Custom Search

Feb 27, 2010

พ่อขุนมังรายมหาราช



ประวัติพ่อขุนมังรายมหาราช
โดยพระกำเนิดของพ่อขุนมังราย
พระบิดาของพระองค์สืบเชื้อพระราชวงศ์
มาจากลวะจักราชแห่ง แคว้นจก
พระมารดาของพระองค์มาจาก
เจ้านครเชียงรุ้งแห่งแคว้นสิบสองปันนา
นับว่าต้นกำเนิดของพระองค์สืบเชื้อพระวงศ์
มาจากเจ้านครชั้นสูงทั้งฝ่ายบิดาและมารดา
พ่อขุนมังรายประสูติ
วันอาทิตย์ แรม 9 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ พ.ศ. 1718 เวลาย่ำรุ่ง
เมื่อพระราชมารดาแรกตั้งพระครรภ์ ได้ทรงพระสุบินนิมิตว่า
เห็นดาวประกายหยาด แต่ท้องฟ้าลงมาทางเบื้องพระทักษิณ
และได้รับเอาดาวดวงนั้นไว้ โหรจึงถวายคำพยากรณ์ว่าจะได้
โอรสที่ทรงศักดานุภาพมาก
ครั้นพ่อขุนมังราย เจริญพระชนมายุได้ 16 พรรษา
เจ้าลาวเม็งพระบิดา
จึงได้ไปสู่ขอพระธิดาเจ้าเมืองเชียงเรืองให้
แล้วทรงโปรดให้เป็นมหาอุปราช
กระทั่งพระชนมายุได้ 21 พรรษา
พระบิดาก็เสด็จทิวงคต พ่อขุนมังรายจึงได้ขึ้น
ครองเมืองหิรัญนครเงินยางสืบต่อจากพระราชบิดา
ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ พ่อขุนมังรายจึงได้
ทรงกอบกู้รวบรวมชาวไทยให้เป็น
กลุ่มก้อนระงับความทุกข์เข็ญต่าง ๆ ได้
เพราะในขณะนั้นได้เกิด
เมืองเล็กเมืองน้อยตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน
ทั้งที่เป็นคนไทยเหมือนกัน และเจ้าเมืองต่างๆ เหล่านั้น
ส่วนใหญ่ก็เป็นพระญาติของพระองค์นั้นเอง
จึงเห็นสมควรจะได้ปราบปรามให้มารวมเป็นอาณาจักรเดียวกัน
จะได้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน
พ่อขุนมังรายได้มีใบบอกไปยังเมืองต่างๆ
ที่ตั้งตัวเป็นอิสระ ให้มาอ่อนน้อมต่อหิรัญนคาเงินยางเสีย
เมืองใดแข็งข้อก็ส่งกองทัพไปปราบ
และตีเมืองมอบได้เป็นเมืองแรก
ต่อมาก็ตีได้เมืองไรและเมืองเชียงคำ
แล้วถอดเจ้าผู้ครองนครออก ตั้งขุนนางให้อยู่รั้งเมืองแทน
นับแต่นั้นมา หัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งหลาย
ก็เข้ามาสวามิภักดิ์ต่อหิรัญนครเงินยางหมดสิ้น
เมื่อพระองค์รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ทางฝ่ายเหนือหมดแล้ว
ก็จึงคิดจะยกกองทัพไปปราบบรรดาหัวเมืองทางฝ่ายใต้
และได้เสด็จไปประทับอยู่ที่เมืองลาวกู่เต้า
โอรสองค์ใหญ่ก็ได้ประสูติ ณ
ที่เมืองลาวกู่เต้านั่นเอง ในปี พ.ศ. 1833
พ่อขุนมังงรายได้ทรงยกทัพไปตีเมืองพุกาม
แต่พระเจ้าอังวะได้ให้ราชบุตรนำเครื่องบรรณาการมาต้อนรับ
มาขอเป็นไมตรีด้วย เมื่อพ่อขุนมังรายเสด็จกลับ
จึงขอช่างฝีมือต่าง ๆ จากชาวพุกาม
เพื่อนำไปฝึกให้ชาวล้านนาไทย
พระเจ้าอังวะได้โปรดพระราชทานช่างฆ้อง
ช่างทองและช่างเหล็กให้ ซึ่งศิลปะต่างๆ ที่เป็นของพุกาม
จึงมีเหลืออยู่ที่ล้านนาไทยในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 1835 พระองค์ได้เสด็จ
ไปสร้างเมืองใหม่ที่เชียงใหม่ที่เชิงดอยสุเทพ
พระองค์ทรงสร้างเมืองใหม่จนถึง พ.ศ.1839
จึงสำเร็จและสถาปนานครนี้ว่าเชียงใหม่
ในระหว่างที่พระองค์ทรงสร้างนครเชียงใหม่อยู่นั้น
พระยายีบา กษัตริย์ขอมเจ้าเมืองหริภุญชัย
ซึ่งหลบหนีไปอยู่กับพระยาเบิกผู้เป็นบุตรนครเขลางค์ (ลำปาง)
เมื่อคราวพ่อขุนเม็งรายไปตีเมืองหริภุญชัย
ได้ยกทัพขอมกลับมาเพื่อจะตีหริภุญชัยคืน
พ่อขุนมังรายจึงโปรดให้เจ้าขุนคราม
พระโอรสยกทัพออกไปรบกับพระยาเบิก
และจับพระยาเบิกสำเร็จโทษเสีย
พระยายีบารู้ข่าวจึงทิ้งเมืองเขลางค์นครหนีไปพึ่งพระยาพิษณุโลก
เจ้าขุนครามจึงได้เมืองเขลางค์นครไว้อีกเมืองหนึ่ง
จึงนับว่าพ่อขุนมังรายได้
ทรงมีอำนาจครอบงำไปทั่วดินแดน
ทางภาคเหนือและยังตีได้ดินแดน
ต่างประเทศคือหงสาวด ีและพุกามไว้ในครอบครองอีกด้วย
ในปีต่อมา พ่อขุนเม็งรายได้ยกทัพไปตีเมืองพะเยา
แต่พระยางำเมืองแห่งเมืองพะเยา
ได้เสด้จออกมารับด้วยความมีไมตรี
จึงรับไว้เป็นมิตร พระองค์ได้พยายาม
ขยายอาณาเขตออกไปในดินแดน
ซึ่งขอมไปครอบครองอยู่ คือเมืองหริภุญชัย
เมื่อปี พ.ศ. 1824 แล้วได้สร้างเมืองขึ้นอีกเมืองหนึ่ง
เมื่อปี พ.ศ. 1829 ตั้งชื่อเมืองว่า กุมกาม (เมืองกุมกาม)
ปัจจุบันนี้เป็นอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่นั่นเอง
ต่อมาในปี พ.ศ 1831
พ่อขุนเม็งรายได้ยกกองทัพไปเมืองหงสาวดี
เจงพยุเจง เจ้าเมืองหงสาวดีเกรงพระบารมี
จึงได้แต่งเครื่องราชบรรณาการออกมาถวายขอเป็นไมตรี
และยกพระราชธิดาคือนางปายโค
ให้เป็นบาทจาริกาแก่พระองค์ ในปีเดียวกัน
ได้มีพระเถระรูปหนึ่งชื่อ
พระกัสสปเถระพร้อมด้วยศิษย์สงฆ์ 5 รูป
มาบำเพ็ญรุกขมูลอยู่ใต้ต้นมะเดื่อใหญ่
พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธามาก
จึงโปรดให้สร้างพระอารามถวาย
และโปรดให้หล่อพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ 5 องค์
สูงใหญ่ขนาดเท่าพระวรกายของ พ่อขุนเม็งราย
ประดิษฐานไว้ที่พระอารามนั้น
ซึ่งเมื่อพระองค์ได้มาสร้างเมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา
ก็ได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ในเมืองเชียงใหม่
(ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระเจ้ามังราย
หรือวัดกาละก๊อก เชียงใหม่)
เมื่อปีจอ พ.ศ. 1805 และขนานนามว่าขุนเครื่อง
ในปี พ.ศ. 1805 นี้เอง พระองค์ได้สร้างเมืองเชียงรายขึ้น
และได้เสด็จมาประทับที่เมืองเชียงรายถึง 3 ปี
ก็ได้โอรสอีกองค์หนึ่งขนานนามว่า เจ้าขุนคราม (ขุนสงคราม)
และจากนั้นมาอีก 3 ปี ก็ได้เสด็จไปประทับอยู่เมืองฝาง
และยกทัพไปตีได้เมืองผาแดงเชียงของ ซึ่งมีเจ้าคำเรืองครองอยู่
และเป็นเชื้อพระวงค์ลวะจักราชเหมือนกัน
จากนั้นจึงได้กลับมาประทับอยู่ที่
เมืองฝางตามเดิมและได้โอรสอีกองค์หนึ่ง
ขนานพระนามว่าขุนเครือ ในปี พ.ศ. 1818 เจ้าขุนเครื่อง
โอรสองค์ใหญ่ได้ครองเมืองเชียงราย
และเชื่อถ้อยคำขุนใสเรืองซึ่งยุยงให้คิดกบฏต่อพระบิดา
เมื่อความทราบถึงพระองค์ จึงแต่งอุบายเรียกให้มาเฝ้าที่เมืองฝาง
แล้วให้อ้ายเผียน นักแม่นธนูอาบยางน่องยิงขุนเครื่องสิ้นพระชนม์ไป
พ่อขุนมังรายจึงเสด็จกลับมาครอง
เมืองเชียงรายอีกดังนั้นพ่อขุนมังราย
จึงสมควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็น
มหาราชของกษัตริย์ไทยอีกพระองค์หนึ่ง
พ่อขุนมังรายเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 1890
ขณะที่กำลังเสด็จประพาสกลางเมืองเชียงใหม่
โดยได้ถูกอสุนีบาตตกต้องพระองค์
พ่อขุนมังรายมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา















































สุชาติ ชวางกูร


ฤดูหนาว
หิมะ โปรยตัวลงบนพื้นอันขาวโพลน
สุชาติเดินฝ่าความหนาวที่กำลังเสียดแทรก
เข้ากระดูกกลับเข้ามาในบ้านของครอบครัวต่างชาติ
ที่เขามาพำนักได้สี่เดือนแล้ว


เขาก้าวเข้ามาในห้องนอน หันหลังปิดประตู
เผลอเอื้อมไปหมายจะลงกลอน ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า

นี่เป็นที่พักอาศัยในเขต เวสมินเตอร์
ชานเมืองเดนเวอร์ สหรัฐอเมริกา
ไม่ใช่อาคารบ้านเรือนในแถบร้อนชื้นของประเทศที่เขาถือกำเนิด
ซึ่งมีปุ่มล็อคหรือสลักกลอนติดอยู่ที่ประตูทุกบาน
“ช่วงแรกๆ มีบ้างที่รู้สึกแปลกๆ เพราะประตูบ้านฝรั่งเขาไม่มีกลอน
เขาจะมีเฉพาะล็อคประตูหน้าบ้าน แต่พอเข้ามาในตัวบ้าน
ถ้าเป็นบ้านเราเข้ามาในห้องนอนเราจะปิดประตูแล้วล็อคเลย
แต่ประตูลูกบิดของเขาไม่มีกลอนอย่างที่เราเห็นนะ

ไปแรกๆ เราจะนอนไม่หลับ แล้วก็คิดถึงบ้านเหมือนกัน
เพราะเราไม่เจอคนไทยเลย”
สุชาติตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเดินทางไปถมที่ว่างซึ่งเขารู้สึกว่า
ยังแหว่งวิ่นด้วยการศึกษา แม้จะจบปริญญาตรี
แต่เขาก็สำนึกรู้มาตลอดว่า
ชีวิตการเรียนของเขายังกระท่อนกระแท่น
และไม่อาจนำไปสู้รบกับโลกความเป็นจริง
ที่อุดมไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันได้
“เรารู้สึกว่าความรู้เรายังไม่แน่น ก็อยากจะเรียนต่อเพิ่มเติม
เพราะว่าในอาชีพนี้(หมายถึงอาชีพในวงการบันเทิง)
เราเห็นจากรุ่นก่อนๆ มันจะมีทั้งขึ้นทั้งลง แล้วพออยู่ในขาลง
แล้วเขาจะไปทำอะไร มันจะเป็นปัญหาว่าจะไปทำอะไร
ถ้าความรู้ไม่มี หรือโอเค เรามีปริญญามาหนึ่งใบ
แต่ถามว่าเรารู้เทียบเท่ากับคนที่เขาไป
สอบเข้าโรงเรียนกรมการปกครองได้ไหม
ไปเป็นปลัด ไปสอบกับคนที่มี
ความรู้เท่ากับคนทีไปสอบเป็นตำรวจได้ไหม

บอกเลยว่าไม่ได้ เราไม่แน่นเท่าเขา แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ
เราก็อยากมีความรู้เพิ่มเติม ก็อยากจะเรียนต่อ
ผู้หลักผู้ใหญ่(คุณกำพล กับคุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล)
ก็เลยอุปถัมภ์ให้ไปเรียนต่อ”

เมื่อตั้งธงเอาไว้ว่าจะหาความรู้เพิ่มเติม
สุชาติก็มุ่งไปที่วิชาซึ่งสามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
ซึ่งเกี่ยวโยงกับสิ่งที่เขาเรียนมา
แต่ไม่หนักแน่นไปในทางธุรกิจจนทำให้เขาเดินต่อไม่ไหว

“เราอยากจะไปเรียนวิชาอะไรที่มันไม่เป็นทางธุรกิจมากนัก
เพราะเรากลัวว่าเราจะเรียนไม่ไหวไง ก็เลยไปเรียนวิชานี้ซึ่งเป็น
Master of International Management (MIM )

หลักสูตรเขาจะต้องรู้เรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
ว่าประเทศไหน ทวีปไหน เขามีนโยบายการเมือง
ลักษณะการปกครองเป็นอย่างไร
ก็คือกลับไปฟื้นฟูเรื่องของวิชารัฐศาสตร์อีก แต่เป็นระดับประเทศแล้ว”

ถัดจากวิชาดังกล่าว สุชาติก็เข้ารับการศึกษาอีกสองสาขา
ซึ่งประกอบไปด้วย Master of Science in Finance (MS-Finance)
จาก University of Colorado และ
Master of Science in Economics (MS-Economics)
จาก State University of New York

ขณะที่กำลังเก็บเกี่ยววิชาความรู้อยู่ในสหรัฐ
สุชาติก็เป็นอาจารย์สอนระดับปริญญาตรี
อยู่ในมหาวิทยาลัยที่
เขาศึกษาอยู่
อีกทั้งยังทำงานให้กับบริษัทที่เปิดร้านกิ๊ฟชอป
และทำบริษัทเกี่ยวกับการ
ทำเพลงของตัวเองร่วมกับเพื่อนๆ
หลายต่อหลายครั้งที่เขาครวญเพลง
อยู่ในสายลมหนาว ณ ที่ห่างไกล
กลับมายังมาตุภูมิที่เขาจากมา
และมีอีกหลายบทเพลงที่นอนนิ่งอยู่ในกรุเก็บเพลง
เฝ้ารอวันที่เขาจะนำมามอบให้กับแฟนเพลงในแผ่นดินเกิด
พุทธศักราช 2549 สุชาติเดินทาง
กลับประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่เขาเทียวไปเทียวมาระหว่าง
บ้านเกิดกับมลรัฐนิวยอร์คมาได้ระยะหนึ่ง
และช่วงปีนั้นเอง ที่สายลมทะเลของเมืองหัวหิน
ได้พรายพัดเอาประสบการณ์ใหม่ๆ
เข้ามาให้เขาได้ตักตวง

“ผมได้ไปที่หัวหิน แล้วไปเจอกับ คุณวิคเตอร์ สุขเสรี
ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เราเคารพนับถือ
แกก็ชวนให้ไปทำงานที่
โรงแรมดุสิตรีสอร์ท หัวหิน
ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล
ซึ่งก็เป็นก้าวแรกหลังจากที่กลับมาเมืองไทย
ถือเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามากๆ
หนึ่งปีที่ทำงานอย่างมีความสุข
อยู่บนโรงแรมที่หัวหิน ตื่นเช้ามา เราก็ว่ายน้ำก่อน
ว่ายน้ำเสร็จ ก็ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว
กินข้าวเช้า แล้วก็ลงไปทำงาน

“ที่ทำงานก็อยู่ที่โรงแรม อยู่ด้านใต้ของโรงแรม
ก็เป็นอะไรที่เจอกับคนเยอะ สัมภาษณ์คนเยอะแล้ว
ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องคนงาน เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในโรงแรม
เรื่องสารทุกข์สุกดิบของเขา ชีวิตครอบครัว
ปัญหาส่วนตัว แล้วเราก็จะรู้เรื่อง
ของเกือบทุกคนในโรงแรมน่ะ(หัวเราะ)
ใครเป็นยังไง แล้วโรงแรมนี้จะมีหอพักด้วย
ก็ต้องไปดูแลเรื่องที่พักของพนักงานด้วย”

หนึ่งปีเต็มสำหรับการทำงานในเมืองแห่งหาดทราย
สุชาติได้รับประสบการณ์อันมีค่าและเปี่ยมความสุขมากมาย
จนใส่กระเป๋าไม่หมด หลังจากที่สัญญาฉบับนั้นหมดลง
เขาก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับคำชักชวนของรุ่นพี่อีกคน
ที่มีโอกาสได้มาพบกันอีกครั้งที่โรงแรมใน หัวหิน
รุ่นพี่คนดังกล่าวประสงค์จะให้เขาได้รับตำแหน่งสำคัญ
ในสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อการค้าและการพัฒนา
หน่วยงานที่อยู่ในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการ

แม้ขนาดของความรับผิดชอบจะหดเล็กลงจากเดิมกว่าสองเท่า
แต่สุชาติก็ใช้วิชา ความรู้ และประสบการณ์บริหารงาน
ในสถาบันแห่งนั้นด้วยดีมาตลอด
จนกระทั่งถึงวันที่สำนึกทางการเมืองถูกกระตุ้นให้สำแดงออกมา
หลังจากที่เป็นแฟนรายการเมืองไทย
รายสัปดาห์ของสนธิ ลิ้มทองกุลมานานหลายปี
เมื่ออุณหภูมิทางการเมืองร้อนระอุ ผนวกกับ
ความเป็นประชาธิปไตยถูกบิดเบือนจากผู้ปกครองในสมัยนั้น
เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรฯ ทันที
และเมื่อปวารณาตัวเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อต้านทรราช
การก้าวขึ้นเวทีไปร้องเพลงขับกล่อม
ให้พี่น้องพันธมิตรฟังในวันนั้นก็เป็น
ชนวนที่ทำให้เขาไม่สามารถดำรงตำแหน่งเดิม
ซึ่งเป็นเสี้ยวหนึ่งของรัฐบาลได้อีกต่อไป
ในที่สุดสุชาติก็ตัดสินใจเดินออกมาจากสถาบัน
ระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการ พัฒนา
กระทั่งถูกชวนให้รับหน้าที่เป็นสื่อสารมวลชนคนหนึ่ง

“หลังจากที่ลาออกมาจากสถาบันระหว่างประเทศฯ
แล้วก็คุณอัญชะลี ไพรีรักษ์ มีอยู่วันหนึ่งแกชวนมานั่ง
ในรายการยามเช้าริมเจ้าพระยาด้วย
เพราะน้องเก๋(กมลพร วรกุล)ไม่อยู่
น้องเก๋ต้องไปทำธุระเรื่องการเรียนเขา ก็เป็น
จุดเริ่มต้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จนกระทั่งมีวันหนึ่งไปอินเดีย
พอกลับมาปั๊บคุณอัญชะลีไปแล้ว ไปอเมริกา
ไม่มาทำรายการนี้เลย ก็เลยอยู่ยาวมาตลอด

“ตอนนี้ผมมีรายการนี้ที่มาพูดเรื่องข่าวเศรษฐกิจ
และประเด็นเศรษฐกิจในแต่ละวัน
มันจะไม่ได้เป็นเชิงลักษณะวิเคราะห์ทั้งหมดทุกเรื่อง
ก็ไปอ่านช่อง TAN ด้วยระหว่าง 9.00 – 10.00 น.
แล้วตอนนี้ก็มีรายการเพลงเพื่อเธอ Beautiful Music
ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ หลังข่าวในพระราชสำนัก
“แล้ววันอาทิตย์จะจัดรายการกับอาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม
ตั้งแต่หกโมงครึ่งถึงสองทุ่ม รายการย้อนรอยประวัติศาสตร์
จะคุยกันเรื่องประวัติศาสตร์การเมือง
เพราะการเมืองจะมีเรื่องย้อยรอยประวัติศาสตร์
แสดงให้เห็นถึงเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นมา
แล้วสองทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม วันอาทิตย์จะจัดรายการเพลง
เลือกเพลงสากลที่ควรค่าแก่การรับฟังมาให้ได้ฟังทาง 97.75 FM
คือมีความรู้สึกว่า ทั้งการเมือง
และสังคมของเรามันพังลงไป
ศิลปวัฒนธรรมของเราก็พังไปด้วย”

สายลมหนาวที่พัดมาจากประเทศจีน
อาจจะไม่เยือกเย็นเท่าพายุหิมะที่เขาเคยเจอในสหรัฐอเมริกา
แต่การใช้ชีวิตในวิถีคนโสดที่ต้อง
นอนลำพังมาตลอดเกือบห้าสิบปี
อาจจะทำให้ใครหลายคนคิดว่า
สุชาติต้องพบเจอกับฤดูหนาวมาตลอดทั้งชีวิตก็เป็น ได้
แต่สุชาติไม่เคยคิดเช่นนั้น

ฤดูรัก

ม่านไอร้อนร้ายผ่านไป สายฝนเสียงฟ้าก็ลาจาก
ความเยือกเย็นเหน็บหนาวเข้ามาแล้วก็พ้น
สำหรับใครหลายคนแม้จะปิดประตู ลงกลอน ล็อคประตู
อยู่ในบ้านที่คุ้นเคยซึ่งมีอุปกรณ์สำหรับกันและกั้น
ไม่ให้ใครบุกเข้ามาข้าง ในได้
แต่ความโดดเดี่ยวก็ยังรุกรานคนที่ ‘หัวใจอ่อนแอ’ ได้เสมอ
ดังเช่นที่งูในทะเลทรายเคยปรารภกับเจ้าชายน้อย
ในวรรณกรรมคลาสิคของ อองตวน เดอ แซงเตก ซูเปรี
เอาไว้ว่า ‘ท่ามกลางฝูงชน เราก็ยังโดดเดี่ยว’
แต่เพราะสุชาติไม่ใช่งูในหนังสือเล่มดังกล่าว
อีกทั้งยังมีความเข้มแข็งในหัวใจที่มากพอ
ที่จะรับมือกับความลำพังได้ เขาจึงไม่เคยคิดว่าตัวเอง ‘โดดเดี่ยว’
แม้จะต้องอยู่ตามลำพังในห้องสี่เหลี่ยมที่ไร้สำเนียงใดๆ ก็ตาม
“ถ้าผมเหงาผมก็ไประรานชาวบ้านเขา คุยกับคนนู้นคนนี้
ชวนเขาคุย พอเราเหงาเราก็โทรไปหาคนนู้นนี้ก็ได้
เบอร์เต็มไปหมด คนนี้ไม่ว่างเราก็โทรไปหาคนต่อไป
จะเหงาเรื่องอะไร ไม่เห็นมีอะไรต้องเหงานี่
“ถ้าเราไม่ง่วง ไม่เหนื่อยมาก เราจะอ่านหนังสือ
คนที่เขาบอกว่าเหงาเนี่ย วิธีที่แก้ไขได้ดีที่สุดเลยคือ
คุณต้องถามตัวเองว่า เหงาเพราะอะไร
เราเจอคนยังไม่พออีกเหรอ เราสนุกไม่พอหรือไง
เรารักคนนี้ยังไม่พออีกเหรอ
เราเที่ยวกับเพื่อนยังไม่พออีกเหรอ
มันต้องถามตัวเองว่า แค่ไหนจึงจะพอ
แต่วิธีที่แก้เหงาได้ดีที่สุดก็คือ อ่านหนังสือธรรมะ”
ภาพเด็กชายวัยประถมต้นเดินเข้า
วัดพระศรีรัตนศาสดารามผุดขึ้นมาในแวว ตา
เด็กชายสุชาติที่เดินวนไปวนมาเพื่อดูภาพซึ่งมี
‘ฮีโร่’ ขวัญใจของเขาอยู่ข้างใน
กลับได้รับในสิ่งซึ่งเด็กประถมผมเกรียนคนหนึ่งยากที่จะเข้าใจ
จากวันนั้นจวบวันนี้ สุชาติยังคงแบ่งเวลาส่วนหนึ่ง
ให้กับหลักธรรมกับข้อคิดจากพระบรมศาสดาอยู่เสมอ

“เวลาอ่านหนังสือธรรมะ ไม่ได้หมายความว่า
คุณต้องนั่งลงอ่านหน้าหนึ่งจนถึงหน้าสุดท้ายให้เสร็จสิ้น
ภายในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่ อ่านหนังสือธรรมะ
คุณต้องคิด บางทีอ่านไปแค่สองสามประโยคเองก็ต้องคิดแล้วว่า
หมายถึงอะไร อ่านหนังสือธรรมะเนี่ย
โดยเฉพาะวิธีการอธิบายของครูบาอาจารย์ อย่าง
ท่านพุทธทาส หลวงตามหาบัว หรือท่าน ว. วชิรเมธี
ท่านปัญญานันทภิกขุ ต้องใช้ปัญญาในการอ่าน
อย่าไปคิดว่าเราจะไปอ่านได้หมดทีเดียว
“หรือว่าคุณมีเรื่องอะไรที่คุณสนใจ สมมุติคุณเป็นนักบัญชี
คุณก็ต้องหาเรื่องราวเกี่ยวกับบัญชี อัพเดทอะไร ใหม่ๆ มาอ่าน
ถ้าคุณเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ก็ต้องหาหนังสือที่เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์
ซึ่งบางทีอาจจะไม่ใช่อัพเดทแต่อาจเป็นของเก่าที่เราไม่เคยอ่าน
มันมีอะไรให้ทำ มีอะไรรอคิวอยู่ หนังสือพิมพ์
นิตยสารอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องของวิชาความรู้ที่คุณต้องทำอาชีพนั้นๆ
คุณต้องมีสำรองเอาไว้ ต้องอัพเดทอยู่ตลอดเวลา
ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้คุณน่ะโง่
มัวแต่เหงาแล้วโง่ไมได้ ถ้าเหงาเราต้องเอาความโง่ออก”
ปัจจุบันนี้สุชาติมีความสุขกับการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน
มีความพึงใจที่ได้บอกเล่าและส่งมอบ
ข้อมูลข่าวสารในเชิงเศรษฐกิจให้กับคน อื่นๆ
ซึ่งหลังจากที่เขาได้ก้าวเข้ามาข้องแว้งกับแวดวงดังกล่าว
ความต้องการที่จะอุทิศตนเพื่อทำงานรับใช้
ประเทศชาติและมวลชนก็เริ่มชัดเจน ขึ้นทีละเล็ก ทีละน้อย
“ในอนาคตข้างหน้าผมอยากจะเข้าไปรับใช้บ้านเมืองจริงๆ
ไปเป็น ส.ส. ผู้แทนฯ รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีอะไรก็ได้
เพื่อให้ประเทศเราได้กำหนดทิศทางแล้ว
ก็กล้าทำในสิ่งที่เราควรจะต้องแก้ไข
แล้วก็ทำซะ ปัญหาของประเทศเราตอนนี้คือ
นักการเมืองที่มีอยู่ ถ้าเขาอยู่นานมันจะมีจำนวนมากที่สันหลังหวะ
เราจึงเจอปัญหาซ้ำซาก เรื่องที่ควรจะแก้ไขได้
แต่แก้ไมได้ เพราะถ้าเขาไปแก้ปั๊บมันจะขัดผลประโยชน์ใครบางคน
ตัวเขาเองก็จะต้องโดนแฉ หรืออาจจะโดนเก็บ
ก็เลยทำให้ประชาชนเป็นผู้ได้รับผลกรรม
“เราคิดอยู่ตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า เดี๋ยวก็ตายแล้ว
จะเอาอะไรไปนักหนา คุณจะโกงเอาไว้ให้ลูกหลาน
ถ้าลูกหลานมันไม่มีสติปัญญา มันก็อยู่ไม่ได้อยู่ดี
เงินที่โกงไปมันก็ต้องผลาญหมด ซึ่งเราก็เห็นมาเยอะแยะ
ถ้าเราไปโกงเขา มันก็เป็นเวรเป็นกรรม
ลูกหลานมันก็ต้องรับเวรรับกรรมอะไรซึ่งมันแก้ไขไมได้
แล้วก็เป็นบาปกับลูกหลาน เช่น เขาอาจเป็นโรคอะไรที่แปลกๆ
ที่คนทั่วไปเขาไม่เป็นกัน
เขาอาจจะมีชะตากรรมอะไรซึ่งเป็นคนโชคร้าย
เกิดมามีอวัยวะที่ผิดปกติ หรือว่า
มีสติปัญญาที่ไม่สมประกอบ เขาจะมีโรคอะไรแปลกๆ
“แล้วคนพวกนี้ก็จะต้องใช้เงิน เป็นเครื่องบรรเทา
ผ่อนคลายโรคภัยไข้เจ็บที่เขาเป็น ไม่รู้จะทำทำไม
แล้วถึงแม้เขาจะเอาเงินไปบำบัดความทุกข์เหล่านั้น
เขาก็ยังอยู่ในความทุกข์อยู่ดีนะ
ถามว่าทำไมเราจะต้องไปทำแบบนั้นด้วย
เพราะถ้าเราจะมีชีวิตอยู่ เป็นมนุษย์ธรรมดาก็ขอให้มันปกติน่ะ
ปกติไม่ได้หมายความว่าคนที่ไม่ปกติเขาไม่ดีนะ
ให้ชีวิตมันบาลานซ์น่ะ ให้อยู่อย่างมีความสุข
เพราะเดี๋ยวก็ตายแล้ว จะมีกี่คนที่อยู่ถึงร้อยปี”

ถ้ามองในมุมตื้นๆ การที่ผู้ชายอายุใกล้จะถึงครึ่งร้อยคนหนึ่ง
ยังไม่มีภรรยาข้างกายก็อาจจะ เรียกว่า
เป็น ‘คนไร้รัก’ ในมิติความรักแบบคู่ครองได้ไม่ยากนัก
แต่หากมองให้ลึกลงไปกว่านั้น
การที่ใครสักคนมีชีวิตอยู่เพื่อ ‘รักคนอื่น’
โดยไม่สนว่าคนอื่นๆ เหล่านั้นจะเป็นญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง
หรือคนที่เขารู้จักหรือไม่นั้น ก็คงต้องพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า
นั่นคือการมีชีวิตแบบ ‘คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก’ ได้เช่นกัน
เพราะนั่นคือความรักในมิติที่เรียกว่า ‘กรุณา’
อันเป็นรักแท้จริงที่มนุษย์ธรรมดาๆ
คนหนึ่งพึงมีให้กับสรรพชีวิตทั้งหลาย
ดังเช่นที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิบัติมาแล้วทั้งชีวิต


































Feb 26, 2010

พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประเทศไทย คนที่ 23



พี่น้องครับ พี่น้องฟังการอ่านของศาลไหมครับ
พี่น้องรู้สึกมันคล้ายๆวันที่ไทยรักไทยถูก ยุบไหมครับ
เหมือนกันเลยครับ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีปฏิวัติเล็กน้อย
ศาลถูกใช้ให้เป็นเครื่องมือจัดการทางการเมือง
และวันนี้ผู้พิพากษาก็จะมีกลุ่มที่เล่นการเมือง
แล้ววันนี้นี่คือการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมนึกว่า
เป็นเฉพาะชื่อของตัวศาล แต่การอ่าน การกล่าวหา
และเมื่อวานนี้ผมเพิ่งพูดไปครับว่ารัฐบาลรู้ล่วงหน้า
เพราะอะไรครับ คนปักธงกับคนอุ้มรัฐบาลเป็นคนเดียวกัน
ผมเลยทำใจไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับว่าผมโดนแน่
แต่จะโดนยังไง แต่พอมาโดนตรงนี้แล้วผมนั่งนึก
โอ้โฮ..สรุปแล้วว่าการเป็นนายกฯนี่เศรษฐกิจดีขึ้น
ทรัพย์สินประเทศเพิ่มขึ้นแต่ไม่เห็นแบ่งผมเลย
แต่บริษัทในครอบครัวขึ้นบอกว่าผมโกง
แล้วก็ยึด ผมบอกว่าวันนี้เขาคงขำกันทั้งโลก

แต่ ก็ไม่เป็นไรครับ ก็ยังดีครับ ยังคืนส่วนที่บอกว่า
เอาล่ะ..ก่อนที่จะเป็นนายกฯ ประกาศไว้ว่ามี 21 บาท
ราคาหุ้นมันขึ้นลงตามดัชนีเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่
ตามตลาดโลกเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งวันนี้ผมไม่เข้าใจว่าราคาหุ้นขึ้น
เป็นเพราะว่าผมเป็นนายกฯมาโกงให้บริษัทตัวเอง
แล้วที่เหลือในตลาดหลักทรัพย์เขาไม่ขึ้นกันหรือครับ
หุ้นแบงค์กรุงเทพไม่ขึ้นหรือครับ หุ้นทีพีไอไม่ขึ้นหรือครับ
หุ้นปูนซีเมนต์ไทยไม่ขึ้นหรือครับ หุ้น ปตท.ไม่ขึ้นหรือครับ
หุ้นยูคอม หุ้นซีพี หุ้นทรู ไม่ขึ้นหรือครับ
ก็ฟังดูแล้วก็ต้องยอมรับว่าการเมืองสุดสุดครับ
วันนี้พี่น้องคงเห็นว่าผม แต่งชุดดำ ผูกไทด์ดำไว้ทุกข์
ผมขออนุญาตครับ ขอไว้ทุกข์ให้กับความดื้อของตัวเอง
ที่ดื้อไม่ยอมเชื่อคุณหญิง (พจมาน ณ ป้อมเพชร ภริยา)
กับลูกๆที่คัดค้านว่าไม่ให้ผมเข้าการเมือง
เพราะเขาบอกว่าชีวิตการเมืองมันวุ่นวายสับสน
เราเป็นเศรษฐีอยู่แล้วสบายๆ ใช้ชีวิตแบบเศรษฐีดีกว่า
อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองเลย
แต่ด้วยความที่อยากทดแทนบุญคุณแผ่นดิน
ก็ตั้งใจอย่างนั้นครับเลยดื้อ ดื้อกับคุณหญิง ดื้อกับลูก
พ่อขอโทษด้วยนะลูก ผมทำครอบครัวต้องเดือดร้อน
ผมเดือดร้อนคนเดียวไม่เป็นไรครับ
แต่วันนี้การเมืองตรงนี้ดุมากครับ ดุจริงๆครับ ใจดำด้วยครับ

ผม เดือดร้อนคนเดียวไม่เป็นไรครับ
แต่วันนี้การเมืองตอนนี้ดุมากจริงครับใจดำด้วยครับ
ผมขอให้ผมเป็นเหยื่อทางการเมืองคนสุดท้ายเถอะครับ
และต่อไปนี้ ถ้าประเทศชาติได้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้ว
ระบบมีระบบถ่วงดุลที่เหมาะสม อำนาจตุลาการ อำนาจบริหาร
อำนาจนิติบัญญัติถูกถ่วงดุลอย่างเหมาะสม
คงไม่มีเหยื่ออย่างผมอีกแล้ว
เพราะวันนี้ดุลทั้งหมดมันไปอยู่ที่อำมาตย์
ซึ่งสามารถกดปุ่มสั่งการให้ระบบหนึ่ง
มีอำนาจเหนืออีกระบบหนึ่งได้อย่างง่าย ดาย

ผม ถึงบอกว่า วันนี้ต้องขอโทษท่านผู้พิพากษาที่มีอุดมการณ์
ไม่อยากเห็นสถาบันที่ท่านรักแล้วท่านพร้อมใจกันมาทำงานในสถาบันนี้
ต้องกลาย เป็นแบบนี้ ผมต้องขอโทษจริงๆ
ก็เพราะผมนี่แหละ เพราะเขาต้องการจัดการผม
เขายืมสถาบันท่าน เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องวิตกอะไร
แล้วก็ช่วยกันกอบกู้ใหม่เถอะครับ ผมจะเป็นเหยื่อคนสุดท้ายแล้วล่ะครับ
ก็หวังว่าทุกอย่างมันคงจะดีขึ้น ถ้าหากว่าเขาได้ทำถึงที่สุดแล้ว
ก็ขอให้ท่านผู้พิพากษาทั้งหลายได้รับการขอโทษจากผมด้วย

ความ จริงผมพูดรู้เรื่อง ไม่อยากให้ผมเล่นการเมืองผมก็พร้อมถอย
และผมก็ได้เคยกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วว่า
ผมจะไม่รับตำแหน่ง จำได้มั้ยครับ ผมเคยประกาศที่หน้าทำเนียบ
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2546 หลังการเลือกตั้งวันที่ 2 เมษายนว่า
ผมจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ตอนหลังก็มีการยกเลิกการเลือกตั้งครั้งนั้น
เพราะหันก้นออกหน่วย บอกว่าไม่เป็นธรรม เพราะมีคนแอบเห็น
คือกล้องโทรทัศน์ซูมเข้าไปก็มีการยกเลิกการเลือกตั้งเที่ยวนั้น
แล้วก็กว่าจะเลือกตั้งอีกครั้งนานมากครับ
ประกาศว่าจะเลือกตั้งเดือนธันวาคม เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยครับ
ท่านต้องบันทึกเอาไว้ ว่ายุบสภาแล้วกว่าจะได้เลือกตั้งยืดเวลา
ทอดไปจนถึงเดือนธันวาคม แต่ก็ไม่ได้เลือกตั้ง
เพราะเขารอไม่ไหว เขาเลยจำต้องปฏิวัติไล่ผมออก
แต่ก่อนปฏิวัติก็ลอบฆ่าผมหลายครั้ง แล้วไม่สำเร็จก็เลยจึงมีการปฏิวัติ
หลังปฏิวัติก็มีการตั้ง คตส ซึ่งประกอบด้วยปฏิปักษ์ทางการเมืองผมทั้งนั้น
และวันนี้ไม่รู้ว่าได้เปอร์เซ็นต์ด้วยหรือเปล่า
ถ้าได้เปอร์เซ็นต์ถือว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ครับ
เพราะฉะนั้น พี่น้องครับ การปฏิวัติครั้งนี้พี่น้องเห็นหรือยังครับ
ผมบอกได้เลยครับว่าสนธิ บัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต ผบ.ทบ.)
เป็นเพียงหุ่นเชิดครับ คนป่าคนเป็นคนปฏิวัติ พี่น้องครับ
ที่มันยืดเยื้อจัดการไม่จบสักทีก็เพราะว่าพี่น้องมีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจ
และช่วยเหลือผม เริ่มต้นตั้งแต่มีการเลือกตั้ง พรรคพลังประชาชนชนะ
จึงต้องผิดหวัง อำมาตย์ผิดหวังที่ต้องตั้งรัฐบาลขึ้นมา
ผลสุดท้ายก็ต้องจัดการคุณสมัคร
จัดการพรรคพลังประชาชน แล้วก็ตั้งรัฐบาลตามที่เขาต้องการ

พี่น้องครับ ผม พี่น้องเสื้อแดง วันนี้ผมต้อง
ขอบคุณมากที่ท่านไม่มาชุมนุม
ถ้าไม่เช่นนั้นพี่น้องก็จะถูกกล่าวหาว่า ทำทุกอย่างเพื่อผม
ทั้งๆ พี่น้องมุ่งในเรื่องประชาธิปไตยและความยุติธรรม
ผมถึงได้ขอร้องว่าอย่ามาในวันนี้ ให้มันเป็นเรื่องของผมล้วนๆเถอะ
และมันก็เป็นเรื่องของผมล้วนๆจริงๆ ต้องขอขอบคุณ
และวันนี้หลายคนอาจจะโกรธแทนผม
พี่น้องครับ โกรธได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง
พี่น้องต้องมีสติ อย่าให้เขารัฐบาลใช้เป็นเหตุในการปราบปราม
เพราะรัฐบาลนี้ถนัดอยู่แล้ว พี่น้องต้องใช้ความอดทน
ต่อสู้ด้วยสันติ ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยและความยุติธรรมครับ
เพื่อลูกหลานของเรา เพื่ออนาคตของประเทศไทย
ถ้าไม่เช่นนั้นประเทศก็จะอยู่อย่างนี้ครับ อยู่ในมืออำมาตย์
พอใจใครก็พอใจ ไม่พอใจก็คือไม่พอใจ แล้วบ้านเมืองมันจะอยู่ยังไง
เขาเรียกว่าเป็นประเทศที่ไม่สามารถทำนายอนาคตได้
พี่น้องครับ สู้ต่อไปนะครับ อย่าท้อ ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย
ถ้าไม่เช่นนั้น ลูกหลานก็จะไม่มีอนาคต
ความเชื่อมั่นของคนทั้งโลกก็จะไม่มีต่อประเทศไทย
พี่น้องต้องสู้เพื่อประชาธิปไตยและความยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
แต่ขอให้สู้ด้วยสันติ อย่าให้มีเหตุให้รัฐบาลหาเรื่อง

นักธุรกิจครับ บทเรียนวันนี้
บอกได้เลยครับ อย่าเข้าเล่นการเมืองเลย
เพราะนักธุรกิจมักมีนิสัยทะลุทะลวงทำงานให้สำเร็จ
ทำงานให้สำเร็จรวดเร็วทันใจ มันคนละวัฒนธรรม
แล้วก็ถ้าท่านมีอะไรเข้ามาท่านอาจจะโดนยึดทรัพย์อย่างผม

ถ้า ท่านรักการเมืองจริงๆอย่าทำให้บ้านเมืองจริงๆ
ขายให้เกลี้ยงเลยครับ อย่ามีอะไรเข้ามาเลย
เดียวจะโดนอย่าผมครับ อำมาตย์เข้าไม่รังเกลียดเรื่องทุจริต
แต่อย่าป๊อปปูล่ามาก พี่น้องรู้ไหมครับ ว่าผม
เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียว คนแรกที่ได้รับเลือกตั้งสมัยที่ 2
ปกติแล้วไม่ครับ เพราะเขาไม่อยากเห็นรัฐบาล ป๊อบปูล่า
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลาย
ถ้าเป็นนักธุรกิจแล้วคิดให้ดีครับ ถ้าจะเข้าการเมือง

พี่ น้องชาวไทยทุกท่านครับ ผมกราบเรียนไว้เลยครับ
ว่าสิ่งที่เขาประณามผมวันนี้ ผมขอยื่นยันว่า ผมทำตามหน้าที่
ทั้งระบบ ผมไม่เคยคิดโกง เพราะในชีวิตผม
เป็นเด็กเป็นเล็กก็ไม่เคยลอกข้อสอบใคร
ไม่เคยติดนิสัยโกงไม่เคยตั้งแต่เด็ก และไม่มีความจำเป็นต้องโกง
เพราะผมมีหลักทรัพย์มาตั้งแต่ก่อนเป็นนักการเมือง
มีขนาดนี้แล้ว วันนี้ที่เขาว่าผมโกง มันการเมืองทั้งนั้นครับ
ผมเป็นคนแรกที่ถูกยึด ทรัพย์ส่วนตัวของครอบครัว
เพื่อสังเวยการเมือง เพราะมันเป็นประวัติศาสตร์ครับ
แน่นอน ครับ ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์

วันนี้ ผมยังไม่ใช่ผู้ชนะ แต่ผมจะบันทึกประวัติศาสตร์ไว้
ถ้าผมโกงจริง อย่างที่เขาว่า
ขอให้ผมมีอันเป็นไป 7 วัน 10 วัน นี้ครับ
ถ้าผมไม่โกงจริงขอให้ขอฝากโครง "ศรีปราชญ์"

" ธรณีหนี้นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิด
ท่านมล้าง
ดาบนั้นคือสนอง "


ผม เคยกราบเรียนไว้ว่า จะแสวงหาความยุติธรรม
ให้เจอครับ ไม่ว่าความยุติธรรมนั้น
จะอยู่ในนรกหรือสวรรค์ ในประเทศไทย
หรือนอกประเทศ ผมถือว่าวันนี้
ผมไม่ได้รับความยุติธรรม อย่างเต็มๆ
ผมจะแสวงหาความยุติธรรมต่อไปครับ
ขอให้พี่น้องคนไทยทุกท่านได้วิจารญาณ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
ขออย่าดูหนังม้วนเดียว
ขอให้พี่น้อง ที่รักประชาธิปไตย ยุติธรรม
ต่อสู้ต่อไปด้วยความ สันติ
ประชาธิปไตยจะต้องเฟื่องฟูต่อไป

วันนี้ที่เกิดขึ้นกับผมขอให้เป็น
บทเรียนที่ดีกับการเมืองที่จะพัฒนาต่อไป
ผมเจ็บคนเดียวไม่เป็นไร คนดีครับ
แต่ขอให้สิ่งทีเกิดขึ้นกับผมวันนี้
นำไปสู่การพัฒนาให้เกิดประชาธิไตย

ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วง
ทุกเอสเอ็มเอส
ขอโทษอีกครั้งครับลูกๆ คุณหญิง
ผมเสียใจ ผมดันทุรังเข้าการเมือง




















คนมีโชคเพราะโชคดีหรือ


วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชนออนไลน์
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

คนทั่วไปในโลกโดยเฉพาะคนไทยเชื่อว่าความมีโชค

เป็นเรื่องที่เหนือคำอธิบาย กรรมในชาติที่แล้วมี

ส่วนร่วมกำหนดโดยสิ่งศักดิ์สิทธิ์มี

บทบาทสำคัญการช่วยให้โชคดีด้วย เช่น

ถูกหวยเล่นการพนันได้ ฯลฯ หากเป็นนักแสดง

นักกีฬาก็ดังขึ้นมาแบบระเบิด ฯลฯ


อย่างไรก็ดี มีนักวิชาการฝรั่งอธิบายเรื่องความโชคดีไว้อย่างน่าสนใจ

และให้ความอุ่นใจในระดับหนึ่งว่าความมีโชคนั้น

สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและบุคลิกอุปนิสัย


ศาสตราจารย์ Richard Wiseman

แห่งมหาวิทยาลัย University of Hertfordshire

(บางคนอาจจำชื่อได้ว่าเป็นคนเดียวกันกับ

ที่จัดประกวดเรื่องตลกที่สุดในโลกบนเว็บเมื่อ 3-4 ปีก่อน)

ในหนังสือชื่อ The Survivors Club (2009)

เล่าเรื่องการทดลองและข้อสรุปที่ช่วยทำให้เข้าใจเรื่องความมีโชคมากขึ้น


การทดลองใช้คนจำนวนมากทั้งหญิงชายแข่งกัน

นับรูปภาพในหนังสือพิมพ์

บางคนนับเสร็จใน 2-3 วินาที บางคนนับเป็นนาที


สาเหตุที่บางคนนับไม่กี่วินาทีก็เสร็จ

ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในการนับเป็นเลิศ

หาก Dr.Wiseman สอดแทรกข้อความด้วย

ตัวหนังสือขนาดใหญ่ไว้ในหน้าหนังสือพิมพ์ว่า

"หยุดนับได้ ทั้งเล่มมี 43 รูป"

และในอีกหน้าต่อมาก็มีข้อความตัวใหญ่ไว้อีกเช่นกันว่า

"หยุดนับได้ และรีบไปบอกคนทดลองว่าพบข้อความนี้แล้ว

และท่านจะได้เงิน 250 เหรียญ"


สิ่งไม่น่าเชื่อก็คือมีผู้ทดลองจำนวนไม่มากนักเท่านั้น

ที่เห็นสองข้อความนี้ระหว่างการนับกลุ่มที่

พลาดมองไม่เห็นคือพวกเคร่งเครียดและจริงจัง

กับการนับมากจนมองไม่เห็นสองข้อความนั้นที่ไม่น่าจะมองข้ามไปได้


Dr.Wiseman สรุปว่าคนที่เห็นข้อความที่ให้หยุดนับทันที

มีทางโน้มที่จะเป็นคนมีโชคเพราะเป็นคนเปิดกว้าง

ต่อโอกาสรอบตัวที่อาจมาถึงแบบ Random


ส่วนคนที่มองไม่เห็นมีทางโน้มที่จะเป็นคนไม่มีโชค

เพราะไม่สามารถคว้าโอกาสที่เปิดกว้างให้ตนได้


Dr.Wiseman สรุปว่าสำหรับบางคนนั้น

แม้แต่ทำงานอื่นอยู่ก็ยังเปิดกว้างสำหรับโอกาสอื่นๆ

ที่จะเข้ามาหาตนเอง นั้นคือเหตุผลสำคัญซึ่งอธิบายว่า

เหตุใดสิ่งดีๆ จึงมักเกิดขึ้นกับคนเดิมเสมอในชีวิตประจำวัน

และในสถานการณ์ที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์อันตราย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราเรียกกันว่าโชค

คนสองคนพักในโรงแรมห้องติดกัน

คนหนึ่งเสียชีวิตจากไฟไหม้ แต่อีกคน "โชคดี" รอดมาได้

คนทั่วไปอาจมองว่าคนหลังโชคช่วยทำให้รอดมาได้

แต่ในความเป็นจริงอาจเป็นว่าเป็นคนระแวดระวัง

สังเกตอ่านผังทางหนีไฟของโรงแรมเสมอ

ศึกษาข้อมูลเรื่องทำตัวระหว่างไฟไหม้อย่างไร

จึงทำให้รอดมาได้ ไม่ใช่เพราะโชคแต่เป็น

เพราะเป็นคนเปิดกว้างต่อข้อมูลและโลกอยู่เสมอ


นักจิตวิทยาเรียกสิ่งที่ Dr.Wiseman

พยายามทดลองนี้ว่า Inattentional blindness

(การตาบอดอันเกิดจากการไม่ให้ความใส่ใจ)

ซึ่งหมายถึงว่าไม่สังเกตเห็นสิ่งต่างๆ

เมื่อไม่ได้ให้ความใส่ใจอย่างแท้จริงๆ


ตัวอย่างเช่นเราจมลึกอยู่ในบางอารมณ์จนไม่ได้ยินเสียง

หรือตระหนักถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว

(มนุษย์ประเภทหูถูกเสียบอยู่ตลอดเวลา

ต้องระวังเป็นพิเศษจากอันตรายรอบตัว เช่น ถูกรถชน)

เราดูโทรทัศน์โดยไม่เห็นภาพสะท้อนบนกระจกจอทีวี

การสอนหรืออบรมแบบ "ฟังแต่ไม่ได้ยิน"

หรือหนักๆ ก็คือ "เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา"


Dr.Wiseman เชื่อว่านอกจากการมีชีวิตรอดจาก

รถที่วิ่งผ่านแยกไฟแดงเกือบชนรถตัวเองหรือ

สังเกตเห็นข้อความแทรกในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวแล้ว

ยังมีอีกปัจจัยสำคัญที่เป็นคำอธิบายนั่นก็คือ

Neuroticism หรือแบบแผนของบุคลิกภาพ

(personality trait) ของคนซึ่งทำให้โน้มเอียงไป

ทางการเป็นคนเครียด ร้อนรนกระวนกระวาย

และอ่อนไหวง่ายต่อความเครียด


คนที่เข้าข่ายมีดีกรีของ neuroticism สูง

จะจริงจังเคร่งเครียด และเข้มข้นกับสิ่ง

ที่ตนเองทำจนมองข้ามโอกาสที่เกิดขึ้นรอบตัว

จึงมีทางโน้มที่จะเป็นคนขาดโชค


ในทางตรงกันข้ามคนที่มีดีกรี neuroticism

ต่ำจะเยือกเย็นกว่า มีอารมณ์ผ่อนคลาย ไม่หวือหวา

และอ่อนไหวต่อความเครียดน้อยกว่า

จะไม่ทำงานด้วยความเครียดและกระวนกระวายเท่า

กลุ่มคนนี้จะเปิดตัวต่อความเป็นไปได้ต่างๆ

ในชีวิตมากกว่า จึงเป็นคนชนิดที่เรียกว่ามีโชคอยู่เสมอ

Dr.Wiseman ต้องการศึกษาลึกกว่านี้

ในเรื่องการมีโชคและไม่มีโชค

โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้

จากการทดลองอีกหลายลักษณะข้ามเวลา 10 ปี

ก็ได้ข้อสรุป 4 ข้อดังต่อไปนี้ว่าเหตุใดสิ่งดีๆ

จึงมักเกิดขึ้นกับคนเดิมเสมอ


ประการแรก คนโชคดีอยู่ในสภาพจิตใจที่ผ่อนคลายกับชีวิต

โดยตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่เสมอ

พวกเขาจะมองเห็นโอกาส

(เพราะมองหาโอกาสอยู่แล้วด้วยการเปิดใจ

และเปิดโอกาสให้สิ่งเหล่านั้นเข้าหาตัวเขาได้

ตัวอย่างเช่น คนพบเงินตกบนถนนอยู่บ่อยนั้น

เป็นเพราะเป็นคนช่างสังเกตหรือมองหาโอกาสจึงเห็นเงินที่ตกอยู่)

ที่คนอื่นมองไม่เห็น มักเป็นกลุ่มคนที่ชอบสังคมมีเพื่อนฝูงมาก


ประการที่สอง คนโชคดีเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง

และมีการตัดสินใจที่ดีโดยไม่รู้ว่าทำไมจึงตัดสินใจเช่นนั้น

คนโชคไม่ดีจะไว้ใจคนผิดและมักตัดสินใจผิดอยู่บ่อยๆ

จากการสังเกตกลุ่มคนโชคดีพบว่าคนกลุ่มนี้

อาศัยความรู้สึกข้างในของตนเอง

มากกว่ากลุ่มไม่มีโชคอย่างเห็นได้ชัด


ตัวอย่างเช่น หญิงคนหนึ่งสงสัยคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์

ตามหลังตอนกลางคืนจะเป็นคนร้าย จึงระวังตัว

และจอดให้รถผ่านไป สองวันต่อมาตำรวจ

เรียกรถคันนี้จอดและชายคนนี้ก็ยิงตำรวจตาย


มองเผินๆ อาจเห็นว่าเธอโชคดี แต่แท้จริงแล้ว

เธออาศัยความรู้สึกข้างในบอกเธอให้ระวังตัว


ประการที่สาม คนโชคดีมองโลกในแง่ดีเสมอ

มักบากบั่นต่อสู้เมื่อล้มเหลวและมีความสามารถ

ในการฟื้นตัวกลับขึ้นมาเสมอ คนมีโชคจะคาดว่า

สิ่งที่ดีจะเกิดขึ้นกับตนเอง และเชื่อว่าไม่ว่า

อะไรที่ร้ายแรงในชีวิตเกิดขึ้นก็ตามในที่สุดแล้ว

ก็จะคลี่คลายไปในที่สุดเสมอ

โลกสำหรับคนเหล่านี้จะงดงามและสดสวย

ซึ่งตรงข้ามกับกลุ่มคนโชคไม่ดีซึ่งคาดหวังว่า

ไม่ว่าทำอะไรก็จะล้มเหลว

โลกของกลุ่มคนนี้มืดหม่นและมืดดำ


Dr.Wiseman ให้คนสองกลุ่มเล่นเกม Puzzle

ซึ่งไม่มีทางได้คำตอบเลย เมื่อเล่นไปสักพักร้อยละ 60

ของกลุ่มคนโชคไม่ดีบอกว่าเกมนี้ไม่มีคำตอบ

ในขณะที่มีร้อยละ 30 ของกลุ่มคนโชคดีที่บอกอย่างเดียวกัน

โดยสรุปก็คือกลุ่มคนไม่มีโชคยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม


ประการที่สี่ กลุ่มคนโชคดีมีความสามารถพิเศษ

ในการเปลี่ยนโชคร้ายให้เป็นประโยชน์

Dr.Wiseman เชื่อว่าปัจจัยตัวนี้มีบทบาทสำคัญที่สุดใน 4 ตัว

ในการมีโชคจนทำให้สามารถรอดชีวิตจากภัยอันตรายมาได้


ความเห็นของ Dr.Wiseman ตรงกับความเชื่อของ

Dr.Al Siebert ผู้เชี่ยวชาญคนสำคัญของอเมริกา

ในเรื่องจิตวิทยาของการเอาชีวิตรอด

ซึ่งศึกษาบุคลิกภาพของการเป็นผู้รอดชีวิต (Survivor Personality)

และพบว่าทักษะสำคัญยิ่งในการเอาชีวิตรอดคือ

การมีทักษะสร้างโชคที่จะพบสิ่งดีๆ

โดยไม่คาดฝัน (Serendipidity Talent)

กล่าวคือเมื่อประสบภัย พวก "โชคดี" (ผู้สามารถเอาชีวิตรอดได้เป็นเลิศ)

ไม่เพียงแต่ต่อสู้กับภัยได้ดีเท่านั้นยัง

สามารถเปลี่ยนแปลงภัยร้ายเป็นประโยชน์ได้ด้วย


ใครที่ดูภาพยนตร์ชุด Mclver จะเห็นความสามารถ

ในการคิดแก้ไขปัญหาและอุปสรรคอย่างไม่หวั่นไหวด้วย

การนำสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์

บุคลิกภาพเช่นนี้ทำให้สามารถอยู่รอดได้อย่างดี

จนดูเหมือนว่าเป็นคนมีโชคเหนือคนอื่นๆ


Dr.Wiseman เชื่อว่าในเรื่องการมีโชคสิ่งที่อธิบายไม่ได้

เกี่ยวกับความมีโชคมีอยู่แค่ร้อยละ 10 เท่านั้น

อีกร้อยละ 90 มีรากฐานมาจากวิธีการคิดของคน

คนที่เคร่งครัดกับชีวิตจนเกินไปจะมองไม่เห็นสิ่งอื่นๆ

ที่เป็นโอกาสเข้ามาหาตัว และถึงเข้ามาหาตัวเอง

ก็ไม่พร้อมเพราะไม่เคยเตรียมพร้อมไว้ก่อนหน้านี้


ข้อค้นพบทางวิชาการนี้ทำให้เราพอสบายใจขึ้นได้บ้างกระมัง

ว่าใครก็อาจมีโชคได้โดยไม่ต้องรอให้ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ภายนอก

ความมีโชคทำให้เกิดขึ้นได้ในขอบเขตหนึ่ง

ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีการมองโลกและบุคลิกภาพ


ทุกสิ่งในโลกที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลอธิบายมันได้ทั้งสิ้น

แม้แต่ความไร้เหตุผลก็ตาม



Feb 25, 2010

ได้ความรู้-มันดี


"แจ๋วริมจอ"



เจ้าของธุรกิจที่ต้องคิดหากลยุทธ์ทาง การตลาด

บริหารให้กิจการของตนเองอยู่รอด
ต้องเปิดไปชม "SME ตีแตก"
รายการน้องใหม่ของเวิร์คพอยท์
ที่จับมือกับธนาคารกสิกรไทย

มีคุณปัญญาเป็นพิธีกร
ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์ ห้าทุ่ม ทางช่อง 5
ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อรายการ
ก็คิดว่าคงเป็นรายการเกี่ยวกับธุรกิจ
ซึ่งน่าจะเหมาะกับกลุ่มคนดูที่ทำธุรกิจเท่านั้น
แต่ปรากฏว่าพอได้ชมแล้ว ไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
เหมาะกับคนดูทุกเพศทุกวัย
เนื้อหารายการไม่เครียดอย่างที่คิด
ที่สำคัญเข้ากับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อย่างตอนที่นำเจ้าของธุรกิจ
บริษัทหา คู่รัก มาร่วมรายการ
เพื่อจะขยายสาขา เจ้า ของซึ่งอายุเพียง 28 ปี
แต่ความคิดความอ่านเกินตัวจริงๆ!!
เขาสามารถบริหารงานด้วยแนวคิดที่ไม่ ธรรมดา
มีลูกค้าใช้บริการมากมาย
สนนราคาค่าใช้บริการก็มีหลายราคา
แบบเป็นแพ็กเกจก็มี
ผู้ชมที่ได้ฟังแผนการตลาดของเขาแล้วอดทึ่งไม่ได้
กับไอเดียบวกความมุมานะ
ที่ไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มวัยนี้จะคิดได้??
แม้จะโดนคณะกรรมการ 3 ท่าน
รัวคำถามไม่ยั้ง
แต่เขาก็สามารถโต้ตอบได้อย่างฉลาด
ดูแล้วสนุก มันสุดๆ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแผนกลยุทธ์ทางการตลาด
ของเขาจะไม่สามารถผ่านคณะกรรมการไปได้
แต่เชื่อว่าใครหลายคนที่ได้ชมรายการในวันนั้น
ต้องได้ข้อคิดและไอเดียทางธุรกิจไปเต็มๆแน่นอน
รายการ "SME ตีแตก" ให้อะไรกับคนดูมากมาย
เจ้าของธุรกิจที่มาร่วมรายการก็ได้
เผยแพร่ธุรกิจของตัวเองให้คนรู้จัก
อีกทั้งกลยุทธ์ในการบริหารจัดการที่นำมาเสนอ
ก็จะได้ผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจมาให้คำแนะนำถึง
แนวทางในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ส่วนผู้ชมรายการก็จะได้ศึกษาธุรกิจหลาก
หลายรูปแบบจากรายการบันเทิง
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคต
นั่นหมายถึงการสนับสนุนให้ธุรกิจ SME
ในประเทศไทยได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีคุณภาพ
นอกจากจะได้รับความสนุกแล้ว
ยังได้สาระอย่างเต็มเปี่ยม!!





Feb 23, 2010

อาทิตย์เที่ยงวัน: มายาจิต = วิทยาศาสตร์ ของ วิน เอี่ยมอ่อง

เชตวัน เตือประโคน
รายการโทรทัศน์วันนั้นตรึงผมให้ติดอยู่กับที่
ไม่ใช่ด้วยรูปแบบของรายการที่น่าสนใจ
หรือด้วยผู้ดำเนินรายการเป็นบุคคลที่ผมคลั่งไคล้ใหลหลง
หากแต่บุคคลที่ทางรายการเชิญมานั่นต่างหาก
ที่คล้ายจะสะกดจิตผมให้นิ่งงันเลยทีเดียว
หนุ่มไทยที่พูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด
(เนื่องจากไปโตที่อเมริกาตั้งแต่ 4 ขวบ) คนนั้น
เรียกตัวเองว่า "นักมายาจิต"ไม่ใช่ "มายากล"
ไม่ใช่ "การสะกดจิต" แต่ความสามารถของเขานั้น
เป็นวิทยาศาสตร์ ที่เจ้าตัวบอกว่า เป็นเหตุเป็นผล
สามารถพิสูจน์ได้ โดยศาสตร์นี้
เขาเริ่มสนใจศึกษาด้วยตัวเองมาตั้งแต่วัยรุ่น
ก่อนจะพัฒนาขยับขยายเรื่อยมา
กระทั่งตัดสินใจเลือกเรียนระดับปริญญาโทในที่สุด
"วิน (วิชยุทธ) เอี่ยมอ่อง" คือ นักมายาจิต
ที่ตรึงผมให้นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์อย่างจดจ่อชายหนุ่มบอกว่า
จิตวิทยาเป็นงานอดิเรกที่สนใจมาตลอด
จึงชอบดูพฤติกรรมมนุษย์
ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างโน้นอย่างนี้
เพราะถ้ารู้ความคิดมนุษย์ ก็เริ่มจะควบคุมเขาได้
ไม่ใช่ด้วยพลังจิต แต่ด้วยวิทยาศาสตร์ด้านจิตวิทยา
ตอนหนึ่งที่เขาทดสอบกับผู้ชมในรายการ...
วินเชิญผู้เข้าชมรายการคนหนึ่งขึ้นมา
จากนั้นก็ให้ยืนนิ่งๆ โดยเขาจะใช้มายาจิต
ทำให้คนคนนั้นล้มลงไม่น่าเชื่อ!!!
วินทำได้และไม่ใช่กับแค่ผู้เข้าชมรายการเพียงคนเดียวเท่านั้น
คราวนี้เขาลองให้คนทั้งห้องส่งลุกขึ้นยืน
โดยเขาจะใช้มายาจิต ทำให้คนเหล่านี้ล้มลงเช่นกัน
ซึ่งการแสดงของเขาในวันนั้น
คนในห้องส่งกว่า 80% ต่างล้มลงนั่งอย่างที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
พิธีกรสอบถามความรู้สึกของผู้รับการทดสอบ
แต่ละคนต่างบอกว่า เหมือนมีพลังบางอย่าง
ดึงให้พวกเขาทิ้งตัวลงนั่งแต่วินกลับบอกว่า
"นี่ไม่ใช่การสะกดจิต""มันเป็นวิทยาศาสตร์ คือ
ผมบอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืน และบอกว่า
ข้างหลังมีเก้าอี้ มีเบาะนุ่มๆ รอรับอยู่ คุณจะล้มลง
จากนั้นผมก็โน้มน้าวพวกเขาด้วยคำพูดของผม
สำหรับคนที่เปิดใจก็จะคล้อยตาม
สมองที่ตีความว่าล้มลง ว่ามีเบาะนุ่มๆ รองรับอยู่นั่นแหละ
ที่เป็นสิ่งที่ทำให้คุณล้มลง
คุณทำตัวเอง ผมเพียงเป็นผู้ช่วยเท่านั้น"
วินอธิบาย และว่า สำหรับคนที่ไม่ล้ม (บางส่วน)
ก็เพราะไม่ยอมเปิดใจ ยังแข็งขืน
สมองเลยไม่ตีความตามนั้นหรืออย่างรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของมนุษย์
ชายหนุ่มจากอุบลราชธานี
ที่ไปเติบโตต่างประเทศผู้นี้ก็สามารถอ่านออก...เช่น
คำพูดของคน เขาสามารถแยกแยะได้ว่า "จริง" หรือ "ไม่จริง"
ฟังแล้วน่ากลัวระคนน่าค้นหาเหลือเกิน
สำหรับชายหนุ่มผู้นี้อีกครั้งที่เขาทดสอบ
การแสดงที่เป็นวิทยาศาสตร์ของเขา...ในห้องปิด
มีผู้เข้ารับการทดสอบประมาณ 5-6 รายนั่งอยู่
ชายหนุ่มอธิบายให้ผู้เข้ารับการทดสอบแต่ละคนฟังถึงกติกา
โดยเขาให้ทุกคนเดินออกไปข้างนอก
แล้วถ่ายเอกสารลายมือของตัวเอง
นำกลับเข้ามาอย่าให้เขาเห็น
จากนั้นก็ยื่นให้เขาโดยคว่ำหน้ากระดาษไว้...
วินหายไปจากห้องพร้อมลายมือของแต่ละคน
ราวชั่วโมงครึ่ง เขากลับมา
และยื่นลายมือกลับคืนให้แต่ละคนอย่างถูกตัว (น่าทึ่งขั้นที่หนึ่ง)
เท่านั้นยังไม่พอ พร้อมกับแผ่นกระดาษลายมือที่เขายื่นคืนเจ้าของนั้น
ยังมีคำทำนายต่างๆ ดังเช่นที่หมอดูเขาทำนายกันแถมให้ด้วย
ทุกคนอ่านคำทำนายนั้นแล้วบอกว่า
วินเป็นหมอดูที่แม่นมาก
คำทำนายที่เขาให้มานั้นตรงกับตัวเองเหลือเกิน (น่าทึ่งขั้นที่สอง)
เมื่อผู้เข้ารับการทดสอบชื่นชมวิน (ต่อหน้ากล้อง)
เป็นที่เรียบร้อย คราวนี้วินให้แต่ละคนแลกเปลี่ยน
คำทำนายของกันและกันอ่านปรากฏว่า...
คำทำนายของทุกคนเหมือนกันหมดเลย!
(น่าทึ่งขั้นที่สาม ออกจะงงๆ เล็กน้อย)
วินออกมาอธิบายว่า คำทำนายของแต่ละคนก็เหมือนกันนั่นแหละ
ทำนายไว้หลายๆ เรื่องที่เหมือนกัน
แต่สมองมนุษย์ ก็เลือกแต่จะจดจำสิ่งที่ตรงกับตัวเองมากที่สุด
และเชื่อว่ามันเป็นคำทำนายของตัวเอง
โดยโยนอีกหลายๆ คำทำนายที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองนั้นทิ้งไป
ไม่จดจำ (น่าทึ่งเป็นที่สุด -
เรื่องนี้ทำไมคนชอบดูหมอหลายๆ คนถึงคิดไม่ถึง)
นี่คือเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการดูหมอที่เป็นวิทยาศาสตร์ของชายชื่อ วิน
ที่สุดแล้ว คล้ายวินจะบอกเราว่า สิ่งต่างๆ ที่ดูเหลือเชื่อนั้น
ล้วนเกิดจากการตีความของสมองนั่นเอง
อยู่ที่ว่า เราจะทำความรู้จักกับมัน
และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวได้มากที่สุดแค่ไหน เท่านั้นเอง หน้า 20 นสพ มติชน 6 กค 51

Feb 18, 2010

"เงินตาย"ขายคนเป็น



วรากรณ์ สามโกเศศ

มติชนออนไลน์

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


"เงินตาย" และ "เงินเป็น" มีลักษณะแตกต่างกัน
หากไม่พิจารณาดูให้ดีจะมองไม่เห็นและ
อาจทำให้เสียประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งไปกว่านั้น "เงินตาย" อาจขายคนเป็นได้ด้วย

เงินนั้นเป็นได้ ทั้งศัตรูและมิตร ถ้าเงินนั้นเป็นเงินกู้
ไม่ว่าเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกวินาทีไม่ว่าหลับหรือตื่น
อาศัยอยู่ใต้น้ำหรือใต้ดินลึกไปกี่กิโลเมตรก็ตาม
ดอกเบี้ยจะบานอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้ถือว่าเงินเป็นศัตรูในพื้นฐาน

หาก เงินที่กู้มานั้นสามารถช่วยให้เงินงอกงามคุ้มกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่า
เงินกู้ก้อนนั้นก็กลายสภาพจากศัตรูเป็นมิตร
แต่ถ้าเงินกู้ถูกใช้อย่างไม่คุ้มค่า ความเป็นศัตรูของเงินก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเงินนั้นเป็นเงินของเราที่ได้มาจาก
การทำงานและสามารถ อดออมไว้ได้ส่วนหนึ่ง เงินนั้นก็เป็นมิตรกับเรา

หาก เอาไปฝากในธนาคารหรือซื้อหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคง
เงินก็จะงอกงามยิ่งขึ้น เงินก้อนนั้นจะยิ่งเป็นมิตรกับเรา
แต่ถ้านำเงินนั้นไปใช้อย่างไม่เกิดประโยชน์
มันก็จะกลายร่างจากมิตรเป็นศัตรู ได้เช่นกัน

การเป็นมิตรและศัตรูของเงินจึงขึ้นอยู่กับที่มาของเงิน
และลักษณะของการนำเงินนั้นไปใช้ เงินที่เป็นศัตรูสามารถ
เปลี่ยนเป็นมิตรได้หากนำไปใช้อย่างคุ้มค่า
และเงินที่เป็นมิตรซึ่งมาจากการอดออม
ก็สามารถเป็นศัตรูได้หากนำไปใช้อย่าง ไม่เกิดประโยชน์

นอกจากลักษณะของการเป็นมิตรและศัตรูของเงินแล้ว
เงินยังสามารถแบ่งออกได้เป็น "เงินตาย" และ "เงินเป็น" อีกด้วย

ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ ค่าเช่าบ้านหรือ
ที่อยู่อาศัยเป็น "เงินตาย" ส่วนค่าผ่อนบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็น "เงินเป็น"

สถานการณ์ที่เศร้าก็คือบุคคลหนึ่งสามารถทำให้
"เงินตาย" กลายเป็น "เงินเป็น" ได้ แต่ไม่ทำเพราะไม่รู้จนเสียโอกาส

ค่าเช่าบ้านคือค่าบริการสำหรับการเช่าบ้าน
ทุกเดือนที่จ่ายไปมิได้ทำให้เข้าไปใกล้ความเป็นเจ้าของมันเลยแม้แต่น้อย

แต่ สำหรับเงินที่จ่ายในแต่ละเดือนด้วยจำนวนเดียวกัน
บ้านหลังเดียวกัน แต่จ่ายเป็นค่าผ่อนบ้านแล้ว
เงินนั้นก็คือ "เงินเป็น" เพราะทำให้เข้าใกล้
ความเป็นเจ้าของบ้านซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
และหากไม่อยู่เองเอาไปให้คนอื่นเช่าก็ได้
ค่าเช่าเป็นรายได้โดยไม่ต้องทำงาน

ข้อแตกต่างของสองสถานการณ์ก็คือ
เงินดาวน์บ้านซึ่งสามารถเปลี่ยนสภาวะจากการเช่ามาเป็นการผ่อนส่ง
ถ้าไม่มีเงินดาวน์บ้านเพราะรายได้น้อยจนไม่สามารถออมได้
หรือเช่าอยู่ชั่วคราวก็พอฟังได้เพราะไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเป็น "เงินตาย" ได้
แต่สำหรับคนที่สามารถออมได้ แต่ไม่ได้ออม
จนต้องตกอยู่ในสภาวะการเช่าแล้ว
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก
เพราะเงินจะตายอยู่อย่างนั้นอย่างไม่อาจเป็น "เงินเป็นได้"

สถานการณ์ ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือบ้าน
ก็ยังเช่าอยู่จ่ายค่าเช่าบ้านเป็น "เงินตาย" อยู่ทุกเดือน
แต่เมื่อมีโอกาสกู้เงินก็กลับเอามาผ่อนซื้อรถยนต์
เพื่อความ "หน้าบาน" ของตนเอง
อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนถูกทำร้ายสองต่อคือ
"เงินตาย" (ค่าเช่าบ้าน) ทำร้าย
และค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ทำร้าย
(ตอนซื้อมาราคา 800,000 บาท
หากจะขายเมื่อซื้อมาได้ 1 ปี ก็ได้ราคาแค่ 650,000 บาท
ดังนั้น จึงหายไป 150,000 บาท
ในเวลา 1 ปี หรือเฉลี่ยเดือนละ 12,500 บาท)

" เงินตาย" อีกลักษณะหนึ่งก็คือค่าเสื่อม
ซึ่งเป็นเปรียบเสมือนกับ "เงินตาย"
ชนิดที่มองไม่เห็น ค่าเสื่อมไม่ใช่เงินสด
ที่ไหลออกจากกระเป๋าอย่างจับต้องได้
คนจึงมักมองข้าม ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว
เป็นเงินหรือค่าใช้จ่ายซึ่งมนุษย์ที่มีทรัพย์สิน
เสื่อมค่าได้ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา
และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย

ยิ่ง มีทรัพย์สินมากเพียงใดยิ่งมีค่าเสื่อมมากเพียงนั้น
ระหว่างทางที่มันเสื่อมผู้คนมักมองไม่เห็น
เพราะจับต้องไม่ได้ จะเห็นก็ต่อเมื่อขายทรัพย์สินนั้น
และเรียนรู้ว่ามูลค่าของมันลดลงไปมากกว่าเมื่อตอนซื้อมา

มูลค่าที่แตกต่างนี่แหละคือมูลค่าที่สูญหายไปหรือ "เงินตาย"

กล่าว โดยสรุปคือ "เงินตาย" คือเงินที่จ่ายหรือ
สูญเสียไปโดยมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นในอนาคตดังเช่น
ค่าเช่าบ้านที่ต้องจ่ายไปโดยไม่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น
ซึ่งต่างจากเงิน ค่าผ่อนบ้านซึ่งเป็น "เงินเป็น"
เพราะทำให้ได้เป็นเจ้าของในที่สุดและได้ประโยชน์อีกนานาประการ

ค่า เสื่อมเป็น "เงินตาย" เพราะเป็นเงินที่สูญไปในสภาวะจำยอม
โดยเงินที่สูญไปนั้นมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต
(ถึงแม้ว่ามันคือราคาของการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินก็ตาม)

"เงินตาย" นั้นหลีกเลี่ยงได้ในกรณีของการเช่าบ้าน
แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในกรณีของการเสื่อมค่า

" เงินเป็น" นั้นคือเงินที่เมื่อใช้ไปแล้วก่อให้เกิดประโยชน์
ในอนาคตดังเช่นการผ่อน ส่งบ้าน
การลงทุนในโครงการที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างคุ้มค่า

ถ้า บุคคลหนึ่งใช้เงินของตนเองไม่ว่ามาจากการออมหรือ
กู้เขามาอย่างไร้ความหมาย เงินที่จ่ายออกไปคือ "เงินตาย"
ดังนั้น ถ้าจะหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าวและ
ต้องการทำมันเป็น "เงินเป็น" แล้ว
ก็จำต้องใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลโดยคำนึงถึงประโยชน์ของมันในอนาคต

การ ใช้จ่ายเงินสำหรับการบริโภคยาเสพติด
การบริโภคที่ทำลายตนเองด้วยการสร้างนิสัยที่ไม่พึงปรารถนา
(สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน)
การบริโภคสิ่งที่ตนเองไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อหามาได้
(การบริโภคเกินฐานะ) ฯลฯ คือการใช้จ่าย "เงินตาย"

"เงินตาย" ขายคนเป็นเพราะทำร้ายและทำลายเจ้าของเงิน
เนื่องจากไม่เป็นสิ่งที่เป็น ประโยชน์ในอนาคต
ซึ่งต่างจาก "เงินเป็น" ซึ่งโยงใยกับประโยชน์ในอนาคต

การ มีเงินมากมิได้แก้ไขปัญหาชีวิต
หากอาจทำให้ชีวิตยุ่งยากและมีปัญหามากขึ้นก็เป็นได้
ตราบที่ไม่รู้จักข้อแตกต่างระหว่าง "เงินตาย" และ "เงินเป็น"

"เงินตาย" จะลดน้อยลงหรือแปรเปลี่ยนสภาพเป็น
"เงินเป็น" ได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจว่า
อะไรคือ "เป็น" และอะไรคือ "ตาย"

Feb 14, 2010

คอลัมน์ ลายแทงความสุข


บทความจากหนังสือพิมพ์มติชน
ฉบับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10570

โดย วารุณี สิทธิรังสรรค์
warunee11@yahoo.com


ทุกวันนี้เหลียวไปทางไหนมีแต่คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง"
หรือ "การดำรงอยู่อย่างพอเพียง"
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำๆ นี้ และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างจริงจัง…
ธนกร ฮุนตระกูล หรือ "กบ" เป็นผู้หนึ่งที่รู้จักคำว่า "พอเพียง"
"เพียงพอ" เขาบอกว่า คนเราหากรู้จักคำว่า "พอ" ชีวิตจะมีความสุขขึ้น

เมื่อเริ่มเปิดฉากสนทนาภายในห้องรับรองของสำนักงานโรงแรมบ้านท้องทราย
ย่านสุขุมวิท 38 เขาบอกว่า เมื่อกลางปี 2549
เขาได้สละที่ดินเนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ บนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
ให้กับทางราชการเพื่อทำพื้นที่ป่าชุมชน
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ
ด้วยเหตุผลเพียงต้องการให้พื้นที่เหล่านี้คงสภาพ
เป็นป่าธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า


"กบ" ปัจจุบันอายุ 33 ปี เป็นทายาทของ

คุณอากรและคุณชุมพูนุช ฮุนตระกูล ผู้ก่อตั้งโรงแรมบ้านท้องทราย
อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

เขาศึกษาจบระดับปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์
ที่ University of East Anglia กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แม้เขาจะเป็นถึงระดับผู้บริหารโรงแรมบ้านท้องทราย
ในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป แต่เขาก็ทำหน้าที่ทุกสิ่งสรรพ
ตั้งแต่งานในห้องครัวไปจนถึงงานระดับผู้บริหาร


"ตอนผมอายุ 23-24 ปี ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน
มีอิสระในตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ
ความคิดที่จะรับผิดชอบอะไรมากมายแทบจะไม่มี
ยิ่งการสืบทอดธุรกิจโรงแรมแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวผมมาก
จำได้ว่าจบมาใหม่ๆ รู้สึกอยากทำงานที่ไว้ผมยาวได้

ซึ่งก็ได้งานที่บริษัทโฆษณาแห่งหนึ่ง
ช่วงนั้นดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดี

ได้ทำงานที่เป็นตัวของตัวเอง มีเพื่อนฝูงเยอะแยะ
จนกระทั่งคุณพ่อต้องเข้าผ่าตัดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ครั้งที่ 2
และขอให้ผมไปทำงานที่โรงแรมบ้านท้องทราย บนเกาะสมุย
จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ใจไม่อยากไป
ต่อมาปี 2543 ผมต้องสูญเสียพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ"

เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มหายตายจาก ทุกคนในบ้านแทบไม่มีอันจะทำอะไร
"ขณะนั้นหน้าที่การงานของผมก็ยังไม่ลงตัว
แถมภรรยา "กอหญ้า" สายสิริ ชุมสาย ณ อยุธยา
ก็ต้องมาสูญเสียคุณพ่อของเธอไปอีกคน

ดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างไม่จบสิ้น
ถือเป็นช่วงชีวิตที่เลวร้ายจริงๆ ผมรู้สึกเหนื่อย
ทั้งเรื่องคุณพ่อและเรื่องงาน บอกตรงๆ
ตอนนั้นไม่รู้จะเดินอย่างไรให้มั่นคงต่อไปได้
แต่ผมก็ถือว่าโชคดีมาก เพราะมีคุณแม่คอยให้คำแนะนำตลอด
และยังมีภรรยาคอยให้กำลังใจเสมอ
เราใช้เวลาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
ไม่นานผมก็เริ่มเข้าใจว่า การ "จมปรัก" อยู่แต่อดีต

ให้ความเศร้าเสียใจมาครอบงำทั้งชีวิตคงไม่ได้"

คนที่มีชีวิตอยู่ก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้...
"ผมตัดสินใจทำงานอย่างจริงจัง

ผมจำได้ว่าวันนั้น...ผมไปบอกคุณแม่ว่า
ผมพร้อมแล้ว ผมขอทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทั่วไป
ของโรงแรมบ้านท้องทราย ซึ่งต้องดูแลทุกอย่างภายในโรงแรมทั้งหมด"


หลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ ในชีวิต เขาตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
ทำงานตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับผู้บริหาร
พัฒนาโรงแรมในพื้นที่ 70 ไร่ ให้ห้อมล้อมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี
มีห้องพักเพียง 83 ห้อง ด้วยเหตุผลเพียง
เพราะต้องการ "อนุรักษ์ธรรมชาติ"

ที่ซึ่งมนุษย์รุกล้ำกล้ำกลายมาโดยตลอด

"ถึงแม้การดำเนินธุรกิจโรงแรมรูปแบบเชิงอนุรักษ์
จะไม่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมหาศาล
แต่ก็พออยู่ได้อย่างสบาย สามารถเลี้ยงครอบครัวและพนักงาน 250 ชีวิต
ได้อย่างไม่ลำบาก มีคนพยายามเกลี่ยกล่อม
ให้ผมขยายกิจการให้ใหญ่โต แต่ผมปฏิเสธมาโดยตลอด
เพราะผมพอใจในสิ่งที่มี แค่ธุรกิจเล็กๆ ก็ไม่ได้ลำบากอะไร
สร้างรายได้เหมือนกัน แต่หากขยายห้องพักก็ต้องใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น
ทั้งเสี่ยงด้านเงินลงทุน และยังเป็นการทำลายธรรมชาติ"


กบเชื่อเสมอว่า การดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ
กับการรักษาธรรมชาติเป็นแนวทางที่ดี และ "สมดุล" ที่สุด

"ผมมีนโยบายเพิ่มพื้นที่ป่า ไม่ก่อสร้างอาคารใดๆ เพิ่มเติม
รวมทั้งออกกฎห้ามพนักงานทุกคนในโรงแรมตัดไม้ทำลายป่า
หรือทำร้ายชีวิตสัตว์ทุกชนิด ผมและภรรยายังได้จัดตั้ง
หน่วยพิทักษ์สัตว์และสิ่งแวดล้อมขึ้นภายในโรงแรม
ขณะนี้มีสมาชิกราว 30 คน ทุกคนมาด้วยความสมัครใจ
สมาชิกทุกคนจะมีหน้าที่คอยสอดส่องดูแลสิ่งแวดล้อม
ไม่ให้มีการตัดไม้ทำลายป่าหรือฆ่าสัตว์
สิ่งเหล่านี้ทำให้พื้นที่รอบๆ โรงแรมเต็มไปด้วยป่าไม้ที่เขียวขจี
และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ
ทั้งกระรอก และนกนานาพันธุ์กว่า 58 ชนิด"


กว่าจะเป็นโรงแรมที่กลมกลืนกับธรรมชาติ
ต้องอาศัยความร่วมมือและเวลา


"สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่า
ย่อมมีคุณค่ามากกว่าการเพิ่มเติมห้องพักหรือขยายโรงแรมเป็นไหนๆ ได้ขนาดนี้
เพราะพนักงานทุกคนพร้อมใจกัน ช่วยดูแลต้นไม้ ใบหญ้า
หรือแม้กระทั่งสัตว์ทุกตัว หน่วยพิทักษ์สัตว์ฯจะตรวจตราทุกวัน
ครั้งหนึ่งผมเคยตรวจพบนกเขาเป้าถูกยิงตาย
ทำให้ผมต้องเรียกประชุมพนักงาน
เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกันยกใหญ่ แต่ก็หาไม่พบ
จนต้องออกกฎเหล็กว่า "ใครมาทำร้ายสัตว์
จะไม่ขออยู่ร่วมกับคนเหล่านี้เด็ดขาด"
ต่อมาผมก็พบอีกว่ามีนกถูกยิงตายภายในเขตโรงแรมอีก
ผมติดตามสืบจนทราบว่าก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน
มี รปภ.(เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย)
ที่ผมจ้างมาจากบริษัทภายนอกเพิ่งมาทำงาน
เขาอาจจะไม่รู้กฎกติกาของโรงแรมดีพอ
ผมเลยแจ้งไปยังบริษัทให้เปลี่ยนตัว รปภ.ใหม่
ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็เต็มใจทำ
เพราะทุกครั้งที่ได้ยินแขกที่มาพักออกปากชมว่าโรงแรมสวยงาม
และมีความเป็นธรรมชาติ ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง"


กบบอกว่า ความเครียดเป็นเรื่องปกติของการทำงาน
ทุกคนต้องเจอ เพียงแต่เราต้องรู้จักหาทองออกให้ชีวิต
หากชีวิตยึดติดอะไรมากไป ความสุขจะไม่เกิดขึ้น
เขาเป็นผู้หนึ่งที่ "ไม่ยึดติด" โดยเฉพาะวัตถุ


"ผมใช้ในสิ่งที่มี โทรศัพท์มือถือมีเครื่องเดียวไว้ติดต่องาน
ส่วนคอมพิวเตอร์ก็มีไว้ทำงาน เช็คอี-เมล์ และเล่นเกม
รถมีเพียงคันเดียวไว้ขับไปสถานที่ต่างๆ เมื่อจำเป็น
ไม่จำเป็นต้องดิ้นรน อยากได้หรืออยากมี
ทุกคนทำงานก็ต้องมีเครียดกันบ้าง
แต่ผมจะไม่ดิ้นรนคลายเครียดโดยการบินไปเที่ยวต่างประเทศ
หรือหาสถานที่เที่ยวให้วุ่นวาย ที่ที่ผมชอบที่สุดคือ
"บ้าน" มันมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะ
ทั้งดูทีวี กินข้าว เล่นเกม เล่นกับสุนัข
ได้พูดคุยกับคนในครอบครัว แค่นี้ก็สบายใจแล้ว
หากเรารู้จักคำว่า "พอ" ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง
เหมือนดั่งคำสอนของเจ้าชายสิทธัตถะ
หรือพระพุทธเจ้า ที่ว่า "ความต้องการ" คือ
"กิเลส" ซึ่งก่อให้เกิด "ทุกข์"
หากต้องการดับทุกข์ก็ต้องดับความต้องการเสีย


แต่มนุษย์เรากลับทำตรงกันข้าม
พยายามหาสิ่งต่างๆ มาเติมเต็มให้กับชีวิต
แต่สำหรับกบแล้ว เขาบอกว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
แต่หากรู้จักพอมีพอกิน ไม่ขวนขวายเกินกำลัง
ความสุขก็เกิดขึ้นไม่ยาก


วันนี้ กบมีความสุขจากการใช้ชีวิตอย่างรู้จัก "พอ"
และได้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม
ส่วนเส้นทางการเมือง…จะเดินตามรอยพ่อหรือไม่
ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญในชีวิต
เพราะเขาคิดเสมอว่า การจะเป็นคนดี
ทำประโยชน์ให้สังคมและบ้านเมือง
ไม่จำเป็นต้องเล่นการเมือง
หากแต่อยู่ที่ไหนก็ทำดีได้ทั้งนั้น


ตะลึง....ช็อค....เจ้าสัวยกที่ดิน 5,000 ไร่ คืนรัฐเพื่อรักษาป่า [ 15 ก.ย. 2549 ]

นายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 กันยายน
กรณีนายธนกร ฮุนตระกูล ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมบ้านท้องทราย
ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย บุตรชายนายอากร ฮุนตระกูล
อดีตนักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของโรงแรมอิมพีเรียล
มอบเอกสารที่ดินกว่า 100 แปลง เนื้อที่ 5,000 ไร่ บนเกาะสมุย
ให้ทางราชการทำพื้นที่ป่าต้นน้ำว่า
จังหวัดรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่
ทายาทมอบสิทธิการครอบครองที่ดินจำนวนมาก

มาสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมนับวันจะหาได้ยากยิ่งในสังคม
จะนำเรื่องนี้ไปหารือกับนายวิจิตร วิชัยสาร
ผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อมอบโล่เกียรติคุณให้
ในฐานะบุคคลตัวอย่างพร้อมรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
และรัฐบาลทราบต่อไป
"โดยส่วนตัวเคยพบนายธนกรกับแฟนสาวพูดคุยเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว
เห็นว่านายธนกรเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่
สืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาอย่างแน่วแน่เป็นแบบอย่างแก่คนรุ่นใหม่ได้
เพราะหากทุกคนมีความเสียสละหรือยึดแนวทางพอเพียงเช่นนี้
ปัญหาการบุกรุกที่ดินบนเกาะคงจะไม่วุ่นวาย
หลังจากนี้หากจะมีชาวเกาะหรือนักธุรกิจต้องการมอบที่ดินให้ก็ยินดี"
นายธวัชชัยกล่าว

นายสำเริง ทองเรือง แกนนำคัดค้านการออก
เอกสารสิทธิที่ดินบนภูเขาเกาะสมุย และกรรมการชุมชนบ้านบางรักษ์
หมู่ 4 ต.บ่อพุด กล่าวว่า ชาวเกาะสมุยขอสดุดีในน้ำใจอันยิ่งใหญ่ของนายอากร
และทายาทตระกูลฮุนตระกูล
เพราะที่ดินบนเกาะสมุยแต่ละแปลงมีค่ามหาศาล
นักลงทุนหวังครอบครอง ที่ดินของรัฐยังไม่เว้น
แต่นายอากรกลับมองการณ์ไกล
เอาเงินตัวเองซื้อที่ดินเพื่อรักษาป่าไว้
ไม่เช่นนั้นสมุยคงแห้งแล้งกว่านี้แล้ว
"ผมไม่เคยรู้จักนายอากร แต่เคยเห็นนำพนักงานโรงแรม
ทำความสะอาดถนน ชายหาด และทำงานสาธารณประโยชน์
เสนอความคิดในการทำกิจกรรมบ่อยครั้ง
น่าเสียดายที่เสียชีวิตไป หากยังอยู่คงจะได้เห็นเกาะสมุยพัฒนากว่านี้
ทราบว่าเอกสารที่ทายาทนายอากรมอบให้มีความหนากว่า 1 ฟุต
ยังไม่ทราบอยู่จุดใดบ้าง"
นายวิรัช พงศ์ฉบับนภา
เจ้าของโรงแรมสมุยพาวิลเลี่ยนบูติกรีสอร์ท
หาดละไม กล่าวว่า นายอากรได้ควักเงินส่วนตัวซื้อที่ดิน
จากชาวบ้านกันไว้เป็นเขตป่าถึง 10,000 ไร่
เพราะตั้งใจรักษาป่าไม้บนภูเขาเอาไว้
แต่ถูกนายหน้าแอบขายและถูกบุกรุกจนเหลือเพียงครึ่งเดียว
นายอากรไม่ได้ต่อว่า ยังคงทำงานตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
หากเป็นคนอื่นคงนำไปจัดสรรขายนานแล้ว

"ยอมรับว่านายอากรเป็นคนจริง ปากร้ายแต่ใจดีมาก
เป็นห่วงสังคม และช่วยวางแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยว
เกาะสมุยในเชิงอนุรักษ์ไว้มาก"
นายวิรัชกล่าว
ข่าวแจ้งว่า โรงแรมบ้านท้องทราย
ประกาศห้ามพนักงานฆ่าสัตว์
รังแกสัตว์และห้ามตัดต้นไม้
โดยจากการสำรวจป่ารอบโรงแรมในปี 2548
พบสัตว์ป่าอาศัยอยู่ประมาณ 50 ชนิด
เช่น นางอาย ตัวเงินตัวทอง นกหลายชนิด
















Feb 13, 2010

"รักลูกให้ถูกทาง"

รศ. ดร. สายฤดี วรกิจโภคาทร
เจ้าของรายการ รักลูกให้ถูกทาง

บทสัมภาษณ์พิเศษ "ประเด็นปัญหาลูกติดตามแม่"
หากเอ่ยถึงประชาชนชาวไทยในเยอรมัน
อาจกล่าวได้ว่า หญิงไทยที่แต่งงานมีครอบครัวกับชาวเยอรมันนั้น
เป็นชาวไทยกลุ่มใหญ่ที่สุด ด้วยเหตุนี้
กลุ่มลูกติดตามแม่เข้ามาเป็นเด็กสองวัฒนธรรม
ก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ซึ่งมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็น
เรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสังคมใหม่ เรื่องภาษาไทย
การรู้จักประเพณีวัฒนธรรมไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ด้านสุขภาพจิตของลูก
เราได้มีโอกาสได้เข้าสัมภาษณ์ รศ. ดร. สายฤดี วรกิจโภคาทร

รองผู้อำนวยการ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว
อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล
และผู้ดำเนินรายการ "รักลูกให้ถูกทาง"

ที่พวกเราชาวยุโรปได้มีโอกาสดูทาง Global Network
อาจารย์ได้กรุณาเล่าถึงความเป็นมาของรายการฯ
และได้พูดคุยถึงประเด็นปัญหา "ลูกติดตามแม่" อย่างเปิดอก
เพื่อเป็นแนวทางแก่แม่ๆ ชาวไทยในต่างแดน
ว่าทำอย่างไรจึงจะได้ขึ้นชื่อว่า "รักลูกให้ถูกทาง"
"เหตุที่ริเริ่มทำในครั้งแรกนั้น เพราะความที่มหาวิทยาลัยฯ
มีทรัพยากร ที่เป็นบุคคลากรทางการแพทย์มาก จึงได้คิดทำ
เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ แต่ปัญหาของสุขภาพเด็กนั้นมันซ้ำ
คือเด็กที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็จะมีโรคซ้ำๆ ยกเว้นโรคซาร์ส
ที่มาทีหลัง
พอปีกว่าๆ เราก็รู้สึกว่า
รายการรักลูกให้ถูกทางนั้น

น่าจะเป็นเรื่องสุขภาพจิต เดิม ดร. เทียม โชคพัฒนา
เป็นคนตั้ง
ชื่อว่าผู้ปกครองและลูก
และรายการรักลูกให้ถูกทางก็คือว่า

สุขภาพจิตนะ ฝึกนิสัยที่ดีนะ สร้างทัศนคติต่อชีวิตให้ดี
มีความสุขในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ ทั้งหมดคือ
รักลูกให้ถูกทาง
จึงได้เปลี่ยนมาเป็น เรื่องสุขภาพจิต ค่อนข้างมาก
คือมันขึ้นอยู่กับสังคม สิ่งแวดล้อม ขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลง
กระแสสังคม ประชาชนส่วนใหญ่ที่คิดว่า เลี้ยงลูกสมัยนี้ มันยาก
ถ้ามีรายการช่วยชี้ แนะ เพราะความจริงรายการไม่ได้บอกวิธีเลย
ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ และแต่ละครอบครัว วัยเด็ก แต่เราดึงประเด็นว่า
ลองคิดแบบนั้นดูบ้างไหม ลองทำแบบนี้ดูไหม ครอบครัวของเรา
มีสิ่งประกอบเหล่านั้นด้วยหรือเปล่า ที่จะทำให้เราคิด
และทำแบบนั้นได้ และมันก็มีความแตกต่าง แต่ละปี
แต่ละเดือนด้วย อย่างเช่นเดือนนี้มีวันแม่ วันพ่อ วันปีใหม่
เราก็ต้องทำให้ทันสมัย เช่น วันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพฯ นั้น
เราก็มีรายการที่เกี่ยวข้องด้วย โดยที่เราเอา
บทความของสมเด็จพระเทพฯ

ที่ทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่
โดยที่พระองค์ท่านนำมาจากพระไตรปิฏก ว่าพระพุทธเจ้า
ได้เคยตรัสถึงแม่ว่าอย่างไรบ้าง ว่าแม่เป็นผู้เสียสละ ผู้เป็นครู
เพราะฉะนั้น เรียกได้ว่า รายการรักลูก ให้ถูกทาง
จนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่ตัน"

"โดยรายการได้ออกอากาศวันจันทร์ - วันศุกร์ ก่อนข่าวภาคค่ำ
ใช้เวลา 5 นาที ในอดีต แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 3 นาที และจนถึงขณะนี้
รายการได้ออกอากาศไปแล้วกว่าสี่พันตอน อาจจะเป็นเพราะว่า
รายการดำเนินมาแล้วกว่า 19 ปี จึงทำให้เป็นรายการที่มีคนดูมากที่สุด
ในประเทศไทย อันนี้จากงานวิจัยของคณะนิเทศศาสตร์จุฬาฯ
เมื่อปีที่แล้ว ความจริงแล้ว รายการนี้อยู่มานาน
อย่างน้อยคนก็ได้ดูครั้งหนึ่งแหละ"
"จากที่มหาวิทยาลัยมีส่วนร่วมในการจัดทำ
ค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงมีไม่มาก และเป็นรายการประจำ
เรื่องประเด็นต่างๆ ที่สังคม พ่อแม่ น่าจะสนใจ ได้ประโยชน์ เช่น
เรื่องการอ่านกับเด็ก การอ่านมีประโยชน์กับเด็กอย่างไร
เด็กเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไร พฤติกรรมที่พ่อแม่
กระทำที่จะเพิ่มนิสัยรักการอ่านให้กับเด็กๆ
หนังสือที่น่าจะแนะนำให้เด็กๆ หรือว่าเมื่อลูก
อ่านหนังสือแล้ว กิจกรรมเสริมในครอบครัว
เพื่อให้การอ่านดีขึ้นจะทำอย่างไร"
"เรื่องการเลี้ยงลูก ให้รู้จักถึงความแตกต่างระหว่างเพศ
ส่งเสริมให้เด็กผู้หญิงมีความภูมิใจ ในความเป็นผู้หญิง
ให้รู้ว่าในความเป็นผู้หญิง เป็นความพิเศษอย่างไร
กิจกรรมที่จะทำให้ผู้หญิงเก่ง และแข็งแรง
แข่งขันกับผู้ชายได้ด้วย กิจกรรม
ที่พ่อแม่ควรให้เด็กผู้หญิงทำคืออะไร สำรวจ
ออกไปข้างนอก เล่นกีฬาให้มากๆ เดินป่า แข่งขัน
เรียนวิชาที่ ไม่ใช่อยู่ในกรอบ ที่ผู้หญิงต้องเรียน
เช่น คหกรรมศาสตร์ ผู้หญิง เรียนสาขาวิทยาศาสตร์ให้มากๆ
เรียนคอมพิวเตอร์ให้เก่งๆ รู้จักมีกิจกรรม
กลางแจ้งให้มากๆ รู้จักพูดจา รู้จักตั้งคำถาม
รู้จักเข้าสังคม รู้จักที่จะเลือกว่า ใครควรมาเป็นตัวอย่าง ให้กับเด็ก"
ส่วนการสัมภาษณ์วิทยากรนั้น เราจะไม่สัมภาษณ์พ่อแม่
แต่จะสัมภาษณ์ที่ตัวลูก ถามเค้าว่า พ่อแม่เลี้ยงเค้ามาอย่างไร
และคนๆ นั้นก็เป็นทรัพยากร ที่บอกประเด็นอะไรได้หลายอย่าง เช่น
สัมภาษณ์ คุณโสภณ สุภาพงษ์ (สมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร)
ก็จะได้ประเด็นว่า คุณโสภณ จำคุณพ่อว่าอย่างไรบ้าง
สิ่งที่เป็นคุณพ่อชัดเจนที่มีอยู่ในตัวคุณโสภณ นี้
คุณโสภณ ก็พูดถึงคุณพ่อได้จับใจมาก และพูดถึงคุณแม่
ว่าทำไมคุณโสภณ ตอนนี้จึงเป็นอย่างนี้ ที่คิดว่าชีวิตในตอนนี้มันเรียบ
คนเราต้องมีหน้าที่ส่งกลับ ให้กับสังคม เพราะถ้าเราสัมภาษณ์ วิทยากรคนหนึ่ง
เราก็จะได้ทุกประเด็นของเค้า ที่เค้าคิด และเราเองก็คิดด้วยว่า
นั้นคือความเด่นของเค้า เหมือนเพชรก้อนหนึ่ง มีหลายแง่ มีหลายมุม
ในการสัมภาษณ์นั้น เราจะไม่ไปตามกระแสการเมือง ที่เลื่อนไหล
เพราะฉะนั้นสัมภาษณ์ลูกที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว
และถามว่าพ่อแม่ได้ทำอะไรให้บ้าง ชัดเจนมากนะคะ
เพราะคนที่โต มาตอนนี้ รู้อยู่แล้วว่า หน้าที่พ่อแม่ มันยาก
เพราะฉะนั้น การที่พ่อแม่เลี้ยงตัวเค้ามา เค้ารู้ว่าพ่อแม่ เสียสละ
เหนื่อย ให้เค้า แค่ไหน และเค้าเอง แค่พูดถึงท่านเท่านั้น
เท่าที่จำได้ ทำไมจะพูดไม่ได้ คุณอภิสิทธิ์ ยังพูดถึงพ่อแม่ได้เลย
ช่วงนั้นท่านเป็น โฆษกรัฐบาล พี่แอ๊วได้สัมภาษณ์ ท่านรู้ว่า
พ่อแม่รักเค้า พ่อแม่ไม่เคยทะเลาะกัน
แต่มาทะเลาะกันช่วงที่พ่อจะส่งเค้าไป อังกฤษ

ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ วันนั้นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน และแม่ร้องไห้
จึงได้รู้ว่าพ่อแม่รักเค้า และเค้าจะต้องไม่ให้แม่ผิดหวัง
และไม่ให้พ่อเสียหน้า เค้าไปอังกฤษต้องทำให้ได้ ไม่เหลวไหล
ให้แม่บอกว่าฉันบอกคุณแล้วว่า ลูกยังอายุน้อยเกินไป
และสัมภาษณ์นักเขียนอีกหลายท่าน
และสัมภาษณ์อาจารย์ที่แปลหนังสือดีๆ หนังสือเยอรมัน

อาจารย์ อำภา โอตระกูล น่ารักมาก อาจารย์ให้หนังสือมาเยอะเลย
ท่านเป็นอาจารย์เกินร้อย ยังมีคำถามประจำด้วยนะว่า
ตอนเด็กชอบอ่านหนังสืออะไร คือถามว่า พ่อแม่ เลี้ยงมาอย่างไร
จำได้ไหม พ่อแม่คิดว่า ในครอบครัวของเรา ต้องเลี้ยงเด็กในลักษณะแบบนี้
สังคมปัจจุบัน เราอยากให้พ่อแม่เลี้ยงดูลูกอย่างไร จะได้ปลอดภัย
และลูกประสพผลสำเร็จ และสุดท้ายก็ถามว่า ตอนเด็กชอบอ่านหนังสืออะไร
ที่เปลี่ยนชีวิตของคุณ หรือยังมีความหมาย
และอิทธิพลต่อการที่จะตัดสินใจสำคัญๆ

ใช้หนังสืออะไร
ถาม: ส่วนเรื่องมุมมอง และประเด็นต่างๆ

ที่เกี่ยวกับชุมชนไทย -เยอรมัน นั้น เราได้มองไปที่
กลุ่มลูกติดตามมารดา ที่สมรสกับ ชาวเยอรมัน และนำลูกมาอยู่ด้วย
โดยเด็กๆ กลุ่มนี้ได้ เพิ่มจำนวนมากขึ้น เด็กๆ หลายคนยังเรียนไม่จบป.6 หรือ ม.3
ก็ต้องรีบมากระทันหันด้วยเหตุผลต่างๆ เด็กจะมีปัญหา Culture shock
ในการปรับตัว และการเรียน แต่ถ้าเด็กที่มาตั้งแต่ยังเล็กๆ จะสามารถปรับตัวได้เร็วกว่า
เด็กโต และ โดยเฉพาะเด็กที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น ก็จะมีปัญหาในช่วงหัวเลี้ยว หัวต่อ มาก
เด็กมักจะมองหาต้นแบบ ถ้าเป็นลูกสาวก็ยังสามารถคุยกับแม่ได้ แต่ลูกชายก็ไม่รู้
จะคุยอะไรกับแม่ แม่คงจะไม่เข้าใจ จะคุยกับพ่อเลี้ยง ก็คุยกันยังไม่ค่อยรู้เรื่อง
หรือแม้แต่เรื่องการเรียน เด็กๆ หลายคนเรียนดี แต่ยังมีน้อย
ที่เรียนต่อถึงระดับมหาวิทยาลัย หรือถึงด๊อกเตอร์
และถ้ามองในด้านของความเป็นแม่ แม่รักลูก
ไม่ยอมทิ้งลูกไว้กับตายาย อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่ตัวแม่เอง
ก็ต้องปรับตัวเองมากด้วยเหมือนกัน ต้องไปเรียนภาษา
ปรับตัวกับชีวิตคู่ กับสามีชาวเยอรมัน และแม่เองอาจจะไม่มี
เวลาดูแลลูกเท่าที่ควร และไม่รู้ว่าจะต้องเตรียม ทำอะไรให้ลูกบ้าง
ในการที่พาเค้ามาอยู่ที่นี่ มันหนักนะค่ะ กับหัวอกความเป็นแม่
และถ้าแม่ มีลูกใหม่อีก จิตใจของลูกไทยที่ติดไปนั้น
จะอยู่ในสภาพอย่างไร
ตอบ: คนแรกที่มองก็คือ แม่ ถ้าพูดกันถึงภาพรวมๆ

ยกตัวอย่างเช่น แม่นั้นเคยถูกทอดทิ้งมาก่อน ตั้งแต่ยังเล็ก
อยู่กับปู่ย่า ตายาย พ่อแม่ไปทำงานในเมืองใหญ่ บางคนก็พ่อแม่เลิกกัน
แม่คนนี้ เคยได้รับความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งมาก่อน
จากนั้นแม่คนนี้ ก็ถูกสามีไทยทอดทิ้ง มันบอบช้ำ ซ้ำสองแล้วน่ะ
เค้าต้องเลือกทางเดินของเค้าเอง ตั้งแต่เด็ก เมื่อเค้ามาพบรักกับฝรั่ง
เค้าเริ่มมีความรู้สึกว่าตัวเค้ามีค่า รู้สึกปลอดภัย เมื่อได้มาอยู่ต่างประเทศ
เค้าจะไม่ยอมทิ้งลูก เพราะเค้าเคยได้รับรู้ถึง ความว้าเหว่มาก่อน
อันนี้เราเข้าใจถึงหัวอกความเป็นแม่ แต่ชีวิตคนมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้
พอมาแล้ว ต้องเจออะไรบ้าง นี่ซิปัญหา เรามีงานวิจัยอันหนึ่งคือ
ระหว่าง "ลูกติดแม่ ไปอยู่กับพ่อใหม่" กับ "ลูกติดพ่อ ไปอยู่กับแม่ใหม่"
"ลูกติดแม่ ไปอยู่กับพ่อใหม่" นั้นแย่กว่า "ลูกติดพ่อ ไปอยู่กับแม่ใหม่"
เพราะผู้หญิงที่เป็นแม่ใหม่ เกรงใจสามี ถึงแม้เรา จะเคยได้ยินว่า
แม่เลี้ยงใจร้าย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะเกรงใจสามี
ถ้าสามีเป็นคนที่หาเลี้ยงครอบครัว และเข็มแข็ง
แต่ถ้าผู้หญิงที่เอาลูกไปอยู่ด้วยกับครอบครัวใหม่
และอยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าผู้ชาย ลูกที่ติดตัวเองไปนั้นมีปัญหาแน่นอน
หรือแม้กระทั่งในเมืองไทย และนี่ไปอยู่โน่นน่ะ เยอรมัน
ที่ซึ่งภาษาเด็กก็ไม่คุ้น ญาติทางด้านแม่ก็ไม่มี
แม่เองก็ต้องพึ่งอยู่ ในเงาของสามี
และก็ต้องพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับชีวิตที่โน่นด้วย

และถ้ามีลูกใหม่กับสามี แน่ใจว่า เด็กเหล่านี้ ค่อนข้างจะมีปัญหา
และยิ่งมาเทียบกับงานวิจัย มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะว่าแม่ไม่สามารถที่จะให้
หรือทุ่มเทให้กับลูกที่ ติดตัวเองมาได้ เท่าที่ควร ถ้ามองลึกๆ
อีกไปถึงสถานภาพของผู้หญิงแล้ว ผู้หญิงบางคนที่คิดว่า
เราด้อยกว่าสามี ทางด้านการศึกษา พื้นฐานทางสังคม ฐานะยากจน อาชีพ
พวกเค้าก็จะมีวิธีการปรับตัวในลักษณะที่เป็นเบี้ยล่างของผู้ชาย
คือภาษาก็ยังไม่ได้ อาชีพก็ยังไม่มีอะไรชัดเจน
และการที่จะไปมีอาชีพในต่างประเทศ
เพื่อจะเป็นความภาคภูมิใจ ก็ยังเป็นไปไม่ได้
เพราะ ยังไม่มีความพร้อมในการทำงาน ลูกที่ติดแม่ไปนั้น
เค้าขาดจากทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งแม่ด้วย เพราะแม่ตอนนี้
พยายามจะเป็นอีกคนหนึ่ง
เพื่อที่จะต้องการปรับทุกอย่างให้เกิด สันติภาพ

และความสมดุลย์ กับสามีใหม่ เพื่อให้สามีใหม่เกิดความสงสาร
เพื่อที่จะได้ช่วยแม่ และลูก แม่จึงต้องพยายามลืมตัวเอง
แต่เพื่อให้ลูกรอด เมื่อเด็กไปตั้งแต่อายุยังน้อย
ก็จะได้รับ วัฒนธรรมเยอรมันเข้ามา

จนเค้าก็คิดว่าเค้าเป็นเยอรมัน
แต่เด็กที่ไปเมื่ออายุ ประมาณ 12 -13 ปี

จะมีปัญหาแน่นอน เพราะฉะนั้นแม่นี่แหล่ะ
จะต้องมีส่วนช่วยลูกอย่างมาก

ผู้ชายไม่ว่าจะชาติไหน เค้าก็จะวัดความสำเร็จ
จากการที่มีบ้านสวย มีรถ มีทุกอย่าง

แต่ผู้หญิงมีความรู้สึกว่า ถ้าเรามี
ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ไม่ถูกโดดเดี่ยว

นึกถึงกันในแง่ที่ดี เป็นเพื่อนกัน
จำเราได้ แต่ผู้หญิงไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศ

มีกี่คนที่จะมีความรู้สึกเหล่านี้ได้ คือต้องผ่านทั้ง ภาษา วัฒนธรรม
ทั้งงานอาชีพ กว่าจะได้เพื่อนคนหนึ่งที่ยอมมาเป็นเพื่อน
ด้วยความเสมอภาคด้วยน่ะ ไม่ใช่เพื่อความสงสาร ผู้หญิงอยู่ที่นั่น
ต้องมั่นคงจริงๆ ต้องรักแท้จริงๆ ต้องภาคภูมิใจจริงๆ
และรู้จักจังหวะด้วยว่า เมื่อไหร่ฉันถอย ที่สำคัญก็คือว่า
คนเข้าใจผิดได้กับการสื่อสารที่ไม่ดี เด็กที่เข้าไปอยู่ในสังคม
ที่การสื่อสาร ที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในระดับที่เข้าใจ หมดทุกอย่างได้
ก็จะเกิดการเข้าใจผิดมากทีเดียว และวิธีสื่อสารของคนไทยและฝรั่งก็แตกต่างกัน
ถ้าสื่อสารไม่ดี ความเข้าใจผิดเกิดขึ้น ก็จะเกิดปัญหา อันนี้แหล่ะ
เด็กก็จะไม่เข้าใจ สื่อสารไม่ได้ อ่านกันไม่ออก ทั้งพ่อ และเด็กก็อ่านกัน ไม่ออก
และท่าทีของแม่บางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าเข้าข้างใคร
โดยปกติแล้วความเป็นธรรมชาติที่คนในครอบครัว
จะทำหน้าที่ ในบทบาทซึ่งกันและกัน ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหาอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาในบ้าน ผู้หญิงที่ไปอยู่เมืองนอกนั้น
ยังไม่ค่อยได้ ทำให้ลูกเห็นว่าตัวเองมีบทบาทใน การแก้ปัญหาในบ้าน
เพราะผู้หญิงบางคนชอบให้ผู้ชายแก้ปัญหา ลูกไม่ได้เห็นบทบาทของแม่เรื่องนี้
และลูกเองซึ่งเป็น คนที่ติดแม่ไปนั้น ก็ไม่ได้มีบทบาท
กับการแก้ปัญหาซึ่งกันและกันในครอบครัวด้วย คือแก้ปัญหาแบบเด็ก
เรื่องสื่อสารที่ ครอบครัวจะต้องสื่อสารเข้าใจกันและกัน
หรือคนมาจากครอบครัวเดียวกัน มองหน้าก็รู้ว่าต้องการอะไร
แต่ว่าครอบครัว ที่มีความแตกต่างกันเยอะ เรื่องสื่อสาร
แม้กระทั่งภาษาเดียวกันก็ยังมีปัญหา บทบาทตรงนี้มีปัญหา
เรื่องของความตอบสนองความต้องการทางอารมณ์
ก็ค่อนข้างที่จะยากเหมือนกัน

เพราะผู้ชายกับภรรยา ไม่ได้มี
ความคาดหมายในทางอารมณ์ที่เกี่ยวกับเพศอย่างเดียว

แต่ในหลายครั้ง ที่ภรรยา คิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่า
จะตอบสนองในทางอารมณ์เศร้า เครียด มีปัญหา
กับการเป็นคนในสังคมเค้าไม่ได้

เพราะฉะนั้น ผู้หญิงไม่ได้ทำบทบาท
ตรงนี้กับสามีต่างชาติมากนัก

รวมทั้ง ผู้ชายเองก็ไม่ได้ทำบทบาทนี้ให้กับภรรยา
เพราะส่วนใหญ่ของชีวิตภรรยา

เค้าไม่ได้ รับรู้มาก่อน จึงเรียกได้ว่า
สัมพันธภาพของคนในครอบครัวผสม

จะมีปัญหาในเรื่องของพันธกิจที่จะต้องทำอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเรื่องของลูกวัยรุ่น

ซึ่งมักเป็นวัยที่ปัญหาต่างๆ มันแสดงออกมาชัดเจน
เพราะสมัยก่อนเด็กเล็กๆ ยังสื่อสาร

ไม่ค่อยได้ เรี่ยวแรงยังไม่ค่อยมี
กิจกรรมพิเศษยังไม่ได้ทำ

ไม่ได้มีเพื่อนที่ทำอะไรให้ตัวเองได้หลายอย่าง
พฤติกรรมของ
เด็กวัยรุ่นที่ต้องการหนีให้ไกลจากพ่อแม่
การต่อต้านพ่อแม่ยังไม่ชัดเจน

เพราะฉะนั้น มาชัดเจนตอนวัยรุ่น
อย่างที่บอกคือพันธกิจที่ครอบครัวต้องทำต่อกัน

โดยเฉพาะเรื่องสื่อสาร มันสะสมมาและมีปัญหาอยู่
การจะป้องกันความรุนแรงของปัญหาให้ลดลงก็คือ
เพิ่มช่องการสื่อสาร

ให้เวลาแก่กันและกัน ให้เวลาอยู่ที่บ้าน และได้เห็น
บทบาทของแม่
ในการที่จะเป็นผู้นำ
เป็นตัวอย่าง ทำในสิ่งที่คนที่เป็นสามี
ให้การยอมรับ
ผู้ชายที่แต่งงานกับผู้หญิงต่างชาติ
บางคนเค้าก็อยากให้ผู้หญิงมีความรู้สึกว่า

เพราะเค้าน่ะที่รักคุณ เค้าน่ะสำคัญกับ
ชีวิตคุณ เค้าน่ะที่แก้ปัญหาให้คุณ

เค้าเก่ง เป็นผู้นำ อดทนและเสียสละ
เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าของตัวเอง

ถ้าเราพูดว่า Everybody is equal (ทุกคนเท่าเทียมกัน)
ถ้าผู้หญิง อยู่ในฐานะที่ผู้หญิงทำตัวให้เสมือนผู้ชายที่เป็นสามี
ก็คงพอจะมีหวังที่จะคุยกับลูกวัยรุ่นผู้ชายได้ แต่ว่าในสังคมผสม
การที่จะให้ผู้หญิงคนหนึ่ง จะมีความรู้สึกสมดุลย์ มั่นใจขนาดนั้น
ไม่ใช่เรื่องง่าย ก็อย่างที่พูดไปแล้วว่า
ผู้หญิงจะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองประสบความสำเร็จ

ถ้ามี ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่ตัวเองรู้จัก
แต่ผู้หญิงที่ไปทำงานอยู่ต่างประเทศ

คงไม่มีเปอร์เซ็นต์มาก ที่ทำงาน แล้วมีความรู้สึกว่า
มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่ทำงานด้วย
เค้ายอมรับ เค้าให้โอกาส เรื่องนี้

พวกเค้าอาจจะขาด และการที่ผู้หญิงไทย เป็นคนถ่อมตัวด้วย
เป็นคนที่พยายามที่จะอยู่อย่างสงบ ไม่สร้างปัญหา ไม่หาประเด็น
ในเรื่องที่ตัวเองไม่รู้มากพอ ไม่มั่นใจที่จะพูด ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่
เลือกที่จะไม่พูด จะเป็นคนสงบเสงี่ยม และมันไม่ตรง
กับสภาพของวัยรุ่นผู้ชาย ที่ต้องการตัวอย่าง
เด็กผู้ชายต้องการสีสันจากคนที่เค้ารัก ชัดเจนกว่านั้น
เค้าก็จะบอกว่า แม่ก็ไม่ฟังอะไร และกับพ่อ ซึ่งไม่ใช่พ่อแท้ๆ
ก็จะเป็นคนอื่นไป จึงเป็นว่าเด็กอาจจะไม่ค่อยนับถือแม่
แต่รักแม่น่ะ คำแนะนำก็คือว่า ในบางเรื่อง
แม่ต้องยกตัวเองให้เหนือลูก ต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า
ฉันคือแม่ ฉันมาอยู่ที่นี่ ฉันเข้าใจความยุ่งยากของชีวิตที่นี่
ฉันเสียสละเพื่อลูก ฉันมีความระวังให้กับลูก
และมีแต่ความปรารถนาดี เพราะฉะนั้น
ในความเป็นแม่ที่เสียสละขนาดนี้

ถือเป็นอำนาจที่จะเรียกร้องความนับถือจากลูกได้
แต่เราไม่ทำกับลูกผู้ชาย เพราะแม่บางคนคิดว่า
โถ...อย่าไปว่าอะไรลูกเลย อาจจะเป็นความผิดของเราก็ได้
ที่ทำให้เค้าต้องระหกระเหินมาอยู่นี่ เค้าอยู่ที่โน่น
เค้ามีญาติพี่น้อง ถ้าเราเลือกคนที่ไปแต่งงานด้วยถูก
ลูกก็อาจจะยังมีพ่ออยู่ก็ได้ ผู้หญิงที่หย่าร้าง
ก็จะคิดอย่างนั้น คิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ที่จะไปสั่งสอนอะไรลูก
ซึ่งได้บอกไปแล้วว่า ผู้หญิงต้องรู้ว่าสิ่งที่เราทำให้ลูก นั้น มากแค่ไหน
เพราะฉะนั้นการเรียกร้อง การยอมรับ การรับฟัง จากลูก ก็ไม่เห็นผิดอะไร
และควรทำ เพราะไม่เช่นนั้น ลูกจะเหลือใคร ที่ลูกจะยึดเอาไว้ได้
เพราะฉะนั้นแม่จะต้องทำ และเพิ่มพูนตัวเองให้มากๆ
พูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับลูกต้องพูดได้ โรงเรียนของลูก เพื่อน
หนังสือของลูก เพื่อนมาบ้านได้ไหม
ทำให้เรามีความหมาย กับเพื่อนของลูก
พยายามรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก
แม่จะต้องทำงานหนักหน่อย ที่จะซื้อใจเพื่อนลูก
ถ้าลูก มีเพื่อนดี พ่อแม่ก็สบายใจ เปิดโอกาสให้ลูกสร้างเพื่อนของตัวเอง
แต่ถ้าลูกไม่มีเพื่อน มันทุกข์ใจนะ ช่วยลูกเรื่องภาษา
และการที่เด็กเรียนหนังสือดี ก็จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนด้วย
พูดถึงความเป็นครอบครัวไทย ความเด่นของเรา
คือแม่ต้องภูมิใจในความเป็นไทยของตัวเอง เมื่อยามที่พ่อแม่เลิกกันนั้น
จิตใจลูกเค้าก็บอบช้ำพออยู่แล้ว ที่นี้การที่แม่มีสามีใหม่
เด็กเค้าก็มีปัญหาเก็บกด เค้าจะดูนะค่ะว่า แม่จะรักใครมากกว่ากัน
ส่วนเด็กลูกติดที่ไม่ค่อยเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยนั้น
ก็เพราะเด็กต้องการออกไปพึ่งตัวเองให้เร็วที่สุด รู้สึกอึดอัด
ว่าอยู่ในที่ๆ ไม่ได้เป็นบ้านของเค้าอย่างแท้จริง
เค้าอยากออกไปข้างนอกเพื่อจะไปพึ่งตัวเอง
ไม่ต้องอยู่ในความพึ่งพา อุปถัมภ์เลี้ยงดูกำหนดควบคุมของใคร
เพราะฉะนั้นเด็กก็จะเรียนน้อยอยู่แล้ว และอีกอย่างแรงสนับสนุน
ครึ่งหนึ่งจาก พ่อแท้ๆ ของเค้านั้น ก็ไม่มีแล้ว คือเด็กเนี่ยะ
จะทำอะไรตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ เค้ายังมองไม่เห็นว่า
ถ้าเรียนอย่างนี้นะ อนาคตจะเป็นอย่างนั้น
คือเด็กยังไม่เคยอยู่ในอนาคต มันเป็นภาพที่ผู้ใหญ่ต้องวาดให้
ในเมื่อเด็กขาดพ่อ ก็เหมือน ขาดแรงสนับสนุนไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า เค้าก็ไม่ได้รู้สึกว่า
ชีวิตเค้าจะดีไปกว่านี้เท่าไหร่ เพราะคนที่จะสนับสนุน
เค้าให้มีความรู้สึกอย่างนี้ หายไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์
คือพ่อที่แท้จริงของเค้า เหลืออีกครึ่งหนึ่ง คือแม่
และถ้าแม่ไปมีลูกใหม่ ถึงแม้ว่าจะไม่เสียค่าเล่าเรียน
แต่แรงสนับสนุนมันไม่มี เพราะฉะนั้น เด็กที่พ่อแม่เลิกกัน
ไม่ต้องทำวิจัย ก็พอจะมองเห็นว่าอนาคตทางการศึกษานั้นไม่ค่อยสูงเท่าไหร่
และยิ่งถ้าเป็นช่วงที่แม่ท้อง แล้วอยู่ในสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ
มีความเครียด กังวัล กลัว ไม่เห็นคุณค่าตัวเอง
เด็กก็เติบใตมาในสภาพสิ่งแวดล้อมทางด้านร่างกาย
ทางด้านฮอร์โมนของแม่ ในขณะนั้น มันไม่ปกติหรอกนะ
เด็กจะมีปัญหาเรื่องอารมภ์ คือแม่ต้องมีความมั่นใจ ในตัวเอง
ที่จะส่งเสริมการเรียนของลูก แม่ก็อยากให้ลูกเรียนสูงๆ
เพราะรู้ว่าการเรียนนั้นเป็นทางรอดของลูก แต่ถ้าแม่ไม่รู้ถึงวิธี
ที่จะช่วยลูกเรียน ที่จะแนะแนวลูก สร้างแรงจูงใจ ให้กำลังใจ
ที่จะส่งเสริมลูก และหาตัวอย่างดีๆให้ลูก สร้างภาพที่ดีให้ลูก
พาเพื่อนดีๆ มานั่งคุยกัน ให้ลูกได้เห็น ได้รู้ถึงอาชีพต่างๆ
ให้ลูกเห็นว่าอยากเป็นเหมือนเพื่อนแม่คนนี้
อยากเป็นเหมือนเพื่อนพ่อคนนั้น
ตัวแม่ต้องยอมเสียสละอย่างมาก ซึ่งอย่างน้อยก็จะเป็นการช่วยได้อีกทางหนึ่ง
รายการรักลูกให้ถูกทางนั้น มีคนแนะนำให้ ไปสัมภาษณ์เด็กที่สอบเข้าแพทย์ได้
แต่เราไม่สัมภาษณ์ เพราะรู้ว่า พ่อแม่กลุ่มนี้จะทำให้ลูกเยอะมาก
และรู้ว่าพ่อแม่ที่มีลูกเก่ง จะให้กำลังใจ แนวทาง กำหนดกิจกรรมให้ลูก
แต่เด็กก็ จะจัดเวลาเองด้วย เพราะเด็กเค้ามีกำลังใจเต็มที่ มีแรงจูงใจที่ดี
ถาม: อีกประเด็นหนึ่งก็คือ เด็กลูกติดแม่ และเด็กลูกครึ่งเอง
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเรียน (5 ขวบขึ้นไป) จะไม่ค่อยยอมพูด
ภาษาไทยแล้ว เด็กบางคนบอกว่า เพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าพูดภาษาที่ไม่รู้เรื่อง
ทำให้เด็กอาย ไม่กล้าที่จะพูดภาษาไทยอีก เป็นปัญหาหนักใจ
ให้กับหลายครอบครัว เพราะแม่อยากให้ลูกพูดภาษาไทย
เพื่อที่จะสื่อสาร กับญาติพี่น้องที่เมืองไทยได้ พ่อ-แม่จะให้ กำลังใจ
หรือมีวิธีการอย่างไร ให้เด็กใช้ภาษาไทย ได้เหมือนๆ กับภาษาเยอรมัน"
ตอบ: เวลาที่เราอยู่เมืองนอกการสื่อสารของภาษานั้น
เวลาเราฟังภาษานั้นมากๆ ทำให้เราคิดได้ว่าความคิด ที่มาจาก
ภาษานั้น เป็นความคิดที่ถูก เหมือนกับถูกล้างสมอง
เพราะในสังคมของเรา อยู่ที่โน่นไม่มีคนไทย
สามีก็พูดเยอรมันกับเรา และ ต้องการ พูดเยอรมันกับลูก
เมื่อเราใช้และฟังภาษาอะไรมากๆ เมื่อภาษานั้นถูกพูดมา
โดยที่มีสถานภาพเหนือกว่าเรา
เราจะคิดว่า ความคิด หรือความรู้ที่ผ่านมาจากภาษานั้นถูก
เหนือความคิดของเรา เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า
คนจะเชื่อ และเห็นว่า คนที่พูดมากฉลาด
คนที่ไม่ค่อยพูดนั้น ไม่คิดว่าฉลาด
เพราะไม่ได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของการใช้ภาษา
และการ ที่เราอยู่เมืองนอก พูด เขียน
เยอรมันหมด ผู้หญิงที่มีลูกติดไปนั้น
ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ และคุยกับสามีก่อน ด้วย
เพราะไม่งั้นลูกจะรับไม่ได้ และถ้าเรามีลูกใหม่กับสามี
ก็ต้องบอกว่าวันนี้ฉันจะพูดไทยกับลูกน่ะ บางวันก็ต้องเข้มกับลูก
และยิ่งเป็นลูกติดแม่ ด้วยแล้ว ก็รู้อยู่ว่าเค้าจะมีปัญหา
แม่จะต้องเป็นสื่อกลางที่ดี ระหว่างสามีกับลูก
แม่จะต้องมี ความภูมิใจในตัวเอง แม่ต้องติดต่อสื่อสารกับคนไทย
แม่จะต้องไม่ลืมความเป็นไทย เพราะนั้นคือ จิตวิญญาณของลูก
และนั้นคือครึ่งตัวของลูก จะเป็นครึ่งหนึ่งของพ่อก็ไม่ได้แล้ว
แม่ก็ไปแต่งงานกับสามีใหม่ เพราะฉะนั้นในตัวเด็กเค้าไม่เหลืออะไรเลย
อาจารย์รู้จักพ่อแม่ ที่จบหมอ ส่งลูกเรียน ที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวริด
เค้าก็พูดภาษาอังกฤษกับลูก ไม่ได้ดูถูกภาษาไทย
เพียงแต่เค้าคิดว่าการใช้ภาษาอังกฤษ เค้าจะสื่อสารกับลูกง่ายขึ้น
เพราะลูกเรียนต่างประเทศ และพูดภาษาอังกฤษ คล่องกว่าพูดภาษาไทย
ถ้าพูดภาษาไทย ก็พูดกับพ่อแม่เท่านั้น แต่ในต่างประเทศ
เค้าก็จะมีมารยาทอยู่ว่า หากอยู่ใน กลุ่มชาวต่างชาติ
ถึงแม้ว่าเราจะพูดภาษาไทยด้วยกันได้ แต่ด้วยมารยาทเราต้องพูด
ภาษาที่คนอื่นเข้าใจด้วย จึงกลาย เป็นว่าสะดวกใจที่จะพูดภาษาอังกฤษกับลูก
และก็รู้สึกว่าเด็กก็ไม่ได้เสียอะไร เพียงแต่ เหมือนกับว่าความเป็นวัฒนธรรม
ที่เป็นจิตวิญญาณ และความสามารถ ในการใช้ภาษาที่ดี
อีกภาษาหนึ่งนั้นเสียไปโดยน่าเสียดาย แต่ก็ต้องเข้าใจว่า
การที่ จะให้ลูกใช้ภาษาไทยนั้น ไม่ใช่เพียงแต่บอกลูก
ให้ใช้ภาษาไทย แต่การที่ใช้ภาษาไทย มันเป็นประโยชน์อะไรกับแม่ล่ะ
ใช้ในการอ่านตำราอาหารภาษาไทย ที่กำลังเป็นที่นิยมของทั่วโลก
บทบาทนี้ก็ของแม่อีกเต็มๆ แต่ถ้าเด็กเค้าไม่รับ ก็คิดซะว่า
อย่าทำชีวิตให้มันลำบากนักเลย ขอให้เค้าเป็นคนดีก็พอแล้ว
ถาม: ทราบมาว่าอาจารย์เป็น ที่ปรึกษาของ มูลนิธิ เทียม โชคพัฒนา
ในโครงการทุนการศึกษาช่วยเหลือเด็กภาคอีสานนั้น
โครงการนี้มีความเป็นมาอย่างไรค่ะ ตอบ: ดร.เทียม โชคพัฒนา
ท่านเสียไปนานแล้ว พอท่านเสียลูกหลานก็ทำต่อกันมา
ซึ่งมูลนิธินี้เริ่มมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว โดยในส่วนของทุนการศึกษานั้น
เป็นทุนการศึกษาให้ครั้งเดียว โดยครูส่งชื่อเข้ามา หรือส่งรูป
ข้อมูลเข้ามา นั้นเป็นทุนครั้งเดียว ส่วนทุนสามปี คือให้ ม.1 ถึง ม.3
พี่แอ๋วคิดรูปแบบนี้มาเอง เพราะคิดว่า
พอการศึกษาเพิ่มระยะเวลาออกไปเป็นเก้าปีนั้น

ไม่ได้มีคนไปดู หรือประเมินจริงๆว่า เด็กที่จบ ป.6 แล้วนั้น
จะได้เรียนต่อ ถึง ม.3 หรือไม่

เพราะฉะนั้นเด็กที่ยากจนก็จะเรียนไม่จบ ม.3 หรอก
เพราะว่าพอจบ ป.6 แล้ว

อายุประมาณ 13 ปี ก็พอมีเรี่ยวแรงทำงานได้
มีลักษณะรูปแบบของการใช้แรงงานในเมืองไทย

ที่ทำให้เด็กอายุเท่านี้ ก็ยังได้รับการจ้างงาน เด็กป.6
ส่วนใหญ่ก็คิดว่าจะไปตายเอาดาบหน้า
น้า ป้าเค้า ก็ดูลูกเค้า ปู่ย่า ตายายก็แก่ สุขภาพไม่ดี
กลายเป็นภาระของเด็ก ก็เลยทำให้ชีวิตของการอยู่ บ้านนั้น
เป็นชีวิตของทาส เด็กคือทาส ทาสด้วยความรักต่อญาติ
ทาสที่ตัวเองไม่มีอะไร ไม่มีใครที่จะมาบอกว่า
นี่ลูกฉันน่ะ เพราะทุกคนไม่อยู่ เด็กจะไม่เห็นว่า
การที่อยู่ต่างจังหวัดเป็นเรื่องที่น่าปรารถนาเลย
เพราะอยู่ต่างจังหวัดงานเยอะมากทั้งเรียนหนังสือ ตักน้ำ เลี้ยงควาย
เลี้ยงน้อง เป็นคนใช้ให้น้า หาข้าวให้ทวด ให้ย่า เป็นบริวารให้ครู
ข้าวไม่มีกิน หิว สกปรกไม่มีคนดูแลทางจิตใจเลย
ผลก็คือว่าเด็กจะไม่ได้เรียนต่อเนื่อง
และเนื่องจากว่าเด็กเป็นอย่างนี้แล้ว
ผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาดี ผู้ใหญ่ที่พอที่จะเป็นแรงจูงใจให้ได้ก็ไม่มี
เด็กไม่เหลือใคร เพราะฉะนั้นก็คือว่าการให้ทุนแบบนี้
ในโครงสร้างก็ต้องหาคน ประคบตัวเด็ก คือครูแนะแนว
ถูกดึงเข้ามา เพราะครูจะต้องเบิกเงินร่วมกับเด็ก
เนื่องจากเบิกเงินร่วมกับเด็ก ก็เท่ากับมีธุระต้องเจอหน้าเจอตากัน
กลายเป็นว่าเด็กคนนั้นได้ผู้ใหญ่ ประกบตัวเค้าอยู่หนึ่งคน
ตลอดระยะเวลาสามปี เพราะฉะนั้น แล้วทุนนี้
ทำให้เด็กได้เรียนต่อจนจบอีกสามปี และมีผู้ใหญ่ดูแลเค้าด้วย
ทำให้เค้ามีทักษะ หรือมีความมั่นใจ พอที่จะทำงานอาชีพได้ไม่ถูกเอาเปรียบ
รักษาสิทธิของเค้าเองได้ รูปแบบนี้เราเริ่มต้นมาเข้าปีที่เจ็ดแล้ว
จบไปแล้วรุ่นหนึ่ง อาจจะสงสัยว่าทำไมจบไปรุ่นหนึ่ง
เพราะตอนแรกที่เริ่มทำนั้น มูลนิธิเค้าให้ลองดูก่อนว่า
สามปีแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นในสามปีนั้นถึงเด็กจะขึ้นม.2 ไป
เราก็ไม่ได้หาเด็ก ม.1 ขึ้นมาแทน เราดูกระทั่งจบ
แล้วเราประเมินผลปรากฏว่าเด็กเรียนจบ 98 เปอร์เซ็นต์
มีตกหล่นหายไปแค่ สอง เปอร์เซ็นต์ ในจำนวน 150 คน
มูลนิธิก็จึงให้ทำต่อไป คือปีละสองร้อยคน และพออีกปีหนึ่งเราก็คัด ป.6 มาขึ้นม.1
สวมแทน เพราะฉะนั้นในปีที่สอง จะมีเด็กในส่วนของเรา 400 คน
พอสามปีก็เป็น 600 คน สวมไปเรื่อยๆ ปีนี้เป็นปีที่เจ็ด สามปีแรกก็จบไปใช่ไหม
เท่ากับว่า ตอนนี้เรามีเด็กที่กำลังจะจบ ม.3 รุ่นแรกกำลังจะออกไป
เพราะเราไปคัดเด็กที่กำลังจะขึ้นมาแทน ม.1 เป็นรุ่นที่สี่ คือเด็กเค้าแร้นแค้น
มากกว่ายากจน เด็กบางคนพิการด้วย ปู่ย่า ตายายพิการ
บางคนพ่อแม่ตายทั้งคู่ก็มี เป็น ทุนละสองพันบาท ต่อหนึ่งปี
แต่ตอนนี้เรามีโครงการใหม่ ด้วยคือ ทุนละ หนึ่งพันบาท
คือเด็กบางคนก็มีอาชีพเสริมด้วย โดยปกติมูลนิธิฯ ให้งบปีละ
แค่สองร้อยคน แต่พี่แอ๋วคัดเด็กมาได้ถึง 350 คน มูลนิธิฯจึ
ขอมาว่าเค้าจะยังไม่ช่วยในจำนวนที่เกินงบมา 150 คน
ให้พี่แอ๋วจัดการเอง เพราะฉะนั้นจึงได้มี หลายๆ ท่าน
ช่วยกันบริจาค และก็ยังมีกลุ่มนักศึกษาไทยเยอรมัน
ที่เมืองไฮเดลแบร์ก โดยคุณเม้ง ซึ่งกำลังศึกษาปริญญาเอกที่นั่น
ร่วมช่วยหาทุนจากคนไทยที่โน่น และนำมามอบให้กับพี่แอ๋วด้วยตนเอง
และโชคดีที่ในช่วงนี้เริ่มมีคนในหมู่บ้านที่เรียนจบครู
แล้วกลับไปสอนที่หมู่บ้านตัวเอง ซึ่งครูเค้าเป็นคนในพื้นที่
และรู้ถึงสภาพของเด็กแต่ละครอบครัว จึงทำให้เรามีตัวแทนที่แท้จริงๆ
ดูแลและรู้สภาพเด็กว่า เด็กคนไหนครอบครัวยากจนแร้นแค้น
จริงๆ เด็กคนไหนที่พ่อแม่ตาย แต่พี่แอ๋วก็ต้องลงไปดูพื้นที่เองด้วย
ไม่งั้นเราจะไม่รู้จริง ถึงแม้ว่าทางมูลนิธิฯ อาจจะมีงบเพิ่มให้ในปีต่อๆ ไป
แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้วนั้น
ยังมีเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือมากกว่างบของมูลนิธิฯ อีกมาก
ก็จะพยายามช่วยให้เด็กๆ เค้ามีการศึกษากันให้มากที่สุดค่ะ

ติดต่อสอบถามรายละเอียดทุนการศึกษาได้ที่ ไทยไลฟ์ เยอรมนี