Custom Search

Apr 28, 2017

แต่ปางก่อน





คำร้อง / ทำนอง : วิรัช อยู่ถาวร 



. รอคอยเธอมาแสนนาน ทรมานวิญญาณหนักหนา ระทมอยู่ในอุรา แก้วกานดาฉันปองเธอผู้เดียว
. เธอเอยแม้เราห่างกันแสนไกล ชายใดดวงใจฉันไม่แลเหลียว รักเธอแน่ใจจริงเชียว รักเธอรักเดียวนิรันดร์
. *แม้นมีอุปสรรคขวากหนาม 
. ขอตามมิยอมพลัดพรากจากกัน
. จะชาติไหน ไหน ไม่ยอมห่างไกลกัน
. ดวงจิตผูกพัน รักมั่นมีไว้เพียงเธอ 
. / . คงเป็นรอยบุญมาหนุนนำ รอยกรรม รอยเกวียนหมุนเปลี่ยนเสมอ ให้เราได้มาเจอะเจอ 
ฉันและเธอ พบกันร่วมสุขสมดังรอคอย

(ซ้ำ *)


Apr 15, 2017

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (ร.10) เสด็จฯ บําเพ็ญพระราชกุศลพระราชพิธีสงกรานต์



 วันนี้ (15 เม.ย.) เวลา 17.55 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในการพระราชพิธีวันสงกรานต์ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง เจ้าพนักงานกราบบังคมทูลรายงานเครื่องราชสักการะที่ทรงพระราชอุทิศพระราชทานให้กระทรวงมหาดไทยเชิญไปถวายเป็นพุทธบูชาปูชนียสถานต่างๆ แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าพระอุโบสถ ทรงพระสุหร่าย สรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกย์ พระพุทธเลิศหล้านภาไลย ทรงจุดธูปเทียนถวายนมัสการ แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปสรงน้ำปูชนียวัตถุตามเจดียสถานในพระอารามนี้ แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าหอพระนาก ทรงจุดธูปเทียนถวายราชสักการะพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้า และทรงทอดผ้าคู่ พระสงฆ์ 5 รูป สดับปกรณ์แล้ว ทรงทอดผ้าคู่พระสงฆ์อีก 40 รูป สดับปกรณ์พระอัฐิพระราชวงศ์ พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก เป็นเสร็จสิ้นพระราชพิธี 

Apr 6, 2017

วันจักรี


๖ เมษายน ๒๕๖๐


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560



Apr 2, 2017

‘เนื้อคู่’

 

เพลง พรหมลิขิต
ศิลปิน สุนทราภรณ์
เนื้อร้อง แก้ว อัจฉริยะกุล
ทำนอง เวส สุนทรจามร

นพ.วิชัย เทียนถาวร

วันที่: 2 เม.ย. 60 เวลา: 13:45 น.

มติชน

ฉบับที่แล้วคุยเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ใครที่ได้เกิดจิตที่สัมพันธ์กันระหว่างคู่ใดคู่หนึ่ง ในชาตินี้เกี่ยวเนื่องโดยกรรมเก่า กรรมใหม่ และใครควรจะเป็นเนื้อคู่กัน ไม่ใช่เนื้อคู่กัน อันเกี่ยวพันมาถึงการเลือก “คน” ที่จะเข้ามาในชีวิตให้เป็น “คู่ครอง” ของเรา ควรอย่างยิ่งที่ต้องรู้ว่า “เขา” และ “เรา” มีอะไรที่คล้ายกัน หรือเหมาะสมที่จะมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ซึ่งอาจรวมไปถึงว่า อยู่กันไปแล้ว ชาตินี้จะทุกข์หรือสุข

การจะดูเบื้องต้นว่าเป็น คู่แท้ คู่บุญ หรือ คู่เวร คู่กรรม ก็ขอให้ใช้สติ ใช้ปัญญาเลือกคู่ด้วยความประณีต ระมัดระวัง อย่ารีบร้อนตัดสินใจ “ดูนางให้ดูแม่” หรืออาจ “เลือกคู่ผิดคิดจนตาย” ดังนั้น จึงควรจะใช้เวลาตรวจสอบ ไตร่ตรอง จนรู้ถ่องแท้กับผู้ที่จะมาอยู่ร่วมกันกับเราไปตลอดชีวิตว่า คนนั้นไปกับเราได้ไหม ขออย่าเพียงตัดสินใจเพราะเห็นว่าสวย เห็นว่าหล่อ เท่ดี ลูกคนรวย มีชาติตระกูล หรือแค่เพราะรักหรือสงสาร หรือหวังว่าจะเปลี่ยนเขาได้ในภายหลัง ทางที่ดีควรดู และพิจารณากันตั้งแต่ต้น ดีกว่าจะมานั่งทุกข์ทรมานกันภายหลัง

ในทางโลกเขาบอกว่า คนเราควรมีอย่างน้อย 6 อย่าง เช่นว่า “รูปสวย รวยทรัพย์ นับวิชา มีมารยาท ชาติผู้ดี มีสังคม” แต่ในโลกธรรมท่านกล่าวว่า ควรมีความเสมอภาคสมดุลกัน 4 ประเภท ที่ควรพิจารณากัน คือ 1.ควรมี “ศรัทธา” ไปในทางเดียวกัน 2.ควรมี “ศีล” อันเป็นเครื่องป้องกันตนจากความชั่วเสมอกัน 3.ควรมี “จาคะ”

อันเป็นวิธีคิดแบ่งปัน เสมอกัน และ 4.ควรมี “ปัญญา” รู้จักมีเหตุมีผล เลือกทางที่ดีเหมือนกัน เสมอกัการมี “ศรัทธา” ไปในแนวทางเดียวกันนั้นมีความสำคัญเบื้องต้น เพราะเป็นเรื่องของ “ความคิด ความไว้ใจ” และท้ายสุดเกิดการ “ยอมรับ” และอะไรก็ได้ยอมทำตาม มีผลมากต่อการอยู่ร่วมกัน จะทำให้ไม่เกิดการขัดแย้งกัน ไม่เชื่อใจกัน ระแวงกัน หากเป็นไปได้ควรนับถือศาสนาและศาสดาองค์เดียวกัน และเชื่อในแนวทางการดำรงชีวิตแบบเดียวกัน เพราะหากเชื่อหรือศรัทธาอะไรที่ไม่ตรงกันก็จะคุยกันไม่เข้าใจ คุยกันไม่รู้เรื่อง เมื่อคุยไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน ก็เบื่อหน่ายเร็ว ความจริงจังมีให้กันพบเห็นได้บ่อยๆ อันนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน มีบางคู่ที่อุตส่าห์อดทน อดกลั้น เงียบ ไม่โต้แย้งก็พอจะลดระดับความแรงได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าฝึกใจมาไม่ดีพอ เรื่องที่เก็บอัดๆ ไว้ในใจ ทนไม่ได้เมื่อไร เมื่อระเบิดออกมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว มีให้พบเห็นอยู่ทั่วไป

เรื่องนี้ไม่เฉพาะ “คู่รัก” เท่านั้น ขนาดเพื่อนกัน แต่เชื่อไม่เหมือนกัน ยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทต่อกันได้ ฉะนั้น…“ศรัทธา” ที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงนี้แหละ ที่จะทำหน้าที่เป็น “เข็มทิศชีวิต” สร้างคู่ชีวิตให้ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ทำให้แตกแยก เป็นเหตุที่ทำให้รักกันได้ยืนยาวอย่างแน่นอน

ประการที่ 2 การมีเครื่อง “กั้นความชั่วทั้งปวง” หมายถึงการที่ “ศีล” ก็สำคัญยิ่ง คนทั้งคู่ควรมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกันหรืออย่างน้อยก็ขอให้ใกล้เคียงกันเพราะ “ศีล” นั้น เป็นต้นน้ำต้นลำธารแห่งความสุขความเจริญทั้งปวง ทำให้ไม่รังเกียจไม่ต่อต้านกันและกัน เช่น คนหนึ่งใจบุญชอบช่วยเหลือ “สัตว์” ย่อมไม่สามารถอยู่ได้กับคนที่ชอบฆ่าสัตว์ วันๆ มุ่งแต่จะเอาเปรียบคนอื่น หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเจ้าชู้สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจกามสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่ง สำหรับคนใจซื่อหรือรักเดียวใจเดียวแน่นอน “ศีล” ที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อม…ทำหน้าที่สร้างความอบอุ่น เชื่อมั่นให้กันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันและอยู่กันได้อย่างยาวนาน

หรือคนหนึ่งไม่โกหก ด้วยถือสัจจะความเป็นจริงไม่มีทางทนได้กับคนที่ชอบโกหกพกลมวันๆ สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น หรือแม้คนที่ไม่กินเหล้าเมามายก็ไม่มีทางทนได้กับคนขี้เหล้า นักเที่ยว เป็นอันขาดหรืออาจจะทนอยู่ไม่ได้ เพราะกรรมที่ทำมาส่งผล แต่เมื่อหมดวาระของกรรมต่อกรรมแล้ว ก็ต้องแยกจากกันแน่นอนในที่สุด

ประเด็นที่ 3 การอยู่ร่วมกันมากกว่า 2 คนขึ้นไปนั้น ต้องมี “การให้” กับ “การรับ”…การให้…จาคะ หรือทานนั้น แปลว่าอย่างน้อยต้องเป็น “ผู้ให้ซึ่งกันและกัน” ในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่ง “ให้” อยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายคิดแต่จะ “รับ” คิดแต่จะเอาเปรียบคู่ตนเองตลอดอยู่ร่ำไป เช่น อีกฝ่ายทำงานหามรุ่งหามค่ำหาเงินมาให้ใช้ อีกฝ่ายก็ควรสละแรงปรนนิบัติดูแลบ้านเรือน ดูแลลูกคนในครอบครัวให้ดี เป็นแม่ศรีเรือน หรือเป็นพ่อก็เป็น “พ่อศรีเรือน” หากมีแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่มีการเสียสละที่เสมอกันเป็นมูลเหตุแล้ว ย่อมอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะว่าฝ่ายหนึ่งคิดแต่จะ “ให้” อีกฝ่ายคิดแต่จะ “รับ” คนที่ให้ก็ต้องมีวันหมดทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์

และที่สำคัญคือ หมดกำลังใจ เพราะอีกฝ่ายไม่คิดจะให้อะไรกลับมาเลย ก็จะทำให้อยู่กันยาก

ประเด็นสำคัญที่สุดเริ่มที่ 4 ทั้งคู่ควรมีต้องมี “ปัญญา” เสมอกันคือ…มีความรู้จริงเห็นชัดในสรรพสิ่ง รู้เหตุรู้ผล…รู้และทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่แค่ “ความรู้ทั่วไป” กล่าวคือ เรื่องในทาง “โลก” ก็คุยกันรู้เรื่อง ในหลายประเด็นมีความรู้เท่ากัน แต่ไม่ยกตนข่มอีกฝ่ายหนึ่งว่ารู้มากกว่า ส่วนอีกด้านคือ ปัญญาในทาง “ธรรม” มีระดับความเห็นจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดกันคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาแต่อารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา อย่างนี้ก็คง “ทะเลาะกันบ้านแตก” เช่น ฝ่ายหนึ่งมองโลกด้วยความไม่เที่ยงไม่ยึดติดอะไรมากเพราะรู้ว่าเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องอยู่และดับไป ทรัพย์สินนั้นไม่ใช่อริยทรัพย์ที่จะนำติดตัวไปได้ทุกชาติซึ่งมีชีวิตด้วยความ… “พอดี” แต่ตรงข้ามอีกฝ่ายอยากได้อยากมี อยากครอบครองตลอดเวลา เรียกง่ายๆ ภาษาชาวบ้านว่า “งก” แค่เรื่องเล็กก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต อย่างนี้ก็คงอยู่ร่วมกันยาก

เขาบอกกันมาว่าหากเป็น “เนื้อคู่แท้” เมื่อได้มาพบกันชาตินี้ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาดเหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจ หากมีบุญร่วมกันเป็นตัวเสริม การพัฒนาดุลยภาพทั้ง 4 ข้อนี้ ให้เสมอกันไม่ใช่เรื่องยากไปนัก โดยเฉพาะ…การที่ฝ่ายหนึ่งปรารถนาอย่างจริงใจที่จะให้คู่ครองของตนมีความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม คนที่ได้คู่ครองที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 4 อย่างตรงกัน ย่อมเป็นคู่ครองที่มีความสุข น่าอนุโมทนาในความรักที่จะยั่งยืน แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ละคนได้สร้าง “กรรม” มีทั้งดีและไม่ดีกันมามากมาย อาจส่งผลให้ได้คู่ครองที่มีความแตกต่างกัน

แต่ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ท่านเจ้าคุณ ป. ปยุตฺโต) เคยกล่าวไว้ว่า ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า “ถึงแม้กรรมเก่าจะมีกรรมไม่ดีร่วมกันมามากเท่าใดก็ตาม ‘กรรมดีใหม่’ ที่ทำร่วมกัน สร้างร่วมกันสามารถทำให้ดีขึ้นได้จริง และอาศัยหลักธรรมในการครองเรือนเข้าช่วยจะทำให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ประเสริฐขึ้น…”

มีคำถามเสมอๆ ว่า “ทำไมชาตินี้ยังไม่พบเนื้อคู่เสียที?” มีวิธีแก้ไขไหม? ท่านบอกว่า กรณีที่ไม่เจอเนื้อคู่เป็นคู่ครองกันได้ในชาตินี้มีหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกัน ขอให้พิจารณาด้วยตนเองอย่างมีสติอาจจะใช่ ไม่ใช่แต่ละท่านก็เลือกนำไปประกอบในเรื่องของชีวิตท่านอย่างมีวิจารณญาณ…กล่าวคือ อาจจะเป็นด้วยว่าแรงอธิษฐานเดิมนั้นแรง และตั้งข้อแม้มากมายเหลือเกินไปหรือเกินบุญตนเอง

ท่านว่ามีวิธีการแก้ไขถ้าหากต้องการจะมีคู่ครองขอให้พิจารณาเรื่อง “แรงอธิษฐาน” เผื่อว่าอาจจะได้สมหวัง แต่จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับบุญหรือกรรมของตนเอง

แรงปรารถนาและแรงอธิษฐาน ถึงแม้จะมีสองแรงผนวกร่วมกันมาแค่ไหน สุดท้ายการได้อยู่ร่วมกันก็ยังต้องขึ้นอยู่กับกรรมลิขิตอยู่ดี ท่านว่า แรงทั้งสองนี้ในชาติก่อน ในชาตินี้ถ้าเราย้อนเวลากลับไปไม่ได้ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเราไปอธิษฐานอะไรไว้บ้าง มาชาตินี้ก็ยังไม่ได้เจอเนื้อคู่แท้เลย ถ้าเราไม่มั่นใจเรื่องนี้และยังอยากที่จะมีคู่อยู่ก็ต้องไปอธิษฐานแก้ขออำนาจแห่งบุญที่เราทำตั้งแต่ในอดีตชาติ และบุญใหม่ที่เราทำทั้งหมดในชาตินี้ ขอแรงแห่งบุญกุศลช่วยยกเลิกเนื้อคู่เก่า ในวันนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเป็นใครและขออานิสงส์ผลบุญที่เราทำมาทั้งหมดจะเป็นพละปัจจัยให้นำพาคู่ในลำดับต่อไปมาพบเจอะเจอกันได้ครองคู่กัน และที่สำคัญควรอธิษฐานสเปกที่เราอยากได้ด้วย เขาแนะนำว่าอย่าให้มันสูงเกินไปนัก เอาพอดีๆ สายกลางไว้ดีที่สุดและปลอดภัยกว่าเยอะ เชื่อว่าคงจะได้ “ปิ๊ง” กันในเบื้องต้น

คนที่มีปัญหาเรื่องความรักสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการที่ชาติหนึ่งชาติใดเคยสร้างกรรมเอาไว้ และไม่รู้ว่าตนเองมีบุญมากหรือน้อย จึงควรต้องมีการสร้างบุญกุศลใหม่ให้กับตนเองเสียก่อน ให้ตนเองมีต้นทุนที่ดีในการทำอะไรอะไร ถ้ามีบุญพอก็ไม่มีใครมาห้ามเราได้ แต่ขอให้ระลึกอย่างหนึ่งเสมอว่า “บุญวาสนานั้นแข่งกันไม่ได้ บุญใครบุญมัน แต่สร้างเพิ่มได้ตลอดเวลา” การสร้างบุญที่ถูกต้องและได้ผลดีที่สุดมี 10 อย่างซึ่งล้วนทำได้ง่ายๆ ทั้งนี้ ได้แก่ 1.บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน 2.บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล 3.บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา 4.บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ 5.บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ 6.บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ 7.บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนาบุญ 8.บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม 9.บุญสำเร็จได้ด้วยการแสดงธรรม 10.บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง

การสร้างบุญนี้ง่าย ทำได้ทุกวันทุกเวลา แต่เงื่อนไขสำคัญของการสร้างบุญให้ได้อานิสงส์บุญมากอยู่ที่หลัก 3 ประการ คือ หนึ่ง:วัตถุทานนั้นต้องบริสุทธ์ สอง:ผู้ให้นั้นบริสุทธิ์ สาม:ผู้รับนั้นบริสุทธิ์ ขอให้สร้างบุญกุศลอย่าให้ขาด ขอให้เป็นเรื่องสำคัญเปรียบเหมือนเราต้องกินข้าวทุกวัน เพื่อเสริมกำลังทุกวัน การสร้างบุญก็เหมือนกันที่ต้อง “สร้างด้วยตัวเอง” ตลอดเวลา คนอื่นทำให้ไม่ได้ หมั่นทำกิจให้เป็นประจำ ทุกเช้าและก่อนนอน หมั่นสวดมนต์ ทำสมาธิ และอุทิศบุญไปถึงเจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ชีวิตจะเริ่มสมหวังในเรื่อง ทุกๆ สิ่งที่ดีในชีวิตก็จะเข้ามา และด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลทั้งใหม่ และเก่า ที่เราหมั่นเพียรทำสม่ำเสมอ ผู้เขียนเองเชื่อว่า อานิสงส์ใดๆ ทั้งหมด จะเกื้อหนุนนำพาชีวิตให้ทุกท่านที่ได้ภาวนาและปฏิบัติ เกิดเนื้อคู่ มีคู่ที่ดี มีครอบครัวที่ดี

อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสงกรานต์ ปีใหม่ไทย และเป็น “วันแห่งครอบครัว” ซึ่งจะนำพาชีวิตทุกคนในครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ปลอดภัย และโชคดีตลอดไปนะครับ

นพ.วิชัย เทียนถาวร

อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

‘บุพเพสันนิวาส’



http://teetwo.blogspot.com/2018/02/ost-official-mv.html

ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
วันที่: 26 มี.. 60 เวลา: 13:15 .
มติชน

ล่วงมา 1 เดือน กับ 13 วัน หลังเปิดตัวโครงการระดับชาติ คือ
“การปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ” เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2560
เป็นวันที่ทุกพรรคการเมืองให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทั้งเพื่อไทยประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา
แม้แต่กลุ่ม นปช. กปปส.ฯลฯ

นับเป็นการกำหนด “ฤกษ์ดี” วันแห่งความรัก ในการเริ่มต้นความสมานฉันท์
เริ่มต้นด้วยความรักแบบหนักๆ เพื่อจะเข้าสู่เรื่องราวเบาๆ ที่ว่าด้วยความรักแบบจริงๆ
คนเราคงไม่ได้รักกันเฉพาะวันแห่งความรัก ที่เรียกว่า “วันวาเลนไทน์” เท่านั้น
ความรักเกิดได้ตลอดเวลา ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ที่มีให้กัน ดีต่อกัน คงไม่ใช่คู่รัก
แฟนกันเท่านั้น อาจจะเป็นใครก็ได้สักคู่ที่มีความรักต่อกัน เช่น พ่อแม่ พี่น้อง
เพื่อนต่อเพื่อน หรือแม้เจ้านายกับลูกน้อง ผู้ใหญ่บ้านกับลูกบ้าน

แต่ในเรื่องของ “ธรรมชาติ” มองสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืชก็ตาม
การจรรโลงอยู่ของสายพันธุ์ที่ยังคงต้องดำรงอยู่ในโลก หรือวัฏจักรชีวิต
คือการสืบพันธุ์ แต่ก็จะมีการสืบพันธุ์ได้นั้น จะต้องเกิดจากเพศผู้กับเพศเมีย มาผสมพันธุ์กัน
ซึ่งก็อนุมานแปลได้ว่าจะต้อง “มีคู่” ที่เกิดจากทั้งสองฝ่ายตกลงปลงใจกันว่า
จะอยู่เป็นคู่ครองกันเพื่อสืบพันธุ์กันต่อไป หลังจากทั้งคู่มีจิตปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

พูดภาษาชาวบ้านๆ ว่า “รักกัน” แต่ภาษาที่คู่ชายหญิงไม่ว่าชนชาติใดก็ตามมามีความสัมพันธ์กัน
จะด้วยตั้งใจหรือบังเอิญ คงจะเป็นคนละซีกโลก คนละประเทศ
คนละทิศแม้อยู่ในประเทศเดียวกัน หรือบ้านเรือนเคียงกัน หากพบกัน
แรกพบสบตากันก็เกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน เหมือนภาษารัก ว่า “ศรปักอกเมื่อแรกพบ”
ดูตาก็รู้ใจกัน พูดอะไรก็รู้เรื่อง ใจพันผูกมีไมตรีต่อกัน เกิดความรักที่ดีต่อกัน
เป็นคู่กันว่าด้วยเรื่อง “การมีคู่” คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก
และก็ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โตมากมาย แต่ก็มีความสัมพันธ์มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของ “ชีวิต”
เพราะการที่เรามีคู่ครองที่ดีชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ
เป็นแรงใจสำคัญที่จะ “ร่วมอนาคต” ร่วมสร้างกรรมดีเป็นบุญกุศลร่วมกันต่อไปในภายหน้า
เหมือนซื้อลอตเตอรี่ถูกรางวัลที่หนึ่ง ในทางตรงข้ามหากได้คู่ครองไม่ดี… 
ชีวิตก็คงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานมากกว่าสุข พระท่านว่าตกนรกทั้งเป็น
หรือซื้อลอตเตอรี่ไม่ถูกแม้รางวัลเลขท้ายสองตัว
แต่ยังถูกกินรวบอีกต่างหากที่มันจะกลายเป็น “เชื้อ” ที่เป็นจุดเริ่มต้นทำลายอนาคต
ปิดฉากการทำงาน หรือแม้แต่ทำลายชีวิตซึ่งกันและกัน
ซึ่งมีให้เห็นมากมายตามหน้าหนังสือพิมพ์ ตามวิทยุ ทีวี
ตามที่เป็นข่าวใหญ่โตแฉกันไปมา นั่นเพราะขาดความเข้าใจกันและกันในเรื่องนี้
เกิดมาครั้งหนึ่ง เรื่องชีวิตคู่จึงต้องดู ต้องเลือกกันให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
เพราะนั่นคือต้องอยู่ร่วมหอลงโรงกันตลอดชีวิตและตลอดไป
การพบรักของคนสองคนที่มาตกลงปลงใจเป็น “คู่รัก”
หรือแค่เป็นแฟนกันในห้วงเวลาหนึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญอะไรทั้งสิ้น
ทุกอย่างในโลกนี้มีที่มาและที่ไป มีเหตุและมีผลเสมอ
การพบกันนั้นมาจาก“กรรมลิขิต” หรือ “กรรมจัดสรร” ให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
และไม่เพียงการมาพบกัน แต่เป็นทุกเรื่องในชีวิตเลยทีเดียว ที่ “กรรม” เป็นผู้ลิขิต

หากย้อนอดีตไปก่อนพุทธกาล หรือนานกว่า 2,500 กว่าปี แล้วที่
“พระพุทธองค์” ได้ทรงตรัสให้ทุกคนได้ “ตื่นรู้” ได้ตระหนักในความจริงแท้ที่ว่า
ชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์จะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเอง
ไม่มีผู้ใดหรืออำนาจอื่นใดมาควบคุมกำหนดเบี่ยงเบนชีวิตของเราได้
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ และเผยแพร่ความจริงที่ยิ่งใหญ่
มีคนมากมายที่เชื่อกันผิดๆ ถึงขนาดว่าเชื่อว่า
เมื่อเกิดมาแล้วใครก็เปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตไม่ได้ทั้งสิ้น…

เพราะโดยเทพผู้มีอำนาจลิขิตมาแล้ว เกิดมาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
ไม่มีสิทธิพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง หรือตกต่ำลง
เชื่อว่าทั้งกดทั้งครอบตั้งแต่เกิดจนตายไป

“พระพุทธเจ้า” นั้นประสูติในพระราชวงศ์อยู่ในวรรณะกษัตริย์ด้วย
พระองค์น่าจะสะดวกสบายมากท่ามกลางความเพียบพร้อมทั้งปวง
ไม่ต้องมาระหกระเหินเดินดงเดินป่ามาตรัสรู้ ไม่ต้องเหนื่อยพระวรกาย
แต่พระพุทธเจ้าท่านสงสัยว่า “ชะตาชีวิต”
ของเหล่าสรรพสัตว์เป็นอย่างนี้ เขาเชื่อกันจริงหรือ?

พระพุทธองค์ทรงมาพิสูจน์ตรัสรู้ตนเองด้วยความพากเพียรยิ่งใหญ่
ด้วยพระมหาบุญบารมีที่สะสมมาหลายภพชาติ
พระพุทธองค์ก็ทรงค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ท่านทรงเมตตาสรรพสัตว์ให้รู้ถึงความจริงแท้นั้น
พระองค์เป็นผู้ปลดแอกความเชื่อเหล่านั้นให้ทุกคนรู้ว่า
คนเราทุกคนนั้นสามารถพัฒนาเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนกรรม
เปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองได้ด้วยการกระทำของตนเอง
ไม่มีใครมีอำนาจมาลิขิตชีวิตได้นอกจากตัวเองเท่านั้น
ใครทำดีต้องได้ดี ใครทำชั่วก็ต้องได้ชั่วไป ไม่มีเทพ ไม่มีอำนาจ
ดวงคน ไม่มีอะไรทั้งสิ้นมาเบี่ยงเบนตัวตนของเราได้เลย
นอกจากกรรม หรือการกระทำของตนเองเท่านั้นจะเป็นผู้กำหนดชีวิตคนคนนั้นอย่างแท้จริง
ไม่มีเรื่องอะไรเป็นเหตุบังเอิญ ใครสร้างเหตุใดก็ต้องได้รับผลนั้น
ต้องมีเหตุกับปัจจัยทำให้เกิดขึ้น

พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตั้ง หรือสร้างขึ้น
พระพุทธองค์เป็นเพียงแต่นำกฎธรรมชาติเหล่านี้มาสอนมาแสดงดังที่มีคำกล่าวว่า…
“ดั่งใบไม้ในกำมือ” มาสั่งสอนให้รู้เท่านั้น ศาสนาพุทธเปิดหนทาง
ใครจะเชื่อก็ได้ ไม่เชื่อก็ได้ ไม่มีใครบังคับขู่เข็ญ ยังแนะว่าต้องมี “สติ”
ใช้ปัญญาไตร่ตรองก่อนค่อยเชื่อ อย่าเชื่อเพราะคนอื่นเชื่อ
ดังที่พระองค์ตรัสไว้ใน “กาลามสูตร” กล่าวคือ

“คนสองคน” ที่พบกันได้นั้นเพราะเป็น “บุพเพสันนิวาส” ไม่ใช่พรหมลิขิต…
ดวงจิตสองดวงที่เคยผูกพันกันมาแล้วมาพบกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
เป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนามาเป็น “ความรัก” จนเป็น “เนื้อคู่” และได้มาเป็น “คู่ครอง” กัน
ไม่ว่าจะเป็นคู่แบบไหน คู่บุญคู่กรรม คู่วิวาท หรือประเภทอื่นใดก็ต้องเริ่มจากความรักและ “บุพเพสันนิวาส”
ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ 2 ประการ
1.ด้วยเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
2.ด้วยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน

หลายท่านอาจสงสัยและอยากรู้ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสไว้ว่า…ความรักเกิดขึ้นมานั้น
จะต้องมีการอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
และทำไมต้องเกื้อกูลช่วยเหลือกันมาด้วยในภพปัจจุบัน…
มาลองคิดตามดูว่า เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งมีชีวิต 2 สิ่งนั้นจะมามีความสัมพันธ์กันได้อย่างไร
ถ้าสองสิ่งนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่เคยรู้จักกัน หรือช่วยเหลือเกื้อกูลดูแลกันมาก่อน
ดั่งดอกบัวเกิดขึ้นมาจากน้ำและโคลนตม ดั่งกองไฟที่เผาไหม้ลุกโชนนั้นต้องมีฟืนต้องมีเชื้อปะทุไฟ
ถึงจะติดลุกพรึบมาได้ รถวิ่งไปวิ่งมาได้มันต้องมีเชื้อเพลิง
ร่างกายเคลื่อนไหวได้ต้องมีพลังงานมาสัมพันธ์มาสัมผัสกัน

คนเราสองคนถ้าไม่รู้จักกันแล้ว ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน แม้พอจะรู้จัก
เห็นหน้าเห็นตา เดินสวนกันไปมา ทำงานในที่เดียวกัน หรือตึกเดียวกัน
กินข้าวร้านเดียวกัน กลับบ้านทางเดียวกัน นั่งรถเมล์ นั่งรถไฟฟ้า BTS คันเดียวกัน
แต่ไม่เคยที่จะนัดแนะมาพบปะกัน นั่งพูดคุยกัน มองตาซึ้งๆ กัน
ไปเที่ยวเฮฮา ดูหนังดูละคร ไปวัดไปวาด้วยกัน หรือทำ
กิจกรรมอะไรๆ ร่วมกัน และคนทั้งคู่จะไปพบรักอะไรกันได้ ความรักของคนทั้งคู่จะเกิดไหม
ที่กล่าวเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับการที่ “แอบรัก” เขาข้างเดียวที่ต้องมีเหตุเกิดขึ้นเหมือนกัน :
เมื่อไม่ได้เกื้อกูลกันจะรักกันได้อย่างไร เพราะไม่มีเหตุให้เกิดเลยสักนิด
แล้วจะมีผลได้อย่างไร ไม่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไป
ต้นไม้ดอกไม้ไหนจะงอกออกมา

โดยความเข้าใจของคนทั่วไปนั้นพอพูดถึง “บุพเพสันนิวาส” แล้วคิดว่า “พรหมลิขิต”
มักจะมีความเป็นเรื่องเดียวกันคือเรื่องคนที่มาเจอกันได้รักกัน
เพราะมีอำนาจเหนือโลกหรือมีพรหมลิขิต หรือบังคับเอาไว้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้
ถูกกำหนดมาแล้วในเรื่องลึกลับ แท้ที่จริงแล้วความหมายของ “บุพเพสันนิวาส” นี้นั้น
ช่วยมากกว่าที่เข้าใจในเรื่องที่เคยเป็นคู่กันมานั้นถูกต้องแล้ว แต่เป็นเพียงแค่หนึ่งในชีวิต
เพราะยังมีความสัมพันธ์ในแบบอื่น ที่ส่งผลให้มาพบกันและครองคู่กัน
หรือไม่ได้มาเป็นครองคู่กันเช่นความสัมพันธ์ระดับรองลงมา
เพราะ “บุพเพสันนิวาส” ยังกินความหมายเข้าไปถึงการที่คนทั้งคู่อาจจะได้เคยอยู่ร่วมกันในสถานะอื่นได้หมด
เช่น พี่กับน้อง พ่อกับลูก แม่กับลูก เพื่อนกับเพื่อน ศิษย์กับอาจารย์ บ่าวกับเจ้านาย
หรือในบางคู่ถึงขั้นเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเลยก็มี เป็นเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกันและกัน
หรือคนที่เคยทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตได้กลับมาทวงหนี้กรรม ที่เคยติดค้างกันไว้
หรือมาล้างแค้นโดยเฉพาะ ซึ่งมีหลายคู่ที่เจอแบบนี้ เพราะคำว่า “ทำกรรมร่วมกันมาแต่อดีตชาติ”
เป็นความหมายคือ คนสองคน (หรือมากกว่านั้น) ที่ได้เคยทำอะไรร่วมกันมา จะเป็นกรรมดีก็ได้
กรรมไม่ดีก็ได้ เช่น เคยทำบุญร่วมกันมา เคยร่วมปล้นฆ่าคนมาด้วยกัน เคยทำร้ายกันและกันมา
เหมือนกับเพลงของ “ชาย เมืองสิงห์” ที่ว่า “ทำบุญร่วมชาติ” เป็นต้น

ดังนั้น เรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จึงไม่จำเป็นว่าต้องเคยเป็นสามีหรือภรรยากันมาก่อนเท่านั้น
ไม่ใช่และไม่จำเป็นต้องเป็นคู่ครองที่ดี หรือมีความสุขเสมอไป เพราะ “กรรม”
ที่ทำร่วมกันนั้น มีทั้ง “กรรมดี” และ “กรรมไม่ดี” คงหมดข้อสงสัยหรือสำหรับคนที่มีคู่ครอง
ที่รู้สึกบังคับทารุณทั้งด้านร่างกายและจิตใจแบบที่เกิดมาเพื่อทำลายล้างกัน

เช่น ผัวฆ่าเมีย ฆ่าหมกส้วม ฆ่าหมกใต้ต้นไม้ เมียฆ่าผัว ผัวตีด้วยไม้กอล์ฟ
ฆ่าลูกเมียหมกถังขยะดังที่เห็นเป็นข่าว แบบไล่ฆ่ากัน รักไม่สมหวัง
หรือเกิดปัญหาร้าวฉานในครอบครัวถึงต้องลงมือปลิดชีวิตทั้งตนเองและคู่ครอง

มีอีกประเด็นหนึ่ง เราคงเคยรู้สึกว่า แค่พบครั้งแรกทำไมเหมือนรู้จักกันมานาน
หรือทำไมเนื้อคู่ของเราคนนี้มีหน้าตาเหมือนกัน คล้ายกัน เช่น จมูกใหญ่เหมือนกันกับเรา
มีอะไรเหมือนๆ คนเป็นพี่น้องกัน หรือทำไมคู่ครองของเราเขาเป็นคนดุ เข้มงวด เจ้ากี้เจ้าการ
บังคับเราในเกือบทุกเรื่อง บอกให้เราทำโน่นทำนี่ไม่หยุด
เหมือนกับเราเป็นลูกหรือเป็นคนใช้ ไม่ใช่สามีหรือภรรยา หลายคู่รักกันดีมาก
แต่ทำงานร่วมกันไม่ได้ หรือพอพูดแล้วมีเรื่องขัดแย้ง มีแต่เรื่องร้ายๆ
จนทำให้งานนั้นไม่ก้าวหน้าหรือพังพินาศ แต่พอแยกกันออกไปทำกับคนอื่น กลับรุ่งเรืองก็มี
ดูจากภายนอกหรือกายเนื้อ ตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นสามีภรรยาที่รักกัน
แต่ภายในกายทิพย์หรือจิตเดิมยังมีความอาฆาตพยาบาท ต้องการทำร้ายทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง
ยังไม่มีการอโหสิกรรม รวมถึงยังไม่มีการชดใช้และยังไม่ยุติส่งผลกรรมยังว่าส่งผลอยู่เรื่อยๆ
แม้บางครั้งจะไม่ตั้งใจแต่ก็มักเกิดเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งกันได้ตลอด
หลายคนจึงสงสัยว่าทำไมกรรมที่เคยทำมาจึงยังส่งผลแม้เกิดในภพใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ ชื่อใหม่
จนจำไม่ได้แล้วว่าไปทำอะไรใครไว้แล้วผลกรรมตามหาเจอได้อย่างไร?

คำตอบคือ…กรรมที่เราทำไว้ ไม่ว่าภพชาติไหนก็ตามถูกบันทึกไว้ในดวงจิต
ไม่เคยหายไปไหนเลยแม้แต่กรรมเดียว และที่ตามมาส่งผลได้แม้ว่าจะเปลี่ยน “ร่าง”
เปลี่ยนภพไปแค่ไหนก็ยังตามทั้งนั้น เพราะอยู่ใน “ดวงจิต” นั่นเอง
เหมือนดุจว่าหน่วยความจำคอมพิวเตอร์ถูกบันทึกไว้
เวลาจะถูกดึงมาใช้ด้วยพลังที่มีความแรงพอนั้นเอง เรียกว่า “เช็กบิล” นั้นเอง

มีคนจำนวนมากในยุคปัจจุบันเชื่อว่าเรื่องความรักเกิดจากพรหมลิขิตชักนำ :
พระพรหมท่านเป็นคนลิขิตบังคับเราให้คนมาพบกัน เจอกัน รักกัน
คนมาเป็นคู่ตุนาหงันในเรื่อง “พรหมลิขิต” นี้ท่านว่าน่าจะผันแปร ผิดทิศ
เลี้ยวลงคลองไปเลย เป็นเหตุให้บางคนเชื่อ เลยไม่คิดหาคู่ครอง
ไม่กล้าสานสัมพันธ์เกื้อกูลอะไรกับเนื้อคู่ของตนต่อ ทั้งๆ ที่ได้พบกันแล้ว
ได้กระตุ้นความสัมพันธ์เดิมไปแล้ว เพราะดันไปเชื่อเสียแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรหรอก
เดี๋ยวพระพรหมจัดมาให้เอง จึงต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชาติ
เพราะขาดปัจจัยที่จะมาสนับสนุนเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาอธิบายไว้ชัดเจนว่า :
…พระพรหมท่านนั้นคงไม่ไปลิขิตหรือมีอำนาจหน้าที่บังคับใครในโลกนี้
ไม่ว่าจะเรื่องจับคู่ หรือแม้แต่ไปกำหนดชะตาชีวิตอะไรเลย
แต่ที่เป็นตัวการสำคัญที่จะลิขิตชีวิตคนได้ทุกคนมีสิ่งหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือ “กรรม”

“กรรม” เป็นผู้กำหนดเอง เรื่องของความรัก เนื้อคู่ในแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นเรื่องนั้นๆ
เป็นเรื่องของกรรมลิขิตส่วนนั้น การที่เคยอยู่ร่วมกันมาเป็น “กรรมเก่า
 และในชาติปัจจุบันได้ใกล้ชิดกัน เกื้อกูลกันเป็น “กรรมใหม่”
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของพระพรหม หรืออำนาจเทพอะไร

ผู้เขียนเชื่อว่าเราๆ ท่านๆ แฟนๆ มติชนคงพอเข้าใจ “ความรักนั้นเกิดขึ้นด้วยเพราะเหตุใด?”
และทำไมถึงมาอยู่ด้วยกันได้ นั่นเพราะเราเป็น “เนื้อคู่กัน” เป็นเนื้อคู่แท้
เมื่อเจอกันแล้วปิ๊งกันทันทีไม่ต้องบอก ไม่พูดดูตาก็รู้ใจ เท่านี้ก็สุขแล้ว
ยิ่งมีโอกาสเข้าพิธีหมั้น เข้าสู่พิธีประตูวิวาห์ ก็หมายความว่าเขาเป็นคู่กันแล้วไม่แคล้วกันแล้ว
เป็นคู่ที่ดีมีความสุขมากๆ หรือแบบทุกข์น้อยๆ

อย่างไรก็ตาม ขออวยพรให้ทุกๆ ท่านที่ยังเป็นคี่ ยังไม่มีคู่ ขอได้พบคู่ “บุพเพสันนิวาส”
เกิด “ความรัก” ชอบพอกันเป็น “คู่บุญ” ที่แท้จริง จะได้ร่วมสร้างบุญสร้างกุศล
ทำให้มีความสุขในชีวิตคู่ตลอดไป ดัง “ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร” ไงเล่าครับ



ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร
อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข