Custom Search

Aug 31, 2018

ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์


ภาพจาก https://twitter.com/ArthitOurairat

ที่มา สถาบันพระปกเกล้า
นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็นปูชนียบุคคลที่มีบทบาทสำคัญยิ่ง อันเป็นคุณูปการต่อสังคมไทย และได้รับการยกย่องในฐานะนักการเมืองมือสะอาด ที่ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน นักบริหารมืออาชีพที่มุ่งผลสำเร็จเพื่อส่วนรวม นักการศึกษาที่มุ่งอุดมคติทางการศึกษาที่แท้จริง และนักสังคมประชาธิปไตยที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขวิกฤตปัญหาของชาติอยู่เสมอ โดยในยามที่สังคมไทยประสบภาวะวิกฤตทางการเมือง ก็มักจะได้รับความคิดเห็นและแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดีต่อประเทศชาติ ปรากฏทางสื่อสารมวลชนอยู่เป็นประจำ ภายหลังจากการวางมือทางการเมือง นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้กลับไปบริหารกิจการและธุรกิจส่วนตัวของครอบครัว เช่น โรงพยาบาลพญาไท มหาวิทยาลัยรังสิต โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย เขาสามารถบริหารให้เป็นสถาบัน อุดมศึกษาชั้นนำของประเทศที่เปิดสอนในสาขาวิชาที่ขาดแคลน เช่น สาขาแพทยศาสตร์ และสาขาวิศวกรรมยานยนต์ เป็นต้น ตลอดจนนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ในฐานะอธิการบดี ได้ประสานความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสาขาวิชาเหล่านี้ให้เป็นมาตรฐานสากลเทียบเท่ากับต่างประเทศ จนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ

นอกจากนี้ ยังรับเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในโอกาสต่าง ๆ ให้กับสถาบันการศึกษา องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ

ประวัติ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ เกิดวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 เป็นบุตรชายของนายประสิทธิ์ และคุณหญิงพัฒนา อุไรรัตน์ สมรสกับนางบุญนำ (ฉายะบุตร) มีบุตรธิดา 3 คน คือ นายอภิวัฒิ อุไรรัตน์ ดร. อรรถวิท อุไรรัตน์ และนางอภิรมณ อุไรรัตน์ โชตินฤมล


ประวัติการศึกษา

ประถมศึกษา โรงเรียนบัณฑิตวิทยา จังหวัดน่าน และโรงเรียนถนอมวิทยา จังหวัดลพบุรี

มัธยมศึกษา โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

อุดมศึกษา

- ปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิต สาขาการทูตและการต่างประเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

- ปริญญาโท มหาบัณฑิต สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก Fletcher School of Law and Diplomacy, Tufts University, Massachusetts U.S.A. มหาบัณฑิต สาขาการบริหารรัฐกิจจาก California State University, Los Angeles, U.S.A. M.S. (Public Service) California State University, Los Angeles, U.S.A.

- ปริญญาเอก ดุษฎีบัณฑิต ทางรัฐศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จาก University of Colorado, Boulder, Colorado, U.S.A.

บทบาททางด้านการเมือง
นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ เข้าสู่ถนนการเมืองครั้งแรกด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่า กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 สังกัดพรรคพลังใหม่ ที่มี นพ.กระแส ชนะวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค การเลือกตั้งครั้งนี้ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ไม่ประสบผลสำเร็จ พ่ายแพ้ให้กับนายธรรมนูญ เทียนเงิน จากพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาปี พ.ศ. 2519 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขตป้อมปราบ – ปทุมวัน สังกัดพรรคพลังใหม่และพ่ายแพ้ให้กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จในการลงสมัครรับเลือกตั้งติดต่อกันถึงสองครั้ง แต่ก็ไม่เคยย่อท้อ ยังคงเดินบนถนนสายการเมือง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการรัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ในปี พ.ศ. 2523 ต่อมาปี พ.ศ. 2526 นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ก็ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ในปี พ.ศ. 2531 ได้ย้ายไปสังกัดพรรคกิจประชาคมดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค โดยมีนายบุญชู โรจนเสถียร เป็นหัวหน้าพรรค ในปีนี้เขาประสบผลสำเร็จได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นสมัยแรก ต่อมาปี พ.ศ. 2532 ได้มีการรวมตัวพรรคการเมืองเข้าด้วยกัน 4 พรรค คือ พรรคก้าวหน้า ที่มีนายอุทัย พิมพ์ใจชน เป็นหัวหน้าพรรค พรรคกิจประชาคม ที่มีนายบุญชู โรจนเสถียร เป็นหัวหน้าพรรค พรรครวมไทย ที่มีนายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค และพรรคประชาชน ที่มีนายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ และนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นแกนนำรวมเข้าเป็นพรรคเดียวกันชื่อพรรคเอกภาพ[3] โดยมีนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็นโฆษกพรรค และปีถัดมา เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 46 ในรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี[4]

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)[5] เป็นสาเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 ได้มีการเลือกตั้งทั่วไป นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ จึงย้ายสังกัดจากพรรคเอกภาพมาเป็นสมาชิกพรรคเสรีธรรมในตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคที่มีนายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นหัวหน้าพรรค และลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดฉะเชิงเทราอีกสมัย ในปีนี้นับว่า นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็นผู้มีบทบาทในการเมืองอันสำคัญยิ่งขึ้น คือ การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ คือ ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2535 สมัย พล.อ.สุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี

ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จนนายกรัฐมนตรีต้องลาออก เป็นเหตุให้ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ท่ามกลางปัญหาวิกฤติทางการเมืองในขณะนั้น นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นผู้เสนอรายชื่อบุคคลผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุการณ์ทางการเมืองมีทีท่าว่าจะวิกฤติมากยิ่งขึ้น เมื่อฝ่ายการเมืองเสียงข้างมากพยายามจะเสนอชื่อ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ หัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางกระแสการประท้วงและต่อต้านจากประชาชนผู้ไม่เห็นด้วย แต่ด้วยนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ มักจะตัดสินใจแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ อีกทั้งเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ จึงฝ่าทางตันด้วยการเสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัย จากการตัดสินใจในครั้งนั้น ทำให้นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา “วีรบุรุษประชาธิปไตย”[6]

เมื่อปัญหาวิกฤติทางการเมืองคลี่คลาย นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ร่วมกับนายพินิจ จารุสมบัติ ร่วมกันก่อตั้งพรรคเสรีธรรม และลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา สังกัดพรรคเสรีธรรม และได้รับการเลือกตั้งให้เข้าสู่สภาอีกสมัย พร้อมลูกพรรคอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คณะรัฐมนตรี คณะที่ 50[7] ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก โควตาพรรคเสรีธรรม

ปี พ.ศ. 2539 มีการเลือกตั้งทั่วไป นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้ย้ายสังกัดจากพรรคเสรีธรรมมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอาวุโสและรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมาปี พ.ศ. 2542 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม คณะรัฐมนตรี คณะที่ 53[8] ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่สอง

ปัจจุบัน นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ได้ประกาศวางมือทางการเมืองไปแล้ว หากแต่ในยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติปัญหา สังคมไทยก็มักจะได้รับแนวคิดที่เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาของชาติดังสมญานาม “วีรบุรุษประชาธิปไตย” อยู่เสมอ













Aug 26, 2018

"โอม-ชาตรี"เล่าถึงที่มาคอนเสิร์ต รำลึก"เต๋อ-เรวัต"ผู้สร้างวงการเพลงไทย


เพราะเคยร่วมงานและประทับใจในตัวพี่ชายคนเก่ง เต๋อ-เรวัต นักร้อง นักแต่งเพลง ผู้บุกเบิกและสร้างตำนานแห่งวงการเพลงไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมาเป็นปีครบรอบ 20 ปีแห่งการจากไป เพื่อเป็นการรำลึกถึง “ผู้สร้างของผู้สร้าง” โปรดิวเซอร์คู่ใจอย่าง “โอม-ชาตรี เลยขอนำผลงานเพลงชิ้นสุดท้ายของเต๋อจากอัลบั้ม อะไลฟ์ มาเล่นในคอนเสิร์ต

เพราะเคยร่วมงานและประทับใจในตัวพี่ชายคนเก่ง เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ นักร้อง นักแต่งเพลง ผู้บุกเบิกและสร้างตำนานแห่งวงการเพลงไทย ซึ่งในปีที่ผ่านมาเป็นปีครบรอบ 20 ปีแห่งการจากไป เพื่อเป็นการรำลึกถึง “ผู้สร้างของผู้สร้าง” โปรดิวเซอร์คู่ใจอย่าง “โอม-ชาตรี คงสุวรรณ” เลยขอนำผลงานเพลงชิ้นสุดท้ายของเต๋อจากอัลบั้ม อะไลฟ์ ที่ยังไม่เคยมีใครได้ฟังที่ไหนมาเล่นในคอนเสิร์ต “ทรู และ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ พรีเซ็นต์ ชาตรี ไลฟ์ เรวัต ฟอร์เอฟเวอร์” ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค. เวลา 17.00 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน วันนี้ “ศิรินทร์” เลยชวนพี่โอมมานั่งพูดคุยถึงจุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตนี้ พร้อมอัพเดทชีวิตและผลงานในปัจจุบัน รวมถึงแชร์มุมมองในวันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อวงการเพลงมากที่สุด เป็นอย่างไร ติดตามในบทสัมภาษณ์กันได้เลยจ้า

จุดเริ่มต้นของคอนเสิร์ตครั้งนี้มีที่มาอย่างไร?

ก่อนที่พี่เต๋อจะจากเราไป ผมกับพี่เต๋อได้ร่วมกันทำอัลบั้ม “อะไลฟ์” ซึ่งเป็นอัลบั้มที่พี่เต๋อเลือกเอาเพลงที่ดีที่สุดมาเรียบเรียงดนตรีใหม่และเปลี่ยนวิธีการร้องให้หนักแน่นขึ้น แต่ก็ไม่ทันได้ปล่อยออกมาให้ฟังกัน กระทั่งครบรอบ 20 ปีแห่งการจากไปของพี่เต๋อ ผมก็เลยคุยกับพี่ ๆ น้อง ๆ ศิลปินที่เคยทำงานร่วมกับพี่เต๋อว่าอยากจะเอาผลงานชิ้นนี้ กลับมานำเสนอในรูปแบบคอนเสิร์ตร่วมสมัยผ่านมุมมองของพี่เต๋อ เสมือนว่าพี่เต๋อมากำกับโชว์บนเวทีนี้ด้วย แฟนเพลงรุ่นเก่าก็จะดื่มด่ำกับเสียงเพลงและบรรยากาศเก่า ๆ ส่วนแฟนเพลงรุ่นใหม่ก็จะได้เห็นพลังทางดนตรีของพี่เต๋อด้วยครับ”

ความประทับใจที่มีต่อพี่เต๋อ เมื่อครั้งทำงานร่วมกันเป็นอย่างไรบ้าง?

ประทับใจทุกอย่างครับ (ยิ้ม) พี่เต๋อเป็นสุดยอดผู้นำที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนร่วมงาน เป็นผู้ชายรักครอบครัว มีความหนักแน่นในการตัดสินใจ มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงวงการเพลงให้ดีขึ้น เวลามีปัญหาพี่เต๋อจะไม่เสียเวลาบ่น แต่จะสร้างสิ่งเหล่านั้นให้ดีขึ้น พี่เต๋อไม่สอนแต่จะทำให้เห็น ให้เราได้เรียนรู้ตลอดเวลา พี่เต๋อคือบุคคลตัวอย่างที่เวลาทำอะไรสักอย่างต้องทำให้ดีและมีคุณภาพ จะไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ พี่เต๋อคือนักดนตรีที่สร้างผลงานร่วมกับงานด้านการตลาด ถ้าพี่เต๋อไม่จากเราไปซะก่อนคงสร้างความสำเร็จใหญ่โตอีกหลายอย่างและวางรากฐานที่ดีให้งานเพลงยุคใหม่ของบ้านเรา พี่เต๋อคือผู้สร้างของผู้สร้าง สร้างคนหนึ่งให้ไปสร้างคนอื่นต่อไปเรื่อย ๆ อย่างแท้จริงครับ”

วงการเพลงบ้านเราในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน?

วงการเพลงเปลี่ยนไปเยอะตามยุคสมัย รายได้จากการทำเพลงเปลี่ยนไปอยู่ในโซเชียลมีเดียสปอนเซอร์ก็เปลี่ยนไปสนับสนุนงานในรูปแบบนั้น เราต้องกำหนดว่าเราอยู่ในแนวทางไหนของอาชีพนี้ ต้องเข้าใจในความเป็นไป จะไปย้อนแย้งกับสิ่งที่เป็นไปก็คงทำได้ยาก สำหรับผมวงการเพลงยังคงมีสีสัน แต่ช่องทางการสร้างรายได้เปลี่ยนไป ยอดวิว ยอดแชร์เป็นการสะท้อนการมีส่วนร่วมกับมวลชน การมีคนดูเยอะ ๆ มีคอมเมนต์โต้ตอบกลับมา วัดความสำเร็จได้ในทางหนึ่ง เป็นกลไกการตลาดรูปแบบหนึ่งที่จับต้องได้ แต่ที่จะวัดว่าศิลปินดัง ดี มีคุณภาพ ยังต้องใช้มาตรฐานอื่น ซึ่งบ้านเรายังไม่มีบรรทัดฐานที่ชัดเจน อาจจะต้องใช้เวลาอีกพอสมควรครับ แค่เล่นแล้วมีความสุข มีรายได้บ้าง ไม่ต้องไปตั้งเงื่อนไขเยอะ แต่ถ้าเรามีเงื่อนไขเยอะก็ต้องปรับความเข้าใจให้ไปกับโลก”

ในมุมมองของเราศิลปินต้องปรับตัวอย่างไรกันบ้าง?

ผมมองว่าศิลปินแบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือศิลปินรุ่นก่อนที่ยังอยู่เป็นเสาหลักของวงการและศิลปินรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งความต่างด้านประสบการณ์และความคิดของศิลปินทั้ง 2 ยุคกลายเป็นเสน่ห์ในการทำงานร่วมกัน ทำให้เพลงบ้านเรามีสีสัน คนรุ่นเก่าต้องทำความคุ้นเคยเทคโนโลยีใหม่ อุปกรณ์การทำงานด้านดนตรีที่ทันสมัยขึ้น และเปิดใจยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับคนรุ่นใหม่ จะได้รู้ว่าทำไมคิดแบบนี้ เขาฟังเพลงแนวไหนอยู่ก็ลองฟังกับเขา จะได้ไม่ตกเทรนด์ ข้อดีของเทคโนโลยีคือมันครอบคลุมทั่วโลก ส่วนข้อเสียคือทำให้คนลืมที่จะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นเมื่อเราเปิดใจรับเอาสิ่งใหม่เข้ามาแล้วก็ต้องไม่ลืมที่จะพัฒนาตัวเองควบคู่กันไปด้วย อายุเป็นเพียงตัวเลข คนรุ่นเก่าต้องไม่ทำตัวแก่นะครับ (หัวเราะ)”

เหตุผลที่ทำให้ยังทำเพลงอยู่จนถึงทุกวันนี้?

เพราะมีใจรักในเสียงดนตรีและอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป ทุกวันนิ้สิ่งที่เปลี่ยนไปเยอะที่สุดของวงการเพลงคือเทคโนโลยี ถ้ามัวแต่คิดว่ามันไกลตัวจนเราตามไม่ทันก็จะตามไม่ทัน แต่ถ้าเราพัฒนาตัวเองตามความเปลี่ยนแปลงโดยไม่ตั้งแง่ก็จะไปกับเขาได้ โชคดีที่ผมตามเทคโนโลยีเรื่อย ๆ เลยไม่รู้สึกว่ากำลังวิ่งไล่ตาม สนุกกับเสียงดนตรีภายใต้ชื่อบริษัท “มิสเตอร์ มิวสิค” ที่เน้นงานด้านมิวสิกโปรดักชั่น พยายามหาวัตถุดิบใหม่ ให้เวลาตัวเองทบทวนสิ่งต่าง ๆ และยอมรับสิ่งใหม่ เวลาทำเพลงจะได้รู้สึกเหมือนตอนหนุ่ม ๆ กลับคืนสู่วงการด้วยการเล่นคอนเสิร์ต แต่งเพลงที่เป็นตัวเราเองเก็บไว้รอจังหวะหยิบยื่นให้คนรุ่นใหม่ชื่นชมและยอมรับในตัวเรา เหมือนเป็นการแนะนำตัวเองกับคนในอีกเจนเนเรชั่นหนึ่ง ได้รู้จักด้วยครับ”

วงการเพลงต่อจากนี้จะเป็นไปในทิศทางไหน?

ไปตามสากลนี่แหละครับ เขาเป็นยังไงเราก็เป็นอย่างนั้น พื้นฐานวัฒนธรรมบ้านเรามีความเป็นผู้ตามสูง ตามกระแสโลกทุกอย่าง ต่อไปเพลงอาจจะเป็นแนวทางต่างประเทศแต่ร้องเป็นภาษาไทย งานที่เป็นเอกลักษณ์ของเราจริง ๆ จะมีน้อย ดังนั้นผู้ตามที่ดีควรเรียนรู้และเอาสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนา ผมเชื่อว่าในอนาคตเด็กรุ่นใหม่ก็คงอยากจะเอาวัฒนธรรมบ้านเราไปเผยแพร่สู่สากลได้ เพียงแต่วันนี้เรายังเพลินกับการเป็นผู้ตามและรักความสบายอยู่ ทำให้วงการเพลงบ้านเรานิ่ง ๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่เราตั้งเป้าหมายอยากจะทำให้งานออกมาดี วงการเพลงจะกลับมารุ่งเรืองอีก ดูอย่างเกาหลีเมื่อก่อนเพลงบ้านเขาก็ไม่ได้เฟื่องฟูขนาดนี้ แต่ที่เขาประสบความสำเร็จ เพราะศิลปินทำงานหนัก ตั้งเป้าหมาย และตั้งใจฝึกซ้อมหนักหน่วง ผมก็เชื่อว่าเราก็สามารถทำเหมือนเขาได้เช่นกันครับ”

ในฐานะรุ่นพี่มีอะไรอยากจะแนะนำศิลปินรุ่นน้องไหม?

บ้านเราเป็นวงการที่เปิดรับมากกว่าที่จะนำเสนอ ในเมื่อรับแล้วก็อยากให้น้อง ๆ เอามาพัฒนาและสร้างผลงานต่อไป แสดงความสามารถของเราให้เต็มที่ อย่ารอโอกาสแต่จงมีความกระหายที่จะหยิบยื่นงานของเราสู่คนฟัง ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ก็จะสามารถพัฒนาวงการเพลงของเราให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ ที่สำคัญอย่าเอาเรื่องเงินมาเป็นเงื่อนไขในการทำงานมากเกินไป ไม่อย่างนั้นเราอาจจะเบื่อและหมดไฟไปก่อนได้ หวังว่าพลังคนรุ่นใหม่จะทำให้วงการของเราพัฒนาแบบก้าวกระโดดได้ในไม่ช้าครับ”

สุดท้ายฝากอะไรถึงคอนเสิร์ตและแฟน ๆ ที่ยังคงรักและติดตามเรามาตลอดสักนิด?

ผมเชื่อว่าโอกาสดี ๆ ไม่ได้มีบ่อย คอนเสิร์ตครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะมาร่วมย้อนรำลึกถึงพี่เต๋อกันครับ ผมอยากจะเชิญชวนแฟน ๆ ทุกท่านมาร่วมสัมผัสบรรยากาศสุดพิเศษนี้ด้วยกัน พวกเราจะทำโชว์ออกมาให้ดีที่สุด แล้วมาเจอกันวันอาทิตย์ที่ 7 พ.ค. 60 นี้ ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน เวลา 17.00 น. แล้วก็ฝากผลงานอื่น ๆ ในอนาคตของผมด้วย ยังไงก็อยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ศิลปินไม่ว่าจะรุ่นไหนก็ตามด้วยครับ”


จากการนั่งพูดคุยกับ “โอม-ชาตรี” ในครั้งนี้ เราได้เห็นถึงความตั้งใจในการจัดคอนเสิร์ตสำคัญครั้งนี้ รวมทั้งได้เห็นมุมมองของนักดนตรีตัวจริง ที่แม้ไม่ใช่คนหนุ่มรุ่นใหม่ แต่ก็ยังพัฒนามุมมอง ความคิด และการทำงานให้สดใหม่อยู่เสมอ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงยังคงยืนหยัดในวงการเพลงได้จนถึงปัจจุบัน ฝากแฟน ๆ เป็นกำลังใจและรีบจองตั๋วไปสนุกในคอนเสิร์ตนี้ด้วยนะ.

ศักดา อินคา กล่าวความในใจถึง พี่ เต๋อ เรวัต พุทธินันทน์























หมากเกมนี้
คำร้อง สุรักษ์ สุขเสวี
ทำนอง ชาตรี คงสุวรรณ



ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ 
คำร้อง โอภาส พันธุ์ดี 
ทำนอง โสฬส ปุณกะบุตร



Aug 15, 2018

มิคกี้ ปิยะวัฒน์ เปี่ยมเบี้ย



ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/650367 (Not Active)





มิคกี้ ปิยะวัฒน์ เปี่ยมเบี้ย คนเบื้องหลังของศิลปินแกรมมี่ในยุคก่อน
ที่ถูกจับมาเป็นคนเบื้องหน้า เจ้าของเพลงเพราะที่คุ้นหูของใครหลายคน
ไม่ว่าจะเป็นเพลง 
อย่าให้เขารู้, อย่าเสียดาย, ครึ่งใจ, เดิมพันชีวิต, อย่ามองฉันเป็นคนอื่น และอีกมากมายเพลงดัง
มิคกี้ เป็นนักร้องหนุ่มเสียงเสน่ห์แหบแต่นุ่ม ที่มาพร้อมผมยาวเดรดล็อก
แม้จะไม่ได้แจงเกิดในลุคใสๆ ตามยุคสมัย แต่เขาก็แจ้งเกิดด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์และเพลงฮิต
เพลงของมิคกี้ยังคงติดหูของคนหลายวัย ได้ยินเมื่อไหร่ก็ยังร้องตามได้เมื่อนั้น
อยู่ๆ มิคกี้ ก็หายไปจากเบื้องหน้าวงการเพลง 10 ปีที่ผ่านมาเขาหายไปไหน
วันนี้ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ตามหาจนเจอกับ
ซุป'ตาร์วันวาน มิคกี้ ปิยะวัฒน์
ภาพแรกที่ได้เจอต้องบอกเลยว่าเปลี่ยนลุคไปจากวันวานมากทีเดียว
ว่าแล้วไปพูดคุยให้หายคิดถึงกัน  จุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักร้อง? 
"คือมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก็หางานหาเงินส่งตัวเองด้วย
เพราะครอบครัวส่งมาให้แค่ส่วนนึง ก็เลยไปเล่นดนตรี
เพราะในใจอยากจะเล่นเปียโนเก่งๆ คีย์บอร์ด
เก่งๆ ก็มีวงดนตรี แต่เป็นคนไม่ค่อยชอบร้องเพลงนะ
แต่นักร้องนำชอบลาออก ก็เลยมีความคิดว่า มือกลอง มือเบส มือกต้าร์
หรือมือคีย์บอร์ดจะต้องร้องเพลงให้ได้
คนละ 2 เพลง ไม่อย่างนั้นจะตกงาน
จริงๆ ก็ไม่ได้อยากจะเป็นนักร้องตั้งแต่แรก
แต่ว่าสถานการณ์มันบังคับให้เราต้องมาเป็นนักร้อง 
จริงๆ ความฝันของเราคือการเป็นนักเปียโนอันดับ 1 ของประเทศไทย
ไม่ใช่การมาเป็นนักร้องเลย (ยิ้ม)
ส่วนจุดเริ่มต้นของการได้มาทำงานในวงการเพลงคือเราเล่นดนตรีกลางคืนมาใช่มั้ย
ก็ร้องอยู่กับวงเดอะวิงส์ แล้วผู้ใหญ่ท่านหนึ่งคือป๋าเจี๊ยบ
ได้ฟังเราร้องเพลงกก็ถามว่าทำไมไม่ไปเป็นนักร้อง
ก็เลยบอกป๋าแนะนำให้หน่อยครับ เลยได้มาเจอ
ก็มาร้องเทสต์ผ่านไป 6 เดือน แกรมมี่ก็ยังไม่เรียก จนป๋าเเจี๊ยบคุยกับพี่เต๋อให้อีกรอบ
เลยได้มาเป็นคนเทสต์ศิลปินที่จะมาเป็นนักร้องให้แกรมมี่
ได้เงินเดือนละ 3,500 บาท ซึ่งเราก็ทำ เพราะอยากมีโอกาสเป็นศิลปินด้วย
จนได้ร้องไกด์ให้ศิลปินหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพี่เบิร์ด ธงไชย, เจ เจตริน,
อ่ำ อัมรินทร์, นัท มีเรีย, ปีเตอร์ ฯลฯ ร้องทั้งไกด์และคอรัส เลยทำให้เราคลุกคลีกับ
เพลงมากขึ้น ทำตรงนี้อยู่ 3 ปีกว่า แต่พี่เต๋อก็ให้เราร้องเพลงโฆษณา
ร้องเพลงละครนู่นนั่นนี่ไป ค่อยๆ
สร้างประสบการณ์ให้เรา ไม่อย่างนั้น ถ้าปล่อยให้ออกไปร
ร้องเพลงเลย คนก็ไม่สนใจ พอทุกอย่างพร้อม ก็ได้ออกอัลบั้ม
ในระหว่างที่จะออกอัลบั้มพี่เต๋อก็พาไปทำผมเดรดล็อก 12 ชั่วโมง
พี่เต๋อปรับลุคให้ ทำผมเสร็จ จับมาใส่แว่นให้ดูเป็นผู้ชายทำงาน ดูอบอุ่น...



ที่มา https://gmlive.com




“อย่าให้เขารับรู้ว่าฉันเคยเป็นใคร” มิคกี้ จากนักร้องไกด์ สู่นักร้องล้านตลับ

  

WRITER:POP


ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนไป แต่หลายๆ คน ยังคงคิดถึงยุค 90
และถ้าพูดชื่อว่า หนู ปิยะวัฒน์ เปี่ยมเบี้ย น้อยคนนักที่จะคุ้นกับชื่อนี้
แต่ถ้าบอกว่า มิคกี้ เจ้าของเพลง อย่าให้เขารู้ / อย่ามองฉันเป็นคนอื่น /
ครึ่งใจ ทุกๆ คนในวัย 30 อัพ จะต้องร้องอ๋อทันที
กับนักร้องซุปตาร์ตัวพ่อ ผมยาว หัวฟู ในยุคนั้น ที่ผลงานเพลงของเขาโด่งดัง
จนมียอดขายทะลุ 1 ล้านตลับ
แต่กว่าจะเป็นนักร้องตัวพ่อในยุค 90 ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ
คุณจะเดินเข้ามาในแกรมมี่ แล้วได้ออกเทปเลยทันที
เพราะกว่าจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง มิคกี้
ก็เคยอยู่เบื้องหลังให้กับศิลปินดังๆ
ในยุค 90 ในฐานะ นักร้องไกด์ และร้องคอรัส
“ตัวผมมีความฝันอยากจะมีอัลบั้ม ออกเทป
ผมก็เป็นเด็กที่เล่นดนตรีกลางคืน หาตังค์ไปเรียนช่วงอยู่มหาวิทยาลัย
ไอดอลผมในตอนนี้ คือ พี่เต๋อ เรวัต / สุรสีห์ อิทธิกุล /
ปานศักดิ์ รังสิพราหมณกุล
เพลงของ 3 คนนี้จะอยู่ในหัวผมตลอด จากนั้นก็มีผู้ใหญ่ เห็นผมเล่นดนตรีในผับ
เขาก็กลับมาบอกพี่เต๋อว่า ไปเจอผมมานะ เสียงไอ้เด็กคนนี้เหมือนพี่เต๋อเลย
พี่เต๋อก็เลยเรียกผมมาเจอ พี่เต๋อก็ถามผม ไอ้หนูชอบเพลงอะไร
สมัยก่อนผมชื่อ หนู แล้วเปลี่ยนมาเป็น มิคกี้ ผมก็บอกเพลงสากลที่ผมชอบ
ผมก็ได้เทสต์เสียงร้องเป็นเพลงสากลนะ ไม่ได้ร้องเทสต์เพลงของแกรมมี่
แล้วเสียงที่ผมเทสต์ก็อยู่กับพี่เต๋อ แกคงเก็บไว้เป็นที่ระลึก (หัวเราะ)”
“สมัยก่อนตัวผมเอง เคยเป็นนักร้องไกด์ คนแรก คือ มอส ปฏิภาณ อัลบั้มชุด 2 เพลง เหลวไหล
ทำให้ผมรู้ว่า การร้องไกด์มันคืออะไร ตอนนั้นทำงานร่วมกับ พี่โอม ชาตรี คงสุวรรณ
มันก็จะมีเนื้อร้องมา ผมก็ร้องไปตามโน๊ต เขาอยากให้ผมร้องแบบในผับ
ผมก็ร้องตามสไตล์ผมเลย ตอนนั้นผมก็ได้ทั้งร้องไกด์ ร้องคอรัส แล้วอัลบั้มมอส
ชุดนั้นก็ขายได้ล้านแปดแสนตลับ ทำให้มอสแจ้งเกิดไปเลยตอนนั้น”
“จากนั้นก็มา ร้องไกด์ให้ เจ เจตริน เพลงแววตา แล้วก็มา เบิร์ด ธงไชย เพลงเธอผู้ไม่แพ้
อย่างเพลงของ ใหม่ เจริญปุระ เพลง ขอร้อง “อย่าทำฉันเลย สงสารฉันบ้าง”
มีอ่ำ อัมรินทร์, ศรัณย่า, ปีเตอร์ คอร์ป มีร้องคอรัสให้หลายๆ คน อย่าง นัท มีเรีย
จริงๆ แต่ก่อน พี่เต๋อ เขาก็จะร้องไกด์ให้กับศิลปินหลายคน ไม่ว่าจะเป็น
คริสติน่า, ใหม่ เจริญปุระ และมีอีกเยอะมาก
และที่ผมได้มาร้องไกด์ เพราะผมเสียงเหมือน พี่เต๋อ นี่ละ”
“สมัยก่อนใครมาแกรมมี่ ผมก็จะช่วยสกรีนเทสต์ วันๆ ผม ต้องสกรีนเทสต์เด็ก 30-40 คน
มันเป็นแผนกที่คัดเลือก ศิลปินนักร้องเลย ก็จะมีเอเจนซี่ โมเดลลิ่งพาเด็กมา อย่างเช่น
ทาทา ในวันที่มา สกรีนเทสต์ ตอนนนั้นมี เจสัน ยัง มาด้วย คุณแก้ว พรีเมียร์ เป็นคนพามา
คือทุกอย่างเรื่องเสียง หรือ บุคลิกภาพ มันต้องผ่านแผนกผมก่อน
อย่างเพลง เหลวไหล ของมอส ปฏิภาณ ตอนนั้นก็จับ ทาทา ไปเป็นเล่น MV ทาทาเป็นเด็กฉลาด
เด็กมหัศจรรย์สมชื่อเลย เป็นสาวน้อยแสนซน ส่วนเจสัน ยัง เขาได้ไปอยู่อีกค่าย เป็นค่ายลูก
ช่วงนั้นผมก็ได้คุยกับคุณแก้วบ่อย ยอมรับว่าเด็กที่คุณแก้วเขาพามา มีความสามารถมากๆ
พอสกรีนเทสต์เสร็จ มันก็จะเป็นตลับเทป แล้วพอพี่เต๋อ เขาได้ฟังเสียงทาทา
เขาก็บอก เออ…เสียงดี เด็กคนนี้ของร้อนนะ ให้รีบพามาเลย จนทาทาได้มาเจอกับพี่เต๋อ”


มิคกี้ - ปิยะวัฒน์ เปี่ยมเบี้ย จุดเริ่มต้นศิลปิน จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ สัมภาษณ์


มิคกี้ - ปิยะวัฒน์ เปี่ยมเบี้ย
จุดเริ่มต้นศิลปิน จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
สัมภาษณ์พิเศษ
- เรวัต พุทธินันทน์ Executive Producer
- อภิไชย เย็นพูนสุข Producer
- นิติพงษ์ ห่อนาค Production Co-ordinator
รายการช่อง 7 สี
ขอบคุณ คุณ Tommy T.

เพลง : อย่าให้เขารู้

ศิลปิน : มิคกี้ 
คำร้อง : วรัชยา พรหมสถิต
ทำนอง : อภิไชย เย็นพูนสุข
เรียบเรียง :อภิไชย เย็นพูนสุข

https://youtu.be/WlBY3uMZca8
เพลง : เดิมพันชีวิต 
ศิลปิน : มิคกี้ 
คำร้อง : สีฟ้า 
ทำนอง : ชาตรี คงสุวรรณ 
เรียบเรียง : ชาตรี คงสุวรรณ 

https://youtu.be/tYznx8yKs5I


เพลง : ครึ่งใจ 
ศิลปิน : มิคกี้ 
คำร้อง : เกียรตินคร ประชากุล 
ทำนอง : เกียรตินคร ประชากุล 
เรียบเรียง : เรืองกิจ ยงปิยะกุล;กุลวัฒน์ พรหมสถิต 








เพลง : ตะกายดาว
ศิลปิน : มิคกี้ 
คำร้อง : เรวัต พุทธินันทน์
ทำนอง : ชาตรี คงสุวรรณ 
เรียบเรียง : ชาตรี คงสุวรรณ 

Aug 14, 2018

ดี้ นิติพงษ์ ซัด หม่อมเต่านา ‘อย่าสั่งสอนพ่อโชว์ผ่านสาธารณะ มันไม่ใช่วิถีคนไทย’


ที่มา:https://www.posttoday.com/politic/news/560090
นักแต่งเพลงชื่อดัง แสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วยหลังจากที่ ม.ล.มิ่งมงคล วิจารณ์พ่อของตนเองให้ระวังคำพูด เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงชื่อดัง แสดงความคิดเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองผ่านเฟซบุ๊ก
Nitipong Honark  ในประเด็นของการวิจารณ์ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล หรือ“หม่อมเต่า” หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) โดย ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล หรือหม่อมเต่านา บุตรของตนเอง 
เนื้อหาระบุว่า  ข่าวการเมืองตอนนี้..อีลุ่ยฉุยแฉก ใครอยากพูดอะไรก็พูด และก็ไม่มีใครรู้จริงสักคน...ก็เอาที่สบายใจเขานะแม่ประไพ... มันเป็นละครโรงใหญ่ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเล่นวันไหน เดือนไหน..แต่ตัวละครก็ออกมาแสดงต่างๆ นานา พรรคเก่า ๆ ทำท่ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องแพ้หมดรูป
พรรคเก่า ๆ ทำท่ามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องแพ้หมดรูป พรรคใหม่ๆ ก็มั่นใจว่าประชาชนเบื่อไอ้พรรคเก่าสองขั้ว... เอาที่สบายใจจ้ะ...เอาที่มึงสบายใจ แต่ประชาชนอย่างกู นอยด์... เพราะฉะนั้น ตอนนี้ กูวางเฉยจ้ะแม่เอ๋ยพ่อเอ๋ย เรามาดูมาเวทแอนด์ซีกัน ล่าสุด พรรคใหม่ รปช ไม่รู้ย่อถูกมั้ยเอาหม่อมเต่า เป็นรักษาการณ์หัวหน้าพรรค เพื่อจะไปจดทะเบียนได้ เอ้า ลูกสาว ก็มีความคิดของตัวเอง ก็วิพากษ์วิจารณ์พ่อ...ในมุมหนึ่งก็ดูดีสำหรับสิทธิของมนุษย์ ฉันมันคนโบราณ...ฉันนับถือความแตกต่างทางความคิดได้
แต่ต้องผ่อนปรน และมีวัฒนธรรมการนับถือบุพการี ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
ไฟนอกอย่านำเข้า.. มีอะไรขัดคอ อยากตักเตือนกัน ไปคุยกันในครอบครัวอย่าประจานพ่อแม่ทางโซเชี่ยลมีเดียอย่าสั่งสอนพ่อ...โชว์ผ่านสาธารณะอีห่า...มันไม่ใช่วิถีคนไทยว่ะ
ย้ำนะ...ในบ้าน พ่อแม่ลูก ผัวเมีย คิดต่างกันได้..แต่ประจาน เหยียดหยัน สั่งสอนพ่อแม่ในที่สาธารณะ..สากลนิยม...ก็ยังไม่นิยม จบโพสต์การเมือง

Nitipong Honark 


Aug 12, 2018

Terrewat 20





























แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์






ดีเจเสียงใส (พ.ศ. 2527)


เรวัต พุทธินันทน์ คำร้อง 
อุกฤษณ์ พลางกูร ทำนอง









HAMBURGER MAGAZINE

ถ้าโลกนี้ไม่มีเรวัต
ศิลปินเหล่านี้อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้!
ธงไชย แมคอินไตย์
เรวัตคือคนที่เห็นพรสวรรค์และชักชวนให้อดีตนายแบงก์เข้าสู่วงการเพลงด้วยอัลบั้ม หาดทราย สายลม และสองเรา (และอีก 5 อัลบั้มในเวลาต่อมา) ที่สุดเขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทยที่ค้างฟ้ามาจนถึงทุกวันนี้
นันทิดา แก้วบัวสาย
หนึ่งในดิว่าตัวแม่ที่เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ของผู้ชายหนวดสวย เธอทำให้ประโยค ‘ดีเจเสียงใสๆ คนนั้นเป็นใคร ดวงใจฉันถามหา’ ยังดังก้องอยู่ในใจคนฟัง แม้เวลาจะผ่านไปแล้ว 23 ปี
คริสติน่า อากีล่าร์
ต้นกำเนิด Dancing Queen คนแรกของเมืองไทย ทำให้ทุกเพลงในอัลบั้ม ‘นินจา’ กลายเป็นเพลงฮิต โดยเฉพาะเพลง พลิกล็อก, นินจา, ประวัติศาสตร์ และ เปล่าหรอกนะ ที่เต้นและร้องตามกันได้ทุกคน
ชาตรี คงสุวรรณ
โปรดิวเซอร์และนักแต่งเพลงที่ได้รับการชักชวนจากเรวัตให้รู้จักกับโลกการทำงานเบื้องหลัง ถึงขนาดเคยพูดว่า ถ้าไม่มีผู้ชายที่ชื่อเรวัต ก็จะไม่มีโปรดิวเซอร์ที่ชื่อชาตรีด้วยเหมือนกัน
วง Fly
‘เหมือนใบไม้ใบเดียวที่หลงเหลือไว้ในป่า’ ประโยคสุดฮิตในเพลง ใบไม้ และอัลบั้ม Fly 12 ปีก คือผลงานสุดท้ายที่เรวัตบรีฟ วางทิศทางของวงและฝากไว้ให้กับโลกใบนี้






12 สิงหาคม พ.ศ. 2561



ภาพสัญลักษณ์ สก จากอินเตอร์เน็ต