Custom Search

Dec 31, 2010

๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๓

ภาพประกอบ: ชัยราชวัตร
มติชน
31 ธันวาคม 2553


กำลังจะผ่านปีเสือดุไปอีกปี เข้าสู่ปีกระต่าย...

แม้ว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตคนไทยจะเจออะไรที่หนักหนามามากมาย

แต่เมื่อชีวิตยังอยู่ ก็ต้องสู้กันไป ถ้ามีกำลังใจ ชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ

ว่าแต่ว่า ก่อนเริ่มปีใหม่นี้ เรามีแนวทางชีวิตใหม่ที่ดีให้เริ่มต้นเดินกันหรือยัง ?

ถ้ายัง มาฟังกันทางนี้
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี
พระนักคิดที่แหลมคมท่านหนึ่งในสังคมไทย
มาพูดคุยถึงเข็มทิศชีวิตใหม่เพื่อความเป็นสิริมงคลรับปี พ.ศ. 2554
ท่านเริ่มจากการมองย้อนกลับไปปีเสือ ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งปีว่า...
"พระ อาจารย์คิดว่า การดำเนินชีวิตใหม่ของปีหน้าต้องดูจากปีนี้ก่อน
ปีนี้เป็นปีที่สังคมไทยเข้าสู่โหมดของความรุนแรงในทุกด้าน
ทั้งเรื่องความรุนแรงทางด้านความคิดที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน
ปีหน้าเราต้องหันมาลดทัศนคติที่เป็นรากฐานความรุนแรงตัวนี้ให้ได้
มิเช่นนั้นแล้ว สิ่งนี้จะเป็นอาวุธร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าเอ็ม-79 เอ็ม-79
ยิงไปที่ไหนก็ระเบิดเฉพาะที่ เฉพาะจุด
แต่ทัศนคติอันตราย ถ้าจุดไปแล้ว
จะกระจายแทรกซึมเข้าไปในทุกมิติของสังคมไทย"
ความรุนแรงต่อมาคือ ความรุนแรงทางการเมือง
"การเมืองทุกวันนี้ยังคงเป็นธนาธิปไตย หมายความว่า
ยังคงเป็นการเมืองเพื่อเงิน ยังไม่ใช่การเมือง
เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและของประชาชน
เราต้องช่วยกันติง ช่วยกันเตือน ช่วยกันส่งเสียงร้อง
ให้นักการเมืองทั้งหลายได้ตระหนักรู้ว่า
การเมืองหลงทิศผิดทางออกไปมาก
ต้องนำการเมืองที่เป็นธนาธิปไตย
การเมืองที่รองรับหรือขับเคลื่อนด้วยกระบวนการคอร์รัปชั่นระดับชาติ
ลดน้อยถอยลงให้มากที่สุด"
ท่าน ว.วชิรเมธีหยุดพิจารณาครู่หนึ่งแล้วเล่าต่อว่า...
"อีก เรื่องคือ ความรุนแรงทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเข่นฆ่าประชาชนคนไทยด้วยกันเอง
กลายเป็นเรื่องที่ถูกทำให้ดูเหมือนธรรมดา
ถ้าเรายอมรับการเข่นฆ่าว่าเป็นเรื่องปกติ วันหนึ่ง
สิ่งนี้จะกลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของสังคมไทย
วันไหนไม่ฆ่า วันนั้นแปลก
จะเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดสำหรับสังคมไทยในอนาคต
เพราะฉะนั้น เราจะต้องถอดถอน
การข่มเหงซึ่งกันและกันให้เหลือน้อยที่สุด
ให้เราหันมาอยู่กันด้วยเมตตา"
ประการต่อมา สิ่งที่จะต้องช่วยกันกำจัดก็คือปัญหาทางศีลธรรมของสังคม เช่น
ปัญหาการพบเด็กที่ถูกทำแท้งกว่าสองพันชีวิต
แล้วสถิติการทำแท้งสามแสนคนต่อปี อันนี้เฉพาะตัวเลขบนดิน
นี่เป็นตัวเลขที่อันตรายมาก สะท้อนปัญหาของสังคมไทยว่า
ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมขึ้นถึงจุดที่อันตรายมาก
ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถลดความเสื่อมโทรมของศีลธรรมเหล่านี้
ให้กลับมาสู่ ความเป็นสังคมที่ศีลธรรมนำหน้า
"และอันตรายอีกประการหนึ่งก็คือ
ค่านิยมวัตถุนิยมซึ่งครอบงำสังคมไทยอย่างเข้มข้นและรุนแรงมาก
เราวัดค่าของคนกันที่ความมั่งมีศรีสุข ซึ่งไม่ถูกต้อง
สมัยก่อนเขาใช้คำว่า อยู่เย็นเป็นสุข มั่งมีศรีสุข
เป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จของมนุษย์โดยใช้วัตถุและการบริโภคเป็น ตัวตั้ง
ถ้าเราวัดกันอย่างนี้ คนที่ประสบความสำเร็จก็มีน้อยมาก
แล้วทรัพยากรก็จะไม่ถูกกระจายไปถึงคนส่วนใหญ่
จะก่อให้เกิดภาวะสุขกระจุกและทุกข์กระจาย
ในระยะยาวอาจจะเกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรระหว่างชนชั้นได้
ฉะนั้น ต้องช่วยกันลดทอนค่านิยมวัตถุนิยมให้มาก
หันมาบริโภคกันอย่างมีสติ"
เมื่อมองย้อนปีที่ผ่านมาแล้ว ท่าน
ว.วชิรเมธี ได้บรรยายถึงแนวทางชีวิตใหม่ที่ควรจะเป็นในปีหน้าว่า...
"ปี หน้า พระอาจารย์อยากให้สังคมไทยมาตั้งศูนย์ถ่วงล้อกันใหม่
ให้เป็นสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของสมดุล หมายความว่า
การเมืองก็ต้องมองหาทางสายกลาง ทางสายกลางของการเมืองก็คืออะไร ?
การเมืองเป็นเรื่องของการทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทุกข์ของประชาชน
ประโยชน์สุขหมายความว่า
นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลผลิตออกมานั้น
จะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน"
ความสมดุลทางสังคมก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน...
"สังคมต้องกลับมาหาความสมดุล
เราจะต้องทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ยกย่องคนดีแล้วใช้ข้อเท็จจริง
ใช้สติปัญญา ใช้เหตุผล ใช้ศีลธรรมในการขับเคลื่อนสังคมของเรา ที่ผ่านมา
สังคมไทยนั้นเหยียบย่ำซ้ำเติมคนดี
แล้วก็ยกย่องบูชาคนเลวที่ใช้เงินไต่เต้าขึ้นมาสู่ความสำเร็จ
มากุมชะตาของชาติบ้านเมือง ทำให้ชาติบ้านเมืองผิดทิศผิดทางไป
คนเหล่านี้สนใจแต่เพียงว่าทำอย่างไร
เขาจะร่ำรวยและมั่งคั่งให้ได้มากที่สุด เท่านั้น
เป็นเหตุให้เรื่องพื้นฐานทางสังคมหลายเรื่อง เช่น
บรรทัดฐานทางจริยธรรมก็ดี ค่านิยมของสังคมก็ดี
ซึ่งเป็นสิ่งดี ๆ ที่สังคมอุ้มชูอยู่นั้น ถูกทำลาย ถูกบั่นทอนลงไปมาก"
ในมุมธุรกิจ ก็ไม่ควรจะตื้นเขินเพียงแค่ทำซีเอสอาร์กับสังคมเท่านั้น...
"ต่อ ไปเป็นเรื่องธุรกิจ ภาคธุรกิจจะต้องร่วมรับผิดชอบให้มากขึ้น
ไม่ใช่แค่หันไปทำซีเอสอาร์ให้มากขึ้นเท่านั้น
แต่คุณต้องทำให้มากกว่านั้น นั่นก็คือ ภาคธุรกิจต้องมีจิตสำนึกร่วมต่อสังคม
ไม่ใช่ทำให้แต่องค์กรธุรกิจของคุณดีขึ้น
ภาคธุรกิจต้องมีจิตสำนึกในแบบที่ว่า
ถ้าเราไม่ทำธุรกิจที่เบียดเบียนสังคม
เราก็จะได้อยู่ในสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกัน
ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคุณได้กำไร
แล้วสังคมขาดทุนหรือเปล่า"
ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม ปีนี้เป็นปีที่สังคมไทยพบกับภัยพิบัติมากมาย
ท่าน ว.วชิรเมธี อยากให้เรามาทบทวนกันใหม่
ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติใน 3 เรื่อง
"หนึ่ง อย่าแยกตัวเองออกมาจากธรรมชาติ
เพราะแท้ที่จริง มนุษย์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
แต่มนุษย์เป็นตัวธรรมชาติเองเลยทีเดียว
ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า มนุษย์กับธรรมชาติ
คือองค์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จะทำให้เรามาสู่ข้อที่สอง
นั่นคือ จะไม่ทำให้เราหลงผิดคิดว่า
เรามีอาญาสิทธิ์เหนือธรรมชาติ ที่ผ่านมา
มนุษย์เข้าใจผิดว่ามีอาญาสิทธิ์เหนือธรรมชาติ
จึงสูบดินสูบฟ้ามาปรนเปรอกิเลสตัวเองอย่างไม่ปรานีปราศัย
ทำให้ทรัพยากรต่าง ๆ ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว
ทำให้โลกนี้เสียสมดุล ขอให้เราทั้งหลายวางท่าทีกับธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมด้วยท่าทีที่เรียกกันว่า กัลยาณมิตร
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดนั่งหรือนอนใต้ต้นไม้ต้นใด
ไม่ควรหักราญกิ่งต้นไม้นั้น เพราะผู้ที่หักราญกิ่งไม้ของต้นไม้นั้น
เป็นผู้ประทุษร้ายมิตร และผู้ประทุษร้ายมิตร
นับเป็นคนเลว ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติต่อธรรมชาติ
ปฏิบัติการเบียดเบียนธรรมชาติจะลดน้อยถอยลง
แล้วเราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
ได้อย่างฉันพี่น้อง มีความสุขกันมากขึ้น...
ประการที่สำคัญที่สุด อยากให้คนไทยไม่เพียง
แต่ช่วยกันรับมือภัยธรรมชาติเท่านั้น
แต่ขอให้ช่วยกันถอดรหัสด้วยว่า
ธรรมชาติต้องการส่งสัญญาณอะไรให้คุณตระหนักรู้หรือเปล่า
หน้าหนาวทำไมจึงหนาวขึ้น ทำไมฝนจึงตกมากขึ้น
ทำไมน้ำจึงท่วมหนักหนาสาหัส
ธรรมชาติกำลังส่งจดหมายมาให้คุณหรือเปล่าว่า
เกิดการผิดสำแดงบางสิ่งบางอย่างในธรรมชาติ
โดยน้ำมือของมนุษย์
และเราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อธรรมชาติได้บ้าง...
เหล่านี้คือ สิ่งที่พระอาจารย์คิดว่า
เป็นทิศทางที่เราจะมองร่วมกันไปข้างหน้าในปีพุทธศักราช 2554"







Dec 30, 2010

'นายกฯอภิสิทธิ์' ตั้งเป้าเลือกตั้งสมัยหน้า เสียงต้องไม่น่าน้อยกว่าเดิม

ไทยรัฐออนไลน์
29 ธ.ค.53

http://www.thairath.co.th/content/pol/137816


“นายกฯอภิสิทธิ์” ตั้งเป้าเลือกตั้งเสียงต้องไม่น้อยไปกว่าเดิม
ยอมรับอยากชนะเป็นอันดับ 1

อ้อนทุกอย่างอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชนตนไม่สามารถพยากรณ์ล่วงหน้าได้…


เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.53 ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์พิเศษทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์
ถึงกรณีการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในปี 2554
พร้อมทั้งอวยพร ส.ส.ในพรรคให้กลับมาทั้ง 100% ขึ้นเป็นรัฐบาลอีกครั้งว่า
อวยพรก็อวยพรไป มันเป็นเรื่องที่ต้องทำงานหนัก ผมไม่สามารถบอก
หรือสามารถพยากรณ์ได้ว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร
ประชาชนตัดสินใจอย่างไร
แต่คิดว่าคะแนนเสียงพรรคไม่น่าจะแย่กว่าเดิม
แต่จะชนะหรือไม่เป็นอีกเรื่อง
แต่ ยอมรับว่าอยากมีคะแนนเสียงมาเป็นที่หนึ่ง
การยุบสภาจะเมื่อใดนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมกำหนด

“วันนี้เรื่องเศรษฐกิจผ่านแล้ว เรื่องที่สองคิดว่าจะผ่านได้คือเรื่องรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องที่ 3
คือบรรยากาศความสงบเรียบร้อยที่จะเป็นตัวเร่งให้ตัดสินใจยุบสภาเลือกตั้งใหม่หรือไม่
ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรก็เลือกตั้งได้เลย แต่ถ้ามีความวุ่นวายเรื่อยๆ ก็เลือกตั้งช้า?
ดังนั้นช่วยไปบอกคนที่อยากเลือกตั้งเร็วๆ ว่าอย่าได้สร้างเงื่อนไข” นายกฯ กล่าว

ส่วนกรณีที่มั่นใจว่าจะร่วมกับพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลได้อีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
เป็นสิทธิ์แต่ละพรรค ไม่สามารถก้าวก่ายได้ แต่จากที่ได้ทำงานร่วมกันมา 2 ปี
ไม่คิดว่าจะตั้งข้อรังเกียจในการทำงานร่วมกันต่อไป
แต่จะตัดสินใจอย่างไรเป็นสิทธิ์ของพรรคร่วมรัฐบาล
ยอมรับการทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ผ่านมาก็ยากตามปกติ
เพราะธรรมชาติรัฐบาลผสม
พรรคการเมืองก็จะมีจุดยืนบางเรื่องไม่ตรงกันเพราะฉะนั้น
การที่ต้องมาทำงานรับผิดชอบร่วมกันมันก็ย่อมมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง
เป็นธรรมดาและความใกล้ชิดระหว่างคนทำงานก็ย่อมไม่สนิทสนมเป็นธรรมดา
แต่ถามว่ามีอะไรยากเป็นพิเศษไหมก็คิดว่า
สถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นทำให้ยากกว่าปกติ

ทั้งนี้นายกฯ กล่าวยอมรับว่า หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกในครั้งหน้า
โดยที่มีคะแนนเสียงมากขึ้น
การทำงานก็จะทำได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น
ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าจริงจังในเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันมาโดยตลอด
แต่ยอมรับปัญหารุนแรงกว่าที่คิด แต่ก็เชื่อมั่นว่าตลอด 2 ปี
ที่ทำงานมาคนนอกประเมินผลการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันดีขึ้นแต่ช้า
ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ อันดับไหลลงไปค่อนข้างต่ำ ประชาชน?
ภาคเอกชนทราบดีว่ารัฐบาลพยายามทำอะไรอยู่?
รัฐบาลชุดนี้เท่าที่จำได้นึกไม่ออกว่า
มีโครงการไหนที่ได้รับเรื่องร้องเรียนทุจริตแล้วไม่มีการตรวจสอบ
ตรวจสอบทุกเรื่องและไม่มีการจำกัดเรื่องพรรคด้วย
ว่าเป็นไปตามกรอบกฎหมายกติกาของประเทศ
อยากผลักดันงานทุกเรื่องให้ประสบผลสำเร็จ
สังเกตได้จากการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
รัฐบาลให้ความช่วยเหลือเร็วมากกว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา

นอกจากนี้ นายกฯ กล่าวยอมรับอีกว่า
ยังพบความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และทนายความในต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย
ซึ่งไทยก็ต้องทำหน้าที่ชี้แจงข้อเท็จจริง
และเรื่องใดที่กระทบความมั่นคงก็ต้องดำเนินการ
ทั้งนี้ การที่จะมีการนิรโทษกรรม
หรือประกันตัวแกนนำ นปช.ก่อนเลือกตั้งหรือไม่
ต้องไปถามอาจารย์คณิต ณ นครเอาเอง
ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ขั้นตอนการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว
ก็ไม่สามารถตอบได้ว่านานเท่าใด แต่เราก็เร่งรัดอยู่

นายกฯ กล่าวอีกว่า ปัญหาการเมืองเป็นอุปสรรคของรัฐบาล
และรุนแรงมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
เพราะว่าการเมืองก็ออกไปสู่ท้องถนน และมีความรุนแรง
ซึ่งตัวนี้ก็จะเป็นตัวที่ฉุดรั้ง หลายสิ่งหลายอย่าง
ขณะที่มีหลายเรื่องที่ต้องตัดสินใจบนความขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง
ในการบริหารบ้านเมือง
ข้อแรก การตัดสินใจในทุกเรื่องต้องมีทั้งคนที่ชอบ
และคนไม่ชอบ ข้อสองบางเรื่องเราจำเป็นต้องรักษาระบบ
รักษากฎหมาย มีผลกระทบกับคน การตัดสินใจแบบนี้
ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น
แต่หลายสถานการณ์มันก็มีความจำเป็น
แต่ถ้าเป็นมาตรฐานด้านจริยธรรม
ซึ่งไม่เคยฝืนตัวเองอย่างนั้น

อย่างไรก็ดี รัฐบาลมีแนวทางชัดเจนในการเร่งเดินหน้าในการปฏิรูป แนวทางปรองดอง
แล้วเรากำลังเข้าสู่กระบวนการของการเลือกตั้ง
จึงไม่ควรที่จะมีเหตุการณ์เกิดปัญหาซ้ำรอย กับปีที่ผ่านๆ มา
แต่ทั้งหมดอยู่ที่ประชาชน ผมย้ำหลายครั้งว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะเห็นต่างจากรัฐบาล
แสดงออกได้แต่ต้องมีขอบเขต
ถ้ามีการชุมนุมก็เป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ
ชุมนุมโดยชอบตามกฎหมาย และไม่รุนแรง
รวมถึงไม่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ใช้ความรุนแรงแฝงตัว?
ทุกคนก็ผ่านบทเรียนมาว่าเมื่อเกิดความรุนแรงความสูญเสียขึ้นทุกคน
ก็เสียหายกันหมดจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร
และสังคมก็ต้องช่วยกันกดดันเมื่อเกิดปัญหา
ทั้งนี้ นายกฯ ยันไม่เคยคิดท้อถอย และไม่มีสิทธิ์ที่จะท้อ
มันเป็นความรับผิดชอบเป็นหน้าที่ ก็ต้องทำให้ดีที่สุด

ส่วนการที่นักธุรกิจชาวต่างชาติออกมาตั้งข้อสังเกตว่า
เหตุใดประเทศไทยจึงไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อแก้ปัญหานั้น
นายกฯ กล่าวว่า ปีที่จะผ่านไป 2553 เราได้ใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างมาก
จนมีหลายฝ่ายออกมาตำหนิว่าไม่เด็ดขาดแม้ที่ดำเนินการไปในขณะนี้ก็จะเห็นว่า
มีการไปพูดทำนองไม่เคารพสิทธิ์ของประชาชน รัฐบาลใช้ความรุนแรง
ฉะนั้นความยากลำบากอยู่ตรงนี้
คนบางกลุ่มช่วงเกิดเหตุการณ์ก็บอกให้รัฐบาลเข้าไปจัดการเด็ดขาดเลย
ใช้อะไรก็ได้ คนกลุ่มนี้พอเหตุการณ์ผ่านไปก็ไม่พูดอย่างนี้แล้ว
ก็บอกว่าทำไมถึงมีการใช้ความรุนแรง เพราะฉะนั้นความยากลำบากอยู่ตรงนี้

ดังนั้น หากสังคมมีมาตรฐานชัดเจน
ผมก็ว่าน่าจะทำให้คนทำงานมีความมั่นใจมากขึ้น
แต่ที่เราตัดสินใจทำไปก็เพื่อหาความสมดุล
ขณะที่ปัญหาการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่เหมือนรัฐบาลล้มเหลว
เพราะที่ผ่านมาเหมือนฝ่ายค้านนำไปขยายผลอะไร
คนเชื่อถือหมด ส่วนรัฐบาลตอบโต้กลับไม่ค่อยจะได้ผล

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า
ส่วนตัวกลับเห็นต่างออกไปว่าส่วนใหญ่ของประเทศ
มีความเข้าใจในข้อมูลที่รัฐบาลสื่อสารออกไป
เพราะถ้าไม่เข้าใจ รัฐบาลก็คงไม่สามารถที่จะอยู่ได้
ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจ
แต่ต้องยอมรับคนที่เข้าใจเขาก็เงียบ
แต่คนไม่เข้าใจก็จะร้องเรียนสะท้อนออกมาก
เป็นปกติของสังคมประชาธิปไตย
รัฐบาลก็ต้องฟังว่าทำไมเขาถึงไม่เข้าใจ
หรือบางกลุ่มอาจตั้งใจที่จะไม่เข้าใจ
กลุ่มนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร.

อภิสิทธิ์” เชื่ออนาคตประเทศไทยมีโอกาสมี “นายกรัฐมนตรีผู้หญิง”
ส่วนตัวสนับสนุนเพราะเห็นเป็นความเท่าเทียม

ไม่จำเป็นต้องมาจาก ปชป. ย้ำขอเป็นนายกฯแค่ 2 สมัยพอ
เพราะถ้าเป็นนานกลัวยึดติดอำนาจ…


เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์พิเศษกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์

ยอมรับว่า ในอนาคตเชื่อว่าประเทศไทยจะมีโอกาสได้
นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ทางการเมืองอย่างแน่นอน

ซึ่งตนก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะต้องการเปิดกว้างอยู่แล้ว
จะเป็นผู้หญิงที่มาจากที่ไหนก็ได้

แต่ต้องอยู่ที่ว่าใครจะมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่ง
และอยู่ที่การรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของความเท่าเทียม

และเสมอภาคกัน สิ่งที่เน้นย้ำคือ
การขอโอกาสนั้นให้กับผู้หญิงด้วย ขณะที่นายกฯ ยังกล่าวติดตลกว่า

ถ้านายกรัฐมนตรีหญิงมาจากพรรคประชาธิปัตย์ก็คงดีไม่น้อย

ขณะเดียวกันนายอภิสิทธิ์ ยังระบุอีกด้วยว่า
พรรค ปชป.พร้อมที่จะเลือกตั้งแล้วเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

และไม่หวั่นเกรงที่พรรคเพื่อไทยจะมีการชู
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่

เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น
ทั้งนี้ยอมรับว่าจะมีการออกนโยบายใหม่มาใช้หาเสียงเลือกตั้ง
สำหรับ ปชป.ด้วย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยในตอนนี้


นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึงจุดยืนเดิม
ที่เคยประกาศขอเป็นนายกรัฐมนตรีแค่ 2 สมัยพอ

โดยเฉพาะถ้าได้เป็นในสมัยที่ 2 ครบหรือเกือบครบเทอมก็ถือว่าพอเหมาะ
ในความคิดบ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้าตลอดเวลาในลักษณะที่มีความราบรื่น

“ผมไม่ค่อยเชื่อว่าจะต้องพึ่งบุคคลที่ขึ้นมาบริหารประเทศเป็นเวลานาน
เพราะคิดว่าถ้าเรามีความสามารถในการผลักดันนโยบายให้เป็นรูปธรรม
ระยะเวลา 7-8 ปีถือว่านานพอสมควรแล้ว
ถ้าความคิดอ่านนั้นดีจริงก็เชื่อว่าจะมีคนอื่นมาสานต่อ

การอยู่นานเกินไปก็มีความเสี่ยงเสมอกลัวยึดติดในอำนาจ” นายกฯ กล่าว

ส่วนถ้าถามว่า หากตนเองมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 3
จะยอมรับหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า
ไม่เชื่อว่าประเทศไทยจะหาบุคคลใดมาดำรงตำแหน่งไม่ได้แน่

แต่ผมอยู่ในระบบพรรคการเมืองก็ต้องขึ้นอยู่กับระบบเป็นหลัก
แต่อย่าเพิ่งกล่าวถึงตรงนั้นเลย เพราะยังไม่ผ่านการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ด้วยซ้ำ.





Dec 28, 2010

'เร็วก็ตาย ไม่เร็วตายอยู่ดี' สุดอาลัย ..จากใจโชเฟอร์รถตู้


หลวงพ่อคูณ เตือนสติขับรถไม่ประมาท-มีสติ






ไทยรัฐ

29 ธ.ค. 53


จากเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553

กับอุบัติเหตุบนทางด่วนรถเก๋งซีวิคชนท้ายรถตู้สาย 118 ธรรมศาสตร์-จตุจักร

เชื่อว่าทั้งคนทำงาน และนักศึกษาที่ใช้บริการรถตู้สายนี้
รวมถึงคนอื่นๆที่ใช้บริการรถตู้อยู่ทั่วกรุงเทพฯ

คงเกิดความวิตกกังวลอยู่พอสมควร
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกกับอุบัติเหตุรถตู้ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต…



ความเสียหายที่เกิดขึ้น นอกจากเรื่องชีวิตและทรัพย์สินแล้ว
ภาพลักษณ์ของรถตู้ก็คงดูแย่กว่าเก่า แม้ว่าครั้งนี้รถตู้จะเป็นฝ่ายถูกชนก็ตาม
และหลายชีวิตที่สูญเสียในเหตุการณ์สุดสยองเมื่อคืน คนขับรถตู้เองก็ใช่ว่าจะ
นิ่งเฉย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกันอย่างพร้อมเพรียง
ซึ่งพวกเขาเองก็บอกว่าไม่เข้าข้างใคร เพราะคนขับรถตู้ที่แย่จริงๆ ก็มี
แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างที่สังคมเข้าใจ



นายพิทยา ศรีจงใจ พนักงานขับรถตู้สาย 118 เพื่อนร่วมงานของผู้ตาย เล่าว่า
ในคืนวันเกิดเหตุ รถตู้ของผู้ตายเป็นคันสุดท้ายที่วิ่งออกจากวิน
ซึ่งในตอนนั้นก็ยังทักทายกันอยู่

แต่พอรู้ว่าเกิดอุบัติเหตุก็ตกใจมาก
ส่วนเรื่องสังคมจะมองว่ารถตู้ผิดหรือถูก
ก็อยากให้แยกแยะด้วย
เพราะทุกๆ คนรักชีวิตตัวเองเหมือนกัน



“เมื่อคืนวันเกิดเหตุผมออกวินพอดี ก็ยังทักกับพี่เขาเป็นปกติ
ยังเห็นพี่เขากวักมือเรียกผู้โดยสารให้ขึ้นรถอยู่เลย

เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถ เพราะก็อยากกลับบ้านกัน
แต่พอมาเจออุบัติเหตุผมนึกแล้วสงสารมาก ทั้งพี่คนขับและผู้โดยสาร

และรถคันนี้วิ่งเป็นคันสุดท้ายแล้วด้วย ผมว่าก็ไม่น่าจะขับเร็วอะไรมากนะ
เพราะไม่ต้องเอารอบเพิ่มแล้ว แทนที่จะได้กลับบ้านกัน ก็ต้องมาทิ้งชีวิตไว้บนถนนแทน”



ส่วนเรื่องว่าใครจะมองว่าคนขับรถตู้ไม่ดี นายพิทยา กล่าวว่า
ก็ไม่ถูกนะ บางคนก็ขับช้า บางคนก็เร็ว

คนขับทุกคนกลัวเหมือนกันหมด ก็ระมัดระวังกันที่สุดแล้ว
แต่บางทีก็ต้องเข้าใจเพราะรถตู้แต่ละวินไม่เหมือนกัน


“ที่คุณเห็นบางคันปาดซ้าย ปาดขวา แย่งคน
ก็เพราะเขาต้องการได้รอบเร็วๆ จะได้ถอนทุนในแต่ละวันได้

อย่างวินนี้ค่าเช่ารถวันละ 2,000 บาท ค่าแก๊สอีก 300 วิ่งได้ประมาณ 3 รอบ
ซึ่งถ้าจะให้ได้ทุนคืนทั้งหมดก็ต้องวิ่งให้ได้ 8 ขา (4 รอบ)
แต่พอวิ่งๆ ได้น้อยกว่านั้นมันก็ต้องเร็ว

ค่าเช่าแต่ละวินจะแพงมากหรือน้อยมันขึ้นอยู่กับเส้นทาง และจำนวนลูกค้า
ถ้ามากก็ค่าเช่าแพง มันก็ถึงต้องรีบทำรอบให้ได้เยอะๆไงครับ
แต่สำหรับผมก็ยอมรับนะว่าขับเร็ว

แต่เราก็มีสมาธิตลอด เพราะมีผู้โดยสารอีกหลายชีวิตที่เขามั่นใจในตัวเรา
แต่ถ้าเป็นตอนที่ผมรถเปล่าก็ยอมรับว่าเร็วกว่าปกติครับ
ซึ่งก็ต้องดูแลรถดูแลตัวเองดีๆเหมือนกัน
แต่กับครั้งนี้มันสุดวิสัย เขามาข้างหลัง รถตู้ก็ควบคุมอะไรไม่ได้แล้ว”

ทางด้านเพื่อนพนักงานของผู้ตายอีกคนของรถตู้สาย 118
นายไพรัตน์ สายรัตน์ บอกว่า

รู้สึกเสียใจเช่นกัน วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เกิดเรื่องบรรยากาศก็เงียบเหงา
เป็น 2 เท่า จากที่เงียบอยู่แล้วเพราะเป็นช่วงสิ้นปี



“เห็นเหตุการณ์มันแรงมากนะ ชนจนรถพังขนาดนั้นได้
ประตูก็ล็อคไม่อยู่หรอกครับ รู้สึกเสียใจนะ เพราะทั้งคนขับที่ตาย
และผู้โดยสารก็เหมือนญาติเราทั้งนั้น คุ้นหน้ากัน เจอทุกวันครับ
ผมเองก็เป็นคนขับรถก็ระวังมาตลอด ไม่อยากเกิดอุบัติเหตุอะไรเลย
จะให้เลี่ยงเส้นทางก็คงไม่ได้ เพราะทางด่วนเส้นนี้เราต้องใช้วิ่งตลอด
ถนนข้างล่างถ้ารีบมากๆ ก็ไปไม่ได้แล้วครับ ผู้โดยสารที่เขาขึ้นก็
เพราะเราขึ้นทางด่วนด้วย คนขับอย่างพวกผมก็ต้องระวังอยู่แล้ว
แต่บนทางด่วนรถมันขับเร็วทุกคันครับ”

นอกจากนี้เพื่อนร่วมอาชีพอย่างวินอื่นๆ
เมื่อได้ยินข่าวกับเหตุการณ์นี้ก็รู้สึกสลดใจอย่างมาก

ต่างก็บอกว่า ถึงอย่างไรทุกคนก็ยังต้องทำมาหากิน
ส่วนที่สังคมยังมองภาพของรถตู้ในแง่ลบก็รู้สึกกังวล

นายอู๋ หัวหน้าวินรถตู้สายจตุจักร-บางบัวทอง
ซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลรถตู้ และคนขับเล่ากับ “ไทยรัฐออนไลน์”ว่า

ยินดีถ้าทางภาครัฐจะจัดระเบียบรถตู้ ถ้าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นกว่านี้


“ทุกวันนี้ผู้โดยสารเขาก็กลัวอยู่แล้วนะ
ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่มีใครอยากขึ้นรถตู้หรอก
ผมเองเป็นคนคุมวินก็เข้าใจนะ
เพราะก็เคยมีผู้โดยสารร้องเรียนเหมือนกันเรื่องพนักงานขับรถไม่สุภาพ
เราก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนกัน แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องให้พักงานครับ
แต่ทุกคนต้องทำมาหากินน่ะ ทุกอย่างพออยู่บนท้องถนนแล้ว
ผมควบคุมไม่ได้หรอก และรถตู้สมัยนี้แข่งขันกันสูงมาก
และไม่มีอะไรที่มาจัดระเบียบให้ชัดเจนด้วย
ก็เหมือนแท็กซี่ รถเมล์ครับ มีปาดเหมือนกัน
ถ้ารัฐหรือ ขสมก.ทำอะไรบ้างก็ดี
แต่เท่าที่ผ่านมา 10 ปี ผมไม่เห็นจะมีอะไรเลย”


อีกหนึ่งพนักงานขับรถสายมีนบุรี-จตุจักร นายสิงห์ ช่องรัมย์ วัย 57 ปี
บอกว่าการที่สังคมจะรู้สึกแย่กับคนขับรถตู้ก็ไม่แปลก
เพราะมันมีจริงๆ แต่คนดีๆ ก็ยังมี
ขอให้ทุกคนที่ขับรถอย่าประมาท และอย่าเอาแต่ใจตัวเอง


“ถ้ามองรวมๆ คนขับรถตู้ไม่ค่อยประมาทนะ นอกจากพวกที่ไม่รับผิดชอบจริงๆ
อย่างวินผมจะเข้มงวดมาก ทำไม่ดีมีสิทธิ์ถูกไล่ออกเลย
ผู้โดยสารเองถ้ารู้สึกว่าพนักงานขับรถแย่จริงๆ ก็โทรไปร้องเรียนได้
เพราะเราก็แคร์ผู้โดยสารนะครับ กลัวเขาไม่กล้านั่งเหมือนกัน
จะขับรถเร็วๆ เอารอบเยอะๆ อย่างเดียวคงไม่ได้
แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา โทษรถตู้กันตลอดผมก็ไม่ค้านนะ
ไม่เข้าข้างใคร เพราะบางคนมันก็ประมาทจริงๆ กำลังห้าวเลยก็มี
แซงกันไปมาและเร็วด้วย ผมก็อยากฝากให้คนขับรถทุกคนอย่าประมาท
ที่สำคัญอย่าเอาแต่ใจตัวเอง ใจเย็นๆ กันหน่อย เห็นใจผู้โดยสารด้วย
ทุกคนก็กลัวครับ
เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมันแก้ไม่ได้
แล้วมันแย่นะอย่างเหตุการณ์ครั้งนี้”

Dec 25, 2010

ความทรงจำที่ไม่มีวันตายของ"หนุ่มเมืองจันท์"


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

วันที่ 07 มิถุนายน พ.ศ. 2553


http://www.facebook.com/home.php?#!/boycitychanFC


ในหนังสือ "ป๋า ในความทรงจำ" ที่แจกในงานสวดอภิธรรม
"ส.ต.ต.สันติ อดุลยานนท์" ในค่ำวันสุดท้าย 5 มิถุนายน
ณ วัดเขาแก้ว อ.เมือง จ.จันทบุรี
มีข้อเขียนหลายชิ้นที่บันทึกความทรงจำเกี่ยวกับป๋า

หนึ่ง ในนั้น คือ ความทรงจำของ"หนุ่มเมืองจันท์"
คอลัมนิสต์ยอดนิยมแห่งมติชนสุดสัปดาห์

ตอนหนึ่ง หนุ่มเมืองจันท์ เขียนเรื่อง
ความภาคภูมิใจ ...ตลอดเวลาผมนึกว่า
"ความภาคภูมิใจ" ที่สุดในชีวิต "ป๋า" คือสวนผลไม้

สวนที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิต ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และแรงเงิน
จนกลายเป็น "ลูกคนที่7" ของ "ป๋า"
แต่ในงานแซยิดครบปีที่ 84 ที่จัดช้ากว่ากำหนดเพราะ
"ป๋า" ล้มเจ็บเสียก่อน "เต้ย" ทำซีดีพิเศษ

"ป๋า" 84 ปี แห่งความรักและความภาคภูมิใจ
สัมภาษณ์ "ป๋า" และ "ลูก" ทั้ง 6 คน
ซีดีแผ่นนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าผมเข้าใจผิดมาโดยตลอด
"เต้ย" ถามว่า "84 ปีที่ผ่านมา ′ป๋า′ ภูมิใจอะไรมากที่สุด"
ทุกคนนึกว่า "ป๋า" จะตอบว่า" สวน"
ลูกคนที่ 7 ของ" ป๋า"
แต่คำตอบที่ได้กลับเหนือควาคาดหมาย
"ป๋า" ไม่หยุดคิดแม้แต่นิดเดียวเมื่อได้ยินคำถาม
"ป๋า" ตอบทันที
"ภูมิใจที่ส่งลูกเรียนจบ
ได้ปริญญาทุกคน
ทุกคนมีบ้าน มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง"

คนในโลกนี้ต่างใส่"หมวก"หลายใบ
มีทั้ง"หมวก"ของความเป็น "เจ้านาย"
"หมวก"ของความเป็นเจ้าของ
หรือ "หมวก" ของความเป็น"พ่อ"
แต่ละคนนั้นให้น้ำหนักของ"หมวก"แต่ละใบต่างกัน
สำหรับ"ป๋า"เขาเลือกให้ความสำคัญ
กับความเป็น"พ่อ"มากที่สุด
"ลูก"กลายเป็นเครื่องวัดความสำเร็จของชีวิต"ป๋า"

และที่สำคัญ"ป๋า"ไม่ได้ตั้งเป้าหมายให้ลูกไว้สูงสุด
ขอเพียงแค่เรียนจบ
มีงานทำ
มีบ้านอยู่
แค่นั้นเองสำหรับ"ป๋า"
"ป๋า"มีลูก6 คน

"จิ๋ม" ทรงศรี จริตงาม,
"โต้ง" สุปรีดา อดุลยานนท์,
"ต่อ" อลงกรณ์ อดุลยานนท์,
"ตุ้ม" สรกล อดุลยานนท์,
"เต้ย" สกลชัย อดุลยานนท์,
"จอย" มนทิพย์ รัชตวิจิน

"เต้ย" สัมภาษณ์พี่น้องทั้งหมดให้พูดถึง "ป๋า" ในความทรงจำ
"เจ๊" เล่าถึงความรักของ
" ป๋า" ที่รักและเอาใจใส่ลูกทุกคนเป็นอย่างดี

ทุกคืนจะต้องเดินดูลูกทุกคนว่าถีบผ้าห่มออกหรือเปล่า
"จอย" บอกว่าเมื่อวันที่ทีลูกจึงรู้ว่า
"ป๋า" และ "แม่" เก่งมากที่เลี้ยงลูกได้ถึง 6 คน

"เหียโต้ง" บอกว่า
การเลี้ยงลูกคนหนึ่งให้เป็นคนดีก็ยากแล้ว

แต่"ป๋า"สามารถเลี้ยงลูกทั้ง 6 คนให้เป็น"คนดี"ได้
ต้องถือว่า "เก่งมาก"
ในบ้านนี้ทุกคนเป็นคนรักการอ่านก็เพราะ "ป๋า"
ที่บ้านผมรับหนังสือพิมพ์รายวัน 1-2 ฉบับทุกวัน
หนังสือรายสัปดาห์และรายเดือนก็มีให้อ่านมากมาย
ตั้งแต่ บางกอก ทานตะวัน จนถึงสกุลไทย
ตระกูล "ฟ้า" ของ "อาจินต์ ปัญจพรรค์"
ไม่ว่าจะเป็นฟ้าเมืองไทย ฟ้าเมืองทอง ฟ้านารี ฯลฯ
"ป๋า" ก็เป็นแฟนประจำ

ไม่เว้นแม้กระทั่ง "มติชนสุดสัปดาห์"
ที่รับเป็นประจำตั้งแต่ฉบับแรกถึงวันนี้

เลี้ยงลูกด้วย"หนังสือ"
จนลำตัวของลูกเริ่มเป็นปล้องๆคล้าย"หนอน"

"ป๋า" ไม่เคยสอนลูกด้วย"ปาก"
แต่สอนด้วย"การกระทำ"
"พี่ต่อ" กับ"จอย" จะภูมิใจในตัวป๋า
ที่ให้ความเชื่อมั่นและมั่นใจในตัวลูก

"พี่ต่อ"เคยเล่นดนตรี
ตามร้านอาหารตอนกลางคืนตั้งแต่เป็นนักเรียน

แม้ว่าจะเป็นสถานที่อโคจรแต่
"ป๋า" ก็มั่นใจว่า "พี่ต่อ" ไม่ทำตัวเหลวไหล

ส่วน "จอย" เป็นเด็กหญิงชั้นมัธยมต้น
เล่นวงดนตรีไทยของโรงเรียน
และมีงานต่างจังหวัดเป็นประจำ

ซึ่งยุคนั้นไม่ค่อยมีใครปล่อยเด็กผู้หญิงไป
แต่"ป๋า" ก็อนุญาต
ยิ่ง"ป๋า"ให้ความ"เชื่อมั่น"กับ
"ลูก" มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ลูกเกรงใจ

"ความเกรงใจ" นี้เองเป็น"กำแพง"
ที่ดีทำให้ไม่มีใครออกนอกลู่นอกทาง

ทุกคนกลัวจะทำให้"ป๋า"เสียใจ
สำหรับ"ผม"ความประทับใจในตัว"ป๋า"
ก็คือ เรื่องการให้อิสระทางความคิดกับ "ลูก"

คิดดูสิครับ "ป๋า" รักการทำสวนมากแค่ไหน
แต่ลูก 6 คนไม่มีใครเรียนด้านเกษตรเลย
ทั้งที่"ป๋า" อยากให้เรียน
"ป๋า" จะพูดเรื่องนี้ทุกครั้ง
ตอนที่ลูกเลือกคณะช่วงสอบเอนทรานซ์

แต่ไม่เคยบังคับแม้แต่ครั้งเดียว
ใครอยากเรียนอะไรก็เลือกได้ตามความสมัครใจ
"เต้ย" ในฐานะผู้ดำเนินรายการในซีดีไม่พูดอะไรมาก
แต่สรุปความสั้นๆว่า
ความสำเร็จในวันนี้ต้องมี "จุดเริ่มต้น"

และจุดเริ่มต้นของตระกูล "อดุลยานนท์"
คือ "ป๋า"
ไม่ใช่แค่เป็น "จุดเร่มต้น" เพราะเป็นคนแรกที่ตั้งนามสกุลนี้
แต่ "ป๋า" เป็น "ต้นแบบ" ที่ดี
ที่ลูกทุกคนยึดถือ
งานเลี้ยงแซยิดในวันนั้นเป็นงานนรวมญาติครั้งใหญ่

ทุกคนถ่ายรูปร่วมกับ "ป๋า"
ฉายซีดีที่ "เต้ย" เป็นผู้อำนวยการผลิตให้ป๋าดู
"ป๋า" มีความสุขมาก
ยิ้มแย้มมากกว่าทุกวัน
"ป๋า"ลงมาพักที่ "ห้องใหม่" ชั้นล่าง
การปรับปรุงบ้านใหม่ครั้งนี้ทำให้ชั้นล่างน่าอยู่มากขึ้น
"ป๋า" ดูมีความสุขกับห้องใหม่ที่ใกล้สวนด้านหลังบ้าน
และเริ่มบ่นว่าห้องข้างบนที่ "ป๋า" เคยอยู่ว่างแล้ว
เวลาลูกกลับจันท์ก็มานอนที่บ้านได้แล้ว
แต่ลูกๆก็ยังไม่นอน เพราะห้องข้างบนคับแคบไปหน่อย
ช่วงนั้นสุขภาพของ "ป๋า" ไม่ดีเลย
ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา
จากนั้นไม่นาน "ป๋า" ก็เข้าโรงพยาบาล
ปักหลักวนเวียนระหว่างห้องไอซียู กับห้องพิเศษ
ลูกๆที่มาเยี่ยมเยียนก็เริ่มยึดห้องใหม่ของ "ป๋า" เป็นที่พัก
ผมคิดขำ-ขำในใจว่าสงสัยเป็นอุบายของ "ป๋า"
อยากให้ลูกๆมานอนบ้าน
ก็เลยแกล้งป่วยเข้าโรงพยาบาล
แต่...
แต่ทำไมครั้งนี้ "ป๋า" แกล้งนานจัง
ขณะที่ " ตุ้ม" สรกล อดุลยานนท์
เขียน ความทรงจำ เกี่ยวกับป๋า สั้นๆ ว่า ป๋า

"ป๋า" เป็นนักสู้ด้วยการกระทำ
สู้ไปเรื่อยๆ สู้แบบไม่ยอมแพ้
"ป๋า" ไม่ใช่ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะไม่เคยแพ้
"ป๋า" ไม่เคยถือว่า การตัดสินใจผิดพลาด
ในบางครั้ง มรสุมชีวิตที่กระหน่ำใส่ในบางครา

คือ ความหมายของคำว่า"แพ้"
ทุกมรสุมชีวิตที่ผ่านมา มันเป็นเพียงการหกล้ม
เมื่อล้มแล้วก็ต้องลุก
ลุกขึ้นมาแล้วก็เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ

แค่นั้นเอง
....................
ป๋าทำให้ตุ้ม ได้รู้จัดความหมายของคำว่า"ต้นไม้" เป็นอย่างดี
"ต้นไม้"ที่พร้อมสละกิ่งก้าน
เพื่อเป็นปุ๋ยให้กับแผ่นดิน "ต้นไม้ "
ที่เป็นร่มเงา ให้กับ ชีวิตใหม่ ได้เติบโต ขึ้นอย่างแข็งแรง

ไม่อยากบอกว่า "รักป๋า"
แต่ภาษาไทยยังหาคำที่มากมายเหนือกว่าคำว่า "รัก" ไม่ได้
ถ้า"ป๋า"คิดได้ ช่วยตะโกนบอกลงมาจากฟากฟ้าด้วยครับ
ตุ้มจะพูดใหม่ อีกครั้ง
"อดุลยานนท์" อีกคนที่บันทึกความทรงจำ
เกี่ยวกับป๋า ได้อย่างลึกซึ้งคือ สุปรียา หรือ โต้ง

ที่เขียนว่า " ฝาโลงสักทองปิดลง
ปิดบังร่างของชายที่ผมรู้จัก ผูกพันมาตั้งแต่เกิด

ให้ไม่ได้พบเห็นและสัมผัสอีกแล้ว
อีกไม่นานโลกใบนี้ก็จะถูกฝังลึกลง
ไปใต้ผืนดินของสวนอันเป็นที่รักของเจ้าของร่าง

แต่ลึกลงไปในใจแล้ว
ผมและพี่น้องทุกคนรู้ดีว่า
ป๋า ไม่ได้ จากลับหายไปไหน
แต่ยังคงฝังลึกอยู่ในกาย ในใจ ในจิต

วิญญาณของพวกเราเสมอ และตลอดไป .






ควรรู้ก่อนทำศัลยกรรมตกแต่ง

วิทยากร: นายแพทย์ ปิยะพาสน์ พิชัยชาญณรงค์
ชีวิตการทำงานสมัยใหม่เต็มไปด้วยวาระ
ของการเข้าสังคม
ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนองานในที่ประชุมใหญ่
การเสนอขายสินค้าหรือ
งานเลี้ยงฉลองความสำเร็จในโอกาสต่างๆ
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่จะต้องลุกขึ้นมาปรับโฉมให้ดูดีตลอดเวลา
ในช่วงขณะที่อยู่ในสายตาของผู้อื่น
ดังนั้นการทำศัลยกรรมตกแต่ง
จึงกลายเป็นคำตอบของการสวยแบบทันใจ

ปัจจุบันมีผู้สนใจทำศัลยกรรมตกแต่งจำนวนมาก เช่น
การทำจมูกและตาสองชั้น รวมถึงการผ่าตัดแก้ไขถุงใต้ตา
การเสริมหน้าอกและการดูดไขมัน ซึ่งเป็นการทำศัลยกรรม
เพื่อเสริมบุคลิกภาพ เน้นเสริม เติม แต่ง ให้บุคลิกดูดีขึ้นเป็นหลัก

ถ้าคิดจะทำศัลยกรรม
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือความปลอดภัย
ควรต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทำศัลยกรรมนั้นๆ ให้มากที่สุด

การพิจารณาสถานพยาบาลและแพทย์
เพื่อความปลอดภัยต้องดูถึงมาตรฐานและคุณภาพมาตรฐาน
ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ถูกกฎหมาย
มีใบรับรองและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง เป็นสำคัญ
คุณภาพสามารถดูจากการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ตรงไปตรงมา ข้อดี ข้อเสีย ของการผ่าตัดแต่ละชนิด
ซึ่งย่อมแสดงถึงความจริงใจที่ศัลยแพทย์ตกแต่งผู้นั้นมีต่อคนไข้
และที่สำคัญจรรยาบรรณในวิชาชีพของศัลยแพทย์ตกแต่งที่ดีนั้น
ย่อมไม่เสนอแนะหรือแนะนำคนไข้ว่าคุณต้องผ่าตัดอะไร
เพื่อเสริมบุคลิกภาพ
แต่คนไข้เองที่จะต้องเป็นผู้ถามแพทย์เองว่า
เขาสามารถผ่าตัดเพื่อเสริมบุคลิกภาพ
หรือเพื่อความสวยงาม (Cosmetic) ได้หรือไม่
ซึ่งศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีจรรยาบรรณที่ดี
จะใช้ดุลยพินิจตามความรู้
ความสามารถของเขาในการตอบเพียงว่าทำได้
โดย... หรือทำไม่ได้ เพราะ...
ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะผ่าตัดหรือไม่
จึงขึ้นกับคนไข้เป็นสำคัญไม่ใช่ศัลยแพทย์ตกแต่ง

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมตกแต่ง
1.ต้อง มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประวัติหรือกำลังป่วยเป็นโรคกลุ่มเสี่ยง
ได้แก่ โรคหัวใจ โรคความดันและโรคเบาหวาน กลุ่มโรคเลือด เช่น
โรคเลือดไหลไม่หยุดและกลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น
โรคไข้หวัด โรคไซนัส หากป่วยต้องรักษาให้หายก่อน
หรือความรุนแรงของโรคอยู่ในระดับที่คุมอาการได้
และไม่เสี่ยงต่อการผ่าตัด
ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษากับศัลยแพทย์ตกแต่งก่อนเสมอ
จึงจะสามารถทำศัลยกรรมได้

2.พักผ่อนให้เพียงพอให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง

3.ควรงด น้ำและอาหารอย่างน้อย 6 - 8 ชั่วโมง
ก่อนทำ เพื่อให้การทำศัลยกรรมตกแต่งในครั้งนั้นราบรื่น
ไม่ต้องสะดุดหยุดกลางคัน เพราะต้องเลื่อนเวลาหรือวันผ่าตัด


4.หากมีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์
ต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน

ที่มา http://www.sikarin.com/Web/aesthetic/before.htm




Dec 22, 2010

จีนคลอดกฎเหล็ก ห้ามใช้ศัพท์อังกฤษ



ไทยรัฐออนไลน์

22 ธ.ค.53


จีนออก กฎข้อบังคับใหม่ ห้ามหนังสือพิมพ์ หนังสือ และเว็บไซต์
ใช้คำภาษาอังกฤษแทรกลงไปในข้อเขียนทั้งหมด
ชี้ทำลายความบริสุทธิ์ของภาษาแม่


เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า
สำนักงานส่วนกลางด้านสื่อและการพิมพ์ของประเทศจีน
ออกกฎข้อบังคับใหม่ ห้ามหนังสือพิมพ์ หนังสือ และเว็บไซต์
ใช้คำภาษาอังกฤษแทรกลงไปในข้อเขียนทั้งหมด
เพราะเป็นการสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง
ให้กับมาตรฐานและความบริสุทธิ์ของ ภาษาจีน


ถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆก็ให้เขียนคำแปลต่อท้ายคำอังกฤษนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นชื่อบุคคลหรือสถานที่
แต่ทางสำนักงานมิได้เผยรายละเอียดของโทษ
ที่อาจได้รับหากไม่ปฏิบัติตาม


ทั้งนี้ บรรณาธิการของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่งเผยว่า
คำภาษาอังกฤษ เช่น GDP ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
หรือ WTO องค์การการค้าโลก
ถูกใช้อย่างแพร่หลายในข้อเขียนจนเป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่
หากต้องมาแปลเป็นภาษาจีน
อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนทั้งยังเป็นการเสียเวลา.


Dec 16, 2010

นิตยสารไทม์ ยกย่อง"มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" เจ้าของอาณาจักรเฟซบุค "บุคคลแห่งปี"

มติชน 16 ธันวาคม 2553


ก่อนหน้าปี 2010 "มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก" ผู้ก่อตั้งและซีอีโอแห่งเฟซบุค ยังเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มวัย 26 ปี ที่บ้างานและมีความลึกลับอยู่ในตัว และคุ้นเคยแค่เพียงโลกของเทคโนโลยีในซิลิคอน วัลเลย์เท่านั้น แต่ ในปีนี้เขากลับกลายต้องเข้าไปอยู่ท่ามกลางวัฒนธรรมป๊อปอันหวือหวา ปรากฏตัวอยู่ในสื่อที่มีรูปแบบและรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันไป จนกระทั่งชีวิตของเขากลายเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยกย่องมากเรื่องหนึ่งแห่งปี


เมื่อ วันพุธที่ผ่านมา สถานะทางสังคมของเขาก็ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เมื่อนิตยสาร "ไทม์" ได้เลือกให้เขาเป็น "บุคคลแห่งปี" และถือว่าซักเคอร์เบิร์ก เป็นบุคคลที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ นับตั้งแต่ "ชาร์ลส ลินด์เบิร์ก" ได้รับเกียรตินี้เมื่อปี 1927 ในขณะที่มีอายุเพียง 25 ปี โดยเขามีอายุน้อยกว่าสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น ในครั้งที่ท่านได้รับการยกย่องในปี 1952 และทั้งคู่มีอายุเพียง 26 ปีเท่ากัน "บุคคลแห่งปี" ของนิตยสารไทม์ คือบุคคลหรือสิ่งที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรม และข้อมูลข่าวสารในช่วงหนึ่งปีที่ ผ่านมา ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ โดยเมื่อปีที่แล้วบุคคลที่ได้รับตำแหน่งนี้ก็คือนายเบ็น เบอร์นานเก้ ผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ ในขณะที่ปี 2008 คือนายบารัค โอบามา และปี 2007 คือนายวลาดิเมียร์ ปูติน นายกรัฐมนตรีแห่งรัสเซีย ส่วนผู้ที่ได้รับรางวัลก่อนหน้านี้ อาทิ โบโน่ นักร้องนำแห่งวงยูทู อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายเจฟฟ์ เบซอส ประธานและผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Amazon.com ในขณะที่ก่อนหน้า นี้ นิตยสารไทม์ ได้จัดทำผลสำรวจ บุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดประจำปี 2010 ซึ่งปรากฏว่านายจูเลียน แอสแซนจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ได้รับการโหวตถึง 382,000 คะแนน ให้ได้รับตำแหน่งดังกล่าว นำหน้านายเรเซป เออร์โดกัน นายกรัฐมนตรีแห่งตุรกี และเลดี้ กาก้า นักร้องเพลงป๊อปชื่อดัง ในขณะที่ซักเคอร์เบิร์ก ได้เพียงอันดับ 10 ด้วยคะแนนที่ต่ำกว่า 20,000 เสียง


โดยนาย ริชาร์ด สเตนเกล บรรรณาธิการบริหารแห่งนิตยสารไทม์กล่าวว่า สาเหตุที่ตนเลือกให้ซักเคอร์เบิร์ก ได้รับตำแหน่งนี้ก็เพราะเฟซบุค เป็นสิ่งที่สามารถส่งอิทธิพลต่อโลกในวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน "การ เชื่อมโยงคนจำนวน 500 ล้านคน และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม (อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน) การสร้างสรรค์ระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบใหม่ ซึ่งกลายเป็นทั้ง "สิ่งที่ขาดไม่ได้" และสิ่งที่สร้างความหวั่นวิตก และในที่สุดแล้วมันก็จะสร้างความท้าทายใหม่ๆในการใช้ชีวิตของผู้คนใน ปัจจุบันที่ทั้งมีความสร้างสรรค์ และกระทั่งการมองโลกในแง่ดี"


กลุ่มทีปาร์ตี้ (ไม่มีภาพ)


นายจูเลียน แอสแซนจ์ (ไม่มีภาพ)


นายฮาร์มิด คาร์ไซ (ไม่มีภาพ)

ในขณะ ที่ผู้ที่ได้รับตำแหน่งรองลงจากซักเคอร์เบิร์ก ประกอบด้วย กลุ่มทีปาร์ตี้ กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองในพรรครีพับลิกันของสหรัฐฯ ; นายจูเลียน แอสแซนจ์ ; นายฮาร์มิด คาร์ไซ ประธานาธิบดีแห่งอัฟกานิสถาน และกลุ่มคนงานเหมืองชิลี เขาแสดงความคิดเห็นในหน้าเฟซบุ คของเขาว่า "ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ทีมงานเล็กๆของเราได้สร้างสรรค์สิ่งที่ผู้คนนับร้อยล้านคนต้องการนำมันไป ใช้เพื่อทำให้โลกเปิดกว้างและเชื่อมต่อได้มากขึ้น ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน" ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่น่าจดจำทั้งต่อซักเคอร์เบิร์กและเฟซบุค ทั้งยอดผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นถึง 500 ล้านรายทั่วโลก และมูลค่าทางการตลาดที่พุ่งขึ้นถึงหลักหมื่นล้านเหรียญ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและรูปแบบนับครั้งไม่ถ้วน เฟซบุคไปได้ไกลกว่าความเป็นแหล่งพบปะของผู้คนในเว็บไซด์สังคมออนไลน์ แต่ถือเป็นสิ่งสำคัญแห่งการเชื่อมต่อในโลกอินเตอร์เน็ต ก่อน หน้านี้ มีการคาดการณ์ไปต่างๆนานาว่า ไทม์อาจเลือก "จูเลียน แอสแซนจ์" ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ให้รับตำแหน่งนี้ โดยซักเคอร์เบิร์ก กล่าวถึงแอสแซนจ์ว่า "เนื่องจากเขาเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา" "ผมพยายามทำให้โลกเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างมากขึ้น" ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในส่วน "ประวัติ" ของเขาในเฟซบุค บาง ทีซักเคอร์เบิร์ก อาจเตรียมพร้อมที่จะรับในการเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชน ต่อสิ่งที่คนอื่นๆพยายามสร้างมันให้กับเขาอยู่เสมอๆ ในภาพยนตร์เรื่อง "The Social Network" โดยเดวิด ฟินเชอร์ อาจตีความเป็นตัวตนของเขาและความเป็นเฟซบุค ในวิธีที่ไร้ความปราณีอยู่เสียหน่อย


ภาพยนตร์ เล่าถึงซักเคอร์เบิร์ก ในฐานะบุคคลที่มีความฉลาดเฉลียว บ้าพลัง และนักแฮ็คเกอร์ผู้ต้องการเป็นที่ยอมรับของสังคมและหญิงสาว และเฟซบุคก็เรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ (ดัดแปลงมาจากหนังสือชื่อ "The Accidental Billionaires" ของเบ็น เมซริช ซึ่งซักเคอร์เบิร์กไม่ได้มีส่วนร่วมในการเขียนแต่อย่างใด) ว่า "หนังสือนวนิยาย" แต่กระนั้น ก็ไม่สามารถหยุดกระแสความชื่นชม ทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชมได้ และถือเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ ที่มีการพูดถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีนี้ และถือเป็นตัวเก็งที่สำคัญในเวทีออสการ์อีกด้วย ทั้งสมาคม นักวิจารณ์ภาพยนตร์นิวยอร์ค สมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอสแองเจลิส คณะกรรมการวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ต่างก็เลือกให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มันก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำถึง 6 สาขา ซึ่งรวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม


"บิล เกตส์" และ "วอร์เรน บัฟเฟต์" ผู้ก่อตั้งกองทุน Giving Pledge (ไม่มีภาพ)

ซัก เคอร์เบิร์ก บริจาคเงินจำนวนกว่า 100 ล้านเหรียญ ให้หน่วยงานการศึกษาต่างๆในรัฐนิวเจอร์ซี และปรากฏตัวในรายการทอล์คโชว์ของโอปราห์ วินฟรีย์ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าว เขาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทุน "Giving Pledge" ซึ่งก่อตั้งโดย "บิล เกตส์" เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ และ "วอร์เรน บัฟเฟต์" เพื่อร่วมรณรงค์ให้บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยในลำดับต้นๆของประเทศร่วมบริจาคเงิน เพื่อการกุศล สำหรับซักเคอร์เบิร์ก "The Social Network" ไม่ได้สร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้เขามากนัก ในทางตรงกันข้าม เขาเหมาโรงภาพยนตร์สองโรง เพื่อพาพนักงานทั้งหมดไปชมภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว "มัน น่าสนใจทีเดียวที่ได้เห็นในส่วนที่เขาเข้าใจถูก และส่วนที่เขาเข้าใจผิด เหมือนกับว่าเขาได้ทำเสื้อยืดตัวหนึ่งแทนสิ่งที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์กเป็น และผมคิดว่าผมคงเป็นเจ้าของเสื้อยืดพวกนั้นทั้งหมด" ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ในรายการ 60 Minutes "แต่ สิ่งที่ผมต้องการพูดถึงก็คือ มีสิ่งที่ธรรมดาๆมากมายที่เขาตีความพลาด ผมว่าเขาทำให้มันดูเหมือนว่าแรงขับในการสร้างสรรค์ เฟซบุคของผมก็เพื่อที่จะเอาชนะใจผู้หญิงเท่านั้น และพวกเขาก็ลืมความจริงไปว่า ผมคบแฟนสาวคนนี้มาตั้งแต่ก่อนที่จะทำเฟซบุคเสียอีก" ซัก เคอร์เบิร์ก ผู้เติบโตในย่านด็อบส์ เฟอร์รี่ เขตชานเมืองนครนิวยอร์ค เป็นบุตรชายของหมอฟันผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ และสร้างเฟซบุคจากห้องพักเล็กๆในหอพักของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จนกลายเป็นเว็บไซต์สังคมออนไลน์ระดับโลก ก่อนที่จะก้าวมาถึงในระดับนี้ เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอมูลค่ามหาศาลของบริษัทต่างๆ อาทิ ยาฮู และไมโครซอฟท์ และปฏิเสธที่จะนำเฟซบุคออกสู่สาธารณชนมาแล้ว


มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก พร้อมทั้งสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด ระหว่างการพักผ่อนในวันขอบคุณพระเจ้า ปี 2010 (ไม่มีภาพ)

และเมื่อถามถึงการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)ของเฟซบุค ซักเคอร์เบิร์กกล่าวว่า "บางทีอาจเป็นเช่นนั้น" "คน จำนวนมากที่ผมคิดว่าพวกเขาเริ่มต้นที่จะสร้างบริษัท คิดว่าการขายบริษัทและการเปิดตัวออกสู่สาธารณะคือจุดจบ" เขากล่าว "มันเหมือนกับว่าคุณได้ชัยชนะแล้วเมื่อคุณกลายเป็น "สาธารณะ" แต่ผมกลับไม่มองอย่างนั้น" ไม่ทุกคนที่เห็นว่าการเติบโตของ เฟซบุคเป็นสิ่งที่ดี บางคนตั้งคำถามถึงการสร้างความมีปฏิสัมพันธ์ในเชิงลึกของมัน และหลายคนตั้งคำถามถึงทัศนคติด้านความเป็นส่วนตัวของมัน เฟซบุคได้กระตุ้นให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลส่วนตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสร้างกระเแสการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใช้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่ เสมอ แต่ซักเคอร์เบิร์กในปัจจุบัน ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และกลายเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุด มองว่าเฟซบุคคือระบบการบ่งบอกตัวตนที่เป็นสากล ที่สามารถต่อกรกับกูเกิ้ล หรือแม้กระทั่งอีเมล์ บนพื้นฐานของการสื่อสารบนโครงข่ายอินเตอร์เน็ต ใน หนังสือที่เกี่ยวข้องกับเขาอีกเล่มหนึ่งชื่อ "The Facebook Effect" โดย "เดวิด เคิร์กแพทริก" กล่าวไว้ในหนังสือว่า เงินแทบไม่ใช่แรงบันดาลใจในการสร้างเว็บไซด์ และเฟซบุคได้มากเท่ากับวิสัย ทัศน์ของตัวเขาเอง "คำถามที่ผมถามตัวเองทุกวันก็คือ ผมได้ทำในสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมสามารถทำได้หรือเปล่า?" ซักเคอร์เบิร์กกล่าวในหนังสือ "เมื่อไหร่ที่ผมไม่รู้สึกว่า ผมได้แก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เมื่อนั้นผมก็จะรู้สึกว่าตนเองใช้เวลาได้ไม่คุ้มค่าพอ ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทของเราเป็น"


ทีมผู้บริหารเฟซบุค (ซ้ายไปขวา) ชามัธ พาลีหะพิทยา รองประธานด้านการเติบโต, ธุรกิจมือถือ และธุรกิจต่างประเทศ; ซักเคอร์เบิร์ก ; ไมค์ ชโรฟเฟอร์ รองประธานด้านวิศวกรรม ; โจนาธาน ไฮลิเกอร์ รองประธานด้านการปฏิบัติการเทคนิค ; คริส ค็อกซ์ รองประธานด้านผลิตภัณฑ์ (ไม่มีภาพ)

บรรยากาศภายในสำนักงาน


ห้องดนตรี (ไม่มีภาพ)


ตู้กดน้ำอัดลม (ไม่มีภาพ)


วอลล์แสดงความคิดเห็น (ไม่มีภาพ)


ห้องเก็บเสิร์ฟเวอร์ (ไม่มีภาพ)


"แบบว่า...บังเอิญรวย" หากเฟซบุ๊คจะสร้างเพื่อนหรือศัตรู

โดย รักษ์การอ่าน

วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ฮอตไม่เลิกกับหนังดังอย่าง "เดอะ โซเชียล เน็ตเวิร์ก" ที่ทุกคนต่างยกย่องและคว้ารางวัลมามากมาย จนอดไม่ได้ที่ต้องพูดถึง The Accidental Billionaires ของเบน เมซริช หนังสือที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องราวของ "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม มติชนออนไลน์ดึง "ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์" ผู้แปล แบบว่า...บังเอิญรวย มาพูดคุยกันถึงหนังสือเล่มนี้ "The Accidental Billionaires" เป็นการนำเอาเฟซบุ๊คเป็นหลักเล่าถึงสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้เรียงลำดับเวลา แต่บอกเล่าถึงความคิด การใช้ชีวิต สภาพแวดล้อม ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเฟซบุ๊คจนถึงวันนี้ที่มีคนร่วมเป็นสมาชิกในเครือข่าย มากกว่า 500 ล้านคน เสน่ห์สำคัญที่เป็นจุดเด่นคือ ผู้เขียนฉลาดเลือกวิธีการเล่าเรื่องไม่วิพากษ์หรือตัดสินว่าใครถูกหรือผิด แต่กลับให้คนอ่านวิเคราะห์เอง มาร์คคิด "เฟซบุ๊ค" โดย ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นตัวตั้ง "เพื่อน" คือหลักของโซเชียล เน็ตเวิร์ก แทบจะไม่ได้ใส่เนื้อหาอื่นลงในเว็บไซต์ แต่ให้ผู้ใช้บริการเลือกที่จะสร้างสรรค์ทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น เฟซบุ๊คสามารถสร้างเพื่อนหรือศัตรูก็เป็นได้ เหมือนการสร้างสมุดบันทึก แต่เราเองเป็นผู้เขียนใส่เนื้อหาเข้าไป" ตัวตนของมาร์คในความคิดผู้แปล มาร์คเป็นคนเก่งมีไหวพริบดี คิดไวแต่อีโก้จัดมาก บุคลิกทั่วไปเป็นคนเก็บตัวและเข้าสังคมยาก จึงทำให้มีเพื่อนน้อย ขณะเดียวกันสิ่งที่เขาทำก็มีทั้งคนที่ดูถูกและบูชา จุดเริ่มต้นของเฟซบุ๊ค มาร์คตั้งต้นทำเว็บไซต์นี้ตั้งแต่อายุเหยียบ 20 ปี และใช้เวลาเขียนโปรแกรมแค่ 2 สัปดาห์ ด้วยความอัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ที่มีมาแต่วัยเยาว์ เริ่มเขียนโปรแกรมครั้งแรกขณะเรียนมัธยมปลาย สามารถสร้างโปรแกรมจนไมโครซอฟท์เสนอเงินให้ถึง 1 ล้านดอลลาร์ แต่เขาปฏิเสธด้วยความเชื่อมั่นว่าสามารถหาเงินได้มากกว่านั้น ช่วงปี 2004 จากจุดเริ่ม ใช้เวลา 2 ปี ก็นิยมไปทั่วสหรัฐฯ และอีก 2 ปี ที่คนทั่วโลกรู้จักกับเว็บไซต์นี้ ตอนที่อายุ 25 ปี เฟซบุ๊คทำเงินให้มาร์คกว่าพันล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่สุดใน โลก และเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีสมาชิกกว่า 500 ล้านคนในขณะนี้ที่มีอายุเพียง 26 ปี ความสัมพันธ์ของมาร์คและเพื่อนรัก จากจุดเริ่มต้น มาร์คกับเพื่อนสนิทอย่าง "เอดูอาร์โด เซเวอริน" เพียง ต้องการเรียกความสนใจจากสาวๆ สร้างตัวตนจาก "Nobody" ให้กลายเป็น "Somebody" เมื่อเว็บไซต์นี้ได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นจนเกินกว่าคน เพียงสองคนจะดูแล ได้ก็เกิดเรื่องราวอีกมากมายตามมา "เฟซบุ๊คให้ความสำคัญกับความเป็นเพื่อน เพราะถ้าไม่มีเพื่อนก็จะกลายเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มีอะไรเลย แต่มาร์คกลับให้ความสำคัญของเพื่อนน้อยกว่า ความก้าวหน้าของบริษัท เมื่อวันหนึ่งที่ธุรกิจต้องเดินหน้า เอดูอาร์โดซึ่งไม่ค่อยมีศักยภาพในการหาเงินทุน มาร์คจึงเลือกคบคนอื่น โดยหนังสือเล่มนี้ค่อยๆ บอกถึงพัฒนาการจากเพื่อนรักกลายเป็นศัตรู" ความสำเร็จของเด็กหนุ่มที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เขาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประมาณปี 3 ที่จริงแล้วก่อนหน้านั้นก็ไม่ค่อยเข้าเรียน แต่ใช้เวลาในการศึกษาเรื่องเซิฟเวอร์ เขียนโปรแกรม และพัฒนาเฟซบุ๊ค หากถามว่ามาร์ครวยจากอะไร ความจริงคือการนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เว็บไซต์จะรวยได้จากนักลงทุนที่เห็นคุณค่าของสมาชิก โดยมีเพียงรายได้ส่วนหนึ่งจากการขายโฆษณา และค่าแอพพริเคชั่น จำนวนเงินที่พูดๆ กัน คือการตีราคารวมเป็นมูลค่าและแตกออกมา เป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมาร์คดำรงตำแหน่ง เป็นประธานบริษัท ความเป็นจริงของโลกธุรกิจทุนนิยม คนอาจมองว่าเขาร้าย แต่ในแวดวงธุรกิจมันอาจจะ "สมควรแล้ว" เพราะทุกอย่างมันต้องโต แต่ในแง่ของศีลธรรมและคุณค่าทางจิตใจ แต่ละคนก็ต้องใช้วิจารณญาณของตัวเอง พูดถึง "เบน เมซริช" ผู้เขียน สำหรับตัวผู้เขียนเองเคยทำงานข่าวมาก่อน จากนั้นจึงเริ่มเขียนหนังสือนิยาย ทำให้การเล่าเรื่องสนุกสนานโดยใช้วิธีการเขียนแบบนิยาย เรียบเรียงข้อเท็จจริงในเชิงธุรกิจให้มีชีวิตชีวา พรรณนาตัวละคนให้คนอ่านสามารถสัมผัสถึงตัวตน เรียกได้ว่าอ่านสนุก วิธีตัดฉากไปมาก็ทำได้ดี อย่างเช่นฉากเปิดตัวคู่แฝดวิงเคิลวอสส์ ที่ผู้เขียนพยายามสร้างบุคลิกให้ชัดเจนในความคิดของผู้อ่าน และเขียนขึ้นจากการศึกษาเอกสารต่างๆ รวมไปถึงสัมภาษณ์คนแวดล้อม เนื่องจากมาร์คปฏิเสธการให้สัมภาษณ์ จบการพูดคุยทำให้ตระหนักว่า หนังสือเล่มนี้ไม่อาจตัดสินใคร แต่เราเองเป็นคนตัดสินใจว่า เฟซบุ๊คจะมีไว้เพื่อสร้างเพื่อน หรือศัตรู เหมือนที่ "นิ้วกลม" เขียนคำนิยมไว้ว่า "ไม่แน่,หลังจากอ่านจบ คุณอาจพบว่า คุณจะไม่กดรับ "Friend" ง่ายๆ เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งในเฟซบุ๊ค และในชีวิตจริง!"

Dec 15, 2010

เคล็ดลับความรวยของ"ทองมา"



"หนุ่มเมืองจันท์"
มติชน

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

http://www.facebook.com/home.php?#!/boycitychanFC



หลังจากที่วารสารการเงินธนาคาร
ฉบับเดือนธันวาคม 2553 จัดอันดับเศรษฐีไทย

วัดจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ประเภทบุคคลธรรมดา
ในประเทศที่ถือหุ้นสัดส่วน 0.5% ขึ้นไป

ตามการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุดก่อนวันที่ 30 กันยายน 2553
ปรากฎว่าตำแหน่งแชมป์เศรษฐีหุ้นไทยปีนี้คือ
"ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์" ประธานกรรมการบริหาร
และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียบเอสเตท จำกัด (มหาชน)
หรือพีเอส
หลังครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นไทยอันดับ 2 ติดต่อกันมา 4 ปี



********

เคยไปคุยกับ "ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์"
มาครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
พ.ศ.นั้นเอ่ยชื่อ "ทองมา" คนยังไม่ค่อยรู้จักมากนัก
แต่ถ้าบอกว่าเขาเป็นเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร "บ้านพฤกษา"
และ "บ้านภัสสร" ก็คงจะเริ่มคุ้นมากขึ้น
ปีนั้น "ทองมา" เป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 2 ของเมืองไทยครับ
รองจาก "อนันต์ อัศวโภคิน" แห่งแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
ปลายปี 2550"ทองมา"ถือหุ้น"พฤกษา เรียลเอสเตท"
คิดเป็นเงินประมาณ 11,000 ล้านบาท
วันที่ผมได้คุยกับ"ทองมา"ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาเยอะ
"ทองมา"ก็เลยจนลง
เหลือแค่ 10,200 ล้านบาท
...แค่นั้นเอง

แต่วันนี้ไม่ใช่แล้วครับ
"ทองมา"กลายเป็นมหาเศรษฐีหุ้นอันดับที่ 1 ของเมืองไทย
เขาถือครองหุ้นมูลค่ารวม 31,422.5 ล้านบาท
เพิ่มจาก 3 ปีก่อนประมาณ 3 เท่าตัว
"ทองมา"เป็นนักธุรกิจที่คุยเรื่องธุรกิจไม่ค่อยเก่ง
พูดน้อย อธิบายชัด แต่เป็นประโยคสั้นๆ
แต่ถ้าเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่อง"ธรรมะ"เมื่อไร
เหมือนเข้าเกียร์อัตโนมัติเลยครับ
เหยียบคันเร่งแล้วเดินหน้าไปได้เรื่อยๆ
ก่อนไปคุยกับ"ทองมา" ตามประสานักข่าวที่ดี
ผมนั่งอ่านประวัติและบทสัมภาษณ์ของเขา
โหย...น่าสนใจกว่าที่คิดเสียอีก
"ทองมา"เป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่งครับ
ครอบครัวของเขาทำสวนผัก ขายกระเพาะปลาอยู่ที่เมืองชล
พ่อแม่มีกำลังส่งเขาเรียนได้แค่ชั้น ป.4
"ทองมา"ต้องเข้ามากรุงเทพ ทำงานเป็นช่างทองอยู่ประตูน้ำ
ทำงานไปเรียนไปจนสอบเทียบม.ศ.5 ได้
"ทองมา"สอบเอ็นทรานซ์ติด
และไม่ใช่ติดธรรมดาๆ
แต่สอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นี่ขนาดทำงานไป-เรียนไปนะครับ
ไม่ธรรมดา อ๊ะ ไม่ธรรมดา
...............


"ทองมา"ประสบความสำเร็จจากโครงการบ้านราคาถูก
เป็นความสำเร็จที่แตกต่างจาก"อนันต์ อัศวโภคิน"อย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์"ครองตลาดบ้านราคาสูง
"บ้านพฤกษา"เป็น"ขวัญใจคนจน"ครองตลาดบ้านระดับล่าง
เหตุผลที่"ทองมา"บุกตลาดนี้ เพราะเขาเห็นช่องว่างทางการตลาด
"ทองมา"เคยบอกว่าเมื่อเห็นราคาบ้านที่ขายกันอยู่
ในฐานะวิศวกรที่ทำงานในบริษัทก่อสร้างมาหลายปี
เขารู้ดีว่ามันสามารถสร้างได้ในราคาต่ำกว่านั้นได้
โครงการแรกของ"บ้านพฤกษา"จึงเป็นทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียว
...ขายในราคา 350,000 บาท
กลยุทธ์นี้เป็นกลยุทธ์แบบเดียวกับ"ซีพี"
ที่ขายของที่มีกำไรต่อหน่วยต่ำ
แต่เน้นปริมาณเยอะๆ
"บ้านพฤกษา"ของ”ทองมา”ก็เช่นกัน
อาวุธของ"ทองมา"คือ เทคโนโลยี่
การก่อสร้างแบบสำเร็จรูปที่เขาซื้อลิขสิทธิ์จากฝรั่งเศส
นอกจากทำให้ต้นทุนต่ำลงแล้ว
"เวลา"การก่อสร้างก็ลดลงด้วย จากปกติเคยสร้างกัน 6 เดือน
เขาสามารถลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 4 เดือน
ในทางธุรกิจ"เวลา"นั้นมี"ราคา"

ยิ่งสร้างเสร็จเร็วเท่าไร ก็ได้รับเงินสดเร็วเท่านั้น
เงินก้อนเดียวกัน ถ้าสร้างเสร็จเร็วก็สามารถหมุนได้หลายรอบ
ที่สำคัญ "ความเร็ว" ของการก่อสร้างบ้านพฤกษา
เร็วกว่า "เครดิต"ที่ได้รับจากการซื้อวัสดุก่อสร้างอีก
สมมุติว่าได้เครดิต 5 เดือน คือ
ซื้อของวันนี้ อีก 5 เดือนจ่ายตังค์
แต่"บ้านพฤกษา"สร้างเสร็จภายใน 4 เดือน
รับเงินตั้งแต่เดือนที่ 4 แต่จ่ายเดือนที่ 5
เงินนิ่งๆหลายพันล้านหรืออาจถึงหมื่นล้าน
เวลา 1 เดือนที่ยังไม่ต้องควักออกจากกระเป๋า
คิดดูสิครับว่าจะก่อให้เกิดรายได้เพิ่มอีกเท่าไร
นี่คือ อีกกลยุทธ์หนึ่งของ"ทองมา"

ต้องยอมรับว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา"ราคา"
เป็น"จุดแข็ง"ที่สุดของ"บ้านพฤกษา"

"มีคนบอกว่าถ้าซื้อบ้านพฤกษาไม่ไหว ก็ไม่ต้องไปดูโครงการอื่น"
"ทองมาเล่าว่าตอนนี้เขาทำงานบริหารจนแทบไม่มีเวลาไปดูโครงการที่เปิดใหม่เลย
แล้ววันหนึ่งเขานั่งรถผ่านหมู่บ้านจัดสรรโครงการหนึ่ง
"ผม ก็ชมในใจว่าทำเลดีจัง พอเข้าไปใกล้อีกนิดก็รู้สึกว่าโครงการนี้สวยมาก
แต่รูปแบบคุ้นจัง จนถึงตัวโครงการจึงรู้ว่า อ๋อ บ้านพฤกษา โครงการของผมเอง"

ครับ ฟังเรื่องของ"ทองมา"แล้วผมนึกถึง
เรื่องของ"เจริญ-คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี"
มีคนเล่าว่าวันหนึ่งคุณหญิงวรรณานั่งรถผ่านที่ดินแปลงหนึ่ง ทำเลดีมาก
คุณหญิงวรรณาสนใจที่ดินแปลงนี้ก็เลย
โทรศัพท์ไปถามลูกน้องที่เชี่ยวชาญเรื่องที่ดินว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของใคร
ลูกน้องฟังแล้วหัวเราะ
รู้ไหมครับว่าที่ดินของใคร
ชื่อเจ้าของ คือ "คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี"ครับ
.................


สมัยเด็ก"ทองมา"ช่วยพ่อขายกระเพาะปลาที่เมืองชล
กระเพาะปลาของพ่อ จะต้องซื้อมาจากเยาวราช
ไม่มีการใช้หนังหมูทอดมาหั่นผสมเพื่อลดต้นทุน
ไก่ที่ต้มก็ใช้"ไก่บ้านตัวเมีย"
"ทองมา"เคยถามพ่อว่าทำไมไม่ใช่"ไก่เลี้ยง"หรือ"ไก่บ้านตัวผู้"ที่ราคาถูกกว่า
และทำไมต้องขายชามละ 50 สตางค์
ไม่ขายราคา 1 บาทเหมือนที่"อา"ของเขาขาย
คำตอบของพ่อก็คือ"แค่นี้เราก็มีกำไรแล้ว"

ในวัยเด็ก มุมหนึ่งเขาก็ภูมิใจในตัวพ่อ
อีกมุมหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าพ่อไม่ฉลาด
ถ้าทำกำไรได้มากขึ้น เขาก็จะสบายมากกว่านี้
"ทองมา"ไม่รู้เลยว่า”กรอบความคิด”
ของพ่อแอบมาอาศัยอยู่ในสายเลือดของเขาตั้งแต่เมื่อไร
จนวันหนึ่งเมื่อเขาตัดสินใจทำทาวน์เฮ้าส์ขายในราคา 350,000 บาท
มีลูกค้ารายหนึ่งเดินมาหาเขาที่สำนักงานขายแล้ว
พูดด้วยเสียงชื่นชมว่ามันต้องมีผู้ประกอบการแบบนี้บ้าง
เป็น"คำชม"ที่มีค่ากับ"ทองมา"มาก
คนรายได้น้อยจำนวนมากที่อยากมีบ้านของตัวเอง
แต่ไม่เคยมีผู้ประกอบการรายไหนที่ใจถึงขนาดนี้
วันหนึ่งหลังจากธุรกิจเติบโต ทาวน์เฮ้าส์ของค่ายอื่นขยับราคาขึ้นเรื่อยๆ
แต่"บ้านพฤกษาไก็ยังยืนราคาเดิม คือ ประมาณ 600,000 บาท
ลูกน้องถาม"ทองมา"ว่าทำไมเราไม่ขึ้นราคา
เพราะถึงจะขยับราคาขึ้นก็ยังต่ำกว่าคู่แข่ง
คำตอบของ”ทองมา”เป็นคำตอบที่เขาคุ้นๆเมื่อวัยเด็ก
"แค่นี้ เราก็มีกำไรไม่ใช่หรือ"
อ้อ ผมลืมเล่าไปนิดหนึ่งว่า
ตอนที่คนซื้อบ้านโครงการแรกเดินมาชม"ทองมา"
ที่กล้าขายทาวน์เฮ้าส์ราคา 350,000 บาท
"ทองมา"บอกว่าเขาตั้งใจขายราคาต่ำจริง
แต่ที่กำหนดราคา 350,000 บาท
...เขาคำนวณต้นทุนผิดครับ
ปิดโครงการ "ทองมา"จึงได้กำไร"ชื่อเสียง"
แต่ในทางบัญชี ...เท่าทุนครับ
....................


ปีนี้"พฤกษา เรียลเอสเตต"เป็น
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ทำยอดขายสูงที่สุดในเมืองไทย
3 ไตรมาส 16,403 ล้านบาท กำไร 2,429 ล้านบาท

แสดงว่าตอนนี้"ทองมา"คำนวณต้นทุนเก่งขึ้นแล้ว

Dec 14, 2010

ในหลวง ร.๙ ทรงเสด็จฯทอดพระเนตรคอนเสิร์ตแจ๊ส

ภาพพระราชทาน สำนักพระราชวัง

โพสต์ทูเดย์

12 ธันวาคม 2553
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร
การแสดง"Duke Ellington Charilty Concert"
เพื่อสถานบันการแพทย์สยามมินทราธิราช ณ หอประชุมราชแพทยาลัย โรงพยาบาลศิริราช

การจัดคอนเสิรต์แจ๊สการกุศลครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ
เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงเป็นองค์อัครศิลปิน

โดยเฉพาะทรงมีพระปรีชาสามารถด้านดนตรี
อีกทั้งเพื่อหารายได้สมทบทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์
ของสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล


สำหรับการแสดงดนตรีแจ๊สในครั้งนี้ ดุ๊ก เอลลิงตัน
ได้นำบทเพลงพระราชนิพนธ์มาบรรเลงทั้งหมด 4 เพลง ได้แก่
Love at Sundown - ยามเย็น, H.M.Blue -ชะตาชีวิต,
Still on My Mind - ในดวงใจนิรันดร์ และ When - เกิดเป็นไทยตายเพื่อไทย
นอกจากนี้ยังมีเพลงดังระดับโลกของดุ๊ก เอลลิงตัน ได้แก่
Take The A Train, Satin Doll, Caravan,
Mood Indigo, Solitude, Sophisticated Lady,
Prelude To A Kiss, Things Ain’t What They Used To Be,
It Don’t Mean A Thing (If It Ain’t Got That Swing),
Don’t Get Around Much Anymore,
C Jam Blues, I’m Beginning To See The Light
และ Perdido มาแสดงในครั้งนี้ด้วย

ภาพ : ทวีชัย ธวัชปกรณ์











Dec 13, 2010

เชฟดอล์ฟ สหัส จันทกานนท์

คุยกันวันเสาร์ กับ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ
http://th-th.facebook.com/pages/khuy-kan-wan-sear/308586579781

เชฟดอล์ฟ  สหัส จันทกานนท์
ABC Cooking Studio
http://www.abccookingstudio.co.th/

ออกอากาศ TNN24 วันเสาร์ที่ 30 มกราคม 2553
saturdaytalk@hotmail.com





สุรนันทน์ เชฟดอล์ฟเรียนจบอะไรมาครับ
สหัส : ผมเรียนตกแต่งภายในครับ

สุรนันทน์ : แล้วมาเป็นเชฟได้อย่างไรครับ

สหัส : เป็นคนชอบกิน ชอบเที่ยว เวลาเห็นร้านอาหารที่มีความรู้สึกเก่าๆ
จะประทับใจ ผมเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร

สุรนันทน์ : แถวนั้นร้านเก่าๆ อร่อยๆ เยอะ

สหัส : ครับ เวลาดูเขาทำก๋วยเตี๋ยว มันมีวิญญาณ มันมีอารมณ์

สุรนันทน์ : ตอนเด็กๆ ทำอาหารหรือเปล่าครับ

สหัส : เริ่มทำอาหารคือช่วยคุณพ่อคุณแม่เข้าครัว
ครั้งแรกจริงๆ คือตอนไปเข้าค่ายลูกเสือตอน ม.3

สุรนันทน์ : แล้วตอนนั้นรู้หรือยังว่าฉันรัก ฉันอยากทำอาหาร

สหัส : ไม่ครับ ตอนนั้นได้ใจ เพราะว่าเพื่อนหิวก็เลยมารุมกินหมด
เราก็นึกว่าเราเก่งแล้ว แต่จริงๆ ยังครับ ยังผิดพลาดอีกเยอะ

สุรนันทน์ : ตอนไหนที่เริ่มรู้ว่าฉันรักการทำอาหาร

สหัส : ก็เริ่มตอนเรียนครับ เวลาว่างจะทำอาหารเอง
พอทำสำเร็จ จะรู้สึกว่าดีมาก สนุก แต่เวลาผิดจะแก้ยังไง
เราก็เริ่มสนุก และก็ทำมาตลอด

สุรนันทน์ : ก็เริ่มคิด คิดแบบคนที่เรียนตกแต่งภายในหรือเปล่าครับ

สหัส : คิดแบบคนไม่มีความรู้

สุรนันทน์ : จนบัดนี้ก็ไม่เคยไปเรียนทำอาหารเลยใช่ไหมครับ

สหัส : ไม่ได้เรียนครับ

สุรนันทน์ : ทดลองเองตลอด

สหัส : ครับ อาจจะเป็นข้อดีในข้อเสียก็ได้ คือ
ผมไม่ได้เรียนมาโดยตรงเพราะฉะนั้นผมไม่มีกรอบความคิดว่า
อะไรห้าม อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้

สุรนันทน์ : รู้ว่าตอนไหนทำอาหารเก่งครับ

สหัส : ตอนนั้นอกหักใหม่ๆ ยังร้องไห้อยู่
ก็มีงานเลี้ยงแขกผู้ใหญ่เประมาณ 20 ท่าน
เขาก็ให้ผมทำอาหาร ผมก็ทำไปร้องไห้ไป
แต่ปากก็ยังชิมอยู่ เสร็จแล้วก็ลงมาเสริฟ
แขกต่างชาติก็เยอะและคนที่อยู่ในธุรกิจวงการอาหารเขาก็ทาน
พอจบงานเลี้ยง เขาก็เชิญเชฟทำอาหารมายืนทุกคนก็บอกว่าขอบคุณ
แล้วก็ลุกขึ้นปรบมือให้ ผมก็รู้สึกว่ามันมีอย่างนี้ด้วยเหรอ
รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันสื่อถึงคน
เขากินแล้วเขาอร่อย
เขาประทับใจ เขาขอบคุณ



สุรนันทน์ : ทำไมถึงมาเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารครับ

สหัส : แนว ทางมันเหมือนเป็นงานอดิเรก
ปกติในสยามสแควร์ผู้ปกครองส่งลูกหลานมาร้องเพลง
มาเรียนเต้น กวดวิชา มาวาดรูด
ตรงนี้ก็เลยคิดว่าทำไมไม่มีการเรียนทำอาหารเกิดขึ้น
ทฤษฎีของเลโอนาร์โด ดาวินชี ที่ผมเรียนมาด้านทางศิลปะ
เขาบอกว่าการทำอาหารเป็นกิจกรรมอย่างเดียวที่ทำแล้ว
ได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมด คือ ตา หู จมูก ลิ้น มือ

สุรนันทน์ : แสดงว่าคิดทำโรงเรียนก่อนโดยที่ตัวเองสนใจทำอาหาร
แต่ยังไม่รู้ว่าจริงๆ มีความสามารถพอที่คนจะยอมรับหรือเปล่า
ทำในเชิงพาณิชย์หรือทำด้วยใจรักครับ

สหัส : จริงๆ สตาร์ทแล้วจะบอกว่าใจรักก็คงไม่ใช่
เราก็ต้องหวังในเชิงพาณิชย์ก่อนให้มันอยู่ได้

สุรนันทน์ : แต่มีเป้าหมายว่าเป็นงานอดิเรก
และเด็กๆ น่าจะสนใจ ถึงมาเปิด

สหัส : ใช่ครับ

สุรนันทน์ : ร้านนี้เป็นอินทีเรียด้วยหรือเปล่าครับ

สหัส : อินทีเรียรับเป็นฟรีแลนซ์ อินทีเรียก็จะแยกไป
ตรงนี้เป็น Cooking Studio จริงๆ

สุรนันทน์ : ตอนเปิดร้าน Cooking Studio
ประสบความสำเร็จมั๊ย เด็กๆ มาเรียนตามที่ตั้งใจไว้มั๊ยครับ

สหัส : ใน เรื่องการตลาด แผนโปรโมชั่นก็เยอะนะครับ ... เราก็ดูว่า
เราจะขยายกลุ่มลูกค้าอย่างไร ลูกค้าก็ได้เพิ่มขึ้นจากเรื่องวงการอาหารเพิ่มขึ้น
อย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมา หรือผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว
เอามาทำอาหารสูตรอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
เราก็จะได้ลูกค้าจากกลุ่มพวกนี้เพิ่มมากขึ้น

สุรนันทน์ : คิดนอกกรอบจริงๆ ไม่ได้คิดเป็นเชฟด้วยตัวเองก่อน...
เข้ามาแล้วเขาถามมั๊ยว่าเชฟด๊อฟเป็นใคร

สหัส : ถาม ครับ คุณเป็นใคร คุณเรียนอะไรมา
เพราะต้นทุนผมไม่มี คุณพ่อก็ไม่ได้เป็นนักชิม
พอผมตอบว่าผมเรียนตกแต่งภายใน พอตอบปั๊บ
ก็ไม่มีคำถามอะไรต่ออีกแล้ว เขาก็คงคิดว่ามันต้องบ้าแน่ๆ
ผมก็บอกว่าถ้าอยากเรียนก็เรียน ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่ต้องเรียน

สุรนันทน์ : แต่ที่คุณนำมาสอนนี่มันโอเคใช่มั๊ย

สหัส : ผม ว่ามันโอเคนะ เพราะสิ่งที่ผมเรียน ผมไม่ได้เข้าโรงเรียน
แต่ผมเรียนจากหนังสือ จากประสบการณ์จริง
และเรียนจากผู้รู้คือเชฟต่างๆ ในช่วงที่ผมได้เดินทางได้ไปเจอ

สุรนันทน์ : คือด้วยความสนใจของเรา เราก็พัฒนาองค์ความรู้ของเรา
องค์ความรู้ตรงนี้ก็มาอยู่ที่ ABC แล้วที่ ABC สอนอะไรบ้างครับ

สหัส : สอนทุกอย่างครับ อาหารคาว ขนม เครื่องดื่ม

สุรนันทน์ : อาหารคาวนี่อาหารไทยหรืออาหารฝรั่ง

สหัส : ทั้ง ไทยและฝรั่งเลยครับ เป็นกึ่งจีนก็มีครับ
ถามว่าผมเอามาจากไหน ความรู้เรื่องจีน
ผมก็รู้จักเจ้าของร้านอาหารจีนหลายๆ ท่าน
บางทีมาเปิดคลาสที่นี่ ผมก็ถาม หลายๆ ท่านก็สอนให้

สุรนันทน์เชฟดอล์ฟสอนเอง มีทีมงานสอน มีเชฟอื่นมาช่วยสอนมั๊ยครับ

สหัส : มีครับ จริงๆ ABC เป็นเหมือนกับบ้านมากกว่า Center
หรือว่าเป็นเหมือนเวที เชฟท่านใดอยากมาทำ
อยากมาสอน ตรงนี้ก็เป็นเหมือนโพรวายให้ได้


สุรนันทน์ : ทำมา 5 ปีแล้วเรียกว่าสำเร็จมั๊ยครับ

สหัส : ยังครับ ทำมา 5 ปีก็มีอะไรใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น

สุรนันทน์ : เมื่อ 5 ปีก่อนที่เปิดร้านวันแรกฝันว่ามันจะเป็นอย่างนี้มั๊ยครับ

สหัส : ไม่ฝันเลยครับ

สุรนันทน์ : แล้วตอนนั้นฝันอะไร

สหัส : บอกตามตรงว่าตอนนั้นยังคิดไม่ออกเลยว่า
มันจะไปทางไหน จะไปขายใคร

สุรนันทน์ : ตอนนั้นเชื่อมั๊ยว่าความคิดเรามันน่าจะถูก

สหัส : เชื่อว่ามันน่าจะมีคนที่มีมุมมองเห็นด้วยกับเราบ้างบางส่วน

สุรนันทน์ : ตรงนี้มันเป็นความลับนะสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จ
ขั้นแรกมั่นใจแค่ไหนครับ

สหัส : บาง ทีผมว่าความมั่นใจมันไม่เท่ากับกล้าตัดสินใจ
ผมว่าการทำธุรกิจเป็นความเสี่ยง ถ้าเสี่ยงแล้วมันไม่เวิร์ค
มันล้มเหลว ก็คือหยุดแล้วก็เปลี่ยน ในเชิงธุรกิจ
แต่ส่วนมากถ้าเป็นคนไทยจะบอกว่าทำธุรกิจเจ๊ง เสียหน้า อาย
ไม่กล้าบอกเพื่อน แต่ในสิ่งที่ผมได้ยินมาและที่ผู้ใหญ่หลายๆ ท่านบอกคือ
การทำธุรกิจคือการลงทุน ลงทุนไม่เวิร์คก็เปลี่ยนแกนไปเรื่อยๆ
นั่นคือการทำธุรกิจ ไม่ใช่การเสียหน้า

สุรนันทน์ : 5 ปีที่ผ่านมาอุปสรรคเยอะมั๊ยครับ

สหัส : เยอะมากครับ

สุรนันทน์ : เจออะไรมาบ้างครับ

สหัส : อย่าง แรกเลยคือค่าเช่าแพง สองคือการที่เราไม่มีชื่อเสียง ไม่มีเครดิต
เราก็ต้องเริ่มสร้างว่าเราควรจะทำอย่างไร
และก็บอกเขาอย่างไรว่ามาเรียนกับเราได้ประโยชน์อย่างไร
ตรงนั้นก็ใช้เวลาพอสมควร และก็พิสูจน์ความสามารถด้วย

สุรนันทน์เชฟดอล์ฟสอนเอง มีทีมงานสอน มีเชฟอื่นมาช่วยสอนมั๊ยครับ

สหัส : มีครับ จริงๆ ABC เป็นเหมือนกับบ้านมากกว่า Center
หรือว่าเป็นเหมือนเวที เชฟท่านใดอยากมาทำ
อยากมาสอน ตรงนี้ก็เป็นเหมือนโพรวายให้ได้

สุรนันทน์ : ทำมา 5 ปีแล้วเรียกว่าสำเร็จมั๊ยครับ

สหัส : ยังครับ ทำมา 5 ปีก็มีอะไรใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น

สุรนันทน์ : เมื่อ 5 ปีก่อนที่เปิดร้านวันแรกฝันว่ามันจะเป็นอย่างนี้มั๊ยครับ

สหัส : ไม่ฝันเลยครับ

สุรนันทน์ : แล้วตอนนั้นฝันอะไร

สหัส : บอกตามตรงว่าตอนนั้นยังคิดไม่ออกเลยว่า
มันจะไปทางไหน จะไปขายใคร

สุรนันทน์ : บอกแล้วเขาว่าอย่างไรครับ

สหัส : บอกแล้วไม่มีใครฟังหรอกครับ
เราต้องรอว่าสิ่งที่เราทำงานออกไปมีคนยอมรับยังไง

สุรนันทน์ : เพราะฉะนั้นก็เป็นกระบวนการปากต่อปาก
ใครมาเรียนกับเราแล้วดีก็พูดต่อให้เรา

สหัส : แล้วก็คนที่ได้มาทำงานกับเรา
และเราบริการเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ตรงกับแนวสินค้า ก็คือสำคัญ

สุรนันทน์ : 5 ปีนี่ก็เจอทั้งช่วงเศรษฐกิจดี
ช่วงเศรษฐกิจไม่ดี เหมือนกันมั๊ยสำหรับธุรกิจนี้

สหัส : ถ้าช่วงไม่ดีก็อาจจะตัดสินใจช้าหน่อย เราก็ปรับแพจเกจ

สุรนันทน์ : แต่ก็ยังมีคนเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ได้ตก หายวูบ

สหัส : ก็มีเรื่อยๆ ครับ ก็อาจจะโชคดีที่มีเพื่อนทำรายการโทรทัศน์ของฮ่องกงบ้าง
อะไรบ้าง ก็แวะมาถ่ายแล้วก็ไปลงแมกกาซีน
ตอนนี้ก็กลายเป็นว่ากลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มาเรียนตอนนี้ เยอะที่สุดคือฮ่องกง

สุรนันทน์ : เคยนึกย้อนกลับไปแล้วเสียดายมั๊ยว่า 5 ปีที่ผ่านมา
ฉันน่าจะอยู่กับการตกแต่งภายใน ไม่น่ามาตรงนี้

สหัส : ไม่เสียดายเลยครับ ทุกอย่างทำไปแล้ว
ย้อนกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่เลือกมาทางนี้
แล้วจะทำอย่างไรต่อไปมากกว่า

สุรนันทน์ : ตอนนี้อาหารอะไรที่ทำแล้วป๊อบปูล่ามาก

สหัส : ส่วนมากขนมอบ ขนมเค้ก เบเกอรี่ เด็กๆ จะชอบ
ส่วนอาหารคาวก็มี ต้องแล้วแต่ ถ้าเป็นเด็กผู้หญิง
อาจจะรู้สึกว่าอยากทำขนมให้คุณพ่อคุณแม่รับประทาน
แต่ผู้ชายก็มาเรียนเยอะ

สุรนันทน์ : เพราะฉะนั้นลูกค้าก็มีความต้องการที่หลากหลาย
มีใครที่เข้ามาแล้วอยากจะเป็นเชฟบ้างครับ

สหัส : ผม ก็แนะนำว่าลองมาเรียนดูก่อนว่าจริงๆ แล้ว
ตัวเองแค่ชอบหรือว่ารัก อดทนกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นข้างหน้า
ไม่ใช่ว่าเราเตรียมไว้ให้แล้วแต่ความละเอียด ความอดทนหั่น
เดี๋ยวคุณต้องเก็บกวาด ทำไมห้ามทำอย่างนี้
ทำไมห้ามทำอย่างนั้น คุณรู้สึกอย่างไร รู้สึกว่าคุณชอบ
แฮปปี้แล้ว คุณเบนเข็มเลย คุณเรียนอะไรอยู่
บอกคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากเป็นเชฟนะ
ไปเรียนโรงเรียนเชฟเลย

สุรนันทน์ : แต่เชฟก็เป็นงานที่หนักใช่มั๊ยครับ

สหัส : หนักครับ บางคนก็บอกว่ามันดูดีนะ เท่ห์ เป็นครูกุ๊ก

สุรนันทน์ : ในครัวงานหนักแค่ไหนครับ

สหัส : ก็ หนักมาก แต่จริงๆ ส่วนมากเชฟที่สตาร์ทชัดเจนคือ
เชฟตามโรงแรม จะมีลำดับตั้งแต่เป็น Executive Chef ไล่ลงมาเรื่อยๆ
ลำดับการจัดระบบครัวมันก็เหมือนกับกองทหาร
มีหัวหน้าสั่งไปเรื่อยๆ ฉะนั้น งานหนักเขาก็จะแยกกันชัดเจน
แต่จริงๆ เชฟมันก็ยังมีอีกหลายรูปแบบ
เป็นเชฟลุยเดี่ยวอย่างที่ผมเป็นอยู่ และก็อาจจะเป็นเรื่อง Food Style list
ตรงนั้นก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ผมบอกว่า
คุณอาจจะไม่ต้องทำอาหารได้ชัดเจนมาก
แต่คุณมีความรู้เรื่องศิลปะ เรื่ององค์ประกอบศิลป์
มีตาที่ดี มีการจัดวางที่ดี มันก็เป็นอาชีพได้

สุรนันทน์ : เพราะฉะนั้นก็มีความหลากหลายพอสมควร

สหัส : หรือคุณอาจจะเป็นนักผสมเครื่องดื่ม
หรือคุณอาจจะไปเรียนเป็น Wine Maker
คุณก็ไปเรียนได้อีก มันก็อยู่ในนี้

สุรนันทน์ : มันก็คือเรื่องอุตสาหกรรมอาหารทั้งหมด
เชฟต่างประเทศเขาเก่งๆ ได้ 5 ดาว ได้อะไรต่ออะไร
อยากเห็นเชฟไทยเป็นอย่างนั้นทำอย่างไรครับ

สหัส : ผมว่าที่สำคัญเลยคือทีม เชฟทุกท่านเก่งหมด
แต่อย่าลืมว่าเขามีโปรดักชั่นที่ดี
เชฟทุกท่านเขาไม่ได้เป็นแค่เชฟแล้วเขาเป็นโปรดักส์ตัวหนึ่ง
ทุกคนมีการโฆษณา มีพีอาร์ มีแบกอัพให้เขา

สุรนันทน์ : คือ ต้องเป็นทีม ถ้าเชฟด๊อฟลุยเดี่ยวก็ตายเหมือนกัน...
แต่ถ้ามีทีมทั้งโปรดักชั่น ทั้งทีมที่แบกในการทำครัว
ทำร้านอาหารด้วยหรือเปล่าครับ

สหัส : ใช่ครับ ตอนนี้พอทุกคนถูกแยกออกมาเขาก็ต้องคิด
และเป็นเหมือนมาแตะๆ เหมือนเวลาเราไปร้านตัดผม
อย่างเช่นไปร้านชลาชล ตัดเสร็จเรียบร้อย
คุณสมศักดิ์มาแตะๆ นิดหน่อย คือไม่ได้มาแตะเพื่อเป็นพิธี
แต่มาดูว่าแนวมันเป็นอย่างไร ให้มันอยู่ในแนวทาง
ผมว่าตรงนั้นคือการสร้างทีมที่ดี

สุรนันทน์ : มองตัวเองอีก 5 ปีข้างหน้า ABC ยังอยู่ตรงนี้
หรือจะขยายสาขา มองอย่างไรครับ

สหัส : อยู่ตรงไหนตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว แต่ว่าอาจจะย้ายก็ได้ครับ
ตอนนี้ก็อาจจะหาที่สักที่หนึ่งที่ค่าเช่าถูกลง
และก็อยากให้มันใหญ่ขึ้น คือผมอยากจะสร้างเป็นโกดัง
เข้าไปห้องกว้างๆ มีโต๊ะ 5-6 โต๊ะ จุคนได้สัก 40-50 คน
เป็นปาร์ตี้ก็ได้ เป็นคุกกิ้งคลาสก็ได้และก็เป็นร้านอาหารสักหน่อยนึง
ผมว่าน่าจะอยู่ได้