Custom Search

Aug 26, 2009

ข้อคิดจาก Stiglitz


วรากรณ์ สามโกเศศ

มติชน

27 สิงหาคม 2552


เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา Professor Joseph Stigilitz
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบิล
ได้มาพูดที่กรุงเทพฯ ในโครงการสัมมนาของหนังสือพิมพ์
The Nation

ผมได้มีโอกาสฟังและมีส่วนร่วมในบางส่วนของงานนี้
จึงขอนำสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ "ดังนอกบ้าน"
ผู้นี้พูดมาเล่าสู่กันฟัง


ถ้าจะซาบซึ้งสิ่งที่ Dr.Stiglitz
พูดคงต้องทราบประวัติก่อนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร


Stiglizt เรียนจบจาก MIT เคยสอนหนังสือที่
Oxford/Cambridge/Princeton/Yale/Stanford/Duke/ MIT ฯลฯ
ปัจจุบันสอนที่มหาวิทยาลัย Columbia
เมื่อเร็วๆ นี้มีงานวิจัยระบุว่าเขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์
ที่งานของเขาถูกอ้างอิงมากที่สุดในโลก

Stiglizt เขียนหนังสือกว่า 19 เล่ม มีบทความตีพิมพ์
ในวารสารวิชาการกว่า 300 บทความ ปัจจุบันอายุ 66 ปี
เขาจัดอยู่ในกลุ่มความคิดที่เรียกว่าเกือบซ้ายสุด
ในทางเศรษฐศาสตร์ของสหรัฐ อเมริกา
กล่าวคือฝ่ายซ้ายเชื่อในการแทรกแซงของภาครัฐ
ในการทำงานของระบบเศรษฐกิจทุน นิยม
(ขวาสุดก็คือปรมาจารย์รางวัลโนเบิล
Milton Friedman ผู้ล่วงลับไปแล้ว)


Stiglizt เป็นนักเศรษฐศาสตร์ "ขวัญใจประเทศกำลังพัฒนา"
ในขณะที่เขาเป็น Chief Economist ของธนาคารโลก
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียเมื่อ 12 ปีก่อน
เขาวิพากษ์วิจารณ์บทบาทและวิธีการแก้ไข
ปัญหาเศรษฐกิจของ IMF อย่างหนักว่าวิธีการ
ที่ใช้นั้นเป็นการทำลายมากกว่าสร้างสรรค์
จนเขาไม่ได้รับสัญญาจ้างงานเทอมที่สอง
โดยถูกบีบให้ลาออกก่อนครบเทอมแรกเล็กน้อย

และไม่นานหลังจากการลาออก ในปี 2001
เขาก็ได้รับรางวัลโนเบิลสาขาเศรษฐศาสตร์

ผมจำได้ว่าเมื่อประมาณตอน "ปีเผาจริง"
คือ 1998 หรือ 1999 เขาได้ขอเข้าพบ
นายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย

และถ้าจำไม่ผิดได้พบคุณอภิสิทธิ์ นายกฯคนปัจจุบันด้วย
และคาดว่าคงมีการติดต่อกับคุณอภิสิทธิ์อยู่เป็นระยะ
เพราะ Stiglizt เดินทางไปรอบโลกตลอดเวลา
เมื่อนายกฯอภิสิทธิ์ได้รับเชิญไป
ประชุม World Economic Forum ที่ Davos

สวิตเซอร์แลนด์ หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ
ก็ได้พบกันและคงเป็นที่มาของการเป็นที่
ปรึกษารัฐบาลไทยของอาจารย์ Stiglitz


มี สิ่งแปลกเกี่ยวกับนักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้
นั่นก็คือเขาไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวาง
และชื่นชอบนักในสหรัฐอเมริกา

ถึงแม้จะ ได้รับรางวัลโนเบิลก็ตาม แต่เขากลับได้รับ
ความนิยมมากจากคนนอกประเทศไม่ว่ายุโรป
อเมริกาใต้ หรือเอเชีย โดยเฉพาะในจีน

เหตุผลหนึ่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐ อเมริกา
ก็คือเขานำเสนอความคิดที่ตรงข้าม
กับกระแสหลักของคนอเมริกัน

กล่าวคือเขาเห็นว่าภาครัฐควรมีบทบาท
ในการแทรกแซงเศรษฐกิจมากเพราะไม่อาจไว้
วางใจกลไกตลาดได้ ซึ่งการเห็นว่าภาครัฐที่ดีที่สุด
คือภาครัฐที่เล็กสุดเป็นความเชื่อดั้งเดิม
และเป็นที่นิยมกันมากมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีเรแกน
(ในอังกฤษก็สมัยของนางแทตเชอร์ เป็นนายกรัฐมนตรี)

Stiglizt รู้เรื่องสายสนกลในของนโยบายรัฐบาลเป็นอย่างดี
เพราะในช่วง 1993-1995
เขาเป็นสมาชิกของคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจ

ของประธานาธิบดีคลินตัน และในปี 1995-1997
ก็เป็นประธานคณะที่ปรึกษาเศรษฐกิจ
ก่อนที่จะไปเป็น Senior Vice President
และ Chief Economist ของธนาคารโลก

เมื่อมาพูดที่บ้านเราก็ ไม่ผิดหวังเลย Stiglizt
ชี้ให้เห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งนี้เป็นผลพวง
จากความล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ของ
ระบบตลาดเสรีของสหรัฐอเมริกาที่ขาดการควบคุม
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่านโยบายทางเศรษฐกิจเสรีที่นำโดย
โลกตะวันตกคือความ
สำเร็จทั้งที่ผลกระทบด้านลบที่เกิดขึ้น

กับประเทศต่างๆ นั้นมีผลกว้างไกลมาก
ความเชื่อในเรื่องกลไกควบคุมตัวเองเป็นสิ่งเหลวไหล
ระบบการเงินภายใต้ตลาดเสรีที่ขาดการควบคุมของโลกตะวันตก
ทำงานอยู่ได้ก็เพราะ การช่วยเหลือจากภาครัฐซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาชี้ให้เห็นต่อไปว่าวิกฤต เศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นครั้งนี้
ตลอดจนความล้มเหลวของทุนนิยมเสรีสไตล์ อเมริกัน
ทำให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่
จะต้องทำให้ความสมดุลระหว่าง

ตลาด ภาครัฐ และผู้มีส่วนได้เสียในสังคมกลับคืนมา
เราจะปล่อยให้ภาครัฐอยู่เฉยๆ
อย่างขาดการควบคุมดูแลกลไกตลาดไม่ได้เป็นอันขาด

Stiglitz เชื่อในระบบทุนนิยมที่มีกลไกราคาเป็นหัวใจ
แต่ต้องไม่ใช่ระบบที่ขาดการควบคุมอย่างรัดกุมจากภาครัฐ
เขาเชื่อว่าโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากมาย
จนภาครัฐต้องพัฒนากลไกควบคุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการเงิน

การมีกรอบการควบคุมในระดับโลกเป็นสิ่งจำเป็น
โดยมีการร่วมมือกันโดยนานาชาติ
แต่เขาก็ยังไม่เห็นความริเริ่มในเรื่องนี้


อีกเรื่องหนึ่งที่ Stiglitz สร้างความสั่นสะเทือน
ในวงการเศรษฐศาสตร์และเขาได้ทำมานานหลายปีแล้ว
นั่นก็คือการโจมตีการใช้ GDP
(Gross Domestic Product ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ)
เป็นตัวชี้วัดความสุขหรือสวัสดิการ (welfare)
หรือสถานะความอยู่ดี (well-being) ของประชาชน

GDP คือมูลค่าผลผลิตรวมหรือ
รายได้รวมของคนทั้งประเทศในเวลา 1 ปี

สามารถชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐศาสตร์
แม้แต่ Simon Kuznet ผู้คิดค้น GDP ขึ้นเมื่อกว่า 70 ปีมาแล้ว
ก็บอกว่าไม่อาจใช้รายได้เป็นตัวสะท้อนสวัสดิการ
อย่างไรก็ดี หลายปีผ่านไป ด้วยความสะดวกและเผอเรอ
นักเศรษฐศาสตร์และสื่อเหมาเอาว่า GDP
เป็นตัววัดความอยู่ดีหรือวัดสวัสดิการ

ผล พวงที่เกิดตามมาก็คือความพยายามให้มี
อัตราการเจริญเติบโตสูง
(ให้ GDP ที่วัด ณ ราคาคงที่มีค่าเพิ่มขึ้นสูงข้ามปี)

กลายเป็นเป้าหมายของรัฐบาลต่างๆ
ถึงแม้อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ
จะช่วยทำให้เกิดการจ้างงานสูง
ประชาชนมีอำนาจสูง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าประชาชน
จะมีสถานะความอยู่ดีและมีความสุขมากขึ้น

นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกเมื่อได้ฟังก็คงจะต้องคิดทบทวน
และน่าจะคล้อยตาม Stiglitz เพราะสิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง
นักเศรษฐศาสตร์ขี้ตู่และหลงผิดมานานว่า GDP ต่อหัวสูง
จะทำให้ประชาชนมีสถานะความอยู่ดีและมีความสุขมากขึ้น
ขณะนี้ Stigitz และพวกได้พยายามเสนอตัวชี้วัดใหม่
ที่จะสะท้อนสถานะความอยู่ดีได้ดีกว่า GDP รัฐบาล
และผู้คนทั้งหลายจะได้เลิกหลงผิดงมงายกัน "GDP เป็นบวก" เสียที

GDP มิได้ผิดอะไร มันก็วัดสิ่งที่ Kuznet ตั้งใจให้วัดคือ
ระดับรายได้รวมของคนทั้งประเทศ นักเศรษฐศาสตร์ต่อๆ
มาต่างหากที่ผิดที่นำมันไปใช้วัดสถานะ
ความอยู่ดีและความสุขของคนทั้งๆ ที่มันมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง

ต่อไปนี้นักเศรษฐศาสตร์ต้องพิจารณา "ฝัง" GDP
ในฐานะตัววัดสถานะความอยู่ดีและการใช้อัตราการขยายตัว
เป็นเป้าหมายของ เศรษฐกิจและหันไปพิจารณา "GDP ดัดแปลง"
ที่กำลังมีผู้คิดค้นซึ่งเชื่อว่าจะเป็นตัวชี้ระดับกิจกรรม
ของนักเศรษฐกิจที่แม่นยำกว่า ตลอดจนตัวชี้
สถานะความอยู่ดีใหม่อีกหลายตัว
ทั้งที่มีใช้อยู่แล้วและที่กำลังจะตามออกมา

ผมรัก GDP เพราะมันมีประโยชน์
แต่รังเกียจการนำมันไปใช้อย่างผิดๆ
(ซึ่งครั้งหนึ่งผมก็เป็นหนึ่งในผู้หลงผิดเหล่านั้นด้วย)
คงคล้ายกับคำกล่าวที่ว่า I love mankind,
only the people I can"t stand กระมัง

(ผมรักมนุษยชาติ แต่สิ่งที่ผมทนไม่ได้คือมนุษย์)

พวกเราชาว ประเทศกำลังพัฒนาดีใจที่มีนักเศรษฐศาสตร์ที่รักมนุษยชาติ
มากกว่าผลประโยชน์ ของประเทศตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว
ถ้าที่อเมริกาเขาไม่รักท่าน มาอยู่ที่บ้านเราก็ได้ครับ
รับรองมีปัญหาให้ช่วยขบคิดไม่ให้เหงามากมาย


หน้า 6