Custom Search

Nov 11, 2021

จอห์น รัตนเวโรจน์ (จอห์น NUVO)

ภาพจาก LINE TODAY

Star Retro : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของ จอห์น รัตนเวโรจน์

วันอาทิตย์ ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

“...สิ่งที่เป็นวันวานปล่อยมันทิ้งไป วันวาน ให้เป็นวันเก่า อยากให้มีวันคืนที่เป็นของเรา วันวานปล่อยมันไป...” ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัย บทเพลงของจอห์น รัตนเวโรจน์ ยังคงสดใสในใจผู้ฟัง และกับโอกาสที่ชวนฝัน ทำให้วันนี้ “ลูกหมี” ได้เท้าความหลังกับนักร้องระดับตำนาน 1 ในสมาชิกวงนูโวค่ะ

เท้าความหลัง เมื่อครั้งยังเด็ก


ชื่อเดิมตามใบเกิดที่อยู่ในสถานทูตอังกฤษถึงแม้ว่าผมจะเป็นลูกคนเดียวที่เกิดในประเทศไทยก็ตาม แต่ชื่อเกิดคือ จอห์น อเล็กแซนเดอร์ แฮมมอนด์ เป็นบุตรชายและหลานชายคนโตของตระกูลครับ ผมมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน พี่สาวคนโต “พี่เวนดี้” แล้วก็มาผม แล้วก็น้องแฝดของผม “ปีเตอร์” (หนึ่งในสมาชิกวงนูโว) กับ “โรเบิร์ต” สองคนนี้เขาเป็นฝาแฝดกัน ชื่อของเราทั้ง 4 คนได้แรงบันดาลใจมาจากนวนิยายเรื่องปีเตอร์แพนครับ

ถึงแม้ว่าผมจะเกิดและโตในประเทศไทย แต่ว่าชีวิตตอนช่วงเริ่มเรียนนั้น ผมเรียนโรงเรียนนานาชาติต่อมาคุณแม่ก็จับสลับให้ผมมาเรียนโรงเรียนไทยตรงช่วงรอยต่อตอนประถมปลาย ซึ่งเวลานั้นสามารถที่จะพูดภาษาไทยได้ แต่ยังอ่านเขียนไม่สะดวก แต่ก็ด้วยความพยายามในเวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถสอบเข้าโรงเรียนไทย เหมือนเด็กไทยปกติได้ ช่วงเข้ามาเรียนโรงเรียนไทยใหม่ๆ ยอมรับว่าความรู้สึกจะขัดพอสมควร(Conflict) วัฒนธรรมของเด็กนานาชาติ กับเด็กไทยในสมัยนั้นแตกต่างกันจริงๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนที่เราเรียนครับ เพียงแต่อยากจะบอกไว้ตรงนี้ว่า ถึงแม้สมัยก่อนจะแตกต่าง แต่ผมว่าสมัยนี้ก็คงจะเหมือนๆ กันครับ ตั้งแต่มีอินเตอร์เนตเข้ามาความประพฤติของเด็ก ไม่ว่าจะเด็กนานาชาติ เด็กไทย หรือเด็กที่ไหนก็คงจะเหมือนๆ กัน แต่ที่ผมประทับใจและดีใจที่สุดก็คือได้ซึมซับความเป็นไทย สรุปแล้วชีวิตในวัยเด็กของผม ก็จะมีความเป็นลูกครึ่งที่เกิดในสังคมฝรั่ง แต่ว่าเติบโตในสังคมไทยนั่นเองครับ

ลักษณะนิสัยของเด็กชายจอห์น

ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นเด็กซน เด็กดื้อ หรือจะเป็นเด็กขี้สงสัย เคยมีผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกว่าผมเป็นคนที่ชอบซักถาม และหาความรู้ใส่ตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ก็มักจะทำอะไรที่ท้าทาย เจตนาเพื่อหาประสบการณ์เกินวัย ยอมรับครับโดยไม่เลือกว่าสิ่งที่ทำนั้น เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ก็คละๆ กันไปครับ ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กของผม โดยเฉพาะในช่วงที่อยู่โรงเรียนประจำ หรือไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้น ตัวเองเป็นคนกำหนดกติกาของตัวเอง เพราะฉะนั้นมานึกย้อนตอนนี้ ก็คงต้องยกโทษให้ตัวเองแล้วมั้ง เพราะว่าใช่ว่าเราจะมีสติสัมปชัญญะในทุกวัยนะครับ บางครั้งก็ถูกทำร้าย บางครั้งก็ไปทำร้ายคนอื่น แต่ที่เสียใจที่สุด และขอโทษตรงนี้เลย ก็คือ การทำร้ายความรู้สึกของคุณพ่อคุณแม่ในตอนนั้น คนที่ผมอยู่ด้วยกับสังคมที่ผมคบ ก็เป็นตั้งแต่ระดับ A-Z การเรียนของผมอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาโดยตลอด ก่อนที่จะหันมาทุ่มเทให้กับดนตรี เพราะในช่วงชีวิตตอนนั้น ผมได้ตัดสินใจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ผมสามารถที่จะทำได้ ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องโตไปเป็นอะไรเป็นพิเศษ เพราะคิดว่าชีวิตมีหลายสิ่งหลายอย่างให้เราทำ ถ้าเราทำได้ก็ทำซะอย่างที่ ตูน บอดี้สแลม เขาพูดน่ะครับ คุณแม่เคยบอกผม ตอนที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านมักจะพูดเสมอว่า “อย่าให้จอห์นรู้นะ” มาวันนี้ผมเข้าใจแล้ว คุณแม่หมายความว่า ถ้าผมได้รู้อะไรสักอย่าง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร ผมก็จะสามารถจับสิ่งนั้นมาทำ มาปฏิบัติจนสำเร็จได้ ผมคิดว่าคนเราหากมีความมุมานะ ตั้งใจทำอะไรสักอย่าง ก็คงทำได้ ไม่มีปัญหาครับ


ความวุ่นวายเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

เป็นช่วงชีวิตที่น่าสนใจมาก มีทั้งเรื่องผู้หญิง เรื่องอนาคต เรื่องชีวิต ว่าตัวเองจะเอายังไง จะเรียนหนังสือ หรือจะเป็นนักดนตรี หรือจะไปเปิดโรงแรม หรือจะเอาฐานะที่บ้านมาใช้ ตอนนั้นค่อนข้างสับสน เพราะยุคนั้นเป็นยุคแรกของการแนะแนว ครูแนะแนวยังไม่รู้เลยว่าจะแนะแนวอะไร ผมเรียนสายวิทย์ ทั้งที่ไม่ได้ชอบเลย ที่สำคัญผมไม่ค่อยชอบทำอะไรเรียนแบบใคร ผมจะทำอะไร ก็ขอทำจากความคิดของตัวเองจึงเป็นที่มาของความคิดที่ผมอยากจะให้เพื่อนๆ คนไทยด้วยกัน มีโอกาสในการเข้าถึงอินเตอร์เนตในยุคนั้นได้เท่าเทียมกับคนที่อยู่ในเมือง กับคนที่อยู่ต่างประเทศ ดังนั้นงานแรกๆ ที่ผมได้ทำตามใจผม ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเล่นดนตรีนัก คือการเป็นผู้ให้บริการอินเตอร์เนตรายแรกๆ ของประเทศไทยทางภาคตะวันออกทั้งหมด จากกรุงเทพฯไปถึงจังหวัดจันทบุรี(เกาะช้างยังลากสายไปไม่ได้ในตอนนั้น) แต่ก็สารภาพว่าที่ทำไป เพราะแอบกดดันเล็กๆ จากหลักสูตรที่มีอยู่ในสมัยนั้นว่าจำกัดอยู่แค่หนังสือไม่กี่เล่มที่เรียนกันทั้งประเทศพออินเตอร์เนตมาถึง ผมก็เห็นช่องทางที่จะทำให้โลกทัศน์ของคนไทยตรงนี้เปิดขึ้นมา

ตอนนั้นผมเลิกเรียนเลย ซึ่งก็ตรงกับเจตนาของผม ที่ได้มาเล่นดนตรี จากอัสสัมชัญ ศรีราชา มาที่กรุงเทพฯ โรงเรียนศรีวิกรม์ มาพบ โจ-ก้อง ก็เล่นดนตรีต่อมาเรื่อยๆ แล้วก็พบทางเลือกอันหนึ่ง ซึ่งผมมีความสุขที่สุด นั่นก็คือ การเล่นดนตรี และร้องเพลง ในขณะเดียวกันนั้น ด้วยความที่ได้เปรียบทางด้านภาษา จึงมั่นใจว่าการสอบเข้าเอแบคในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเรียนมากเรียนน้อยแค่ไหน ก็คงจะไม่มีปัญหาใดๆ เพราะเคยเอาข้อสอบเก่ามาทำแล้ว ไม่ยากอย่างที่คิด แต่ก็ไม่อยากให้ใครเอาแบบอย่างนะครับ เพราะว่าที่คุณแม่เคยบอกว่าผมเป็นหนึ่งในล้าน ต้องยอมรับว่าบางครั้งผมก็เป็นหนึ่งในล้านจริงๆ ถ้าอยากจะใช้ชีวิต By The Book อย่างที่เขาว่า ผมอาจจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี But if you want to live your life อยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มค่าจริงๆ ผมก็อาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีก็ได้ แล้วแต่จะคิดครับ

ฟีตแบ๊กจากทางครอบครัว

ในช่วงการเปลี่ยนแปลงแน่ล่ะคุณแม่ของผมซึ่งตอนนั้นเลิกกับคุณพ่อแล้ว คงอยากจะให้ผมเรียนจบแต่ในเมื่อมาถามผมตอนนี้ หลังจากวันเวลาผ่านไปมากต่อมากแล้ว ผมก็คงพูดได้เต็มปากว่าผมไม่ได้ทำให้ใครในครอบครัวของผมผิดหวัง เพราะเส้นทางชีวิตของผม นอกจากจะให้ความสุขกับผู้คนผ่านทางบทเพลงของพวกเราแล้ว ผมยังให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงอินเตอร์เนตมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบันในรูปแบบของรายการโทรทัศน์ก็ดี ในรูปแบบของการเป็นผู้นำในฐานะอดีตนายกสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ถามว่าฟีตแบ๊กจากครอบครัวผม ถ้าคุณพ่อ-คุณแม่ผมยังอยู่ หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวที่ยังอยู่ทุกวันนี้ ผมบอกได้ว่า สามารถสร้างความภูมิใจให้กับพวกเขาได้อย่างแน่นอน เพราะว่าที่บ้านผมทั้งตระกูล เป็นครอบครัวที่มีจิตใจ ในการที่จะเกื้อกูลสังคมและช่วยเหลือผู้อื่น และส่วนใหญ่สมาชิกในครอบครัวก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบดนตรีด้วยกันทั้งนั้น เพราะผมรู้ว่าความสำเร็จของครอบครัวผมไม่ได้วัดจากฐานะทางด้านเงินทองเพียงอย่างเดียวแต่จะต้องมาจากบทบาทที่มีต่อครอบครัว ต่อสังคมต่อประเทศชาติ และเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ยุคแห่งชื่อเสียงและเงินทอง

ช่วงนั้นผมหลงระเริงอยู่ในความฝันชนิดหนึ่ง ซึ่งอธิบายไม่ถูกว่าคืออะไร เราเล่นคอนเสิร์ต 100 คอนเสิร์ตต่อปี เป็นความรู้สึกที่เหมือนฝัน เพราะฉะนั้นเราฝันอยู่ตรงนั้นไปสักพักหนึ่ง โดยที่เราไม่รู้ตัวว่าอนาคตจะเป็นยังไง ช่วงที่อยู่ตรงนั้น ผมก็อยากจะให้ความฝันนั้นอยู่ไปเรื่อยๆ ความฝันที่ผมว่า ไม่ใช่ผมภูมิใจหรือทรนงในความดังนะครับ ผมอยู่ในความฝันที่สนุกมากๆ (เน้นเสียง) กับเพื่อนๆ 6 คน ที่เล่นดนตรีด้วยกันมาตั้งแต่ ม.4 จนวันหนึ่งได้ออกอัลบั้มด้วยกัน แล้วเกิดดังขึ้นมา ฝันของผมคือความสุขที่ผมได้อยู่กับเพื่อน ได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศ เป็นชีวิตที่เราไม่ได้คาดหวังไว้ เป็นรางวัลที่ได้โดยที่เราไม่ได้คาดคิด

กราฟชีวิตที่แปรผกผัน

มาคิดในวันนี้ คงจะต้องเจาะจงไปตรงเรื่องของเส้นทางการดำเนินชีวิต ของการเป็นนักดนตรี 100% กับการที่จะดำเนินชีวิต ที่มีการงานที่มั่นคงนั้น บางครั้งมันก็สวนทางกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ว่า หากจะต้องร่วมกับวงเป็นวงดนตรีอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนะครับ ความต้องการของเพื่อน หรือของสมาชิกในวงก็เป็นปัจจัยหนึ่ง ความต้องการของค่ายเพลง หรือความคิดของคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของเรา ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่บางครั้งเราก็ไม่สามารถกำหนดอนาคตชีวิตตัวเองได้ ซึ่งเรื่องนี้สำหรับผม ถือว่าเป็นเรื่องสัจธรรม แต่บางครั้งก็อาจจะถือว่าไม่เป็นธรรมกับตัวเองสักเท่าไหร่ หากคิดที่จะดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่นๆ อย่างที่พี่เต๋อ-เรวัต พุทธินันทน์ เคยพูดกับผมไว้ ว่าบางครั้งเราเหล่านักดนตรี ต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าเราก็สามารถมีอาชีพการงานที่สุจริตและมีความเป็นอยู่ที่ปกติชนเหมือนคนอื่นได้

แต่ผมมารู้ตัวเองเพิ่มเติมทีหลังว่าผมวัตถุประสงค์ของผมในการเป็นจอห์น ไม่ได้แค่เป็นหนึ่งในสมาชิกนูโว แต่ยังมีบทบาทสาระและหน้าที่ต่างๆ ที่ผมควรจะทำให้กับคนที่อยู่รอบข้างผม ครอบครัว สังคมไทย หรือแม้แต่กระทั่งการเอื้อมมือไปช่วยผู้พิการซ้ำซ้อน ที่ผมทำมาต่อเนื่องหลายปี ถึงแม้ว่าผมชอบการร้องเพลงเป็นหัวใจหลัก แต่ผมไม่ได้เกิดมาเพียงแค่วัตถุประสงค์นี้อย่างเดียว ผมมีทางเลือกที่ผมจะทำได้ทุกอย่าง สุดความสามารถที่ผมเป็นอยู่

ชีวิตครอบครัว

จะว่าไปแล้ว ชีวิตครอบครัวก็คืออีกหนึ่งวัตถุประสงค์ของนายจอห์น ในการสร้างชีวิตขึ้นมาอีก2 ชีวิต นั่นก็คือมหาสมุทร รัตนเวโรจน์ (จัสติน) กับ สุดฟ้ารัตนเวโรจน์ (สกาย) นอกจากความรับผิดชอบที่เราจะต้องมี และพยายามสุดความสามารถในการเป็นแบบอย่างที่ดี โดยเฉพาะการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการ ที่จะดูแลเขา แต่ต้องไม่ละทิ้งความเป็นตัวตนของเรานั้นสำคัญยิ่ง และมีความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ตรงนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับภรรยาผมด้วย ซึ่งสำหรับเขาก็คงจะเป็นบทบาทและหน้าที่ ที่สำคัญเช่นกันสำคัญที่สุดคือเมื่อเราจากโลกนี้ไปแล้ว ทั้งจัสตินกับสกาย จะเป็นทายาทของเราที่สืบทอดต่อไป ขอให้เขาเป็นคนดี ที่มีความสุข ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้จัสตินและสกายเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม โดยที่ผมไม่ต้องพยายามอะไร ผมมักจะสอนลูกว่าการมีจริยธรรมในตัวเอง สิ่งนั้นจะนำพาให้เราสามารถก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในชีวิตได้ ผมพูดแล้วผมรู้สึกตื้นตันกับตรงนี้จริงๆ นะครับ เพราะว่าหลังๆ ผมเริ่มที่จะพูดกับลูกว่า พ่อน่ะมีหน้าที่ในการที่จะทำให้ลูก Healthy and Happy (มีความสุขและสุขภาพแข็งแรง) แต่ว่า To Be Wise and Clever(การที่จะฉลาดหลักแหลม) เป็นหน้าที่ของลูกนะสุดท้ายมันง่ายๆ แค่นั้นเอง คือถ้าพ่อแม่ทุกคนหรือว่าแม้กระทั่งตัวลูกเอง พอจะเข้าใจว่าการมีชีวิตที่มีความสุขเราสามารถทำได้ภายในครอบครัว แต่ความสามารถที่เด็กจะมี ไม่ได้เกี่ยวกับพ่อแม่เลยนะ ถ้าผมไปบอกว่าความสามารถของลูก มาจากการที่ผมส่งลูกให้ไปเรียนโรงเรียนดีๆ เรียนสูงๆ แล้วเรื่องประสบการณ์ชีวิตค่อยไปว่ากันทีหลัง ผมก็คงเป็นพ่อที่โง่งมงาย สมกับชื่อเพลงที่ผมร้องจริงๆ เพราะการหาความรู้ในสมัยผมกับการหาความรู้ในสมัยนี้มันต่างกันมาก เขามีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตของเขา ไม่ใช่จากวิถีที่ผมดำเนินมา เพราะผมบอกได้เลย ของผมมีคำว่า ฟลุค ติดมานิดหนึ่งด้วยซ้ำไปแต่ก็สนุกมากนะ (หัวเราะ)

ข้อความที่ส่งผ่านรุ่นสู่รุ่น

ข้อความหรือเมสเสจที่รุ่นสู่รุ่นจะส่งถึงกัน ผมว่าเปลี่ยนไปมากนะครับ อย่างของผมส่วนตัวแล้ว ฟังดูอาจจะไม่ค่อยเข้าท่า แต่พ่อของผมเอง เคยสอนผมผ่านทางบทเพลงของ Cat Stevens ในอัลบั้มๆ หนึ่ง ในช่วงที่คุณพ่อกำลังจะเลิกรากับคุณแม่ไป ท่านได้บอกผมว่าคำสอนที่ดีในการใช้ชีวิต อยู่ในบทเพลงของ Cat Stevensทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Father & Son และเพลงอื่นๆ อย่างเช่น Wild World ซึ่งก็เป็นวิธีการสื่อสารของพ่อผมนะครับ ส่วนการสื่อสารจากผมไปหาจัสตินกับสกายนั้น ไม่ใช่ว่าผมจะหันมาใช้ Facebook หรือ Skypeอะไรพรรค์นั้นหรอกนะครับ ตราบใดที่ผมยังใช้ชีวิต ยังดำเนินไปพร้อมกับลูกของผมทั้งสองคน ผมจะพยายามเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เท่าที่ผมจะเป็นได้ ไม่ใช่ว่าผมจะดีในทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำอยู่ ผมเป็นเพียงแค่มนุษย์ I’m only human และอยู่ในสังคมที่ต้องปรับตัว เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่ผมสอนลูกอยู่เสมอ คือการอยู่กับปัจจุบัน เพราะชีวิตที่แท้คือปัจจุบัน ไม่มีอดีต แต่อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำตอนนี้ The Future is now

ปัจจุบันความเป็นคนไอทีเด่นชัด ถึงขั้นเคยขึ้นเป็นนายกสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์มาแล้ว แต่งานร้องเพลง เล่นดนตรีกลับไม่เคยเลือนหาย

เพลงเป็นสิ่งที่อยู่ในใจผมตลอดเวลา ผมชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าเป็นไปได้ผมขอร้องเพลงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ไง เราต้องเลี้ยงครอบครัว บริหารบริษัท ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อใดที่ผมสามารถที่จะร้องเพลง โดยไม่ต้องคำนึงถึงรายได้คุณจะได้ยินน้ำเสียงของผมที่เปลี่ยนไป ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มแอบร้องเพลงโดยที่ไม่มีผลกับรายได้ผมแล้ว น้ำเสียงจะไม่เหมือนกันนะ ผมร้องด้วยความสุข เสียงนั้นกำลังจะกลับมาครับ ไม่จำเป็นต้องร้องต่อหน้าคนเป็นหมื่นเป็นแสน ร้องต่อหน้าคนคนเดียวผมก็ร้อง ถ้าร้องแล้วทำให้เขามีความสุข และรู้สึกประทับใจ มีผลกับชีวิตของคนที่ฟัง ผมก็ยินดี

โอกาสที่จะได้ฟังเพลงใหม่ของนูโว

เรามีการทำบทเพลงอยู่เหมือนกันนะครับ ล่าสุดเราได้ร่วมกับสมาคม ISAAC เป็นสมาคมที่ดูแลเรื่องการให้ความรู้ และทางเลือกในการช่วยเหลือผู้พิการซับซ้อน คือ ตาบอด หูหนวก และไม่สามารถพูดได้ พวกเรานูโวแต่งเพลง “รับรู้ด้วยหัวใจ” ขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงผู้พิการซับซ้อนที่มีอยู่ในประเทศไทย และก็ยังมีโปรเจกท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทเพลง ที่เราจะมาทำเพิ่มเติม ซึ่งเร็วๆ นี้ กำลังจะคุยกับโจ-ก้อง คงได้ดูกันต่อไปว่าจะทำอะไรบ้าง และในวันที่ 25-26 กรกฎาคมนี้ นูโวก็กำลังจะได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่Big Heroes Concert ที่ Royal Paragon Hallร่วมกับ พี่หนุ่ย-อำพล ลำพูน และพี่ๆ วง คาราบาวใครยังไม่มีบัตร หาซื้อได้ที่ Thaiticketmajor ทุกสาขานะครับ รับรองว่ามันส์แน่ๆ

ความเป็นตัวเองที่พามาถึง ณ จุดนี้

ผมคิดว่าเป็นเพราะวิญญาณที่อยู่ในตัวผม ไม่ใช่เนื้อหนัง หรือหน้าตา แต่เป็นจิตวิญญาณ ผมคิดว่านั่นแหละคือเนื้อแท้ที่ทำให้ผมดำเนินไป เรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวผมเป็นแค่องค์ประกอบของชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นบางครั้งก็ถูกจับวาง บางครั้งก็เกิดจากฝ่ายมาร บางครั้งก็เป็นฝ่ายธรรมะ ผมต้องฟันฝ่าและเรียนรู้ Live a Life แต่ผมอยากจะบอกน้องๆ ให้มีสติให้ดี สังเกตความคิดของตัวเอง แล้วฟังหัวใจของตัวเองให้ดี ว่าแท้ที่จริงแล้วเราเกิดมาเรามีจุดประสงค์ใดในชีวิต หาให้เจอ ค่อยๆ หาจาก 1 2 3 4

คำขอบคุณจาก จอห์น รัตนเวโรจน์

บุคคลแรกที่อยากขอบคุณคือพ่อแม่ครับผมอยากให้ท่านรับรู้ว่าผมมีชีวิตนี้เพราะเขา ขอบคุณครอบครัวอันแสนอบอุ่น ขอบคุณพี่น้องผมทุกคนขอบคุณเพื่อนๆ ในวงนูโว ขอบคุณทุกๆ บริษัทที่ผมมีโอกาสไปร่วมงานด้วย และยังร่วมงานอยู่ด้วยในปัจจุบัน ขอบคุณทุกความรักที่ผมสัมผัสอยู่ เพื่อนๆ ทุกคนที่อยู่ที่โรงเรียนที่ผมเคยไปเรียนด้วย ขอบคุณประสบการณ์ทั้งที่ดีและไม่ดีในชีวิตผมทั้งหมด และท้ายสุดขอบคุณพระเจ้าในความปรานีที่มีต่อมวลมนุษย์

ความต้องการในอนาคต

ผมจะพยายามทำให้ตัวเอง และคนที่อยู่รอบๆ ข้างผมมีความสุขครับ

หลายคนอาจกำลังไล่ตามความฝัน แต่สำหรับจอห์น รัตนเวโรจน์ คือการทำทุกวันให้มีความสุขค่ะ