจึงขอถือโอกาสอวยพรวันปีใหม่มายัง
ท่านที่เคารพทุกท่านตามประเพณี

ที่เราถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่โบราณกาล
ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพบูชา
ตลอดจนพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จงดลบันดาลให้ทุกท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรสี่ประการ
ปราศจากโรคาพาธ อุปัทวันตรายทั้งหลายทั้งปวง
ทำมาค้าคล่องคิดปรารถนาสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีงาม
จงสัมฤทธิผลทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ

เพลงพรปีใหม่
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

วันปีใหม่ไทยนั้นเราถือเอาวันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่
เปลี่ยนศักราชมาเป็นเวลานานนับร้อยปี จนถึงปี 2483
จอมพล ป.พิบูลสงคราม

สั่งให้ใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันปีใหม่ตามสากล
ทำให้ปี 2483 มีเพียง 9 เดือน
นอกจากนี้ เพลงเถลิงศกที่ ท่านขุนวิจิตรมาตรา
แต่งเนื้อร้องวันปีใหม่ 1 เมษายนจึงใช้ไม่ได้ เพราะเนื้อร้องไม่รับกัน
โดยเพลงเดิมมีว่า "วันที่ 1 เมษายน วันตั้งต้นปีใหม่"
พอเป็นมกราคมก็จะสะดุดไม่รับกับ "ตั้งต้นปีใหม่"
พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร
จึงขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคม วันประถมปีใหม่"
เพื่อ ให้รับกับมกราคมด้วยประการฉะนี้

เพลงพรปีใหม่
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
พระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ.2495
คำร้อง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์
สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรอันปราณี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ทุกวัน ทุกคืน ชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ







*******
เพลงเถลิงศก ที่ดังก้องกังวาลทั่วเมืองไทย ยุค 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่
ในสมัยที่เรายังถือเอาวันที่ 1 เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่
บรรยากาศของเมืองไทยเป็นช่วงฤดูร้อน
ทุกคนแต่งตัวตามสบายใส่เสื้อกุยเฮงคอกลมสีฉูดฉาด
บางคนนุ่งกางเกงแพรปั๋งลิ้นสีดำ และกางเกงแพรสีต่างๆ เข้ากับเสื้อกุยเฮง
ฝ่ายหญิงที่อายุมากก็จะนุ่งผ้าลาย ห่มผ้าแถบ
ส่วนสาวๆ ก็จะนุ่งผ้าลายบ้าง นุ่งซิ่นบ้าง
บางคนใจถึงก็ห่มสไบเฉียงพร้อมเพรียงกันมาตักบาตร
ที่ท้องสนามหลวงในตอนเช้าตรู่ของวันที่ 1 เมษายน
ส่วนคืนวันสุดท้ายของปีเก่าก็จะมีการเลี้ยงดูกัน
ระหว่างครอบครัวและญาติสนิทมิตรสหาย
ไม่ไปกินไก่งวงเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสอย่างฝรั่งเขาของเรามีแต่
การทำบุญตักบาตร เสียงเพลงวันปีใหม่จะก้องกังวานไปทั่วเมืองไทย
ซึ่งผมขอถือโอกาสนำเอาเพลงวันขึ้นปีใหม่ 1 เมษายน
มาตีพิมพ์เอาไว้ให้ผู้ที่เกิดทันได้รำลึกถึงเพลงปีใหม่ในยุคนั้น

เพลงเถลิงศก
ของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์)
วันที่หนึ่ง เมษายน วันประถมปีใหม่ (เดิมวันตั้งต้นปีใหม่)
แสงตะวัน เรืองรองใส สว่างแจ่มจ้า
เสียงระฆัง เหง่งหง่างก้อง ร้องทักทายมา
ไตรรงค์ร่า ระเริงปลิว พลิ้วพลิ้วเล่นลม
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส

สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ
มองทางไหน มีชีวิต จิตใจทั้งนั้น
ต้อนรับวัน ปีใหม่เริ่ม ประเดิมปฐม
มาเถิดหนา พวกเรามา มาหย่อนอารมณ์
มาชื่นชม นิยมยินดี ขึ้นปีใหม่แล้ว
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส

สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ
สิ่งใดแล้ว ให้แล้วไป ไม่ต้องนำพา
สิ่งผิดมา ให้อภัย ให้ใจผ่องแผ้ว
สิ่งร้าวราน ประสานใหม่ ให้หายเป็นแนว
สิ่งสอดแคล้ว มาสอดคล้อง ให้ต้องตามกัน
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส

สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ
มาชื่นชม แสดงยินดี ในวันปีใหม่
มาทำใจ ให้ชื่นบาน ร่วมสมานฉันท์
มาเล่นหัว ให้เบิกบาน สำราญใจครัน
มารับขวัญปีใหม่ไทย อวยชัยไชโยฯ
(สร้อย) ยิ้มเถิด ยิ้มเถิดนะยิ้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส

สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดีฯ








ชาวบ้านกับผู้เขียน.

และจากเพลงวันปีใหม่ของโบราณ ผมขอ อัญเชิญเพลงพรปีใหม่
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ซึ่งมี
เนื้อร้องที่นิพนธ์โดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์

เพ็ญศิริ จักรพันธ์ เพื่อเป็นเพลงปีใหม่
ของเก่าและปัจจุบันให้ท่านได้ทราบความเป็นมาของเพลงปีใหม่ทั่วกัน



ป้ายหมู่บ้านโอทอป.

สำหรับรายการครอบจักรวาลในปีใหม่ นี้จะมี
รายการปิดทองหลังพระ ซึ่งเป็น โครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้
มีการทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวอย่างพอเพียง
และเป็นโครง การที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม
แต่โครงการทั้งหลายไม่ได้เผยแพร่ ให้คนทั่วไปได้รับรู้
เรียกว่าเป็นโครงการเปรียบเสมือนการปิดทองหลังพระโดยแท้


กอกระจูด.
คุณสุชาดา ยุวบูรณ์ และคุณเยาวลักษณ์ แพ่งสภา เลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากกอกระจูด.


การนวดกระจูด.

เพื่อที่จะให้โครงการที่พระราชทานแก่
พสกนิกรชาวไทยได้เผยแพร่รู้กันทั่วเมืองไทย
จึงมีรายการที่เสมือนปิดทองหลังพระให้ผู้คนได้ล่วงรู้ว่า
มีโครงการอันใดบ้างที่เป็นประโยชน์ต่อพสกนิกรชาวไทยและประเทศชาติ
เพื่อจะได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระราชทานแก่ชาวไทยทุกหมู่เหล่า
ซึ่งรายการครอบจักรวาลจะได้เสนอออกอากาศทาง ทีวีช่อง 5 สนามเป้า
ทุกวันอาทิตย์เวลาประมาณแปดนาฬิกาเศษ

โครงการแรกนั้นเป็น โครงการสานกระจูด
ให้เป็นผลิตภัณฑ์ หลายอย่างจาก "จักสานบ้านกวี"
ที่ บ้านมาบเหลาชะโอน อำเภอแกลง จังหวัดระยอง http://www.blogger.com/www.bannkawee.com

ผลิตภัณฑ์จากกระจูด.

บ้านมาบเหลาชะโอน มีบึงใหญ่เนื้อที่ 3,870 ไร่
มีกระจูดขึ้นอยู่เต็ม ใน สมัยรัชกาลที่ 1 ชาวบ้านท้องถิ่นนี้เป็นเชื้อชาติ "ชอง"
(หมู่ชนที่ความเจริญยังเข้าไม่ถึงเช่นเดียวกับ ขมุ ทางภาคเหนือ)
มีกิจกรรมสานเสื่อกระจูดเป็นส่วยส่งเข้าเมืองหลวง
ต่อมาชาวบ้านได้สานกระจูดเป็นถุงใส่น้ำตาลทรายแดง
ต่อมาทางโครงการปิดทองหลังพระได้มาฟื้นฟูบึง
สำนักใหญ่ให้เป็นที่ใช้ในการอุปโภค บริโภค
ตลอดจนปลูกต้นกระจูดเพื่อนำเอามาพัฒนา แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายอย่างด้วยกัน
ทำให้ชาวบ้านที่สืบทอดการทอเสื่อกระจูด
มีรายได้สำหรับเลี้ยงครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขทั่วหน้ากัน


การสานกระจูด.

วันนี้เป็นการนำเรื่องดีๆ มาฝากคนไทยให้ได้ชื่นใจกันต้อนรับปีใหม่ 2553.

ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์



Dec 25, 2009

"มองโลกแง่ดี" ใช้ศักยภาพที่มีฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ


คมชัดลึก :
จากภาวะเศรษฐกิจรวมถึงสภาพสังคมที่ย่ำแย่ในปัจจุบัน
ทำให้ผู้คนเริ่มท้อแท้กับการใช้ชีวิตและ
หาหนทางในการดำเนินชีวิตต่อไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้
บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) ร่วมกับ
บริษัท เจ เอส แอล โกลบอล มีเดีย จำกัด
ได้จัดโครงการพิเศษ "เปลี่ยนร้าย เป็นรวย"
โดยมีวิทยากรมืออาชีพ 3 ท่านมาร่วมให้ความรู้
เพื่อแนะทางออกและสร้างกำลังใจให้แก่คนที่กำลังสิ้นหวัง


ดำรงค์ วงษ์โชติปิ่นทอง วิทยากรด้านพลังแห่งการคิดบวก
พูดถึงเรื่องนี้ว่า ปัจจุบันคนพูดถึงเรื่องการคิดบวกมากขึ้น

แต่ส่วนใหญ่จะพูดกันได้แต่ทำไม่เป็น

เพราะชีวิตประจำวันของคนใน

สมัยนี้ไม่ค่อยมีเรื่องดีเข้ามาในหัว เช่น

เช้ามาก็ดูข่าวฆาตกรรม ข่าวเรื่องไม่ดีของผู้อื่น

พยายามหาแต่ข่าวร้ายมาใส่ตัวเองจนเกิดเป็นความเคยชิน

โดยลืมไปว่าเราควรบริโภคข่าวสารทีมีประโยชน์มากกว่า

เพื่อทำให้สมองได้รับรู้เรื่องดีๆ บ้าง
แต่การคิดบวกให้ได้ในทันทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

เพราะคนเราเกิดมามีจิตใต้สำนึกภายในที่ปลูกฝังมานาน
ต้องใช้เวลาพอสมควรในการที่จะทำให้หันมาคิดเรื่องที่ไม่คุ้นเคย
"ถ้าเราเริ่มคิดบวกเราก็จะสามารถ
มองทุกอย่างในชีวิตให้มีความสุขได้
แม้กระทั่งเรื่องที่เลวร้ายเช่น คนที่กำลังผ่าตัดก็จะมองได้ว่า
สิ่งที่กำลังผ่าออกไปเป็นสิ่งไม่ดี หรือถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
กับชีวิตก็สามารถคิดได้ว่าดีแล้วที่เป็นอย่างนั้น เป็นต้น
คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานส่วนใหญ่จะคิดบวกเสมอ
แม้ว่าจะมีปัญหาเศรษฐกิจก็คิดว่าไม่เลวร้ายขนาดที่เป็นข่าว
เราต้องฝึกทีละนิดแล้วจะรู้ว่าการคิดบวกทำให้ขีวิตดีขึ้น"

วิทยากรด้านพลังแห่งการคิดบวก บอกถึงข้อดีของการคิดบวก
"มองโลกแง่ดี" ใช้ศักยภาพที่มีฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ
ด้าเดิมพัน อยู่วิทยา
สถาปนิกการเงินนักออกแบบและวางแผน การเงินแนวใหม่
บอกถึงเรื่องของการวางแผนทางการเงินว่า
เริ่มต้นเราต้องรู้เป้าหมายของชีวิตก่อนว่าจะทำอะไร
หลังจากนั้นก็เริ่มวางแผนในการที่
จะทำให้ชีวิตเดินไปตามที่ตั้งเป้าไว้อย่างมีความสุขให้ได้
โดยถ้าอยากวางแผนการเงินให้ได้ผลดี
ก็ต้องรู้จักเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองเกี่ยวกับการใช้เงินก่อน
คนบางคนอาจกลัวที่ต้องเปลี่ยนแปลง
เพราะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะสำเร็จไหม
แต่ที่จริงแล้วควรคิดไว้เสมอว่า
ความสำเร็จบางอย่างก็มักมาพร้อมการเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้นอย่ากลัว
ส่วนในภาวะที่ย่ำแย่ในปัจจุบันต้องอย่าท้อคิดเสมอว่า

ทุกวิกฤติสามารถฝ่าฟันไปได้ถ้าตั้งใจ
อีกทั้งเราไม่ได้เผชิญเรื่องราวเหล่านั้นคนเดียว
ยังมีคนที่โดนหนักกว่าอยู่อีกมากมาย
ปิดท้ายด้วย สิริลักษณ์ ตันศิริ วิทยากร
ด้านการค้นหาศักยภาพที่ซ่อนอยู่
บอกถึงความสำคัญและวิธีการค้นหาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวว่า
ถ้าเราไม่ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวให้เต็มที่ก็เหมือนการที่มีของดี
แต่ไม่ได้ใช้ แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาศักยภาพและนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่
ความสำเร็จ ความร่ำรวย ทุกอย่างก็จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
และอาจจะมากเกินกว่าที่เราคาดหมายไว้ด้วย
"คนเราจะต้องรู้หลักคิดก่อน
เพราะความคิดจะส่งผลไปถึงอารมณ์และความรู้สึก
บางคนชีวิตยากลำบากเลยท้อแท้ไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร
อยากให้ลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า
เราสามารถทำอะไรก็ได้ถ้าอยากจะทำ
พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในตัวเอง
อีกทั้งในทุกวันจะต้องมีความสุข
ก่อนถ้ามีความสุขก็จะทำสิ่งต่างๆ ได้ดีมากขึ้น
อย่าปล่อยให้สภาวะแวดล้อมมามีอิทธิพลกับชีวิต
เพราะทุกคนจะมีความสามารถบางอย่างที่ทำได้ดีกว่าคนอื่นอยู่
แต่ไม่เคยสำรวจและใช้ความสามารถนั้น
อย่างเต็มที่เพราะกลัวหรืออายที่จะทำ"
วิทยการด้านการค้นหาศักยภาพทิ้งท้าย
























ผู้ที่สนใจอยากเป็น 200 ท่านที่ได้เข้าร่วมรับฟัง
การอบรมจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน
สามารถส่ง sms เข้าตอบคำถามในรายการ สุริวิภา
ทางหมายเลข 4221055 ตลอดเดือนมิถุนายนนี้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 08-9888-5177

เรื่อง... "ณัฐพงษ์ โปธา"















Dec 23, 2009

ไม่อยากอ้วนควรรับประทานอย่างไร





ปัจจุบันวิถีการใช้ชีวิตของคนเราเปลี่ยนไป
เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยี
ความเร่งรีบของการดำเนินชีวิต
วัฒนธรรมของต่างชาติที่เข้ามาในบ้านเรา
ทำให้การเลือกรับประทานอาหาร
ของเราเปลี่ยนไปสังเกตได้ว่า
อาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มี
แป้ง น้ำตาล ไขมันเป็นส่วนประกอบมากขึ้น
แต่ขาดอาหารที่ให้วิตามิน เกลือแร่
อาหารที่มีเส้นใยทำให้ความสมดุลของ
การเผาผลาญอาหารผิดปกติไปส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ
ที่มาจากการรับประทานอาหารไม่ได้สัดส่วนตามมา
เช่นโรคอ้วน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา
ดังนั้นเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ได้สัดส่วน
ในแต่ละมื้อเพื่อป้องกันการเกิดโรคอ้วน
และสำหรับผู้ที่อ้วนแล้วก็ต้องควบคุมอาหาร
(การควบคุมอาหารที่ดีคือการควบคุมปริมาณของ
อาหารที่รับประทานแต่ไม่ใช่การลดคุณภาพของอาหาร)
โดยมีหลักง่ายๆ คือ
1. อาหารกลุ่มข้าวและแป้ง
ต้องรับประทานให้พอดีไม่ควรงดรับประทานเลย
เพราะอาจทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงส่งผลให้ร่างกาย
เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำสำหรับข้าวและแป้งที่เหมาะ
สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักแนะนำ
ให้เลือกที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น
ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต ธัญพืช
(ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ลูกเดือย)
เพราะจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายช้าๆ
2. อาหารที่กลุ่มโปรตีนหรือเนื้อสัตว์
แนะนำเลือกที่ไม่ติดหนัง ติดมันต้องหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น
แฮม ไส้กรอก กุนเชียง
เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงและมีไขมันซ่อนอยู่มาก
3. นม แนะนำให้เลือกรสจืดไขมันต่ำ
หากเป็นโยเกิร์ตแนะนำรสธรรมชาติ
หากต้องการมีรสชาติแนะนำให้เติมผลไม้สด
4. อาหารกลุ่มไขมัน ไขมันยังมีความจำเป็นต่อร่างกาย
เพื่อใช้ในการละลายวิตามินที่ใช้ไขมันละลายแนะนำให้
เลือกไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เช่น
น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว ยกเว้นน้ำมันปาล์ม
กะทิจากมะพร้าวและการปรุงประกอบอาหารแนะนำให้ใช้วิธี
อบ ต้ม นึ่ง ตุ๋น ย่าง ผัด แทนการทอดด้วยน้ำมันมากๆ
5. อาหารให้เส้นใยสูง ได้จากผักและ
ผลไม้ถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ)
เป็นส่วนใหญ่เพราะเส้นใยโดยเฉพาะชนิดที่ละลายน้ำ เช่น
เพคตินในแอปเปิ้ล สตอเบอร์รี่ ข้าวโอ๊ต
จะมีเมือกมากเมือกจะทำหน้าที่เกาะโคเลสเตอรอลแล้ว
ขับออกจากร่างกายสำหรับเส้นใยชนิดไม่ละลายน้ำ
เป็นยาระบายตามธรรมชาติ ป้องกันท้องผูกได้
6. ชา กาแฟ ไม่มีผลต่อการลดน้ำหนัก
แต่ต้องไม่เติมน้ำตาลหรือครีมเทียม
7. เลือกรับประทานอาหารที่มีพลังงานต่ำ เช่น
ผลไม้ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ
8. การวางแผนการรับประทานอาหาร
หากต้องไปงานเลี้ยงโดยในวันนั้นก่อนไปงานเลี้ยง
ต้องเลือกรับประทานอาหารไขมันต่ำเส้นใยสูงไว้ก่อน
เพราะงานเลี้ยงเราไม่สามารถทราบได้ว่ามีอาหารใด้บ้าง
9. มีการดัดแปลงอาหาร ให้เป็นอาหารพลังงานต่ำ เช่น
น้ำสลัด พบว่าน้ำสลัดมีน้ำมันพืชเป็นส่วนประกอบ
หากมีการดัดแปลงจากน้ำสลัดมาเป็นน้ำยำ
ก็จะทำให้ได้อาหารที่ไขมันต่ำ
10. การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกาย
มีความแข็งแรงดังนั้นการให้ความสำคัญ
ในการเลือกรับประทานอาหารและมีความตั้งใจ
ในการควบคุมน้ำหนักก็จะส่งผลให้มีสุขภาพที่ดี
แข็งแรงลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
เพิ่มความมั่นใจในบุคลิกภาพ
ของตัวเองข้อมูลจากโรงพยาบาลเวชธานี






























Dec 20, 2009

เทพ โพธิ์งาม ตลกร้ายของชีวิต

ข้อมูล: http://www.bangkokbiznews.com/
ฉากหน้าของนักแสดงตลก คือรอยยิ้ม
แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นั่นคือความจริง
แต่เป็นเพียงครึ่งเดียว หากหยดน้ำตานั้นไม่ใช่ความทุกข์เสมอไป

เอ่ยชื่อ
สุเทพ โพธิ์งาม บาง คนอาจสับสนและ

ตั้งคำถามว่าเกี่ยวดองเป็นเครือญาติกับ เทพ โพธิ์งาม อย่างไร
สิ้นสุดความสงสัยได้เลย
เพราะนั่นคือชื่อตามบัตรประชาชนของชายคนที่เราคาดหมายอยู่
เรารู้จักเขาในฐานะนักแสดงตลกขั้นเทพ (สมชื่อ)

ผู้มีความสามารถเจนจัดในวงการบันเทิง
เขายังคงรับงานแสดงอันหลากหลาย
ทั้งนักร้อง พิธีกร ละครภาพยนตร์
จนสามารถเพิ่มดีกรีเป็นผู้กำกับและเขียนบทภาพยนตร์
และล่าสุดกับบทบาทเจ้าของคอนเสิร์ต
"โชว์ป๋า พูดจาภาษาเทพ"
เทพ โพธิ์งาม เป็นคนปราจีนบุรี เชื้อสายอีสานแต่กำเนิด
แต่กลับลงไปเติบโตในแดนใต้ จังหวัดนราธิวาส
และเริ่มชีวิตทำงานที่หาดใหญ่กับหน่วยฉายหนังกลางแปลง

ได้เงินค่าจ้างวันละ 5 บาทเท่านั้น
ต่อมามีโอกาสเป็นนักพากย์การ์ตูนในหนังกลางแปลงอยู่เกือบ 7 ปี
แล้วชีวิตก็พลิกผันให้ไปคลุกฝุ่นเป็นกรรมกรในโรงถ่านสักพักหนึ่ง
เทพ โพธิ์งาม : ออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 12-13 ปี
ต้องขอบคุณพ่อแม่ที่เขาไม่มีสมบัติอะไรให้เรา
ถ้าเขามีให้ เราก็คงไม่เห็นอะไรแบบนี้
มันเป็นกำไรชีวิต ที่เรียนที่ไหนไม่ได้ มันสุดยอดมาก

ถ้าเกิดเป็นลูกคนรวย เราก็จะไปเจอชีวิตอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งไม่ใช่แบบนี้ ตรงนี้มันน่าสนใจกว่า
คนที่เริ่มจากศูนย์ มันน่าเรียนรู้มากกว่าอยู่สูงแล้ว
เพราะนั่นแปลว่าไม่มีอะไรให้เรียนรู้แล้ว
พอเจอปัญหา จน เจ๊ง ความฉิบหาย ก็ไม่รู้จะแก้ยังไง
ไม่เหมือนเด็กที่หากินด้วยตนเอง
เขาจะรู้ว่าจะไปของเขาได้ยังไง

เมื่อชีวิตลิขิตเองได้ เทพก็เลือกกำหนดให้สองขาเดินบนเส้นทางมายา
เขาไม่แน่ใจว่า มันคือพรสวรรค์ด้านการแสดงหรือไม่
แต่ที่จำได้ ตอนเป็นเด็กชอบเอาผ้ามาขึงเป็นโรงลิเก
เอาไม้ไผ่มาทำระนาด เอาหนัง
เอากล่องมาทำเป็นกลอง
แล้วก็พากย์เสียง สนุกไปตามประสา
จินตนาการขนาดจิ๋วของเขา ทำให้เชื่อมั่นลึก ๆ ว่า
นี่คือความตั้งใจที่ฝังรากลึกมานานแล้ว

ยิ่งพอมาเจอวงดนตรีเพลิน พรมแดน
ประกอบกับหลงใหลเสียงตัวเองอยู่แล้ว ก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา
เมื่อได้รับการชักชวนจาก เด่น ดอกประดู่ ให้มาเล่นตลกหน้าเวที
และต่อมาได้เข้าร่วม คณะ เด่น เด๋อ เทพ

และคณะตลกซูเปอร์โจ๊ก ชีวิตชายหนุ่มโนเนมคนนี้
ก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ชื่อเสียงที่ถาดโถมใส่ ทำให้เขาโลดแล่นอยู่
ในวงการบันเทิงยาวนานกว่า 40 ปีแล้ว

หากจะถามเคล็ดลับอยู่ยั้งยืนยงในวงการ

หนึ่งในสุดยอดนักแสดงตลกเมืองไทย
บอกว่าปณิธานในอาชีพนักแสดงตลก
คือเทคนิคการเล่น เขาจะไม่เอามุกเก่ากลับมา ซ้ำใหม่
หรือแม้กระทั่งก๊อบปี้สไตล์ของใคร

เทพ โพธิ์งาม : เราต้องเอาออกจากตัวเรา
ต้องมีความเป็นศิลปิน อย่างไมเคิล แจ็คสัน
ต้องออกมาจากตัวเอง ออกมาจากความคิดเขา
เขาถึงเป็นซูเปอร์สตาร์ตลอดกาล


และในบรรดาศาสตร์การแสดงหลายด้านที่เขาเคยสัมผัส
เทพบอกว่าเขาชอบอาชีพนักแสดงตลกมากที่สุด
เพราะตระหนักแล้วว่ามันไปได้ไกลกว่าแขนงอื่น
วิชาชีพนี้ให้โอกาสเรียนรู้ และได้บทเรียน

มากกว่าการเป็นดารา หรือนักร้อง
อาชีพตลกทำให้เขามีสิทธิ์แสดงออกได้มากกว่า
ยิ่งถ้าใครเจนจัด ก็สามารถจะเป็นได้ทุกทางไม่ว่าจะเป็นละคร
หรือภาพยนตร์ก็สุดแล้วแต่ความชอบ
เทพ โพธิ์งาม : แม้จะอยู่ในวงการนานกว่า 40 ปีแล้ว
แต่เราก็แค่ 3-4 ขั้นใน 10 ขั้นเท่านั้น มันยังมีต่อยอดได้อีก

นอกจากจะฝากฝีไม้ลายมือในการทำงานแล้ว อัธยาศัยก็เป็นสิ่งสำคัญเท่าเทียมกัน
"ป๋าเทพ" ฉายาในวงการบันเทิงที่ใคร ๆ
เรียกกันจนติดปาก บอกว่าตนเองโชคดีเหมือนมีปาฏิหาริย์
เวลาอยู่กับใครก็จะเป็นที่พึงพอใจไปเสียหมด
เจ้านายจะชอบและรักเขาเสมอ

ถึงแม้จะทำตัวไม่ดีเท่าไร บางครั้งยังกล้าด่าผู้เป็นนายด้วยซ้ำ
เอกลักษณ์
"ห่าม ๆ" แต่ มีวิธีการทำงานจริงจัง
เรียกได้ว่าอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็อดจะพูดสวนกลับไปไม่ได้
กลับเป็นเสน่ห์ดึงดูดใจ ถึงเจ้านายจะเกลียด
และอาจจะโกรธตอนแรก แต่พอกลับไป
นึกว่าตนเองก็ผิดจริงและมองกลับมาที่ความสามารถ

เจ้านายทุกคนก็ยังอยากเรียกใช้เขาต่อไป
ณ เวลานี้ ชีวิตของชายสูงอายุวัย 60 ปี ผู้สวมรองเท้าที่ปราศจากถุงเท้า
มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนกลายเป็นคาแรกเตอร์ติดตัว
กับฉายานักธุรกิจเอสเอ็มอี
"เจ๊งไม่เป็นท่า"
ก็ไม่ทำให้เขายี่หระกับคำครหาแง่ลบ
แล้วฉุดตัวเองให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินตามปากใครเขาพาไป

ที่ผ่านมา เขาเคยแยกร่างส่วนหนึ่งจากวงการบันเทิง
เพื่อประกอบธุรกิจหลายประเภท ตั้งแต่เปิดร้านขายของชำ
อู่ซ่อมรถ ร้านเสริมสวย หรือกระโดดจับโครงการบ้านจัดสรร
ซึ่งประสบภาวะขาดทุนอย่างมาก
จนเป็นเหตุให้เขาต้องเป็นบุคคลล้มละลาย
ขณะที่หลายคนมักจะได้ยินเกียรติศัพท์
เรื่องการลงทุนผลิตน้ำข้าวกล้อง ยี่ห้อ โพธิ์งาม
และมันก็ตามเกม คือ
ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

หากเป็นคนธรรมดา อาจท้อแท้และล้มเลิกความคิด
จะสร้างอะไรต่อไป แต่ "ป๋าเทพ"
ไม่เคยคิดจะหยุด และยอมแพ้เลยสักครั้ง

เทพ โพธิ์งาม : ตอนทำธุรกิจ ป๋าคิดแต่ว่า
ไปเรียนรู้ด้วยตัวเองเลย ซวยไม่ซวยอย่างไร
ก็อยู่ตรงนั้นแหละ แม้ส่วนมากจะซวยก็เถอะ

แต่ป๋าก็มีข้อคิดอย่างนึงว่า เดินดีกว่า
อย่าอยู่นิ่ง คิดดูเองแล้วกันว่า นิ่งกับเดินอะไรดีกว่าล่ะ

เขาบอกต่อว่า สมองคนเราคิดได้ตั้งเยอะ
คิดได้เป็นล้านอย่าง ตายไปก็หมดไปแล้ว
และโลกมีไว้ให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่ที่พักอาศัยให้อยู่
แล้วรอวันตาย ถ้าอย่างนั้นก็เสียชาติเกิด ฉะนั้นจงทำต่อไป

เทพ โพธิ์งาม : เขาทำได้ กูต้องทำได้
ธรรมชาติเขาให้เรามา เหมือนทองคำ
เขามีไว้อยู่แล้ว แต่เรามีปัญญาขุดขึ้นมาใช้หรือเปล่า
ฉะนั้นความคิดทุกอย่างมีอยู่แล้ว
จะคิดได้รึเปล่า เอามาใช้ประโยชน์ได้หรือเปล่า


และประโยชน์ที่ว่าต้องอาศัยความพยายามอย่างต่อเนื่อง
โดยใช้ศักยภาพ และพรสวรรค์ด้านการแสดงที่มีอยู่
และลงมือทำด้วยความสุขเต็มเปี่ยม

เทพจึงเดินกลับย้อนมาที่จุดเดิม
จุดที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเขา และเลือกที่จะปลดแอก
และแหกคอกวงการเสียใหม่ เขาเล่าว่า
อาชีพนักแสดงนั้น เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับสอง
เพราะเขาสนใจอาชีพการผลิตภาพยนตร์
ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งในการสร้างศิลปะเป็นอันดับแรก

เขาต้องการสร้างสิ่งใหม่และแตกต่าง
ฉีกออกมาจากเดิมๆ ที่คนดูคุ้นชิน
เขาเชื่อมั่นว่าความบันเทิงที่ปรากฏในบ้านเรานั้น
มันเหมือนกันไปหมด ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว

เทพ โพธิ์งาม : ยังไงก็อยากทำธุรกิจอยู่เหมือนเดิม
แต่ชอบสร้างเอง กำกับเอง เพราะภาพที่ออกมาเป็นอย่างที่เราคิด

เมื่อก่อนคิดว่า กูอยากจะได้อย่างนี้
แต่มันไม่ใช่ ก็ไม่รู้จะสื่ออย่างไร
แต่ตอนนี้เราคิดได้ สร้างภาพได้
มันพอใจ มีความสุขมาก ยิ่งได้มานั่งเขียนบท มันอยู่ได้ทั้งคืน


ขณะที่ต้องทุ่มเทให้กับความฝัน
เทพก็ยังมีตำแหน่ง
"ผู้นำครอบครัว"
ที่ต้องรักษาการ คุณพ่อของนักร้องค่ายลักษ์มิวสิก อย่าง
ทอฟฟี่-นิชาภา โพธิ์งาม และลูกชายหัวแก้วหัวแหวน

ไทค์-ธนาพล โพธิ์งาม
เล่าถึงสไตล์การเลี้ยงดูลูกฉบับป๋าเทพว่า
จะไม่เลี้ยงลูกอยู่ในหิน
หรือประคบประหงมเหมือนลูกแก้วเด็ดขาด
ป๋าเทพดึงสิ่งที่ได้ เรียนรู้มาใช้กับลูกทั้งสองคน
เขาบอกว่าเด็กอีสานที่ไปอยู่ใต้เหมือนเขานั้น
สิ่งที่ได้คือ ประสบการณ์เอาตัวรอด

ไม่มีพี่น้อง ไม่มีญาติ ทำให้ต้องเรียนรู้ประสบการณ์ด้วยตนเอง
เทพ โพธิ์งาม : หาก คนเราเลี้ยงลูกแบบถนอม ไข่ในหิน
ไม่ยอมให้เผชิญโลก หรือออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ต่อไปลูกก็จะไปไหนไม่ได้เลย ฉะนั้นต้องปล่อยให้ออกไปสู้ชีวิตเอง
แล้วเมื่อไรที่เจ็บปวดมา
บอกเขาว่าบ้านนี่แหละจะเป็นรังไว้รักษาตัว
พอหายแล้วค่อยออกไปใหม่

คนที่เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ชั่วโมงบินสูงอย่าง เทพ โพธิ์งาม อาจไม่ใช่ต้นแบบที่ดีสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ก็จริง
แต่ประสบการณ์และวิธีคิดสุดเท่ของเขา
ทำให้เถ้าแก่น้อยที่กำลังล้ม อยากจะสูดหายใจลึก ๆ
แล้วลุกขึ้นยืนใหม่ พร้อมติดปีกความกล้า เพื่อเตรียมเทคออฟอีกครั้ง

เทพ โพธิ์งาม : เราทำดีที่สุดแล้ว

และจงภูมิใจกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา แล้วรู้ว่าชีวิตที่ดีต้องเดินต่อไปอย่างไร