Custom Search

Aug 6, 2009

เรวัต พุทธินันทน์ และวงคีตกวี




http://www.facebook.com/rewat.forever



เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์


เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน 2491 ที่กรุงเทพมหานคร
เป็นบุตรของ นาวาตรีทวี และนางอบเชย พุทธินันทน์

เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ
จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล
และจบปริญญาตรีจากคณะเศรษฐศาสตร์
สาขาการเงินการธนาคาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


เรวัต เริ่มสนใจเครื่องดนตรีชิ้นแรกคือ แซ็กโซโฟน
หลังบ่มเพาะจนมีความสามารถ ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ได้รวมกลุ่มเพื่อนๆ ตั้งวงดนตรีชื่อ Dark Eyes
รับเล่นตามงานสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อวง เป็น Mosrite
และได้เข้าประกวดดนตรี ในงานของสมาคมดนตรีแห่งประเทศไทย

สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ในปี 2508 และ 2509

เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2510 เต๋อ-เรวัต ได้ร่วมกับเพื่อน
ตั้งวงดนตรีชื่อ Yellow Red เพื่อนสนิทสองคน
ที่ร่วมวงอยู่ด้วยคือ ดนู ฮันตระกูล และจิรพรรณ อังศวานนท์
ต่อมาเมื่อ Yello Red สลายตัวไป วง The Thanks จึงเกิดขึ้นมาแทน
โดยเรวัตเป็นตัวตั้งตัวตีรวบรวมเพื่อนๆ นักดนตรีในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และจุฬาลงกรณ์มหาวิ
ทยาลัย หนึ่งในนั้นมี กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา
ร่วมอยู่ด้วย The Thanks ออกแสดงตามงานของมหาวิทยาลัย
ความเป็นวงดนตรีนำสมัย เล่นและร้องเพลงเต้นรำสมัยใหม่
ทำให้วงนิสิตนักศึกษาอย่าง The Thanks ได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น
และได้รับการติดต่อให้ไปแสดงสลับกับวงดนตรีดังอย่าง
สุนทราภรณ์ และดิ อิมพอสสิเบิ้ล

ปี 2515 เรวัตอยู่ในช่วงเรียนจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ได้รับการชักชวนจากวงดิ อิมพอสสิเบิ้ล ให้เดินทางไปร่วมแสดงที่ฮาวาย
ประเทศสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งนักร้องนำ และมือคีย์บอร์ด วงดิ อิมพอสสิเบิ้ล
ตระเวนเล่นดนตรี ในประเทศยุโรป สแกนดิเนเวีย
และหลังสุดคือ กรุงไทเป ประเทศไต้หวัน เรวัตเป็นสมาชิกวงดิ อิมพอสสิเบิ้ล
อยู่ 4 ปี หลังจากยุบวงในปี 2520

วินัย พันธุรักษ์ เป็นผู้ชักชวนเรวัต พุทธินันทน์ ตั้งวงดนตรีชื่อ The Oriental Funk
ตระเวนเปิดการแสดงในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ระหว่างนั้นเรวัตก็ได้ศึกษาการเขียนเพลงและดนตรีเพิ่มเติม
ก่อนจะกลับมาเล่นประจำที่คลับคาซาบลังกา โรงแรมมณเฑียร The Oriental Funk

ร่วมกันเล่นดนตรีอยู่ประมาณ 4 ปี ก่อนจะถึงจุดอิ่มตัว
ที่สมาชิกทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานส่วนตัว

เรวัตเริ่มทำงานเบื้องหลัง เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับค่ายเพลง
และตั้งบริษัทกับวินัย พันธุรักษ์ ทำงานเพลงโฆษณา
เพลงประกอบภาพยนตร์
ปี 2525

เรวัตทำหน้าที่ผู้ช่วยอัดเสียง ที่ห้องอัดเสียง JBL
ก่อตั้งบริษัท อาร์ เอ็น
เอ โปรดักชั่น ผลิตงานเพลงและดนตรี
เป็นตัวแทนประเทศไทยร่วมร้องเพลงที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
และที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์
กระทั่งปี 2526 ได้ร่วมก่อตั้งบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์
และดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการฝ่ายผลิต
โปรดิวเซอร์งานเพลงไทย และสากล ให้กับศิลปิน
เช่น พญ.พันทิวา สินรัชตานนท์, นันทิดา แก้วบัวสาย,
ฐิติมา สุตสุนทร และธงไชย แมคอินไตย์

เรวัต พุทธินันทน์ได้สร้างสรรค์
อัลบั้ม
ของตนเองไว้ 4 อัลบั้ม
คือ อัลบั้ม "เต๋อ 1", "เต๋อ 2", "เต๋อ 3"
และ "ชอบก็บอกชอบ"

เนื้อเพลงที่เขียนขึ้นเปี่ยมไปด้วยแนวคิด ปรัชญาชีวิต




ตำแหน่งสุดท้ายของเรวัต พุทธินันทน์ คือ

ประธานกรรมการบริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด มหาชน
เรวัต พุทธินันทน์
สมรสกับ อรุยา (สิทธิประเสริฐ) พุทธินันทน์ ในปี 2517
หลังจากทั้งคู่คบหากันมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักศึกษา

อยู่ที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์
โดยมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ
สุทธาสินี (แพ็ท) และ สิดารัศมิ์ (พีช)
พุทธินันทน์

เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์
จากไปอย่างสงบ
เมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 27 ตุลาคม 2539
หลังต่อสู้กับโรคมะเร็งร้ายที่สมอง
ท่ามกลางความอาลัยของครอบครัว
เพื่อน พี่น้องที่ร่วมเส้นทางชีวิต
ทว่าผลงานของเต๋อ-เรวัต ได้สร้างสรรค์ไว้ ก็ยังคงอยู่และได้รับการขับขาน

และด้วยเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่

ปัจจุบันได้เกิดมูลนิธิเรวัต พุทธินันทน์
เพื่อเป็นอนุสรณ์ และสืบทอดความตั้งใจที่ต้องการจะส่งเสริม
และสนับสนุนให้เยาวชนไทยได้มีโอกาสศึกษา
หาความรู้ในทุกๆ ด้านของดนตรี

โดย ทางมูลนิธิได้ร่วมกับ
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสร้าง

"ห้องสารนิเทศทางดนตรี เรวัต พุทธินันทน์" ขึ้น
เพื่อให้บริการความรู้ด้านดนตรีแก่คนรุ่นหลัง
ตามที่เรวัต พุทธินันทน์
เคยตั้งปณิธานไว้


นักแต่งเพลงรุ่นน้องของเรวัต พุทธินันทน์ในบริษัทแกรมมี่
ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาคได้กล่าวถึงช่วงชีวิตของเขา
จุดหักเหก้าวเข้าสู่อาชีพนักแต่งเพลงมือทอง

เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ มีส่วนอย่างมาก













"จิก (ประภาศ ชลศรานนท์) เอาเทปเดโมทำนองเพลง
เพลงหนึ่งให้ผมเขียนเพลงประกอบ
หนังเรื่อง วัยระเริง
อำพล ลำพูน กับ วรรษมน วัฒโรดม
เล่นเป็นดาราใหม่ทั้งคู่
อาเปี๊ยก โปสเตอร์ เป็นคนกำกับ

พี่เต๋อเป็นคนทำเพลง จิกเขียนเพลงยุโรป เฮฮาปาร์ตี้ ชีวิตนี้ของใคร
และให้ผมเขียนเนื้อเพลง ดนตรีในดวงใจ ในหนังเรื่องนั้น"


ดี้-นิติพงษ์ กล่าวย้อนถึงเพลงแรกที่แต่งแล้วได้สตางค์

แต่กลับตาลปัตรเพราะบนหน้าปกแผ่นใน
หนังวัยระเริงไปให้เครดิต วาชิต รัตนเพียร


"ต่อมาพี่เต๋อเริ่มทำเพลงเต๋อ 1 ผมได้รับเพลง ดอกฟ้ากับหมาวัด

กับเพื่อนเอย มาแถมยังเอาเพลง ยิ่งสูงยิ่งหนาว
มาฝากให้เจี๊ยบ (วัชระ ปานเอี่ยม) ได้แต่งด้วย
โดยที่ผมไปรับเมโลดี้มาจากพี่เต๋อ
เรานัดกันที่ห้องอัดเสียงทอง
หลังจาก แต่งเสร็จพี่เต๋อโทร.มาบอกว่า
พรุ่งนี้จะให้เอาเงินค่าแต่งเพลงไปให้ ที่ไหน

สองพันบาทน่ะ ผมบอกว่าไม่เคยเห็นคนแบบพี่นะ
คนในวงการเพลงวงการบันเทิงที่เขาจะมาตาม
ถามว่าจะเอาเงินไปจ่ายให้ได้ยังไงบ้าง

ผมเคยได้ยินแต่เบี้ยว กับเช็คเด้ง"

เสียงพี่เต๋อก็ตอบประมาณว่า เอาเหอะ ดี้จะให้เราไปหาที่ไหน
ผมก็บอกแค่ว่าพรุ่งนี้ผมมีถ่ายทำรายการที่ช่อง 9 อสมท.
แต่ในใจนึกถึงว่าถ้าผู้ชายคนนี้เอาเงินมาให้กูถึงที่จริง
สองพันแค่นี้กูจะจดไว้ในใจเลยว่า
ถ้าชวนกูไปหัวหกก้นขวิดกับชีวิตที่ไหน กูจะไปด้วย

และแล้ว เรวัต พุทธินันทน์ พูดจริงทำจริง
ขับรถมาสด้า 626 สีขาว มาจอด

แล้วเดินเข้าไปหาดี้-นิติพงษ์ขณะกำลังทำรายการอยู่
เวลาผ่านไปไม่พ้นปี วันหนึ่งมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เป็นเสียงแหบๆ ของเต๋อ-เรวัต ชวนดี้-นิติพงษ์ไปทำงานด้วย
ไม่ต้องคาดเดาคำตอบกลับ
และทั้งคู่นัดหมายไปเจออากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ที่อาคารวาณิช


"คุณไพบูลย์เสนอให้ผมเป็นเงินเดือนเดือนละหนึ่งหมื่นบาท
แต่งเพลงอีกต่างหากอีกเพลงละหนึ่งพัน

ผมต่อรองขอเดือนละสองหมื่นบาท แต่ง เพลงอีกเพลงละสองพัน
คุณไพบูลย์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ตกลง
และตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้ผมก็ไม่เคยต่อรองอะไรกับเขาอีกเลย"


นิติพงษ์ ห่อนาค กลายเป็นนักแต่งเพลงอาชีพ
โดยมีเต๋อ-เรวัต เป็นเจ้านาย
และมีไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม เป็นคนจ่ายเงิน

และมีนักดนตรีระดับเซียน ป๊อก-วิชัย อึ้งอัมพร,
ตั๋ม-จาตุรนต์ เอมซ์บุตร, ไพฑูรย์ วาทยะกร, อัสนี โชติกุล,

อภิไชย เย็นพูลสุข, ชาตรี คงสุวรรณ, สมชาย กฤษณะเศรณี,
สมชัย ขำเลิศกุล และชุมพล สุปัญโญ เป็นทีมโปรดิวเซอร์ที่บริษัทแกรมมี่

อาจารย์ดนูกับ เรามาร้องเพลงกัน
นิตยสาร DDT ฉบับที่ 7 กรกฎาคม 2548

"เขตต์อรัญเขาเป็นคนตั้งชื่อชุดว่า เรามาร้องเพลงกัน
วงคีตกวีหมายถึงพวกครูหรือใคร ๆ ก็ตามที่อยู่ตรงนั้น
ใช้เวลาทำงานกันไม่นาน สัก 3-4 เดือนก็เสร็จ"

" ในสมัยที่พวกเรายังเป็นพวกวัยรุ่นนั้น สำนึกของชุมชนโลกกว้างขวาง
มุ่งไปทางสันติภาพ
เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับ สงครามเวียดนาม
ขณะเดียวกันเมื่อมีการเรียกร้อง แสวงหาสันติภาพ
ขบวนการฮิปปี้ก็เกิดขึ้นในโอกาสนั่นแหละ เขาจะปฏิวัติโดยวิธีอหิงสา

ในส่วนของดนตรีก็จะพูดถึงอุดมการณ์ของชีวิต ของสังคม
แสดงออกในเรื่องปรัชญา ไม่ว่าจะเรื่องศาสนา การเมือง สังคม
เป็นช่วงสมัยที่ดนตรีไม่หยุดอยู่แค่ความมัน ความไพเราะหรือเท่
เราโตขึ้นมาในสมัยนั้นที่เป็นสมัยของสำนึกเรื่องอุดมการณ์ในทุกทาง
ตอนเราอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราจะพูดเรื่องพุทธศาสนา

ถกเถียงเรื่องลัทธิเซน พูดเรื่องเต๋า พระเยซู พูดเรื่องทุนนิยม คอมมิวนิสต์
เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับสังคมชีวิต เพราะฉะนั้นเมื่อเราสร้างเพลงขึ้นมา
เราก็แสดงออกถึงความนึกคิดต่าง ๆ ผ่านบทเพลง
แม้ว่าเราจะพยายามมากในการฟังง่ายโดยดนตรีเนื้อหา
คือพยายามไม่ลงลึกแล้ว แต่สุดท้ายก็ฟังยากอยู่ดี
ภายหลังถึงมีคนพูดว่า ชักจะฟังง่ายขึ้นนะ หลังจากผ่านไป 20 ปี"


"ความจริงแล้วเขตต์อรัญเขาก็ตั้งท่าว่าจากชุดนั้น
เขาจะสามารถสร้างผลงานต่อไปได้เรื่อย ๆ ในนามของวงคีตกวี
แต่เผอิญว่าหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นต่อไปอีก
แต่มันจะไปผ่านทาง
บริษัทบัตเตอร์ฟลายแทน

ส่วนคุณเต๋อก็ทำแกรมมี่ขึ้นมา
สำหรับผมก็จะอยู่กับโรงเรียนเป็นส่วนใหญ่
ก่อนที่จะเริ่มทำไหมไทย
เพื่อเป็นโครงการหารายได้เพิ่มเติมจากการสอน
ขณะเดียวกันก็เริ่มที่
จะขยับขยายกิจกรรมมานอกการสอน
มาเป็นเรื่องการสร้างบทเพลงเพื่อจำหน่ายด้วย"

ผู้มีส่วนร่วม

เรวัต พุทธินันทน์/เขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์/ดนู ฮันตระกูล/อัสนี โชติกุล/อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ/
กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา/จาตุรนต์ เอมซ์บุตร/จิรพรรณ อังศวานนท์/สินนภา สารสาส/
กรเณศร์ วสีนนท์/เทวัญ ทรัพย์แสนยากร/โสฬส ปุณกะบุตร/วีระศักดิ์ ทิพย์ธวัชวงศ์


Cover versions
อัสนี - วสันต์ โชติกุล:
ไม่เป็นไร - บ้าหอบฟาง (ม.ค. 2529)
ขลุ่ยผิว - ผักชีโรยหน้า (มี.ค. 2530)
วีณาแกว่งไกว - กระดี่ได้น้ำ (มี.ค.2531)
ดอกไม้ไปไหน - สับปะรด (ก.ย. 2533)
ทำอยู่ทำไป (ภาคแนะนำ) - บางอ้อ (ธ.ค. 2540)
ทุกทุกคนเป็นคนดี - จิตนาการ (ธ.ค. 2545)



Blackhead:
วีณาแกว่งไกว - Black Bonus (2540)
วีณาแกว่งไกว - Live! (2540)
โจ-ก้อง:
วีณาแกว่งไกว - สดุดี (เม.ย. 2543)
พงษ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา:
ขลุ่ยผิว - ยินยอม-พี่น้องร้องเพลง-อัสนี-วสันต์-2 (พ.ค. 2545)
ชาตรี คงสุวรรณ:
ดอกไม้ไปไหน (Prelude) - The Butterfly Revolution (2547)
GR9:
ดอกไม้ไปไหน - The Butterfly Revolution (2547)
พรหม:
ดนตรีคีตา - The Butterfly Revolution (2547)
4Gotten:
วีณาแกว่งไกว - Rolling (2548)