Custom Search

Aug 8, 2009

พระพุทธจริยาวัตร60ปาง ปางประสูติ














คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
เสฐียรพงษ์ วรรณปก

มติชน

ภาพ/เรื่อง
วันที่ 09 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตำนาน เล่าว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ก้าวลงสู่
พระครรภ์พระนางสิริมหามายา
พระนางทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ได้เสด็จไปชมป่าหิมพานต์
มีช้างเผือกเชือกหนึ่งลงมาจากยอดเขาสูง
"ชูงวงอันจับบุณฑริกปทุมชาติสีขาวเพิ่งบานใหม่
ร้องโกญจนาท เข้ามาในกนกวิมาน แล้วกระทำประทักษิณพระองค์
อันบรรทมถ้วนสามรอบ แล้วเสมือนดุจเข้าไปในอุทรประเทศ
ฝ่ายทักษิณปรัศว์แห่งพระราชเทวี"
โหราจารย์ ทำนายว่า
ราชสำนักของพระเจ้าสุทโธทนะ
จะมีพระราชโอรสผู้มีบุญญาธิการมาอุบัติ
พระราชโอรสพระองค์นี้มีลักษณะพิเศษไม่
เหมือนเด็กทารกทั่วไป
กล่าวไว้ ด้วยว่า
เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงใน
พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายานั้น
เกิดปรากฏการณ์ประหลาดหลายอย่างเช่น
พระมารดาไม่มีความยินดีในกามโดยอัตโนมัติ
มีพระวรกายไม่ลำบาก มองเห็นพระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิ
ผินพระพักตร์ออกมาข้างพื้นพระอุทรแห่งพระมารดา
ดุจสุวรรณปฏิมาอันสถิตอยู่บนฝักอ่อน
ในห้องแห่งกลีบปทุมชาติ
ขณะประทับในพระครรภ์ ก็ไม่แปดเปื้อนมลทิน
ไม่คุดคู้ดุจทารกทั่วไป
เมื่อ ถ้วนทศมาส พระโอรสก็ประสูติ
ณ วนอุทยานลุมพินี ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์
และกรุงเทวทหะ ตำนานเล่าว่า เป็นธรรมเนียมแต่โบราณ
เมื่อสตรีจะคลอดบุตร จะเดินทางกลับไปคลอดยังตระกูลเดิมของตน
พระนางสิริมหามายาก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน เสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์
เพื่อประสูติพระราชโอรสที่กรุงเทวทหะ

ขบวนเสด็จไปถึงสวนลุมพินีกึ่งกลางระหว่างเมืองทั้งสอง
พระนางก็ทรงประชวรพระครรภ์ ได้เสด็จเข้าไปพักใต้ต้นสาละ
ทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ ประสูติพระราชกุมารในอิริยาบถยืน
พระกุมาร
ทันทีที่เสด็จออกจากพระครรภ์ ก็เสด็จดำเนินไปได้ 7 ก้าว
ทรงยกพระหัตถ์ขวาขึ้นชี้พระดรรชนีบนท้องฟ้า
บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เปล่ง "อาสภิวาจา" ว่า

อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐ เสฏฺโฐหมสฺมิ อยมนฺติ
ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

เราเป็นผู้เลิศของโลก เป็นใหญ่ที่สุดและประเสริฐสุด
นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป
พระพุทธรูปปางนี้ ส่วนมากวาดหรือปั้นเป็น
พระกุมารน้อยเสด็จดำเนินด้วยพระบาท
มีดอกบัวผุดขึ้นรองรับพระบาท พระหัตถ์ขวาชี้ขึ้นบนฟ้า
บางภาพทำพระโอษฐ์ดุจเปล่งพระวาจา
ขณะที่พระราชชนนีทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละอยู่ถัดไป

ภาพปั้นที่ลุมพินี ประเทศเนปาล ก็อยู่ในอิริยาบถนี้
พระลักษณะพระกุมารน้อยดูแล้วสบายตาสบายใจมาก
บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการจริงๆ ข้อนี้ต้องชมคนปั้น

ที่เมืองไทย เรานั้น ไม่นิยมปั้นพระพุทธรูปปางอื่น
นอกจากปางสมาธิ หรือปางมารวิชัย
นอกนั้นมักเป็นภาพวาดมากกว่า
โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อนตรัสรู้ มักไม่นิยม
คงเห็นว่ายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า
จึงไม่ควรเรียกพระพุทธรูปกระมัง
ที่ อินเดีย
จะเห็นพระรูปเจ้าชายน้อยแกะสลักด้วยไม้จันทน์อย่างสวยงาม
เสียแต่ว่าเกณฑ์ให้เจ้าชายน้อยมีพระภูษาทรงเสียนี่
เด็กเกิดใหม่ไม่น่าจะให้นุ่งผ้า
ในขณะที่พระราชกุมารประสูตินั้น
ได้มีมนุษย์ สัตว์ และสิ่งของ เกิดขึ้นพร้อมพระราชกุมารเป็น
"สหชาติ" 7 คือ พระนางยโสธราพิมพา, พระอานนท์, นายฉันนะ,
กาฬุทายีอำมาตย์, ต้นพระศรีมหาโพธิ์, ม้ากัณฐกะ และขุมทรัพย์ 4 ขุม

ครั้งนั้นมีดาบส องค์หนึ่งนาม กาฬเทวิล
เป็นที่รู้กันทั่วไปในนาม "อสิตะ" ทราบข่าวพระราชกุมารประสูติ
จึงเดินทางไปยังเมืองกบิลพัสดุ์ เพื่อเยี่ยมชมพระราชกุมาร
พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงปีติปราโมทย์ยิ่ง
รับสั่งให้เชิญพระราชกุมารมา เพื่อนมัสการพระดาบส
อสิตดาบสเห็น
พระราชกุมารสมบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ
และอนุพยัญชนะ 80 ประการ ก็ก้มถวายบังคมพระราชกุมารโดยอัตโนมัติ
พลางพินิจพิจารณาดูพระลักษณะอย่างละเอียด
แล้วก็หัวเราะออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ทันใดนั้นหน้าตาที่ยิ้มแย้มก็กลับสลดลง
ดาบสเกิดโทมนัส ร้องไห้ออกมา
จนพระราชาทรงแปลกพระทัย ตรัสถามถึงเหตุแห่งการหัวเราะและร้องไห้

อสิต ดาบสถวายพระพรว่า พระราชกุมารนี้สมบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะ
จะได้เสด็จออกผนวช ตรัสรู้เป็นพระศาสดาเอกในโลกโดยมิต้องสงสัย
อาตมภาพมองเห็นเหตุการณ์นี้จักเกิดขึ้นจริง
จึงยินดีปรีดากับชาวโลกที่จะได้มีโอกาสดับพระธรรมเทศนาอันไพจิตร
จึงหัวเราะออกมาด้วยปีติยินดี แต่ครั้นคำนวณระยะเวลาดู
ก็รู้ว่าอาตมภาพจะไม่มีอายุยืนยาวจนได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระองค์
จึงสลดใจร้องไห้ออกมา สงสารในความอาภัพของตน

ครั้นถึงวันที่ 5 นับแต่พระราชกุมารประสูติ
พระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้อัญเชิญพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญ
ในพระเวทจำนวน 108 ท่าน
มารับพระราชทานฉันในพระบรมมหาราชวัง
ได้เลือกเอาพราหมณ์ 8 ท่านจากจำนวนนั้น
ให้ตรวจดูพระลักษณะและขนานพระนามพระราชกุมาร

พราหมณ์ ทั้ง 8 ได้พร้อมใจกันถวายพระนามว่า
สิทธัตถะ (แปลว่า ผู้มีความประสงค์อันสำเร็จแล้ว)
พิจารณาดูพระลักษณะของพระราชกุมารอย่างละเอียดแล้ว
ทั้ง 7 ท่าน ยกเว้นพราหมณ์หนุ่มนาม โกณฑัญญะ
ได้พยากรณ์เป็น 2 คติว่า
ถ้าพระราชกุมารจะอยู่ครองเพศฆราวาส
จักได้เป็นพระมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
ถ้าเสด็จออกผนวช จะได้เป็นศาสดาเอกในโลก

โกณฑัญญะคนเดียวยืนยันว่า
พระราชกุมารจะสละโลกียวิสัยแน่นอน
และจะได้เป็นพระบรมศาสดาผู้ประเสริฐของชาวโลก
พราหมณ์
ทั้ง 8 นั้นมีนามตามลำดับ คือ
รามพราหมณ์ ลักษณพราหมณ์ ยัญญพราหมณ์ ธุชพราหมณ์
โภชพราหมณ์ สุทัตตพราหมณ์ สุยามพราหมณ์ และโกณฑัญญพราหมณ์

เรื่อง เล่ามหัศจรรย์เกี่ยวกับการประสูติพระราชกุมาร
มีทั้งในคัมภีร์ชั้นต้นคือพระไตรปิฎก
และคัมภีร์ชั้นรอง คือ อรรถกถาฎีกา
และพุทธประวัติที่แต่งภายหลัง เช่น ปฐมสมโพธิกถา
มีการอธิบาย 2 แนวทาง คือ

1.แปลตามตัวอักษร
บอกว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงๆ พูดได้ เดินได้จริงๆ

2. อธิบายในแง่สัญลักษณ์ (เดิมใช้คำว่า บุพนิมิต)
คือ ไม่แปลตามตัวอักษร เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอะไร
เช่นเดินได้แสดงถึงจะสร้างความก้าวหน้าแก่ชาวโลก พูดได้
แสดงว่าพระราชกุมารต่อไปจะได้ประกาศสัจธรรมที่ไม่เคยมีใครประกาศมาก่อน
จำนวนย่างพระบาท 7 ก้าว แสดงว่าพระราชกุมาร
จะเผยแพร่คำสอนแพร่หลายในแคว้นทั้ง 7
(หรือพระราชกุมารจะได้ตรัสรู้เพราะโพชฌงค์ 7 ประการ)
ดอกบัวที่ผุดขึ้นรองรับ แสดงถึงพระราชกุมาร
ถึงจะอยู่ในโลกก็ไม่ติดข้องอยู่ในโลกียวิสัย
เป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งมวล ฯลฯ
(ดูการตีความในแง่สัญลักษณ์ในปฐมสมโพธิกถา, พุทธประวัติ เป็นต้น)

ในประเด็นที่ 2 นั้น เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป
แต่ในประเด็นที่ 1 นั้น พระอรรถกถาจารย์ท่าน
เน้นย้ำทำนองให้เชื่อว่าเป็นความจริง
เป็นไปได้ และเป็นไปแล้วจริง เหตุผลของท่านสั้นๆ
ว่าปรากฏการณ์มหัศจรรย์ต่างๆ เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์นั้น
"เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์"
(อยํ โพธิสตฺตสฺส ธมฺมตา = นี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์)

คำกล่าวนี้น่าคิด ท่านอธิบายว่า พระโพธิสัตว์มีสองระดับ คือ
(1) อนิยตโพธิสัตว์ = พระโพธิสัตว์ยังไม่แน่นอนว่าจะตรัสรู้
ต้องบำเพ็ญบารมีอีกนาน
กับ (2) นิยตโพธิสัตว์ = พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มเปี่ยมแล้ว
ต้องตรัสรู้แน่นอน
พระ สิทธัตถราชกุมารนั้น
เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทที่ 2
พระโพธิสัตว์ระดับที่จะต้องตรัสรู้แน่นอน เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่
ย่อมมีเรื่องราวมหัศจรรย์เกี่ยวข้องกับท่านมากมาย
ถือว่าเป็น "ธรรมดา" ของท่าน มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นะครับ
เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาที่ไม่ทั่วไปแก่มนุษย์สามัญอื่นๆ

เอาอย่างนี้แล้วกัน ธรรมดาของนกย่อมบินได้
ธรรมดาของปลาอยู่ในน้ำได้ทั้งวันโดยไม่โผล่ขึ้นมาหายใจเลย
แต่ไม่ตาย เราอัศจรรย์ไหม
ตอบ ทันทีว่า ไม่อัศจรรย์แม้แต่น้อย
เพราะอะไร เพราะเรารู้ว่าการบินได้เป็นธรรมดาของนก
การอยู่ในน้ำทั้งวันโดยไม่โผล่ขึ้นมาหายใจ
เป็นธรรมดาของปลา
เช่น เดียวกัน พระนิยตโพธิสัตว์
เมื่ออยู่ในครรภ์ก็ไม่คุดคู้ ไม่เปรอะเปื้อนมลทินครรภ์
เหมือนสัตว์ในครรภ์อื่นๆ ก็เป็นธรรมดาของท่าน
เกิดมาแล้วเดินได้ พูดได้ทันที ก็เป็นธรรมดาของท่าน

ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องธรรมดาครับ
ถ้า ขี้สงสัยมาก ถามว่า มันจะเป็นไปได้หรือ
เกิดมาแล้ว พูดได้ เดินได้ทันที เอาแค่คนธรรมดาๆ
นี่แหละ ในกินเนสส์บุ๊กเขาเคยบันทึกสถิติคนเกิดมาแล้ว
สองชั่วโมงพูดได้ อายุ 4 ขวบ พูดได้ 7 ภาษา
และแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับปรัชญาชั้นสูง
ในมหาสมาคมของนักปราชญ์ทั้งหลาย
เป็นที่อัศจรรย์ไปตามๆ กัน
ท่านผู้นี้นามจำง่ายเพราะคล้ายยี่ห้อเบียร์
คือนามว่า คริสเตียน ไฮเนเก้น

ฝรั่งคงไม่หลอกเรากระมังครับ
เพราะสถิติแปลกๆ ที่เขาบันทึกไว้
ก็บันทึกจากเรื่องจริง
นี้ ขนาดคนธรรมดา
มิใช่นิยตโพธิสัตว์ เกิดมาแล้วไม่นานยังพูดได้
ทำไมพระสิทธัตถราชกุมารซึ่งเป็น
นิยตโพธิสัตว์จะพูดไม่ได้ละครับ
ฝากไว้ให้คิด ไม่จำต้องเชื่อ

เชื่อง่ายนักเดี๋ยวถูกหลอก ชีช้ำเปล่าๆ ชาวพุทธเอ๋ย

หน้า 6