Custom Search

Nov 20, 2010

ดนตรีคือธุรกิจ เรวัต พุทธินันทน์ และ เต๋อ 3



http://www.facebook.com/rewat.forever


ข้อมูลจาก: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=110468
ขอบคุณ http://www.oknation.net/blog/kilroy

เรื่องจาก The Quiet Strom ฉบับที่ 63
ประจำเดือนกันยายน 2529
ทุกสิ่ง ที่ เรวัต พุทธินันทน์ หรือ เต๋อ
ได้ค้นพบยังไม่พอกับขั้นตอนที่เขาได้วางไว้กับตัวเอง

ผลงานชุด เต๋อ 3 จึงได้เสริมเข้ามาอีก
เพื่อเป้าหมายในความปรารถนา
อันสูงสุดต่อวงการเพลงเมืองไทย

ลึกซึ้งไปกว่าพื้นผิวภายนอกเต๋อรู้สึกตัวเองดีว่า
เขากำลังถูกประณามจาก
นักฟังเพลงไทยบางกลุ่ม ด้วยที่ว่า

ลักษณะหลายเพลงในชุด เต๋อ 3
มีเค้าโครงจากเพลงสากลเกาะติดมามากทีเดียว

แต่เพื่อเป้าหมายที่ได้วางไว้
เต๋อก็ยอมรับและชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นในกรณีนี้


"ผมเป็นคนที่ไม่เคยหลอกตัวเอง
มันเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงมาก

เพลง สมปองน้องสมชาย
มีคนมากระแนะกระแหนผมว่า
เฮ้ย...มันเป็นเพลง The Cisco Kid"


เพลง The Cisco Kid
เป็นเพลงฮิตระเบิดในบ้านเราในอดีต

ซึ่งเป็นผลงานของวง The War ออกมาเมื่อปี 1972
บรรจุอยู่ในอัลบั้มชื่อ The World Is A Ghetto
ขณะเพลงนี้กำลังดังนั้น
เต๋อก็คงอยู่ในฐานะนักดนตรี
ตามไนต์คลับธรรมดาคนหนึ่ง

และแน่นอนวงของเขา
เข้าใจว่าเป็นวง Oriental Funk ก็ต้องเล่นเพลงนี้

เพราะเต๋อเป็นนักดนตรีไทย
ในจำนวนไม่กี่คนที่ชอบเพลงในแนวฟังกี้อย่างนี้


"ผมถือว่าทุกคนต้องมีอิทธิพลผลักดันอยู่ข้างหล้ง
เมื่อมีคนมาว่าอย่างนี้
โอ้โฮ...ผมยืนยันได้เลยว่า

ผมหยิบทำนอง The Cisco Kid
มาใส่ร้อยเปอร์เซนต์หรือ

เพลง ไม่สายเกินไป ก็เอามาจาก
เพลง Smooth Operator (Sade)

เจตนารมณ์ ชัดเจนมากเพราะ
เพลงไทยเป็นแบบเพลงฝรั่งร้อยเปอร์เซ็นต์

ไม่มีข้อแตกต่าง

ถ้าตีกรอบก็ต้องร้องน้อยหน่อย ๆ ๆ ๆ ๆ กันตลอดซิ
ผมยอมรับทุกอย่าง"

เต๋อไม่มีเค้าของการเสแสร้งหรือ
แววสะทกสะท้านปรากฏให้เห็น
เขาเป็นคนจริงพอ
ในการยอมรับการกระทำของตนเอง
"ระหว่างของเก่ากับของใหม่
คือการเติบโต สมปองเป็นแนวของ The War ครับ
คือผมบอกได้ว่าผมเป็นคนคิด ใครบอกว่าผมลอกมา
ผมเปล่าฮะ ผมหยิบส่วนดีของ The Cisco Kid มาใส่
ทำเรียบเรียงทุกอย่างใหม่หมด
ของผมทำดีกว่า The Cisco Kid ชัวร์เลย"



หรืออย่างเพลง
ด้วยรักและผูกพัน ของ ธงไชย แมคอินไตย์

เต๋อก็ยอมรับว่า

มันมีความคิดเดียวกับเพลง
You’ve Got A Friend ของ James Taylor แน่นอน

แต่นั่นมันเป็นความคิดของคนทั่วโลก
มันคือความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูง

เต๋อถึงได้บอกเจตนา
ในการทำเพลงออกมาในรูปแบบนี้ว่า


"ผมหวังเพื่อจะพัฒนาวงการเพลง
ถึงตอนนี้ผมทำได้แล้ว
ผมบอกแล้วไงว่า
ผมค้นพบแล้ว

กลุ่มผู้ฟังระดับล่างยอมรับผม

ผมทำตัวเป็นสะพานทอด
ให้กลุ่มผู้ฟังระดับนี้ได้สำเร็จแล้ว"


ความสำเร็จที่เต๋อได้จากชุด เต๋อ 3
มีรายงานข่าวลับสุดยอด
จากแหล่งข่าวของ Quiet Strom

ที่แฝงร่างอยู่ในบริษัทแกรมมี่ กระซิบบอกว่า
ยอดจำหน่ายเทปชุดนี้ผ่านสู่หลักแสนไปแล้ว
ต่างจากสองชุดที่แล้วมา
ซึ่งรวมยอดขายแล้วยังไม่ได้ถึงครึ่งของเทปชุดนี้


หากมองถึงผลงานชุดนี้ของเต๋อ

คงดูได้จากสัญลักษณ์จากปกเทป ซึ่งเป็นรูปเต๋อ
ในมุมแสงบางส่วนสว่าง และบางมุมมืด
นั่นมีความหมายว่า
ผลงานชุดนี้ไม่ใช่การสร้างจากเขาเพียงคนเดียว
เพราะดนตรีเกือบทุกเพลง
เขาแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องเลย

โดยมีนักดนตรีฝีมือดีอันเป็นทีมงานมาแต่เริ่ม
เป็นผู้รับผิดชอบไป ดังมีรายชื่อ
บอกไว้ว่ามี วิชัย อึ้งอัมพร, ไพฑูรย์ วาทยะกร,

จาตุรนซ์ เอมซ์บุตร และ อัสนี โชติกุล
อย่างไรก็ตาม
เต๋อก็ยังเป็นคนที่วางแนวดนตรีตามที่เขาต้องการไว้

เพียงแต่เขาเป็นคนที่ฉลาดต่อการใช้คน
ให้เหมาะสมกับความสามารถแต่ละคนเท่านั้น

สำหรับด้านเนื้อเพลง เต๋อเป็นคนเขียนเองทั้งหมด
เพลงฮิตตอนนี้ที่ทุกคนรู้จักกันดี
สมปองน้องสมชาย

เต๋อเล่าว่า

"เพลงนี้มาจาก เต๋อ 2 แต่มันยังไม่ลงตัว
ความคิดแรก
ทำไมคนต่างจังหวัด
จึงมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพ ทำไม

แก้ไขได้หรือไม่
เขามาทำอะไร แล้วได้อะไร
คิดยังไง
ผมได้คำตอบว่าทำไมเขาถึงมากัน

ผมชัดเจนทุกอย่างตั้งแต่ เต๋อ 2 แล้ว

ที่ไม่ลงตัวไปติดที่ว่า
ถ้าจะเล่าจะเล่ายังไง
เล่ากันตั้งแต่ต่างจังหวัด
หอบของขึ้นรถไฟ
มาลงหัวลำโพง

โอ๊ย !!! เชยฉิบ จะบ้าหรือวะ !
ก็พักไว้แล้วกลับมาคิดใหม่
แก้ไขไป

แน่นอนมันต้องมีตัวละครอยู่แล้ว
ผมคิดขึ้นมาว่า
ให้มันเป็นสมปองก็แล้วกัน

เอ๊ะ หญิงหรือชายดี
เอามันไม่มีเพศ
เดินไปเลย

คิดเอาเอง
เพราะฉะนั้น
สมปองอายุ 14-15

ว๊า ! จืด ไปอีกแล้ว
เพราะฉะนั้นต้องมี
คนมาบ่งบอกว่าเป็นเด็ก

เพราะฉะนั้นเป็นพี่ก็แล้วกัน
อีกทีขนาดเป็นน้อง
แล้วยังเข้ามาอีก

นี่มันเป็นแก๊ก
ที่จริงตรงนี้มันรุนแรง
มันเป็นทัศนคติของเด็ก

ที่กำลังเติบโตในต่างจังหวัด

ข้อห้ามที่ไม่ให้เข้ากรุงเทพไม่ได้

ก็เพราะไม่มีเงิน มาทำอะไร
ทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นคนงาน
เพราะคุณไม่มีข้อต่อรอง
ไม่มีเงื่อนไข
คุณจะไปได้อะไร
นอกจากเงินเดือนน้อย

แต่ก็หวังว่าจะดีขึ้น"

อีกเพลงที่ใช้ในการโปรโมท ไม่สายเกินไป
เต๋อก็ชื่นชมกับผลงานของตัวเองเอามาก เขาบอกว่า

"ปรัชญาคนรักกัน
ทุกคนต้องกระทบกันเมื่ออยู่ใกล้กัน

เป็นเรื่องปกติของคนรักกันทุกคู่ในโลก
เมื่อรักกันแรก ๆ
ทั้งคู่จะให้ซึ่งกันและกัน

ต่างคนต่างยอมเสีย
บางสิ่งบางอย่างของตนเอง

เมื่อความรักจืดจางลงไป
ความเป็นตัวของตัวเอง
ก็จะเริ่มแสดงออกมามากขึ้น

แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างปรับใจเข้าหากัน
ปัญหาก็จะสามารถคลี่คลายไปได้
ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่กับคนสองคนนี้ด้วยว่า
รักกันจริงแค่ไหนและรักกันจริงรึเปล่า"

หรืออีกเพลง สองเราเท่ากัน ดนตรีเพลงนี้เป็นฝีมือของ
วิชัย อึ้งอัมพร ซึ่งดูช่วงอินโทรจะเป็นคล้อง
คล้ายกับเพลง Drive ของวง The Cars
แต่ทั้งหมดแล้วก็คือ
ความพอใจของเต๋ออย่างมากเหมือนกัน

สิ่งแรกก็คือเขาภูมิใจ คือ
มันคือความแปลกใหม่ในวงการเพลงไทย

เขาบอกว่ามันไม่ใช่ความใหม่ของวงการเพลงในโลก
แต่มันเป็นความใหม่ในวงการบ้านเรา

"ผมกล้าพูดได้ว่า
ผมเป็นคนแรกที่กล้าพูดด้วยเพลง

ผมพูดมันเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะไปเลย
เพราะเพลงไม่จำเป็นจะต้องร้องหมด
พูดก็ได้เพราะเพลงต้องการสร้างสรรค์ไงละครับ
ถ้าพูดหมดมันก็เลื่ยน"

สำหรับเนื้อหา
ก็นับว่าเป็นความคิดอันแปลกใหม่

และใจกว้างของผู้ชายทุกวันนี้
เต๋อเสนอความคิดต่อเรื่องสิทธิสตรี
ได้อย่างผู้หญิงทุกคนต้องศรัทธา


"ในทัศนคติส่วนตัว คิดว่า
ถ้าผู้หญิงผู้ชายต่างคิดว่า เราเท่ากัน

ชีวิตคู่ก็จะยืนยาวขึ้น
เพราะเมื่อคิดได้อย่างนี้
สองคนก็จะช่วยกันทุกรูปแบบ

โดยไม่มีการเกี่ยงกันว่า
ใครอยู่ตรงไหน

ข้างหน้าข้างหลัง
หรืออันนี้อันไหนหน้าที่ใคร"


เมื่อ เต๋อ 3 ผ่านพ้นไป
ขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็ต้องสิ้นสุดลง

ต่อไปถึงเวลาของคน
ชื่อเต๋ออย่างแท้จริง

รูปปกเทปถ้าเป็นรูปใบหน้าของเขาอีก
ก็ควรจะไม่มีแสงมืดมาบดบังอีก
เขาบอกว่า


"ชุดต่อไปต้องเป็นตัวผมเองร้อยเปอร์เซนต์แล้ว
ทำทุกอย่างที่ตามใจผมทั้งหมด
เพราะผมได้ปูพื้นให้แก่คนฟังไว้ถึง 3 ชุด
ในเวลาที่ผ่านมา 3 ปี
แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะมีรูปร่างยังไง

มันอาจจะออกมาโคตรตลาดเลย

แต่ตลาดนั้นต้องมีคุณภาพ
คือบทเพลงเราต้องการอะไร
ต้องมีความรู้และความเข้าใจในดนตรี
มีเจตนารมณ์"


ในฐานะของเต๋อทุกวันนี้
คือตัวจักรสำคัญในบริษัทแกรมมี่

เขาสร้างความสำเร็จให้กับบริษัทเทปแห่งนี้อย่างสูง
อย่างเช่นล่าสุดกับชุด หาดทราย สายลม สองเรา ของ ธงไชย แมคอินไตย์
หรือกับคนอื่น ๆ เพลงที่เป็นผลผลิตจากเขา

มักจะออกมาในแนวป๊อปที่ฟังง่าย

แต่ทั้งหมดก็ยังคงคุณภาพที่ดีกว่าเพลงไทยใน
ยุคนี้มาก หน้าที่และชีวิตของเราจึง
ผูกพันกับศิลปะและธุรกิจในสัดส่วนที่เท่ากัน

"ผมเห็นว่าดนตรีก็คือธุรกิจ
ถ้าดนตรีต้องการสื่อสารคนหมู่มากแล้ว
คำว่าธุรกิจไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ชีวิตคือธุรกิจครับ"