Custom Search

Nov 28, 2010

นายกรัฐมนตรีหวังผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะเป็นทั้งคนเก่ง-คนดี ในการสร้างความมั่นคงให้ประเทศชาติต่อไป


http://www.dpu.ac.th


(27/11/2010)
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ได้เป็นประธานมอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
พร้อมให้โอวาทแก่ ผู้สำเร็จการศึกษาของ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ประจำปีการศึกษา 2552


วันนี้ (27 พ.ย.53) เวลา 13.30 น. ณ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ได้เป็นประธานมอบปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ให้แก่ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ที่รับปริญญาบัตรในสาขานิติศาสตร์
และนายฉิน อี้เซิน ทูตวัฒนธรรม สถานทูตจีนประจำประเทศไทย
รับปริญญาบัตรในสาขาภาษาไทย
พร้อมให้โอวาทแก่ผู้สำเร็จการศึกษาของ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ประจำปีการ ศึกษา 2552
ในโอกาสมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ได้จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรดุษฎีบัณฑิต รุ่นที่ 2
มหาบัณฑิต รุ่นที่ 24 และบัณฑิต รุ่นที่ 38 ประจำปีการศึกษา 2552
โดยมีผู้สำเร็จการศึกษา จำนวน 3,876 คน
แบ่งออกเป็นระดับปริญญาเอก จำนวน 6 คน
ระดับปริญญาโท จำนวน 522 คน และระดับปริญญาตรี 3,348 คน


ทั้งนี้มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้ผลิตบัณฑิตออกไปรับใช้สังคม
เป็นเวลากว่า 40 ปี แล้ว โดยปัจจุบันมหาวิทยาฯเปิดในระดับปริญญาตรี 9 คณะ
รวม 42 สาขาวิชา ในระดับปริญญาโท 17 สาขาวิชา และระดับปริญญาเอก 4 สาขาวิชา
ทั้งหลักสูตรภาษา
ไทย หลักสูตรภาษาอังกฤษ และหลักสูตรภาษาจีน
และด้วยมาตรฐานการจัดการศึกษาระดับ ISO 9001:2008
ทำให้มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับจากตลาดแรงงาน
ในการผลิตบัณฑิตเพื่อสร้างคุณประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ
รวมทั้งพัฒนาบัณฑิตย์ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคตต่อไป


โอกาส นี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความความยินดีที่ได้มีโอกาส
มาร่วมเป็นสักขีพยานในความสำเร็จในการศึกษาเล่าเรียน
ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ในวันนี้
และขอแสดงความยินดีกับนักศึกษาและผู้ที่ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต กิตติมศักดิ์
ที่เข้ารับปริญญาทุกคน
ขณะเดียวกันก็ขอแสดงความชื่นชมมหาวิทยาลัย
ที่ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา
ได้ผลิตบุคลากรที่มีความรู้มีความสามารถในหลากหลายสาขา
ออกไปทำประโยชน์ให้ แก่สังคมและประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยได้มีการขยายโอกาสด้านอุดมศึกษาค่อนข้างมาก
หลังจากที่มีการกระจ
ายสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
ออกไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศได้ไม่นานนัก
ซึ่งสถาบันอุดมศึกษาเอกชนก็ได้รับ
การส่งเสริมให้มีส่วนสนับสนุนการขยายโอกาส
ทางการศึกษาออกไปอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นเช่นกัน
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ในฐานะสถาบันอุดมศึกษารุ่นแรก
ที่ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเป็นตัวอย่างที่ดี
ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวนี้อย่างมั่นคงตลอดมา


นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงบทบาทของมหาวิทยาลัย
ซึ่งปัจจุบันจะเพิ่มขึ้นมากในสังคมโลกที่มีการแข่งขันกันอย่างมาก
ขณะนี้และในอนาคตต่อไปว่า สถาบันอุดมศึกษา
มีบทบาทสำคัญยิ่งในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ
เพราะการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันดังกล่าว
ต้องอาศัยฐานความรู้เป็นสำคัญ ขณะที่สถาบันอุดมศึกษาเอง
ก็ต้องยกระดับมาตรฐานให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติ ได้ไปพร้อมกันด้วย
ไม่ว่าจะในแง่ของการจูงใจให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษามากขึ้
หรือการแข่งขันในด้านต่าง ๆ เช่น ในทางวิชาการ ด้านกีฬา หรืออื่น ๆ เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
แม้ โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร
มหาวิทยาลัยยังคงมี
ความสำคัญอย่างยิ่งต่อสังคมและประเทศชาติ
ในการสร้างฐานความรู้
เพื่อสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาความสามารถ
ในการแข่งขันซึ่งบุคคล เหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในฐานะต่างๆ
ทั้งในภาครัฐและเอกชน สังคมและประเทศชาติ
จึงหวังว่ามหาวิทยาลัยและผู้ที่จบการศึกษาออกไปคนเหล่า
นี้จะเป็นทั้งคนเก่งและคนดี ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่
ให้มีนิสัยใฝ่รู้ มีความสามารถทั้งในการคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา
และริเริ่มสร้างสรรค์ และที่สำคัญเป็นผู้มีจิตสาธารณะ
คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
มีคุณธรรมและจริยธรรม ตลอดจนมีจิตสำนึก
และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในระดับอุดมศึกษานั้น
จะต้องผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพทั้งด้านความรู้
ความสามารถควบคู่ไปกับคุณธรรมด้านต่าง ๆด้วย
ซึ่งการสร้างคนให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี
ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย
ที่เผชิญกับปัญหานี้ เราก็จะต้องสร้างคนรุ่นใหม่
ที่เป็นทั้งคนเก่งและคนดีขึ้นมาให้ได้
เพราะหมายถึงการสร้างอนาคต
ที่มั่นคงของสังคมแล
ะประเทศชาติต่อไปด้วย


"ประเทศชาติต้องการคนดี ซึ่งหมายถึงคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริต
มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการประกอบวิชาชีพและในการดำรงชีวิต
หากประเทศมีแต่คนคดโกงหรือทุจริต ประเทศก็จะอ่อนแอ
ถ้าหากคนเรามีศีลธรรมที่ยึดเหนี่ยว
ปัญหาด้านต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบันก็คงจะน้อยลง
เราจะต้องเริ่มด้วยการสร้างจิตสำนึกร่วมกันของคนในชาติ
โดยเฉพาะต้องปรับเปลี่ยนความคิดและค่านิยมของคนไทย
เช่น ความคิดที่ว่า
"การทุจริตคดโกงเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ขอให้มีผลงาน"
หรือการมีค่านิยมยกย่องให้เกียรติคนรวย
หรือคนมีอำนาจโดยไม่สนใจว่า
ความร่ำรวยและอำนาจนั้นได้มาถูกต้องชอบธรรมหรือไม่
การมีความคิดและค่านิยมเช่นนี้
เป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชั่น
ก่อให้เกิดวงจรความเลวร้ายและกร่อน
ทำลายประเทศชาติให้อ่อนแอเสื่อมทรามลง
ผมคิดว่า ผู้ที่จบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย
ซึ่งเข้าไปเป็นกำลังสำคัญด้านต่างๆ
ของประเทศชาติดังกล่าวแล้วนั้น
สามารถจะมีส่วนสำคัญยิ่ง
ในการปลูกฝังสร้างจิตสำนึกแก่คนในชาติในเรื่องนี้ ด้วย
บุคคลเช่นท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งจะมีฐานะต่าง ๆ ต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร
ผู้ปฏิบัติงาน หรือผู้ประกอบการ
หากประพฤติปฏิบัติอย่างถูกต้อง ซื่อตรง
มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในฐานะต่าง ๆ เหล่านั้นแล้ว
ก็จะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนอื่นๆ ต่อไปด้วย" นายกรัฐมนตรี กล่าว

-------------------------------
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
วิไลวรรณ/รายงาน
พัชรี/ถ่ายภาพ



ภายหลังคดียุบพรรคประชาธิปัตย์
ในคดีเงิน 29 ล้านบาท ผ่านพ้นไป

นายกรัฐมนตรี ในขณะนี้ก็ยังชื่อ 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ'
ที่จะนำพรรคประชาธิปัตย์สู้ศึกเลือกตั้ง ในปีหน้าต่อไป
แต่อยากบอกไว้ตรงนี้ซักนิดว่า...
ขอให้ระมัดระวังในการหาเสียงเลือกตั้งซักหน่อย
เพราะกลัวมือดีอาจ
จะ
ปล่อยคลิปอะไรออกมาอีกหลังเลือกตั้ง

ซึ่งหากพบว่าเป็นการทุจริตเลือกตั้ง
งานนี้ไม่ใช่แค่ยุบพรรค


ขอยกคำวินิจฉัยข
องศาลรัฐธรรมนูญ
มาลงไว้ ณ ทีนี้อีกรอบ

ตุลาการรัฐธรรมนูญ มีมติ 4 ต่อ 2
ยกคำร้องคดีฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์

ในคดีเงินบริจาค 29 ล้านบาท
โดยวินิจฉัยในประเด็นกระบวนการยื่นคำร้อง

ให้ศาลรัฐธรรมนูญชอ
บด้วยกฎหมายหรือ ไม่
เพียงประเด็นเดียว โดยเห็นชอบว่า กกต.
ทำตามกระบวนการโดยให้นายทะเบียนพรรคการเมือง
ได้พิจารณาและส่งยื่นคำร้อง นั้นถูกต้อง
แต่โดยระยะเวลานั้นไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

ซึ่งนับจากวันที่ทราบว่า มีการกระทำความผิด
ให้ยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน แต่ กกต.ยื่นล่ากว่ากำหนด
โดยรับทราบข้อเท็จจริงต่อเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553
และเมื่อมีการไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
นับตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค. 2552 จึงเท่ากับว่า
กกต.ยื่นล่าช้ากว่ากำหนด ศาลรัฐธรรมนูญ
จึงวินิจฉัยยกคำร้องด้วยจำนวน 4 ต่อ 2
โดยใช้เวลาอ่านคำวินิจฉัยเพียงประมาณ 40 นาที

อย่างไรก็ตาม การตัดสินวันนี้เป็นแค่ยกแรก
ที่ทำให้ประชาธิปัตย์ต่อลมหายใจได้เท่านั้น
เพราะยังมีอีกคดีที่ค้างคาอยู่ คือ เงินบริจาค 258 ล้านบาท
ไม่อยากฟันธงตรงนี้ แต่บอกได้คำเดียวว่า พรรคนี้ของเขาดีจริง!!!

ชื่อ-สกุล : อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ชื่อเล่น : มาร์ค

นามแฝง/ฉายา : โอบามาร์ค

วันที่เกิด : 3 สิงหาคม 2507

ประวัติครอบครัว :
- บิดา : ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ
- มารดา : ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ
- เป็นบุตรคนเล็ก ในจำนวนพี่น้อง 3 คน
ชื่อพี่น้อง
- 1. ศ.พญ.อลิสา เวชชาชีวะ สมรสกับ นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ มีบุตรชาย 2 คน
1. นายพศุตม์ วัชรสินธุ (อะตอม)
2. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ (ไอติม)
- 2. น.ส.งามพรรณ เวชชาชีวะ
- 3. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ผศ.ดร.ทพญ.พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย (แตงโม) สมรส ปี 2531
มีบุตร-ธิดา 2 คน ชื่อ
1. น.ส.ปราง เวชชาชีวะ (มะปราง)
2. นายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ (น้องปัณณ์)

การศึกษา และดูงาน :
- ปี 2519
ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ
- ปี 2525
มัธยมศึกษาที่ Eton College ประเทศอังกฤษ
- ปี 2529
ปริญญาตรี สาขาปรัชญาการเมือง และเศรษฐศาสตร์ (PPE)
(เกียรตินิยมอันดับ 1) มหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ด
- ปี 2531
ปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
- ปี 2533
ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
(นักเรียนทุนของมหาวิทยาลัย)
- ปี 2549
ปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตำแหน่งปัจจุบัน :
- 5 มีนาคม 2548
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
- 23 ธันวาคม 2550
ส.ส. ระบบสัดส่วน กลุ่ม 6 พรรคประชาธิปัตย์
- 17 ธันวาคม 2551
นายกรัฐมนตรี คนที่ 27

การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่ :
- 2530-2531
อาจารย์ประจำ (ยศร้อยตรี) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า(จปร.)
เขาชะโงกจังหวัดนครนายก
- 2532
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- 22 มีนาคม 2535
ส.ส. กทม. เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่ 1
- 13 กันยายน 2535
ส.ส. กทม. เขต 6 พรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่ 2 (ยุบสภา 19 พ.ค.2538)
- 13 ตุลาคม 2535
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ลาออก 13 ต.ค.2537)
- 19 ตุลาคม 2535
กรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
- 15 ตุลาคม 2535
กรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน
- 25 ตุลาคม 2535
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รัฐบาล นายชวน หลีกภัย)
- 16 ธันวาคม 2537
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง
- 2 กรกฎาคม 2538
ส.ส. กทม. เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่ 3 (ยุบสภา 27 ก.ย.2539)
- 8 สิงหาคม 2538
ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา
- 17 พฤษภาคม 2539
กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
- 17 พฤศจิกายน 2539
ส.ส. กทม. เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่ 4
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
- 19 ธันวาคม 2539
กรรมาธิการการเศรษฐกิจ
- 14 พฤศจิกายน 2540
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- 6 มกราคม 2544
ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ (สมัยที่ 5)
- 20 เมษายน 2546
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
- 10 กุมภาพันธ์ 2548
รักษาการ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
- 6 กุมภาพันธ์ 2548
ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์
- 5 มีนาคม 2548
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
- 23 เมษายน 2548
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
- 23 ธันวาคม 2550
ส.ส. ระบบสัดส่วน กลุ่ม 6 พรรคประชาธิปัตย์ 2 กลุ่ม 6
( กทม.นนทบุรี, สมุทรปราการ)
- 27 กุมภาพันธ์ 2551
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
- 17 ธันวาคม 2551
นายกรัฐมนตรี คนที่ 27

อื่น ๆ : ผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)




Nov 26, 2010

ทีมวิ่งผลัด 4 คูณ 100 เมตรหญิงไทย ระเบิดฟอร์มสุดยอด


ทีม วิ่งผลัด 4 คูณ 100 เมตรหญิงไทย ระเบิดฟอร์มสุดยอด
โกยไม้สุดท้ายโค่นเจ้าภาพ จีน
คว้าเหรียญทองเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16

ที่เมืองกวางโจว ประเทศจีน วันที่ 26 พฤศจิกายน
สาวไทยที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะ เลิศ
ด้วยสถิติดีที่สุด
ลงสนามในลู่ 4
ขนาบด้วยสองคู่แข่งสำคัญจีนและญี่ปุ่น

วางตัวภัสสร จักษุนิลกร เป็นไม้แรกออกสตาร์ท
ตามญี่ปุ่นและจีนพร้อมทั้งมีปัญหาเล็กน้อยในการส่งไม้
ให้ณีรนุช กล่อมดี

ณีรนุชโกยสุดแรงเกิดส่งต่อให้ลภัสกร ถาวรเจริญ
เร่งความเร็วไม่คิดชีวิตแซงญี่ปุ่น
ไปอยู่อันดับสองตีไม้ให้นงนุช แสนราช

ตามหลังจีน ประมาณ 3 ก้าว นงนุช
เร่งฝีเท้าเต็มเหยียดแซงจีนช่วง 30 เมตรสุดท้าย
และทิ้งห่างเข้าเส้นชัยไปแบบสบายๆ
คว้า เหรียญทองไปครองด้วยเวลา 44.09 วินาที
เป็นเหรียญทองเหรียญที่ 10 ของทัพนักกีฬาไทย
ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 16
เหรียญเงิน จีน 44.22 วินาที
เหรียญทองแดง ญี่ปุ่น 44.41 วินาที

Nov 25, 2010

ธีรมหาราชรำลึก


ธ เสด็จสวรรคตคล้อย ครบวัน นี้นา
ฉัฎฐธีรมหาราชัน เลื่องหล้า

ยอดปราชญ์ฉลาดสรรพ์ ศิลป ศาสตร์เฮย
เทิดพระเกียรติเกริกฟ้า โลกซ้องสรรเสริญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้า
หนังสือพิมพ์
"ไทยรัฐ"
(รพินทร์ พันธุโรทัย ร้อยกรอง)


http://teetwo.blogspot.com/2009/11/100.html

วันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปี ตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

ซึ่งทรงประกอบพระราชกรณียกิจที่เป็นประโยชน์

อย่างมากมายมหาศาลต่อประเทศชาติ

ทั้งในด้านการคมนาคม การปกครอง กิจการเสือป่าและลูกเสือ


รวมทั้งด้านศิลปวัฒนธรรม และด้านวรรณคดี

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน

ภายในพระบรมมหาราชวัง
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 เวลา 1 นาฬิกา 45 นาที

โดยได้อัญเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทรวม

พระชนมพรรษาได้ 45 พรรษา
และเสด็จดำรงสิริราชสมบัติได้ 15 พรรษา

แต่รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชประสงค์
กำหนดวันสวรรคตของรัชกาลที่ 6

เป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน
และถือว่าวันพระมหาธีราชเจ้า ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายน


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง
ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา
ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การศึกษา
การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุด คือ
ด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์
ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง
กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า
"สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน
พระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล
แต่ได้ทรงมีการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง
หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ขึ้นแทน
ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้ว
และการสร้างอารามในสมัยก่อนนั้นก็
เพื่อบำรุงการศึกษาของเยาวชนของชาติ
จึงทรงมีพระราชดำริให้สร้างโรงเรียนขึ้นแทน

พระบรมราชานุสาวรีย์แห่ง แรกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2485 ประดิษฐาน ณ สวนลุมพินี
ซึ่งเป็นบริเวณที่ดินส่วนพระองค์ ที่พระราชทานไว้เป็นสมบัติของประชาชน
เพื่อจัดงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ แสดงสินค้าไทยแก่ชาวโลกเป็นครั้งแรก
เพื่อบำรุงเศรษฐกิจและพาณิชยกรรมของประเทศ
และทรงตั้งพระราชหฤทัยว่า เมื่อเสร็จงานแล้ว
จะพระราชทานเป็นสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจแห่งแรกในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ ในวันคล้ายวันสวรรคตของทุกปี วันที่ 25 พฤศจิกายน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรื อผู้แทนพระองค์
จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางพวงมาลา ถวายบังคมพระบรมราชานุสาวรีย์
ณ สวนลุมพินี มีหน่วยราชการ หน่วยงานเอกชน นิสิตนักศึกษา
พ่อค้าประชาชนจำนวนมากไปวางพวงมาลาถวายราชสักการะ

ในพ.ศ. 2524 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์
และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)

ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ว่าทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรม
ในฐานะที่ทรงเป็นนักปราชญ์ นักประพันธ์ กวี
และนักแต่งบทละครไว้เป็นจำนวนมาก








Nov 24, 2010

"ในหลวง ร.๙" เสด็จเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์-สะพานภูมิพล 1,2





ภาพ มติชน
(23พ.ย.) นายวิชาญ คุณากุลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท
เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (24 พ.ย.53) เวลา 17.30 น.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนิน
โดยเรือพระที่นั่งอังสนา

เป็นการส่วนพระองค์เพื่อทรงเปิด
สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2

หรือ สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม
และทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์
อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

รวมถึงทรงทอดพระเนตรภาพยนตร์เกี่ยวกับ
การก่อสร้างสะพานฯ และประตูระบายน้ำ

โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อธิบดีกรมทางหลวงชนบท

อธิบดีกรมชลประทาน คณะผู้บริหารระดับสูง
ข้าราชการ เฝ้ารับเสด็จ


สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 เป็นโครงการอัน
เนื่องมาจากพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้ก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2538
เพื่อเป็นโครงข่ายถนนรองรับการขนถ่ายลำเลียงสินค้า

จากท่าเรือกรุงเทพต่อ เนื่องไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรม
ในจังหวัดสมุทรปราการ

และภูมิภาคอื่นๆของประเทศ เพื่อมิให้รถบรรทุกวิ่งเข้าไปในตัวเมือง
หรือทิศทางอื่น ซึ่งเป็นสาเหตุของการจราจรติดขัดโดยรอบ


ทั้งนี้ไม่เพียงแต่การกระจายการจราจรไปยังทิศทางต่างๆ
แต่ยังเชื่อมระหว่างเขตราษฎร์บูรณะและเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร
กับ อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดเข้าด้วยกัน
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานชื่อสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาทั้ง 2 แห่ง

โดยด้านทิศเหนือเชื่อมกรุงเทพมหานครกับจังหวัดสมุทรปราการ
ว่า “สะพานภูมิพล 1” ส่วนด้านทิศใต้เชื่อมอำเภอพระประแดง
กับตำบลสำโรงใต้ ได้รับพระราชทานชื่อว่า “สะพานภูมิพล 2”
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2552

สำหรับโครงการถนนวงแหวนอุตสาหกรรม
ประกอบด้วยส่วนที่เป็นถนนวงแหวนเชื่อมโยงพื้นที่
ย่านอุตสาหกรรมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

กับท่าเรือคลองเตย ความยาวรวมประมาณ 25 กิโลเมตร
ส่วนที่กรมทางหลวงชนบทดำเนินการก่อสร้างคือ
สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 2 สะพาน

ต่อเนื่องกันบริเวณคอคอดของแม่น้ำเจ้าพระยา
เพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อกัน

ระหว่างฝั่งถนนพระราม 3 กับฝั่งถนนปู่เจ้าสมิงพราย
ทำให้โครงข่ายถนนวงแหวนอุตสาหกรรมเกิดความต่อเนื่องครบวงรอบ
โดยมีรูปแบบเป็นสะพานขึง ตัวสะพานมีความกว้าง 7 ช่องจราจร
ความยาวรวมประมาณ 4.2 กิโลเมตร นอกจากนี้
บริเวณจุดต่อเชื่อมระหว่างสะพานทั้ง 2 แห่ง
จะมีทางแยกเป็นทางยกระดับ ความกว้าง 4 ช่องจราจร
ความยาวประมาณ 2.2 กิโลเมตร ไปบรรจบกับถนนสุขสวัสดิ์
ทางทิศตะวันตกด้วย ซึ่งใช้งบประมาณ
ในการก่อสร้างทั้งสิ้นรวม 8,739 ล้านบาทเศษ

โดยก่อสร้างแล้วเสร็จและ
ทดลองเปิดใช้สัญจรเมื่อปี 2549 จนถึงปัจจุบัน







Nov 20, 2010

รายการ THE IDOL คนบันดาลใจ – แพท สุธาสินี พุทธินันท์





















แพท-สุธาสินี พุทธินันทน์

ทายาทของตำนานแห่งวงการเพลงไทยอย่าง
เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ ที่เรียกได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
ด้วยพลังเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่เรียกว่าหาตัวจับได้ยาก
จึงทำให้เธอมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งงานเพลงและการแสดง บางคนอาจคิดว่า....
ที่เธอพาตัวเองเข้ามาสู่วงการเพลงนั้น
เพียงเพราะเธอต้องสานต่อความมุ่งมั่นของพ่อ
แต่แท้ที่จริงแล้วเธอเองต่างหากที่หลงใหลเสน่ห์ของวงการนี้ มาตั้งแต่เด็กแบบไม่รู้ตัว








ดนตรีคือธุรกิจ เรวัต พุทธินันทน์ และ เต๋อ 3



http://www.facebook.com/rewat.forever


ข้อมูลจาก: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=110468
ขอบคุณ http://www.oknation.net/blog/kilroy

เรื่องจาก The Quiet Strom ฉบับที่ 63
ประจำเดือนกันยายน 2529
ทุกสิ่ง ที่ เรวัต พุทธินันทน์ หรือ เต๋อ
ได้ค้นพบยังไม่พอกับขั้นตอนที่เขาได้วางไว้กับตัวเอง

ผลงานชุด เต๋อ 3 จึงได้เสริมเข้ามาอีก
เพื่อเป้าหมายในความปรารถนา
อันสูงสุดต่อวงการเพลงเมืองไทย

ลึกซึ้งไปกว่าพื้นผิวภายนอกเต๋อรู้สึกตัวเองดีว่า
เขากำลังถูกประณามจาก
นักฟังเพลงไทยบางกลุ่ม ด้วยที่ว่า

ลักษณะหลายเพลงในชุด เต๋อ 3
มีเค้าโครงจากเพลงสากลเกาะติดมามากทีเดียว

แต่เพื่อเป้าหมายที่ได้วางไว้
เต๋อก็ยอมรับและชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้


"ผมเป็นคนที่ไม่เคยหลอกตัวเอง
มันเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงมาก

เพลง สมปองน้องสมชาย
มีคนมากระแนะกระแหนผมว่า
เฮ้ย...มันเป็นเพลง The Cisco Kid"


เพลง The Cisco Kid
เป็นเพลงฮิตระเบิดในบ้านเราในอดีต

ซึ่งเป็นผลงานของวง The War ออกมาเมื่อปี 1972
บรรจุอยู่ในอัลบั้มชื่อ The World Is A Ghetto
ขณะเพลงนี้กำลังดังนั้น
เต๋อก็คงอยู่ในฐานะนักดนตรี
ตามไนต์คลับธรรมดาคนหนึ่ง

และแน่นอนวงของเขา
เข้าใจว่าเป็นวง Oriental Funk ก็ต้องเล่นเพลงนี้

เพราะเต๋อเป็นนักดนตรีไทย
ในจำนวนไม่กี่คนที่ชอบเพลงในแนวฟังกี้อย่างนี้


"ผมถือว่าทุกคนต้องมีอิทธิพลผลักดันอยู่ข้างหล้ง
เมื่อมีคนมาว่าอย่างนี้
โอ้โฮ...ผมยืนยันได้เลยว่า

ผมหยิบทำนอง The Cisco Kid
มาใส่ร้อยเปอร์เซนต์หรือ

เพลง ไม่สายเกินไป ก็เอามาจาก
เพลง Smooth Operator (Sade)

เจตนารมณ์ ชัดเจนมากเพราะ
เพลงไทยเป็นแบบเพลงฝรั่งร้อยเปอร์เซ็นต์

ไม่มีข้อแตกต่าง

ถ้าตีกรอบก็ต้องร้องน้อยหน่อย ๆ ๆ ๆ ๆ กันตลอดซิ
ผมยอมรับทุกอย่าง"

เต๋อไม่มีเค้าของการเสแสร้งหรือ
แววสะทกสะท้านปรากฏให้เห็น
เขาเป็นคนจริงพอ
ในการยอมรับการกระทำของตนเอง
"ระหว่างของเก่ากับของใหม่
คือการเติบโต สมปองเป็นแนวของ The War ครับ
คือผมบอกได้ว่าผมเป็นคนคิด ใครบอกว่าผมลอกมา
ผมเปล่าฮะ ผมหยิบส่วนดีของ The Cisco Kid มาใส่
ทำเรียบเรียงทุกอย่างใหม่หมด
ของผมทำดีกว่า The Cisco Kid ชัวร์เลย"



หรืออย่างเพลง
ด้วยรักและผูกพัน ของ ธงไชย แมคอินไตย์

เต๋อก็ยอมรับว่า

มันมีความคิดเดียวกับเพลง
You’ve Got A Friend ของ James Taylor แน่นอน

แต่นั่นมันเป็นความคิดของคนทั่วโลก
มันคือความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง

เต๋อถึงได้บอกเจตนา
ในการทำเพลงออกมาในรูปแบบนี้ว่า


"ผมหวังเพื่อจะพัฒนาวงการเพลง
ถึงตอนนี้ผมทำได้แล้ว
ผมบอกแล้วไงว่า
ผมค้นพบแล้ว

กลุ่มผู้ฟังระดับล่างยอมรับผม

ผมทำตัวเป็นสะพานทอด
ให้กลุ่มผู้ฟังระดับนี้ได้สำเร็จแล้ว"


ความสำเร็จที่เต๋อได้จากชุด เต๋อ 3
มีรายงานข่าวลับสุดยอด
จากแหล่งข่าวของ Quiet Strom

ที่แฝงร่างอยู่ในบริษัทแกรมมี่ กระซิบบอกว่า
ยอดจำหน่ายเทปชุดนี้ผ่านสู่หลักแสนไปแล้ว
ต่างจากสองชุดที่แล้วมา
ซึ่งรวมยอดขายแล้วยังไม่ได้ถึงครึ่งของเทปชุดนี้


หากมองถึงผลงานชุดนี้ของเต๋อ

คงดูได้จากสัญลักษณ์จากปกเทป ซึ่งเป็นรูปเต๋อ
ในมุมแสงบางส่วนสว่าง และบางมุมมืด
นั่นมีความหมายว่า
ผลงานชุดนี้ไม่ใช่การสร้างจากเขาเพียงคนเดียว
เพราะดนตรีเกือบทุกเพลง
เขาแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องเลย

โดยมีนักดนตรีฝีมือดีอันเป็นทีมงานมาแต่เริ่ม
เป็นผู้รับผิดชอบไป ดังมีรายชื่อ
บอกไว้ว่ามี วิชัย อึ้งอัมพร, ไพฑูรย์ วาทยะกร,

จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร และ อัสนี โชติกุล
อย่างไรก็ตาม
เต๋อก็ยังเป็นคนที่วางแนวดนตรีตามที่เขาต้องการไว้

เพียงแต่เขาเป็นคนที่ฉลาดต่อการใช้คน
ให้เหมาะสมกับความสามารถแต่ละคนเท่านั้น

สำหรับด้านเนื้อเพลง เต๋อเป็นคนเขียนเองทั้งหมด
เพลงฮิตตอนนี้ที่ทุกคนรู้จักกันดี
สมปองน้องสมชาย

เต๋อเล่าว่า

"เพลงนี้มาจาก เต๋อ 2 แต่มันยังไม่ลงตัว
ความคิดแรก
ทำไมคนต่างจังหวัด
จึงมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ ทำไม

แก้ไขได้หรือไม่
เขามาทำอะไร แล้วได้อะไร
คิดยังไง
ผมได้คำตอบว่าทำไมเขาถึงมากัน

ผมชัดเจนทุกอย่างตั้งแต่ เต๋อ 2 แล้ว

ที่ไม่ลงตัวไปติดที่ว่า
ถ้าจะเล่าจะเล่ายังไง
เล่ากันตั้งแต่ต่างจังหวัด
หอบของขึ้นรถไฟ
มาลงหัวลำโพง

โอ๊ย !!! เชยฉิบ จะบ้าหรือวะ !
ก็พักไว้แล้วกลับมาคิดใหม่
แก้ไขไป

แน่นอนมันต้องมีตัวละครอยู่แล้ว
ผมคิดขึ้นมาว่า
ให้มันเป็นสมปองก็แล้วกัน

เอ๊ะ หญิงหรือชายดี
เอามันไม่มีเพศ
เดินไปเลย

คิดเอาเอง
เพราะฉะนั้น
สมปองอายุ 14-15

ว๊า ! จืด ไปอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นต้องมี
คนมาบ่งบอกว่าเป็นเด็ก

เพราะฉะนั้นเป็นพี่ก็แล้วกัน
อีกทีขนาดเป็นน้อง
แล้วยังเข้ามาอีก

นี่มันเป็นแก๊ก
ที่จริงตรงนี้มันรุนแรง
มันเป็นทัศนคติของเด็ก

ที่กำลังเติบโตในต่างจังหวัด

ข้อห้ามที่ไม่ให้เข้ากรุงเทพไม่ได้

ก็เพราะไม่มีเงิน มาทำอะไร
ทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นคนงาน
เพราะคุณไม่มีข้อต่อรอง
ไม่มีเงื่อนไข
คุณจะไปได้อะไร
นอกจากเงินเดือนน้อย

แต่ก็หวังว่าจะดีขึ้น"

อีกเพลงที่ใช้ในการโปรโมท ไม่สายเกินไป
เต๋อก็ชื่นชมกับผลงานของตัวเองเอามาก เขาบอกว่า

"ปรัชญาคนรักกัน
ทุกคนต้องกระทบกันเมื่ออยู่ใกล้กัน

เป็นเรื่องปกติของคนรักกันทุกคู่ในโลก
เมื่อรักกันแรก ๆ
ทั้งคู่จะให้ซึ่งกันและกัน

ต่างคนต่างยอมเสีย
บางสิ่งบางอย่างของตนเอง

เมื่อความรักจืดจางลงไป
ความเป็นตัวของตัวเอง
ก็จะเริ่มแสดงออกมามากขึ้น

แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างปรับใจเข้าหากัน
ปัญหาก็จะสามารถคลี่คลายไปได้
ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับคนสองคนนี้ด้วยว่า
รักกันจริงแค่ไหนและรักกันจริงรึเปล่า"

หรืออีกเพลง สองเราเท่ากัน ดนตรีเพลงนี้เป็นฝีมือของ
วิชัย อึ้งอัมพร ซึ่งดูช่วงอินโทรจะเป็นคล้อง
คล้ายกับเพลง Drive ของวง The Cars
แต่ทั้งหมดแล้วก็คือ
ความพอใจของเต๋ออย่างมากเหมือนกัน

สิ่งแรกก็คือเขาภูมิใจ คือ
มันคือความแปลกใหม่ในวงการเพลงไทย

เขาบอกว่ามันไม่ใช่ความใหม่ของวงการเพลงในโลก
แต่มันเป็นความใหม่ในวงการบ้านเรา

"ผมกล้าพูดได้ว่า
ผมเป็นคนแรกที่กล้าพูดด้วยเพลง

ผมพูดมันเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะไปเลย
เพราะเพลงไม่จำเป็นจะต้องร้องหมด
พูดก็ได้เพราะเพลงต้องการสร้างสรรค์ไงละครับ
ถ้าพูดหมดมันก็เลื่ยน"

สำหรับเนื้อหา
ก็นับว่าเป็นความคิดอันแปลกใหม่

และใจกว้างของผู้ชายทุกวันนี้
เต๋อเสนอความคิดต่อเรื่องสิทธิสตรี
ได้อย่างผู้หญิงทุกคนต้องศรัทธา


"ในทัศนคติส่วนตัว คิดว่า
ถ้าผู้หญิงผู้ชายต่างคิดว่า เราเท่ากัน

ชีวิตคู่ก็จะยืนยาวขึ้น
เพราะเมื่อคิดได้อย่างนี้
สองคนก็จะช่วยกันทุกรูปแบบ

โดยไม่มีการเกี่ยงกันว่า
ใครอยู่ตรงไหน

ข้างหน้าข้างหลัง
หรืออันนี้อันไหนหน้าที่ใคร"


เมื่อ เต๋อ 3 ผ่านพ้นไป
ขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็ต้องสิ้นสุดลง

ต่อไปถึงเวลาของคน
ชื่อเต๋ออย่างแท้จริง

รูปปกเทปถ้าเป็นรูปใบหน้าของเขาอีก
ก็ควรจะไม่มีแสงมืดมาบดบังอีก
เขาบอกว่า


"ชุดต่อไปต้องเป็นตัวผมเองร้อยเปอร์เซนต์แล้ว
ทำทุกอย่างที่ตามใจผมทั้งหมด
เพราะผมได้ปูพื้นให้แก่คนฟังไว้ถึง 3 ชุด
ในเวลาที่ผ่านมา 3 ปี
แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีรูปร่างยังไง

มันอาจจะออกมาโคตรตลาดเลย

แต่ตลาดนั้นต้องมีคุณภาพ
คือบทเพลงเราต้องการอะไร
ต้องมีความรู้และความเข้าใจในดนตรี
มีเจตนารมณ์"


ในฐานะของเต๋อทุกวันนี้
คือตัวจักรสำคัญในบริษัทแกรมมี่

เขาสร้างความสำเร็จให้กับบริษัทเทปแห่งนี้อย่างสูง
อย่างเช่นล่าสุดกับชุด หาดทราย สายลม สองเรา ของ ธงไชย แมคอินไตย์
หรือกับคนอื่น ๆ เพลงที่เป็นผลผลิตจากเขา

มักจะออกมาในแนวป๊อปที่ฟังง่าย

แต่ทั้งหมดก็ยังคงคุณภาพที่ดีกว่าเพลงไทยใน
ยุคนี้มาก หน้าที่และชีวิตของเราจึง
ผูกพันกับศิลปะและธุรกิจในสัดส่วนที่เท่ากัน

"ผมเห็นว่าดนตรีก็คือธุรกิจ
ถ้าดนตรีต้องการสื่อสารคนหมู่มากแล้ว
คำว่าธุรกิจไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ชีวิตคือธุรกิจครับ"






Nov 19, 2010

5 มุมมอง “พอเพียง” ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย



ศ. น.พ. เกษม วัฒนชัย
องคมนตรี
ได้ถ่ายทอดมุมมอง สะท้อนความเข้าใจของคำว่า
“ปรัชญาความพอเพียง”
ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริงในการดำเนินชีวิต
การทำธุรกิจ และการนำไปใช้ในพัฒนาประเทศ
โดยได้ตอบคำถาม กับนิตยสาร “POSITIONING”
ในประเด็นที่น่าสนใจ ในช่วงปาฐกถาพิเศษใน
งานสัมมนาสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2549
ซึ่งจัดขึ้นในหัวข้อ “เศรษฐกิจพอเพียง สู่สังคมอยู่เย็นเป็นสุข”

การดำเนินชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ควรเริ่มต้นอย่างไร

ถ้าเป็นตนเองแล้ว เราต้องมีศรัทธาความเชื่อก่อน
เริ่มต้นต้องคิดให้เป็นก่อน เมื่อเข้าใจแก่นแท้ของความพอเพียง
แต่ละคนจะสามารถนำไปปรับใช้ได้เอง อยู่ที่ว่า
แต่ละคนนำไปใช้อย่างไร ปรัชญาพอเพียงสอนให้เรา
พึ่งตนเองให้ได้ก่อน ไม่รอความช่วยเหลือ
มีเหตุมีผลในการมีสติว่าเราทำอะไรอยู่ เช่น
เรามีเงินเดือน 20,000 บาท แต่ไปซื้อรถราคา 8-9 แสนบาท
ถือว่า เราไม่พอเพียง ทำเกินกำลัง แต่เราซื้อคันละ 5 แสน
ไม่เป็นหนี้มาก ก็พอไหว แสดงว่า เรามีสติ
แค่นี้เราก็ใช้ความพอเพียงในการดำเนินชีวิตแล้ว

ในส่วนองค์กรเอง เริ่มนำไปปรับใช้ได้ เช่น
การจัดกิจกรรมปรับพื้นฐานจิตใจของคนในองค์กรอย่างต่อเนื่อง
หรือแม้แต่ในโรงเรียนก็ใช้เป็นแบบเรียน
ฝึกให้เด็กพอเพียงด้วยการจดบันทึกว่า แต่ละวัน
แต่ละสัปดาห์ใช้ความพอเพียงอย่างไรบ้าง
เพื่อปลูกฝังเขาตั้งแต่เด็ก

เศรษฐกิจพอเพียง จำเป็นต้องปฏิเสธ
กระแสโลกาภิวัตน์ภายนอกด้วยใช่หรือไม่

พระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งชัดเจน
ให้เราติดตามกระแสความเปลี่ยนแปลงจากโลกภานอกอย่างใกล้ชิด
ท่านไม่ได้บอกว่า ให้เราต่อต้านโลกภายนอก
ทุนนิยมภายนอกประเทศ แต่เป้าประสงค์ของเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
เพื่อให้การดำรงชีวิตและการพัฒนาประเทศเป็นไป อย่างพอเพียง
และก้าวทันโลกาภิวัตน์ ไม่ใช่การวิ่งหนี ปฏิเสธโลกภายนอก
ต้องนำเอากระแสภายนอกมาปรับใช้อย่างมีสติ
มีเหตุมีผล เหมาะกับวิถีชีวิต และสังคมไทย
เมื่อทำได้ ความพอเพียงจะทำให้เกิดความสมดุลชีวิต
สมดุลองค์กร จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

เศรษฐกิจพอเพียง ขัดต่อหลักการธุรกิจ ที่เน้นการหากำไรหรือไม่

ไม่ขัดต่อการแสวงหากำไรขององค์กรธุรกิจเลยแม่แต่น้อย
การใช้ปรัชญานี้ไม่ได้บอกว่าไม่ให้รวย แต่ให้รวยได้แต่อย่าขี้โกง
รวยได้โดยใช้หลักธรรมะ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เช่น
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ สินค้าที่ผลิตออกมา
ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะบางบริษัทผลิตสินค้า
โดยลดต้นทุนแต่เพิ่มราคาสินค้า เพราะต้องการกำไรเพิ่มขึ้น
อย่างนี้ถือว่าไม่มีคุณธรรม

แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มีความแตกต่างจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลักอย่างไร

เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก เป็นเรื่องของทุนนิยมเสรี
เชื่อว่าคนต้องพัฒนาสูงสุดตั้งแต่การเลี้ยงดูที่ดี
มีระบบการศึกษาที่สร้างรากฐานให้คนก้าวหน้า
มีระบบสาธารณสุขที่สมบูรณ์ เป็นเศรษศาสตร์ที่เชื่อในศักยภาพของคน
การขับเคลื่อนด้วยกระแสทุนนิยมที่ผ่านมาหลายๆ
ประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทย ทำให้มีโมเดลเหมือนกัน คือ
เป็นรูปสามเหลี่ยมหัวกลับ ในกรณีของประเทศไทย
คนรวยที่มีอยู่ 20% ของประชากรทั้งหมด
ครอบครองทรัพย์สินถึง 58% ถัดลงมาคือ
ชนชั้นกลางที่มีจำนวน 60% ของประชากรทั้งหมด
ครอบครองทรัพย์สิน 38%
สำหรับคนจนที่มีจำนวน 20% ของประชากร
ครอบครองทรัพย์สินเพียง 3.9% เท่านั้น

ดังนั้นทุนนิยมเสรีที่ดีนั้น ต้องถูกกำกับด้วย
ธรรมมาภิบาล หมายถึง คนที่จะนำพาประเทศไปให้ดีนั้น
ต้องมีหลักคุณธรรม เช่น ความมีเหตุมีผล
ความรู้จักพอประมาณ ไม่โลภ ไม่สุดโต่ง
อยู่ในกลไกการทำงานด้วย
จึงจะทำให้เศรษฐศาสตร์กระแสหลักขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปสามเหลี่ยมหัวกลับที่เกิดขึ้น วันหนึ่งอาจจะกลายเป็น
รูปสี่เหลี่ยมคางหมู คนจนจะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
กับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง

ปรัชญาของความพอเพียงจะเกิดผลอย่างไร
หากนโยบายนี้ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง


โมเดลที่จะเกิดขึ้น คือ บุคคลพอเพียง
– ครอบครัวพอเพียง – หมู่บ้านพอเพียง – ตำบลพอเพียง
– อำเภอพอเพียง – จังหวัดพอเพียง – ประเทศพอเพียง
ซึ่งเราคาดหวังว่าในอนาคตจะเกิดขึ้น
ซึ่งจะนำมาสู่ความเข้มแข็ง โดยต้องเริ่มจาคนในประเทศก่อน
เมื่อคนรู้จักแก่นแท้ของความพอเพียง
คนในประเทศจะมีภูมิคุ้มกัน
หรือวัคซีนป้องกันกับปัญหาต่างๆ เช่น
วัคซีนป้องกันวัตถุนิยม บริโภคนิยม และเมื่อคนเข้มแข็ง
จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมแข็งแรง
และขยายสู่รากฐานอันแข็งแรงของประเทศต่อไป



มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
( http://www.utcc.ac.th )

จัดพิธีประสาทปริญญาบัตรแก่
ผู้สำเร็จการศึกษาประจำปีการศึกษา 2552
โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรี
เป็นประธานในพิธีประสาทปริญญาบัตร ในวันที่ 19-20 พฤศจิกายน 2553
ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งในปีนี้มีผู้สำเร็จการศึกษาทั้งสิ้น 4,345 คน
โดยแยกเป็นระดับบัณฑิต 3,843 คน และระดับมหาบัณฑิต 502 คน





รศ.ดร.จีรเดช อู่สวัสดิ์ อธิการบดี กล่าวว่า
“ต้องขอแสดงความยินดี กับบัณฑิตและมหาบัณฑิตทุกท่าน
การที่ท่านทั้งหลายสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ซึ่งเป็นสถาบัน การศึกษาชั้นนำด้านธุรกิจ นับเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า
บัดนี้ท่านพร้อมที่จะก้าวสู่โลกธุรกิจอย่างเต็มภาคภูมิ
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นหรือการมุ่งประกอบสัมมาอาชีพ
ผมมั่นใจว่าคุณภาพวิชาการที่มีความเป็นเลิศในระดับสากล
ประกอบกับ
ระบบการ เรียนการสอนที่นี่
จะทำให้ท่านเป็นผู้ที่ถึงพร้อมทั้งความรู้ ทักษะ ตลอดจนจริยธรรมได้เป็นอย่างดี”

Nov 17, 2010

คุยกับสถาปนิกต้นแบบ

Conversations with Architects Series vol.6: คุยกับสถาปนิกต้นแบบ
ราคา 219 บาท

http://www.facebook.com/pages/Li-Zenn-Publishing-Limited/119829358032875

http://teetwoblog.webs.com/doc25530518165943.pdf


‘สำนักพิมพ์ ลายเส้น’ ตั้งใจจัดพิมพ์หนังสือ ‘คุยกับสถาปนิกต้นแบบ’
โดยคาดหวังไว้ว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นบันทึกของบทสนทน
ในเนื้อหางานสถาปัตยกรรมในประเทศไทย
ที่ถูกถ่ายทอดผ่านความคิดที่ตกผลึกแล้ว
ของสถาปนิกต้นแบบกลุ่มหนึ่งที่ได้รับ
การยอมรับโดยทั่วไปว่ามีคุณูปการ
ในการพัฒนาวิชาชีพสถาปนิ
กในประเทศไทยมา
อย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี


เราจึงอยากเชิญชวนสถาปนิกทุกท่าน
โดยเฉพาะสถาปนิกรุ่นลูกรุ่นหลาน
ที่ปัจจุบันได้รับการเปิดโลกทัศน์ด้วยสื่อหลากหลายประเภท
และเชิดชูสถาปนิกต่างประเทศในการสร้างแรงบันดาลใจ
ได้หันมามองเห็นศักยภาพทางความคิด
และการต่อสู้ชีวิตของสถาปนิกในประเทศไทย
ซึ่งน่าจะเป็น ‘ต้นแบบ’ ในการนำแนวคิดเหล่านั้น
ไปปฏิบัติได้จริงในการประกอบสัมมาอาชีพ
และเป็นแรงใจที่ดีในการช่วยกัน
สร้างมาตรฐานการทำงานให้เป็นที่ประจักษ์สืบไป


ชัชวาลย์ พริ้งพวงแก้ว
ประธานกรรมการผู้ถือหุ้น บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด


    "สถาปนิกไทยต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินไทย ในอดีตเราเคยเป็นลูกน้องเขา
    ถึงเวลาแล้วที่คนต่างชาติก็มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นลูกน้องคนไทยได้เหมือนกัน"

ธีรพล นิยม
ผู้อำนวยการ อาศรมศิลป์สถาปนิกชุมชนและสิ่งแวดล้อม


"สถาปัตยกรรมทุกชิ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาด แต่ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่า
ฉะนั้น เราต้องหาคุณค่าของงานที่เราทำให้เจอ แล้วก็ตั้งใจทำให้บรรลุ"



เยี่ยม วงษ์วานิช
กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 110 จำกัด

"สถาปนิกส่วนใหญ่คงไม่มีใครอยากหยุดทำงาน
ถ้าคนที่ร่วมทำงานด้วยยังเห็นคุณค่าของเรา"



Robert G. Boughey
Managing Director,
Robert G. Boughey and Associates Co., Ltd.


"You really have to know the contry well
to design somthing successful and approproate."



ดร. สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา
ศิลปินแห่งชาติ สาขาสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ปี 2541


"สถาปัตยกรรมเป็นกวีนิพนธ์
ซึ่งใช้เหล็ก ปูน ไม้ แก้ว เป็นสร้อยคำ"



ศาสตราจารย์เกียรติคุณ อรศิริ ปาณินท์
ศาสตราจารย์พิเศษกิตติมศักดิ์
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ และ ม.ศิลปากร


"คงจะอยู่วงการนี้ไปจนตาย
ส่วนใหญ่สถาปนิกก็ทำงานจนวันตายทั้งนั้น"

เจาะใจ "รังสรรค์ ต่อสุวรรณ" สถาปนิกผู้ทรงอิทธิพล
เบื้องหลังคดีอื้อฉาว ตึกสูงที่สุดในโลก พระเครื่อง








"รังสรรค์ ต่อสุวรรณ" เปิดใจครั้งแรก หลังจากปิดปากเงียบมาอย่างยาวนาน
ครั้งนี้ สถาปนิกผู้ทรงอิทธิพล เผยความในใจเรื่องวิชาชีพสถาปนิก
คดีจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา ความใฝ่ฝันเรื่องตึกสูง 180 ชั้น และการวางมือ

21 กันยายนที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับศาลชั้นต้น ยกฟ้อง
รังสรรค์ ต่อสุวรรณ คดีจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา
ก่อนหน้านี้ ศาลอาญาสั่งจำคุก สถาปนิกรุ่นใหญ่ 25 ปี
มาวันนี้สิ่งที่"รังสรรค์"รอคอยมาตลอด 17 ปีกำลังถูกเปิดเผย
ก่อนหน้านี้ เพียงไม่กี่วัน หนังสือ
"คุยกับสถาปนิกต้นแบบ"
CONVERSATIONS WITH ARCHITECT S SERIES
ได้วางจำหน่าย หนึ่งในสถาปนิกต้นแบบมีชื่อ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ


ประชาชาติธุรกิจ ได้รับอนุญาตจาก บรรณาธิการ "ประภากร วทานยกุล"
สำนักพิมพ์ ลายเส้น (Li-Zenn Publishing Limited)
นำบทสัมภาษณ์ บางส่วน มาเผยแพร่

ต่อไปนี้คือ บทสัมภาษณ์ของ"รังสรรค์" ครั้งแรก
หลังจากเขา ปิดปากเงียบมาตลอดหลายปี
ความน่าสนใจของบทสัมภาษณ์ สะท้อนมุมมอง มากมาย
สถาปนิกที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของวงการ
ชื่อเสียงของอาจารย์รังสรรค์ เริ่มต้นขณะเป็นนิสิตที่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ
ด้วยพรสวรรค์ในการเขียนภาพ perspective
ก่อนที่จะไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ MIT
(Massachusetts Institute of Technology) สหรัฐอเมริกา
แล้วกลับมาสอนที่จุฬาฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2510

กระทั่งรีไทร์เมื่อ พ.ศ. 2535 ระหว่างนั้นได้เปิดสำนักงานรังสรรค์ สถาปัตยกรรม
ร่วมบุกเบิก และทำให้สังคมไทยรู้จักงานสถาปัตยกรรมยุคใหม่
โดยการนำสไตล์กรีก โรมัน มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ

เมื่อเดินเข้าสู่วงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็กลายเป็นหนึ่งในนักธุรกิจ
ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดปัจจุบันในวัย 71 ปี
อาจารย์รังสรรค์ยังคงมีความฝันและจินตนาการในการรังสรรค์โครงการใหม่ๆ
อันน่าตื่นตาตื่นใจ ร่วมกับลูกชาย พรรษิษฐ์ ต่อสุวรรณ

รังสรรค์ เปิดบทสนทนาประโยคแรกกับ บก.ประภากร ว่า
" ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ทำไมถึงให้สัมภาษณ์
เพราะ ปกติแล้ว ผมไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สักเท่าไหร่
แต่นี่ถือว่า เป็นการคุยกับน้องๆ คุยกับลูกศิษย์ มีอะไรหลายอย่างใน
ระบบมหาวิทยาลัย ที่เห็นว่าต้องแก้ไขให้ถูกต้อง
ถ้าขืน ปล่อยไว้อย่างนี้ วิชาชีพของเราก็คงตกต่ำลงไปทุกวันๆ
สิ่งที่ผมพูดในวันนี้ หวังว่าจะสะท้อนไปถึงหูพวกอาจารย์บ้าง
ให้จงระวังกับเทคโนโลยีชั้นสูงทั้งหลายที่เอามาใช้กัน
เพราะ มันมีทั้งส่วนที่ดี และส่วนที่ทำลายความรู้ความสามารถ ของเรา"


....คดีจ้างวานฆ่าประธานศาลฎีกา (ประมาณ ชันซื่อ)
ยังไม่จบเลยผมเพิ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 25 ปี แต่สิ่งเหล่านี้ผมไม่ค่อย
ตื่นตกใจเท่าไหร่ เพราะว่าผมไม่ได้ทำจริงๆ
วันที่ตำรวจจะมาจับผม มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งรวบรวมเงินมาให้
บอกว่าให้หนีอ อกนอกประเทศ หรือ บางคนก็ช่วยหาลู่ทางเตรีย
สำหรับพาผมหลบหนี ผมบอกว่า ขอบคุณพี่มา
แต่ผม ไม่ไปไหนทั้งนั้น ลูกผู้ชายจะหนีทำไม
ถ้าหนีก็เท่ากับว่า ผิดจริง ต่อให้เอาผมไปยิงเป้า
ผมก็จะไม่ร้องเพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด

*ทุกวันนี้ยังเป็นทุกข์ใจอยู่ไหมครับ ?

ไม่ เราต้องสู้คดีกันไป คุณรู้ไหมว่าคดีนี้ เกิดจากอะไร
เกิดจาก เรื่องวิชาชีพนี่ล่ะ ที่ผมไปฟ้องคุณอุเทน (อุเทน เตชะไพบูลย์)
เรื่องโครงการก่อสร้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
ซึ่งแต่เดิมทำสัญญาว่าจ้างให้ผมเป็นผู้ออกแบบ แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจ
ให้สถาปนิกต่างชาติมาทำ สุดท้ายผมจึงต้องทำเรื่องฟ้องร้อง
เรียกค่าเสียหาย 200 ล้านบาท ฐานผิดสัญญาว่าจ้าง

เพราะผมชนะนี่ล่ะ เขาถึงโมโหและมาเล่นงานผมทีหลัง
เห็น ไหมว่าการต่อสู้กับ คุณธรรมต้องแลกด้วยชีวิต
ที่ผมจะต้องออกแบบก็ทิ้งหมดเลย ไม่เอา อย่างโรงแรมแชงกรีล่า
ซึ่งผมเป็นดีไซเนอร์ของแชงกรีล่า นายห้างสุธี อัษฎาธร
เรีย กผมไปออกแบบทุก อย่างให้ เสร็จ
แล้วหุ้น ส่วน ชาวสิงคโปร์กอยากจะเอาสถาปนิกญี่ปุ่น
มาทำงานร่วมกับผม
แต่ผมบอกว่า ไม่เอา ผิดกฎหมาย ผมทำไม่ได้ อย่าให้ผมเป็น
คนผิดคุณธรรมเลย เห็นไหมว่าเรื่องพวกนี้มันมีเยอะ
ถ้าผมจะทำจริงๆ ก็คงได้งานเต็มมือไปหมด
ไม่มีใครสู้ได้หรอกแล้วค่าแบบแค่ 5%
ผมไม่ทำนะ ผมคิดแพงๆ ทั้งนั้นล่ะ (หัวเราะ)

(คลิกอ่านต่อที่
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1285243240&grpid=02&catid=no )


หลวงพ่อคูณ เตือนสติขับรถไม่ประมาท-มีสติ

ไทยรัฐ

หลวงพ่อคูณ เตือนสติขับรถไม่ประมาท-มีสติ
หากพลาดจะมีแต่เสีย พร้อมแนะลูกหลานรักษาศีลห้า รับปีใหม่ไทย

ที่วันพายับ เขตเทศบาลนครนครราชสีมา อ.เมืองฯ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทฺโธ)
หรือ
หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เกจิอาจารย์ชื่อดัง
เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด
เทศนาธรรมให้โอวาทกับพี่น้องประชาชน
ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในโอกาสเทศกาล ปีใหม่ไทย
และวันครอบครัว เทศกาลสงกรานต์ ว่า
การขับรถขับรา การเดินทางกลับภูมิลำเนา
อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ ลูกหลานทั้งหลายอย่าได้ประมาท
ต้องมีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา
เมื่อประมาณพลาดพลั้งก็จะเสียหาย



" ในโอกาสปีใหม่ไทยก็ขอให้ลูกหลานพากันรักษาศีลห้า
รักษาศีล รักษาธรรมกันทุกๆตัวตนเน้อลูกหลานเอ๊ย
ปีหนึ่งปีหนึ่งก็ให้ศีลให้พรจนเขารู้กันจนพอแล้ว
รู้กันจนหมดแล้ว การขับรถก็เหมือนกัน
กูจะไปเที่ยวสอนจระเข้ว่ายน้ำไม่ได้"
หลวงพ่อคูณฯ กล่าว








(15พ.ย.2553)“ในหลวง-ราชินีพระราชทานแจกันดอกไม้ เยี่ยมอาการอาพาธ “หลวงพ่อคูณ”
ที่ รพ.มหาราชนครราชสีมา ยังความปลาบปลื้มปีติแก่หลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง
พร้อมขอให้ 2 พระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน
ขณะอาการอาพาธล่าสุดดีขึ้นตามลำดับ ไม่มีไข้
สภาพร่างกายทั่วไปเกือบเป็นปกติแล้ว

วานนี้เมื่อเวลา 17.00 น.ที่ห้องผู้ป่วยพิเศษ 9821 ชั้น 8
อาคาร เฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา
นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา
ได้อัญเชิญแจกันดอกไม้พระราชทานของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เข้าเยี่ยมอาการอาพาธ พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ)
เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
ยังความปลาบปลื้ม ปิติแก่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อย่างยิ่ง


หลวง พ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้รับพระราชทานดอกไม้จากพระเจ้าแผ่นดิน และพระราชินี
ขอให้ทั้ง 2 พระองค์มีอายุมั่นขวัญยืน ท่านเป็นผู้ที่มีบุญมาก
และขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
จากนั้นหลวงพ่อคูณ ได้ตั้งจิตอธิษฐานและเป่ามนต์ 3 ครั้ง


ด้าน นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า
ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมารู้สึกซาบซึ้งและ
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ที่ทรงพระราชทานแจกันดอกไม้ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาอัญเชิญเข้า
เยี่ยมอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
ยังความปลื้มปีติยินดีให้แก่ประชาชนชาวจังหวัดนครราชสีมาเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหลวงพ่อคูณ มีกำลังใจมากขึ้น
และดีใจเป็นล้นพ้น พร้อมได้กล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทั้ง 2 พระองค์



นาย ระพี กล่าวต่อว่า ส่วนอาการอาพาธของหลวงพ่อคูณ ล่าสุด
จากการสอบถามทีมแพทย์ที่รักษาหลวงพ่อ ทราบว่า
อาการของหลวงพ่อดีขึ้นตามลำดับ
วันนี้ไม่มีไข้ สภาพร่างกายทั่วไปเกือบเป็นปกติแล้ว

และแพทย์รู้ตำแหน่งการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว
ขณะนี้กำลังให้การรักษาอย่างเต็มความสามารถ
ซึ่งจะเฝ้าดูแลอาการของหลวงพ่อคูณอย่างใกล้ชิดต่อไปอีกสักระยะ
ลูกศิษย์ไม่ต้องเป็นห่วง
ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้เฝ้าดูแลท่านเป็นอย่างดี