Custom Search

Jun 26, 2011

“บิล คลินตัน” กับทรรศนะต่อศตวรรษที่ 21


ในฐานะ อดีตประธานาธิบดีของประเทศที่ยิ่งใหญ่ผู้หันมาทำงานเพื่อสาธารณกุศลในระดับโลก Clintonแสดงทัศนะเกี่ยวกับโลกในศตวรรษที่ 21 ทั้งที่เป็นอยู่และที่ควรจะเป็นในอนาคต

Newsweek: ปัญหาใดที่ท่านเห็นว่าสำคัญที่สุดในขณะนี้และคนอเมริกันควรจะสนใจปัญหาใดใน อีกปีสองปีข้างหน้า

Clinton: ก่อนอื่น เราต้องเริ่มด้วยการวางกรอบที่ถูกต้องก่อน ซึ่งเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า
ศตวรรษนี้เป็นยุคที่ทุกอย่างเกี่ยวพันและขึ้นต่อกันและกันมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ Internet
การเดินทางที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก การอพยพย้ายถิ่นและความหลากหลายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เผยแพร่ไปมากขึ้น
ทำให้เราเชื่อมโยงกันในหลายๆ ด้าน และเราไม่อาจจะขาดจากกันได้ การกระทำของเราส่งผลกระทบถึงคนอื่นเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องสนใจว่า เกิดอะไรขึ้นที่พรมแดนอัฟกานิสถานที่ติดกับปากีสถาน

การขึ้นต่อ กันและกันมากขึ้นเป็นได้ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ผมคิดว่าภารกิจของศตวรรษที่ 21
คือ สร้างเสริมด้านดี และพยายามลดด้านที่ไม่ดี ของการที่เราต้องขึ้นต่อกันและกัน
ไม่ว่าผมหรือคุณจะทำอะไร มันอาจจะผิดพลาดได้ แต่ขอให้เราถามตัวเองว่า
สิ่งที่ทำนั้นช่วยส่งเสริมด้านที่ดีของการขึ้นต่อกันและกัน หรือช่วยลบด้านลบของมันหรือไม่

สิ่งที่เป็นด้านลบของการที่เราต้องขึ้น ต่อกันและกันมากขึ้น มีอยู่ 3 อย่าง
อย่างแรกคือความไม่เท่าเทียมกัน ทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ การรักษาพยาบาล และการศึกษา
ซึ่งกำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก และโดยเฉพาะในชาติร่ำรวยส่วนใหญ่ ความไม่เท่าเทียมกันเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970
ประชาชน 20% ที่อยู่ระดับล่างสุด เริ่มมีรายได้ลดลงอีกครั้ง และนี่ เป็นปัญหาที่พบเห็นได้ทั่วไป ปัญหาที่สองคือ
ความไร้เสถียรภาพ ได้แก่การก่อการร้าย อาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง ความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ไข้หวัดนก
และวิกฤติการเงินโลก ปัญหาทั้งหมดนี้แพร่ไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วราวกับไฟไหม้ฟาง
เพราะพรมแดนกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ปัญหากลุ่มสุดท้ายหยั่งรากลึกอยู่ในปัญหาโลกร้อน
นั่นคือปัญหาโลกไร้ความยั่งยืน เพราะโลกกำลังร้อนขึ้น

น่าแปลกใจ มากที่ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ลึกๆ แล้วล้วนแต่เกี่ยวพันกัน ผมเห็นปัญหาเหล่านี้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน
ทั้งปัญหาการไร้เสถียรภาพและไร้ความยั่งยืน หากมองถึงการจัดการปัญหานี้ในชาติยากจน
การให้ความช่วยเหลือโดยตรงเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล แต่ต้องช่วยทำให้ประชาชนในประเทศเหล่านั้น
มีความสามารถที่จะพึ่งพาตัวเองได้ คอร์รัปชั่นเป็นปัญหาหรือไม่ ใช่ แต่จากประสบการณ์ของผม
คอร์รัปชั่นจะไหลเข้าสู่สุญญากาศ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ประชาชนไร้ความสามารถ และแม้แต่ในที่ที่ประชาชนมีความสามารถ
แต่คอร์รัปชั่นก็ยังเกิดขึ้นได้ เช่นคดีแชร์ลูกโซ่ครั้งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ของ Bernie Madoff
หรือคอร์รัปชั่นในเกาหลีใต้ ดังนั้นประเด็นคือ เมื่อคุณมีความสามารถมากพอที่จะพึ่งพาตัวเองได้ เพราะว่าคนส่วนใหญ่มีความซื่อสัตย์ คุณจะได้รับประโยชน์สูงสุด

ส่วนปัญหา ของประเทศร่ำรวยคือควรยืดหยุ่นให้มากขึ้น ประเทศยุโรปที่มีเศรษฐกิจดีที่สุด (ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด)
คือเดนมาร์ก สวีเดน เยอรมนี และอังกฤษ ซึ่งบังเอิญเป็นเพียง 4 ชาติ ในทั้งหมด 44 ชาติ
ที่ลงนามในสนธิสัญญา Kyoto แก้ปัญหาโลกร้อน ที่เอาจริงกับการแก้ปัญหาดังกล่าว การเปลี่ยนวิธีผลิตและบริโภคพลังงานของ

ทั้ง 4 ประเทศ ทำให้เกิดการสร้างงานใหม่ ผลการศึกษาของ Deutsche Bank
มื่อเร็วๆ นี้พบว่า ผลจากการที่เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ทำให้สร้างงานใหม่ได้ถึง 300,000
ตำแหน่ง ซึ่งถ้าเป็นในสหรัฐฯ คงสร้างงานได้ถึง 1.2 ล้านตำแหน่ง ผลการศึกษาของรัฐบาล Bush เอง
ยังระบุว่า สหรัฐฯ สามารถจะผลิตกระแสไฟฟ้า 25%
จากพลังงานลมเหมือนกับเดนมาร์กได้ ถ้าหากเราสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าที่เชื่อมกับพลังงานลม

Newsweek: ในฐานะที่ท่านยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงต่อวงการเมืองและการสาธารณกุศล
ท่านเห็นว่าอะไรบ้างที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงที่ท่านกล่าวถึง ใช่วัฒนธรรมหรือไม่

Clinton: มีบ้าง อย่างเช่นปัญหาเรื่องการรักษาพยาบาล อุปสรรคบางส่วนเป็นเรื่องวัฒนธรรม เรา (คนอเมริกัน)
เคย ชินกับการเชื่อว่า ทุกอย่างที่เรามีล้วนดีที่สุด ซึ่งรวมถึงระบบการรักษาพยาบาล เรายอดเยี่ยมเรื่องการตรวจและรักษามะเร็ง
เรายอดเยี่ยมเรื่องการดูแลหัวใจ ไม่เช่นนั้นคงต้องเป็นคนอื่นที่มานั่งให้สัมภาษณ์คุณอยู่ตรงนี้
(Clinton เคยผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ 4 หนเมื่อปี 2004)
จริงอยู่ เรายอดเยี่ยมในเรื่องที่สำคัญ แต่กับเรื่องที่เป็นพื้นฐานหลายอย่าง เรากลับยังทำได้ไม่ดี แต่เราไม่รู้ตัว

ปัญหาเศรษฐกิจส่งผลกระทบ ต่อระบบประกันสุขภาพซึ่งขึ้นอยู่กับนายจ้างเป็น หลัก และเคยเป็นระบบที่ดีในยุคอุตสาหกรรม
แต่มันหมายถึงว่า 50% หรือกว่านั้นของคนอเมริกัน ได้รับการรักษาพยาบาลผ่านบริษัทที่เขาทำงานอยู่ และจ่ายค่ารักษาเพียง 1 ใน 4
ของค่าใช้จ่ายจริง และพวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงไม่ได้ขึ้นเงินเดือนตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งก็เป็นเพราะนายจ้างของเขาต้องเอาเงินที่จะใช้ขึ้นเงินเดือน ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลส่วนใหญ่แทนลูกจ้าง
ผมคิดว่าเรามีความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ และมีการต่อต้านระบบการรักษาพยาบาลที่มีสาเหตุมาจากวัฒนธรรม
เช่นเดียวกับในเรื่องพลังงาน เราก็มีความรู้ที่ไม่สมบูรณ์เช่นกัน ยังมีคนอีกจำนวนมากที่เชื่อว่า
หนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศของเรารวยขึ้นคือการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่มี คาร์บอนให้มากขึ้น จึงไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาโลกร้อน
ด้วยการลดการปล่อยคาร์บอน เพราะคิดว่าจะทำให้ตัวเองจนลง อย่างไรก็ตาม
เราจะไปบอกให้คนที่ไม่มีแม้แต่เงินพอที่จะซื้อของกินของใช้ประจำวัน
ให้ยอมลดรายได้ของตัวเองลง เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน ก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้

Newsweek: อะไรที่ทำให้ท่านกล่าวว่า ถึงจุดจบของแนวคิด “future preference”
(คือแนวคิดที่ว่า ทุกคนมีหน้าที่ต้องสละวันนี้ เพื่อประโยชน์ของวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นหลักการที่ Clinton ยึดถือมานาน)

Clinton: ใช่ ผมรู้สึกกังวล ปัญหาของชาติร่ำรวยคือการยึดติดมากเกินไปไม่ยืดหยุ่น ส่วนปัญหาของชาติยากจนคือ
การขาดความสามารถ เราทุกคนจึงมีปัญหาเดียวกันอย่างที่นักปรัชญา Ken Wilber
กล่าวไว้ ทฤษฎีของเขาคือ จิตสำนึกมี 10 ระดับ หมายถึงวิธีที่เรามองตัวเองและมองคนอื่น ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้
ที่ทุกคนจะสามารถทำในสิ่งที่สถานการณ์เรียกร้องได้ทุกอย่าง หากคุณอยู่ในโลกที่ทุกคนต้องขึ้นต่อกันและกันอย่างยุค นี้
อย่างแรกเลย คุณต้องเชื่อว่า สิ่งที่เรามีร่วมกัน สำคัญกว่าสิ่งที่เราแตกต่างกัน และวิธีที่จะทำให้เราใช้ประโยชน์
จากความแตกต่างกันให้ได้มากที่สุด คือสร้างความร่ำรวยจากความที่เราแตกต่างกัน สร้างตลาดใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาจาก
ความแตกต่างของเรา ความแตกต่างยังทำให้เราถกเถียงกันเรื่องการเมืองได้อย่างเผ็ดร้อน
โดยไม่จำเป็นต้องโกงเลือกตั้งหรือกำจัดคนที่คิดแตกต่างจากเรา หากคุณถามผมว่า เราจะมีชีวิตอยู่ในความไม่เท่าเทียม
ไร้เสถียรภาพ และไร้ความยั่งยืนได้อย่างไร คำตอบของผมคือ เราต้องเสริมสร้างความสามารถให้แก่คนยากจน
และสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ประเทศร่ำรวย

การเกิดขึ้นขององค์กรเอกชน ทั้งในประเทศยากจนและร่ำรวย เป็นความหวังที่แท้จริง องค์กรเอกชนสามารถทำงาน
ร่วมกับทั้งรัฐบาลและภาคเอกชน และสามารถทำงานได้เร็วกว่า ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า แต่ได้ผลงานที่ดีกว่า
สิ่งสำคัญคือ คุณต้องบริหารการเงินให้เป็น ไม่เช่นนั้นสิ่งที่คุณพูด ก็เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน

ผมกำลังคิดถึงรวันดา สิ่งที่ประธานาธิบดี Paul Kagame กำลังทำ รวันดาเป็นประเทศที่ใช้ประโยชน์จาก NGO
ได้เก่งที่สุดที่ผมเคยเห็นมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเขาทำคือ การสร้างอนุสรณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เป็นหลุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีกระดูกของคน 300,000 คนที่ถูกฆ่าในเหตุการณ์นั้น Kagame
บอกว่า เราจะพูดความจริงและเผชิญหน้ากับความจริง แต่หลังจากนั้น เราจะปล่อยให้มันผ่านไป
เขาสร้างหมู่บ้านสมานฉันท์ โดยคุณจะได้ที่ดินฟรีๆ ในหมู่บ้านนั้น หากยอมสร้างบ้านอยู่ติดกับเพื่อนบ้าน
ที่มาคนละเชื้อชาติ เขาตั้งสหกรณ์ที่ผู้หญิงต่างเชื้อชาติมานั่งทำงานสานตะกร้าร่วมกัน หรือทำงานหัตถกรรมต่างๆ
ที่สามารถส่งไปขายทั่วโลก ผู้ชายทุกคนไม่ว่าจะมีเชื้อสายใดและไม่ว่าจะรวยหรือจน จะออกไปช่วยกัน
กวาดถนนเดือนละครั้งในวันเสาร์ สิ่งที่รวันดาทำเหมือนจะบอกว่าใช่ เคยมีสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นกับเรา

แต่หน ทางเดียวที่เราจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกคือ ปล่อยให้มันผ่านไป
และสนใจแต่เฉพาะสิ่งที่เรามีร่วมกัน และนั่นก็คือสิ่งที่ผมเห็นว่าโลกควรจะทำตาม

แปล/เรียบ เรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง นิวสวีค 28 ธันวาคม 2552 – 4 มกราคม 2553


http://www.newsweek.com/2011/06/19/it-s-still-the-economy-stupid.html

Bill Clinton's Best Ideas To Get People Back To Work Bill Clinton

ของความคิดที่ดีที่สุดที่จะรับคนกลับไปทำงาน


1. SPEED THE APPROVALS
2. CASH FOR STARTUPS
3. JOBS GALORE IN ENERGY
4. COPY THE EMPIRE STATE BUILDING
5. GET THE UTILITIES IN ON THE ACTION
6. STATE-BY-STATE SOLUTIONS
7. GUARANTEE LOANS
8. PAINT ’EM WHITE
9. DEALS TO MAKE THINGS
10. TRAIN ON THE JOB
11. TEACH SKILLS WE NEED
12. CUT CORPORATE TAXES
13. ENFORCE TRADE LAWS
14. ANALYZE THE OPPORTUNITIES

Jun 18, 2011

ความสุขโดยสังเกต : ตอนที่ 2


คุณค่าที่ คุณคู่ควร
มติชน http://www.matichon.co.th
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ผมเพิ่งได้เห็นกับตาว่าโลกนี้มีคนปั้นขี้ให้เป็นทองของจริง!
คนผู้นั้นคืออุดม แต้พานิช
เดี่ยวแปดครั้งนี้เขานำขี้มาปั้นเป็นทองแล้วนำไปกองเต็มเวที
ผมกล่าวในเชิงเปรียบเปรย ท่านผู้อ่านอย่าได้คิดภาพตามไปไกล
จนกลิ่นคลุ้งอวลจมูกขนาดนั้น

รีบหายใจระบาย กลิ่นในจินตนาการออกมายาวๆ ซะก่อนแล้วค่อยอ่านต่อ
ฟืด...ฟาด...ฟืด...ฟาด...
คิดว่าน่าจะสบายจมูกแล้วใช่ไหมครับ เอาละเรามาว่ากันต่อ
ที่ว่าพี่โน้สนำขี้มาปั้นนั้นหมายความว่า ตลอดสองชั่วโมงกว่า
ของการเดี่ยวไมโครโฟนครั้งนี้มี ขี้

เป็นแกนหลักในการแสดง แม้จะเป็นแกนที่กลิ่นโชยฟุ้งไปทั่วฮอลล์
แต่คนดูก็หัวร่อกันจนกล้ามขึ้นพุง

พี่โน้สเล่าเรื่องราวของการขับถ่าย ไล่ตั้งแต่ญี่ปุ่น,จีน, อินเดีย
แล้วจึงวนกลับมาลงจอดที่บ้านเรา

ได้เห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมผ่านการขับถ่าย
มิเพียงได้เห็น ยังได้กลิ่นด้วย!
อย่างที่ญี่ปุ่น พี่โน้สเล่าว่าเขาประทับใจระบบทำความสะอาดของชักโครกที่นั่นมาก
เพียงกดปุ่มก็จะมีก้านฝักบัวยื่นออกมาฉีดน้ำให้สำราญก้น
แถมยังเลือกปรับระดับความแรงได้ตามต้องการ
ชอบแบบร็อก, ป๊อป หรือบอซซ่า ก็สามารถเลือกได้
ส่วนในประเทศจีน เมื่อเขาเดินเข้าห้องน้ำไปก็เจอเข้ากับส้วมแบบนั่งยองๆ
โชคดีที่มีประตูปิด

(เราต่างรู้กันดีว่าส้วมสาธารณะในจีนส่วนใหญ่ยังอ้าซ่า)
แต่พอพี่โน้สนั่งยองๆ ลงไป ก็ปรากฏว่าประตูที่มีนั้นดันยาวไม่ถึงพื้น!
มันเปิดช่องให้ส่องเห็น ของสำคัญ พอดิบพอดี
จะว่าไม้หดก็ไม่น่าใช่
แต่ด้วยความอัดอั้นภายในจึงไม่สนใจว่า
ใครจะมองลอดเข้ามาเห็นของสำคัญหรือ ไม่

พี่โน้สตัดสินใจทำธุระต่อไป และทุกสิ่งคงจะราบรื่น
ถ้าไม่มีไม้ถูพื้นยื่นเข้ามาระหว่างที่เขากำลังนั่งระบายความทุกข์ลงโถส้วม
ลำพังนั่งขี้แล้วมีไม้ถูพื้นแหย่เข้ามาทักทายตลอดเวลาก็ว่าแย่แล้ว
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ไม้ถูพื้นนั้นมาพร้อมน้ำร้อน
ที่กระเซ็นกระเด็นกระดอนขึ้นมาโดน
ของสำคัญŽ

จนต้องกระโดดหนี!
ฟังแล้วสำนวน ขี้หดตดหาย ก็ลอยขึ้นมาในหัว
ไม้ถูพื้นนั้นถูเข้าถูออกอยู่หลายรอบ
พี่โน้สก็ต้องยงโย่ยงหยกหดเข้าหดออกอยู่หลายรอบเช่นกัน
ฟังเขาเล่าประกอบท่วงท่าแห่งความลำบากแล้วผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว
มิใช่สงสาร แต่ฮากลิ้ง
ผมชอบตอนพี่โน้สเล่าเรื่องเพื่อนสาวชาวฝรั่งที่ชื่อเอมิลี่
เธอบอกว่าวันที่กลับบ้านเธอจะนำของสิ่งหนึ่งติดมือกลับไปด้วย
เพื่อเป็นที่ระลึกเวลานึกถึงเมืองไทย
รู้ไหมครับว่า ของ ที่ว่าคืออะไร
มันคือ ขัน
ขันที่เราเห็นเป็นสิ่งธรรมดา แต่มันไม่ธรรมดาในลูกนัยน์ตาน้ำข้าวของฝรั่ง
ฝรั่ง-ผู้ไม่เคยใช้น้ำล้างก้น!
ปกติเขาใช้ทิชชู่เช็ดก็เป็นอันเสร็จพิธี
แต่พอมาเมืองไทย เอมิลี่ไม่มีทิชชู่ให้เช็ด
หันซ้ายขวาหน้าหลังก็เจอแต่กระบะใส่น้ำทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งไว้ข้าง
ผนังห้องน้ำ
ในนั้นมี ขัน อยู่หนึ่งใบ
เอมิลี่เกาหัวสีทองของเธอแกรกๆ นึกในใจ-เอาไงกับมันดี
พี่โน้สบอกว่า คนไทยอาจจินตนาการไม่ออกว่าการใช้ขัน
ทำความสะอาดหลังขับถ่ายมันยากเย็นตรง ไหน
แต่ขอให้แทนตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้ล้างก้นด้วยการใช้ขันมาตั้งแต่เกิด
แล้วจะเข้าใจเอมิลี่มากขึ้น

เอมิลี่ผู้ไม่เคยใช้ขัน ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาด้วยมือขวา
อีกมือที่เหลืออยู่ เธอถามตัวเองว่า-เราต้องใช้มันทำอะไร (วะ)
เธอหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ จึงปล่อยให้มันว่างอยู่อย่างนั้น
แล้วจัดแจงใช้ขันกวักน้ำ แล้วอาศัยกฎแห่ง
แรงกระแทก สาดน้ำเพื่อชำระล้างอย่างรุนแรง
เพื่ออัดกระแทกสิ่งสกปรกให้สะเทือนแตกกระสานซ่านเซ็นออกไปให้หมด
ซู่ซ่า ซู่ซ่า ซู่ซ่า-ครั้งแล้วครั้งเล่า
เธอเดินออกมาด้วยสภาพเหมือนเพิ่งเดินผ่านถนนข้าวสารช่วงสงกรานต์
เปียกปอนไปทั้งตัว
ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอเพียงเข้าไปขี้!
วันเวลาผ่านไป เอมิลี่ฝึกฝนการใช้มือหนึ่งจับขันอีกมือหนึ่งช่วยขัดถูจนเอาอยู่แล้ว
แต่เธอก็ยังไม่พ้นเคราะห์กรรมเรื่องการขับถ่าย
เธอไปเจอเข้ากับ ขันผูกเชือก
เธอไม่เข้าใจว่าจะผูกเชือกขันไว้ทำไม มันใช้ไม่สะดวก
แต่คนไทยอย่างเราย่อมเข้าใจดี ห้องน้ำบางที่กระบะใส่น้ำ
ของห้องน้ำสองห้องจะเชื่อมถึงกัน

และบางทีที่เราทำธุระเสร็จแล้วก็ต้องเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
เมื่อหันมาที่กระบะแล้วพบว่า ขัน

ไม่ได้อยู่ที่ห้องของเรามันลอยละล่องอยู่ในห้องข้างๆ!
นั่นเอง ห้องน้ำสาธารณะจึงต้องมี เชือก เอาไว้ให้สาว ขัน มาใช้ได้ทันท่วงที
อีกเหตุผลที่พี่โน้สบอกกับเอมิลี่คือ ที่ต้องผูกเชือกไว้เพราะเขากลัวคนขโมยขัน
เอมิลี่ฟังแล้วทำหน้าเหมือนเห็นมนุษย์ต่างดาว ขโมยขัน!
เอมิลี่ร้องเสียงหลง มันจะขโมยไปทำมายยย
ผ่านพ้นไปสองด่าน นึกว่าจบหลักสูตรล้างก้นแห่งประเทศไทยแล้ว
แต่ยัง...ยังไม่จบ
เอมิลี่ยังต้องพบกับ ขันเจาะรู อีก!
เอมิลี่ไม่เข้าใจ ทำไมต้องเอาขันไปเจาะรู
พี่โน้สใช้คำอธิบายเดิม เขากลัวคนขโมยขัน
ถ้าขโมยไปมันจะได้ใช้ไม่ได้

เอมิลี่ทำตาถลึงแล้วพูดสวนกลับมาทันที
แต่มันยังไม่ทันขโมย
เราก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน!!!

ทุกครั้งที่เธอวักน้ำขึ้นมา ก่อนที่ขันจะเดินทางมาถึงจุดหมาย
น้ำก็ไหลออกจากรูไปหมดแล้ว

โธ่...เอมิลี่ผู้น่าสงสาร
ผมนั่งฟังเรื่องขี้ๆ ที่ไม่ใช่ขี้ๆ ของพี่โน้สแล้ว
รู้สึกเพลิดเพลินเจริญกระเดือกเป็นยิ่งนัก

คนดูเต็มฮอลล์ที่นั่งฟังนั่งดูอยู่ด้วยกันก็ส่งเสียงฮาจนลืมกลิ่นเหม็น
จากขี้ที่ผู้คนรังเกียจ อุดมสามารถนำมันมาปั้นเป็นเรื่องเป็นราวให้คนมีความสุข
คำนวณค่าบัตรคูณจำนวนรอบก็ต้องบอกว่าเป็นการ ปั้นขี้ให้เป็นทอง ของจริง
แต่ผมเดาว่าสิ่งที่ดึงดูดให้พี่โน้สเปิดเดี่ยวครั้งแล้วครั้งเล่าอาจไม่ใช่
เงินเพียงอย่างเดียว

แต่เป็นความสุขที่เขาได้รับจากเสียงหัวเราะของคนดู
ผ่านไปสามชั่วโมงกว่า เมื่อถึงช่วงท้ายของการแสดง
พี่โน้สบอกกับผู้ชมว่า

ผมยังไม่อยากเลิกการแสดงเลย จริงๆ นะ
เวลาได้ยินพวกคุณหัวเราะกันแล้ว
ผมรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์มากเลย

คนดูหัวเราะขำ
พูดจริงๆ ครับ ช่วงที่หยุดเดี่ยวไปหลายปี
ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าอะไรกับโลกใบนี้เลย
แล้วพี่โน้สก็ชวนคนดูมาดูเดี่ยวเล็กๆ ที่จะจัดขึ้นในครั้งหน้า
อาจไม่ต้องเสียตังค์เยอะ
แต่จัดเพราะเขาอยากเล่าเรื่องสนุกๆให้คนดูได้ฟังกัน

ผมว่านั่นเป็นความสุขของคนทำงาน
ความสุขที่ได้รู้ว่าการงานของเรามีประโยชน์กับผู้อื่น
นักแสดงได้ยินเสียงคนดูหัวเราะ,
แม่ครัวได้เห็นคนเคี้ยวข้าวผัดอย่างเอร็ดอร่อย,
จราจรได้เห็นรถเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว,
หมอได้เห็นคนไข้อาการดีขึ้น,
ครูได้เห็นลูกศิษย์เติบโตเป็นคนมีคุณภาพ,
สถาปนิกได้เห็นคนเข้าไปใช้สอยอาคารพร้อมรอยยิ้ม ฯลฯ
ความสุขที่พ้นไปจากเงินหรือรายได้คือ คุณค่าŽของการงานนั้น
คุณค่า ต่อผู้อื่น
ซึ่งถ้าใครหาเจอ เขาก็จะรู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองทำและ
อยากทำมันโดยไม่รู้สึกอ่อนล้า

มิใช่หรือว่า สิ่งที่ทำให้เรายังอยากตื่นมาทุกวันก็คือ
การได้รู้ว่าตัวเองยังมีความหมาย กับโลกใบนี้
ท่านพุทธทาสเคยกล่าวคำเตือนใจเอาไว้ว่า
อยู่โดยไม่ต้องมีความรู้สึกว่าเราดี เด่น ดังอะไรเลย
เพียงแต่รู้สึกว่าเราเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่ง
นั่นแหละถูกต้องและเป็นสุขแท้

ผมคิดว่าการงานทุกอย่างมีคุณค่า
และสำหรับคนที่มองเห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองทำ
คนคนนั้นคงเป็นคนที่มีความสุข

ความสุขโดยสังเกต : ตอนที่1


ความงดงาม ของความหงิกงอ
มติชน http://www.matichon.co.th
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เข็มนาฬิกาเดินไวไม่ต่างจากเท้าของเสือชีตาร์ที่
กำลังกวดกวางเก้ง

อายุอานามของเราเองก็เดินหน้าไป
อย่างฉับไวไม่ต่างอะไรกับเข็มนาฬิกา
เวลาอาจเป็นมายา ทว่าความชราเป็นเรื่องจริง
เผลอแผล็บเดียว นิ้วกลมๆ ของผมก็ได้จรดตัวอักษรลงนอนแผ่หลา
บนหน้ากระดาษของ มติชนสุดสัปดาห์ มาเป็นเวลาเฉียดสองปีแล้ว
เป็นสองปีที่ทำให้ได้รู้ซึ้งว่าการเขียนคอลัมน์รายสัปดาห์นั้นคลับคล้ายคลับ
คลากับการทำนาตลอดปีโดยไม่มีฤดูกาล
ไม่ว่าดินฟ้าอากาศจะเป็นเช่นไรก็ต้องหว่านไถอย่างสม่ำเสมอ
เผลอเป็นครบสัปดาห์อีกครั้ง
ฟังดูชวนเหนื่อย ชวนเมื่อย ชวนล้า
แต่ก็มิได้น่ากลัวถึงขั้นต้อง ชวน หลีกภัย
ยังไม่หลีกไปไหน ยังคงยืนหยัดเขียนอยู่
เช่นกันกับการปลูกข้าวและพืชพันธุ์ผลไม้ความเหน็ดเหนื่อยเป็นเรื่องปกติ
หากคิดจะเพาะปลูกอะไรสักอย่าง ถ้าไม่เหนื่อยบ้างจะมีผลงานได้อย่างไร
ผลงานก็เหมือนผลไม้ ถ้าสุดท้ายสวยงาม ผู้ปลูกก็ชื่นใจ
ยิ่งในยามรวมเล่มก็เหมือนจับผล(ของ)งานมาใส่กระเช้าใบสวย
คัดสรรผลที่ดีๆ มาวางเรียงกันใหม่เป็นกระเช้าใบใหญ่ที่ทำให้ชื่นใจได้อีกครั้ง
เช่นกันกับชาวสวนชาวไร่ ยามที่ใครกล่าวชื่นชมรสหวานของผลไม้
ชาวไร่ชาวสวนย่อมชื่นใจยิ้มแก้มปริ สำหรับผู้สร้างสรรค์ผลงาน
ยามที่ผู้ลิ้มรสกล่าวถึงรสหวานของผลงาน ผู้เพาะหว่านย่อมยิ้มจมูกบานไม่ต่างกัน
นั่นกระมัง ความสุขใจของการได้เขียนอะไรสักอย่าง
นักเขียนจึงเป็นเกษตรกรในสวนอักษร
เพาะปลูกความคิดและตัวหนังสือส่งถึงมือผู้อ่าน

แต่การสร้างสรรค์ผลงานใช่ว่าจะไร้ความกดดัน
การสร้างสรรค์งานศิลปะไม่ใช่อะไร ที่จะมาชี้วัดคำนวณค่ากันได้แม่นยำ
ผลงานที่เราว่าดี บางทีก็ไม่ถูกใจผู้อ่าน ผู้ชม ผู้ฟัง
นั่นอาจนำมาซึ่งความกังวล
โดยเฉพาะกับคนที่เคยประสบความสำเร็จ
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ ตาตี่ๆ ของผมได้ประจันหน้ากับตาตี่ๆ อีกหนึ่งคู่
ปากของเราขยับพ่นคำพูดแลกเปลี่ยนกันไปมา
เจ้าของดวงตาตี่ๆ บอกเล่าความกดดันในการทำอัลบั้มที่สองให้ผมฟัง
ใช่แล้วครับ เขาเป็นนักร้อง
นักร้องที่มีเพลงดังมากมายในอัลบั้มชุดแรกอย่างเพลงความคิด,
คนที่คุณก็รู้ว่าใคร, ทฤษฎีสีชมพู, สองหมื่น เรียกว่าดังเกือบทั้งอัลบั้ม
ใช่แล้วครับ เขาคือแสตมป์-อภิวัชร เอื้อถาวรสุข
ขณะนี้แสตมป์กำลังแต่งเพลงเพื่อนำมาใส่กระเช้ารวมเข้ากันเป็นอัลบั้มที่ สองอย่างมุ่งมั่นตั้งใจตั้งปอดตั้งนม
ผมลองกรอกหลายเพลงใส่รูหูแล้วพบว่าไพเราะมิใช่เล่น
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนผมอ่านเจอข้อความในเอ็มเอสเอ็นของเขาเขียนว่า
เริ่มใหม่หมดเลย ง่ายกว่าŽจึงเคาะหน้าต่างเข้าไปถามไถ่ว่า หมายความว่าอะไร
นักร้องตาตี่จึงอธิบายว่าเขาจะเริ่มทำเพลงทั้งหมดใหม่ ยังไม่พอใจ เกรงว่ายังไม่ดีพอ
นั่นคือความกังวลของคนที่ประสบความสำเร็จกลัวว่าของใหม่จะดีไม่เท่าของเก่า
หรือบางทีเราก็รู้สึกว่า ดีกว่า แต่ก็ยังห่วงว่าคนฟังจะไม่ชอบ
การประสบความสำเร็จในผลงานชิ้นแรกนับว่ายากแล้ว
แต่การประสบความสำเร็จซ้ำในผลงานชิ้นต่อๆ ไปนั้นยากกว่าหลายเท่า
วันนั้นผมไม่ได้พูดอะไรกับแตมมากไปกว่าให้กำลังใจ
และบอกกับเขาว่าหลายเพลงที่ส่งมาให้ฟังก็เพราะดีแล้วนะ
ส่วนเรื่องการตัดสินใจจะทำใหม่หรือไม่
ผมเห็นว่าเป็นเรื่องของเจ้าของผลงาน คงไม่ใช่เรื่องที่ใครจะไปก้าวก่าย
วันหนึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ผมพบกับแสตมป์อีกครั้งที่ เลิฟอีส และโชคดีที่ได้เจอ
พี่บอย โกสิยพงษ์ที่นั่นด้วย ผมถามแตมถึงความคืบหน้าของอัลบั้มชุดใหม่แตมยิ้มแจ่มใส
และบอกว่าคืบหน้าไป มากแล้ว ตามด้วยคำอธิบายว่าไม่ได้ทำใหม่ทั้งหมด
แต่คัดสรรเพลงที่ชอบออกมารวมกับเพลงใหม่ที่ทำเพิ่ม
พี่บอยซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นแย้มยิ้มออกมาเหมือนคนเคยอาบน้ำร้อนมาก่อน
แล้วพูดว่า
ศิลปินทุกคนจะมีช่วงนี้ เขาเรียกว่า ช่วงเสร่อ

พวกเราได้ยินก็หัวเราะกันดังลั่น แต่ผมก็ยังงงว่า เสร่อ
ยังไง แตมเลยอธิบายให้ฟังว่า เสร่อคิดว่าตัวเองเก่ง
แต่แทนที่จะเก่งกลับจะกลายเป็นเกร็งไปแทน
และทำให้งานที่ทำออกมานั้นไม่เป็นธรรมชาติ

เพราะตั้งใจกับมันมากเกินไป ห่วงนั่นห่วงนี่มากเกินไป
คิดถึงคนนู้นคนนี้มากเกินไป

ทำให้งานไม่สดเหมือนครั้งแรกๆ ที่ทำ
แตมเล่าให้ฟังว่าพี่บอยเองก็เคยหยุดแต่งเพลงไปถึงหกปี
หลังจากที่ประสบความ สำเร็จกับอัลบั้มแรกๆ
เพราะกลัวว่าผลงานใหม่จะไม่ดีเท่าชุดเก่า
พี่บอยยิ้มออกมา แล้วชี้ให้ผมมองต้นไม้
ดูสิต้นไม้มันยังไม่ได้งอกขึ้นไปตรงๆ เลย
มันก็ต้องมีคดบ้างโค้งบ้าง แต่มันก็โตขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องธรรมชาติ
แตมฟังแล้วก็หันมายิ้มตาหยี ผมหันมองต้นไม้รอบๆ
ตัวแล้วก็เห็นด้วยกับพี่บอย

พี่บอยยิ้มให้อย่างใจดี และบอกกับผมว่า
ช่วงเสร่อเราจะใช้สมองทำงานมากกว่าหัวใจ

หลังจากพ้นช่วงนั้นมาได้ พี่ก็กลับมาใช้หัวใจเขียนเพลงอีกครั้ง
จะว่าไปคนเรากับต้นไม้ก็ไม่ต่างกัน
เราต่างเป็นธรรมชาติ

มิใช่เครื่องจักร การผลิตผลงานออกมาย่อมคล้าย
การ ปลูก มากกว่าการ ปั๊ม

ความคาดหวังและกดดันตัวเองว่า
มันจะต้องดีขึ้น-ดีขึ้น-ดีขึ้นตลอดเวลา

ก็ใช่ว่ามันจะนำมาซึ่งผลงานที่ดีขึ้นจริงๆ
การลงมือทำสิ่งใดย่อมต้องการหัวใจ ไม่แพ้หัวสมอง
และหัวใจมักทำหน้าที่ของมันได้ดีในภาวะที่ผ่อนคลาย
คล้ายๆ ต้นไม้ที่งอกเงยหงิกงอคดโค้งไปตามใจของมัน
ตามแต่ธรรมชาติแห่งสายลมและแสงแดดจะพาไป
ย่อมสวยงามกว่าต้นไม้ที่ถูกมนุษย์ตั้งใจดัดให้ตั้งตรง
ยอมรับตามตรงว่า วันแรกที่นั่งลงเขียนต้นฉบับเพื่อส่งมายัง
มติชนสุดสัปดาห์ (เวทีในฝันของผม)

นั้นผมก็เกร็งจนกล้ามก้นระบมอยู่เหมือนกัน
เมื่อนึกหน้าคุณลุง คุณป้า คุณน้า คุณอา
คุณพี่ที่กำลังอ่านอยู่อาการก็กำเริบขึ้นทันที

เขียนอะไรก็รู้สึกว่ายังไม่ดีเขียนๆ ลบๆ
ด้วยความเกร็งและกลัว

จากวันนั้นถึงวันนี้เกือบสองปีมาแล้ว
ความเกร็งคลี่คลายลงไปมาก ตะคริว
ที่กล้ามก้นไม่แข็งเขม็งดังเดิม

เริ่มต้นคอลัมน์ใหม่ ถางหญ้า
เตรียมแปลงสวนให้ร่วนซุย

เตรียมปุ๋ยธรรมชาติ ตระเตรียมพละกำลัง
พร้อมหว่านเมล็ดพันธุ์ รดน้ำ

ตัดแต่งกิ่งก้านใบ โบกมือไล่แมลง
ลงมือปลูกผลงานในสวนอักษรอีกครั้ง
ปลูกอย่างเบิกบาน
ปล่อยให้ผลงานโตตามธรรมชาติ

Jun 17, 2011

ศิลป วิชาการ พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว










ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี

มี คำกล่าว เป็นสามัญว่า
มนุษย์นั้นประกอบเป็นตนขึ้นได้ก็ด้วย มีร่างกายและ
ร่างกายอาศัยสิ่งที่มี รูปร่างเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง
ส่วนใจก็มีอาหารของใจ เป็นเครื่องบำรุง เลี้ยง ได้แก่
ศาสนา ความรู้ ว่าอย่าง ทั่วไปและศิลปะ ว่าโดยเฉพาะ
ศาสนาถ้า ขาดความรู้ก็ก่อ ให้เกิดคติความเชื่อที่งมงาย
เป็น ไปตรงกันข้ามกับคติธรรมที่สูงไม่ ว่า
คติอะไร ความรู้ถ้าขาดสิ่งซึ่งค้ำจุนจิตใจ
ย่อม ก่อให้เกิดความเชื่อทางวัตถุธร รมว่ามี
และเป็น ที่สุดเพียงนั้น ( โลกายัต)
สะพาน ซึ่งเชื่อมคติความเชื่อทางวัตถุ
กับทางจิตใจให้ติดต่อถึงกัน ได้แก่ ศิลป
เพราะ ผู้ใดเข้าใจและรู้คุณค่าของศิลป แล้ว
ผู้นั้นย่อมเข้า ถึงสิ่งซึ่งเป็นอนันตะ คือ
พรหม สามารถรู้ได้อย่างแน่แก่ใจ
ซึ่ง ความสุขที่แท้จริง ( นิรามิสสุข)
มนุษย์อาจได้รับความบันเทิงใจเพราะ
มั่งมีทรัพย์สิน หรือเป็นที่รักที่เมตตา
แก่ เพื่อนผู้เป็นสหาย หรืออาจรู้สึกว่า
มีความสุขมาก เพราะมีฐานะสูงใน สังคม
แต่ ความสุขชนิดนี้ เป็นความสุขที่เห็นแก่ ตัวและ
เป็นปัจจัยก่อให้เกิด คติถือตน เป็นที่ตั้ง ( อหังการ)
เพราะไม่มีใครอยากให้ เพื่อนร่วมเกิดได้รับส่วน
ใน ความรักความเมตตาที่ตนได้ รับอยู่
ไม่อยากให้ใครร่วม ใช้ทรัพย์สินของตน
และไม่อยากให้ใคร มีส่วนร่วมฐานะสูง ในสังคม
ซึ่ง เป็นเอกสิทธิ์ของตน แต่เมื่อว่าทางศิลปะแล้ว
ก็เป็นเรื่องอยู่ตรง กันข้ามที่เดี ยวกับที่กล่าวมาแล้วนี้
ความจริงเมื่อเราฟังเสียงดนตรี ที่ไพเราะ
อ่านหนังสือที่ ประพันธ์ดี
หรือ ดูภาพจิตรกรรมที่งดงาม
จะรู้สึกโดยไม่รู้ตัว อยากให้ ผู้อื่นได้ร่วมอารมณ์
ให้สะเทือนใจไปกับเราด้วย
และยิ่งไปกว่านี้ เรายังปราถนาให้บุคคล เหล่านั้นได้ฟัง
ได้อ่านหรือได้ ดูศิลปกรรม อย่างเดียวกับเรา

ทั้ง นี้ก็เพราะว่าถ้ามีความรู้สึกเห็น คุณค่าของศิลปกรรมร่วมกัน
ย่อม เพิ่มความสุขความสบายใจให้แก่เรายิ่งขึ้น
เพราะเหตุดังนี้
ศิลปจึง เป็นปัจจัยที่สนับสนุนความสัมพันธ์
อย่าง เห็นอกเห็นใจกันในระหว่าง
เพื่อน มนุษย์ และอำนวยความสุข
ความ บันเทิงที่แท้และถาวรแก่มนุษยชาติ
อัน ที่จริงศาสนาก็ให้ความสุขซึ่งไม่
ถือ ตนเป็นที่ตั้งแก่เราเหมือน กัน
แต่ ความสุขที่สันโดษทางจิตใจนี้
ย่อม มีอยู่ตามส่วนสัมพันธ์กับความรู้สึก ดีชั่วของเรา
เพราะเป็นเรื่องราวของ เอกชน กล่าวคือ
เป็นความรู้สึก ภายในตัวเรา
รู้สึกอย่างไรก็อย่าง นั้นไม่มีผันแปร
แต่ เรื่อง อารมณ์ให้สะเทือนใจที่เกิด
จาก ศิลปะมีแปลก ๆ ต่าง ๆ
ไม่มีขอบเขตเป็นที่สุด และเป็นความรู้สึกที่มาจากภายนอกตัว เรา
และเราจะเกิดมีอารมณ์ให้สะเทือนใจได้แค่ไหน
ก็แล้วแต่ ลักษณะของ ศิลปกรรมที่มากระทบ ความรู้สึก ของเรา
แต่ทว่าศิลปนั้นเราจะรู้สึกเห็นคุณค่าด้วยตนเองไม่ได้
นอกจากจะได้รับ อบรมทางจิตใจของเรา ให้เข้าใจ
เพราะ ด้วยเหตุดังนี้ นานาอารยประเทศแทบทั้งหมดจึงให้เด็ก ๆ
ในชาติของเขาได้รับการศึกษาอบรมทางสุนทรียะ
ที่ในภาษาฝรั่งเรียกว่า Aesthetic Equcation
มาตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะที่แรกเริ่มรับการศึกษาเล่าเรี ยน
เพื่อปลูกฝังจิตใจให้รู้จักความงาม
ความไพเราะมาตั้งแต่เล็ก

พระยาอนุ มานราชธน : แปล ,
วันศิลป์ พีระศรี 15 กันยายน 2525
มหาวิทยาลัย ศิลปากร , 2525




"ไร้รากไร้เรา" เสียงสะท้อนผ่านหนังสารคดี ของ นก -นิสา และ ป๊อป – อารียา

สารคดี รากเรา
http://www.facebook.com/ourroot

http://teetwo.blogspot.com/2008/12/blog-post.html


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
3 มิถุนายน 2554

อะไรบ้างคือตัวอย่างของ ราก เหง้า วิถีชีวิต จิตวิญญาณ
ความเป็นไทยที่ควรภาคภูมิ ในสายตาของ 2 สาว
นก - นิสา คงศรี และ ป๊อบ - อารียา สิริโสดา

คำตอบคงอยู่ใน รากเรา(Our Roots) ภาพยนตร์สารคดี
ความยาว 84 นาที ผลผลิตจากการเดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตของคนไทย
ในภูมิภาคต่างๆ ของ เด็กบ้านนอก จากแม่กลอง และ เด็กเมืองนอก
จากอเมริกา ผู้มีโอกาสพบเห็นความงดงามที่เรียบง่าย
หลายสิ่งจนอยากบอกต่อ

ไม่ต่างจากครั้งที่ทั้ง คู่ เคยทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง เด็ก โต๋
และ ปักษ์ ใต้บ้านเรา มาเสิร์ฟสายตาเรา

ทว่า รากเรา เป็นการหยิบประเด็นที่ใหญ่ขึ้นมานำเสนอ
เพราะมันคือสิ่งที่พวกเธอเชื่อว่า ทำให้ก่อเกิดความเป็น เรา
เช่นทุกวันนี้ หาก ไร้ ราก ย่อมต้อง ไร้เรา

นก - นิสา เล่าว่า ความคิดที่จะทำภาพยนตร์เรื่องนี้
ถูกจุดประกายขึ้นระหว่างการเดินทาง ที่ จ.เชียงใหม่
หลังจากที่รับฟังเรื่องราวของ ฟ้อนเมือง
จากการบอกเล่าของ ครูเอื้อง -วิบูลย์ลักษณ์ คุณยศยิ่ง
ผู้ชำนาญการนาฏศิลป์ไทยพื้นเมืองว่า
มันคือศิลปะการแสดงเพื่อเป็นพุทธบูชาและลักษณะ
การเยื้องย่างของผู้ฟ้อนก็ เปรียบเหมือนการเดินจงกรม
ทำให้เธอจินตนาการเป็นภาพของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง
ที่มีศิลปะการแสดงของทั้ง 4 ภาค มารวมกัน

จนในที่สุด ศิลปะการแสดง ได้แก่ ซอล่องน่าน จ.น่าน,
ฟ้อนเมือง จ.เชียงใหม่,โปงลาง จ.กาฬสินธุ์,
เจรียงเบริน จ.สุรินทร์,หนังตะลุง จ.นครศรีธรรมราช,
หนังใหญ่ วัดขนอน จ.ราชบุรี,และโขน กรมศิลปากร กรุงเทพมหานคร
ถูกนำมาถ่ายทอดไว้ใน รากเรา
เพื่อสะท้อนให้ผู้ชมได้สัมผัสกับ
รากเหง้า วิถีชีวิต จิตวิญญาณ
ของ คนไทยในแต่ละภูมิภาค

ได้สัมผัสว่า... ภาค เหนือ ยังคงเป็น ดินแดนแห่งพุทธศาสนา
และศิลปวัฒนธรรมอันงดงาม ผ่านการแสดง ฟ้อน เมือง
การฟ้อนของสาวชาวเหนือเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและ
ซอ ล่องน่าน การร้องที่เล่าขานถึงนครแห่งวัฒนธรรม

ได้สัมผัสว่า... ภาคอีสาน ยังคงเป็น
ดินแดนแห่งความสนุกสนาน รื่นเริง
ท่ามกลางความแห้งแล้งของแผ่นดิน ผ่านการแสดง โปงลาง
เสียงดนตรีธรรมชาติที่เกิดจากจินตนาการของมนุษย์
และ เจรียงเบริน ศิลปะการร้องที่สอดแทรกคุณธรรม

ได้สัมผัสว่า... ภาคใต้ ยังคงเป็น ดินแดนอันลุ่มลึก
ด้วยมุมมองการใช้ชีวิตและภูมิปัญญา ผ่าน หนังตะลุง
การแสดงที่สะท้อนแนวคิดและวิถีชีวิตชาวใต้

ได้สัมผัสว่า... ภาคกลาง ยังคงเป็น
ดินแดนแห่งการหลอมรวมศิลปะและผู้คนให้กลายเป็นหนึ่งเดียว
ผ่านการแสดงของ หนัง ใหญ่ รากแห่งศิลปะการแสดงไทย
อันสืบเนื่องมาแต่โบราณ และ โขน
ศิลปะประจำชาติที่หลอมรวมงานช่างสิบหมู่
และศิลปะไทยทุกแขนงเข้าไว้ด้วยกัน






ป๊อบ - อารียา อดีตนางสาวไทยที่ผลันตัวเองมาเป็นผู้กำกับ
กล่าวว่า การได้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้
ตลอดจนการได้มีโอกาสเดินทางไปพบบรมครูทางศิลปะทั้งหลาย
ทำให้ได้รับคำตอบในสิ่งที่ถูกถามมาตลอดว่าอะไรคือ
สิ่งที่บ่งบอกว่า นี่คือคนไทย

“ไป อยู่อเมริกา ไปอยู่ต่างประเทศ คนก็มักจะถามว่า
What is thai people ? thai people คืออะไร ... กีฬาสีเหรอ(หัวเราะ)
ประเทศไทยมีอะไรบ้าง

รากของเรา มันเป็นอะไรที่สวยงามมาก อ่อนช้อย น่ารักมากๆ
และวิธีการใช้ชีวิตของศิลปินที่อยู่ร่วมกับศิลปะเนี่ย
มันคือแก่นมากๆ คนที่เป็นศิลปินแห่งชาติ
เขาเป็นศิลปินกันจริงๆ แม้มีคนไปชมการแสดงแค่ 10 คน
ก็ยินดีเล่นให้ชม”

และเมื่อถูกถามเป็นประจำว่า ทำหนังแบบนี้ไปทำไม
ทำไมไม่ทำหนังเอาใจตลาดแบบที่ทำเงินได้เยอะๆเป็นร้อยล้าน เธอตอบว่า


“ต้องเปรียบว่าเราเป็น แม่ค้าสองคน
ที่ชอบแกงแบบนี้ จะให้เราแข่งขันกับแบบฟาสต์ฟู้ด(หัวเราะ)
ที่มี 800 สาขา เราทำไม่ได้”

fan mail(จดหมายจากผู้ที่คลั่งไคล้หรือนิยมชมชอบ) ของเรา
ตั้งแต่ที่เราทำงานออกมาตั้งแต่ปี 2005 จนถึงตอนนี้
รวมถึง fan mail จาก facebook และคนที่อยากทำหนัง
บางคนเขาจะเห็นพวกเราเป็นพวกอินดี้ๆ เซอร์ๆ ทำอะไรเพื่อจิตใจ

เราอยากบอกว่า เราไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นศิลปิน
หรือผู้กำกับ เราสองคนเป็นนักเดินทาง
แล้วในชีวิตก็ได้เจออะไรที่สวยๆงามๆ
และอยากจะแชร์ต่อไป มันก็เหมือนเดิม”

โดยกำลังใจที่ทำให้ทั้งสอง สาวสามารถทำภาพยนตร์เรื่องนี้
จนสำเร็จลุล่วง พร้อมที่จะเข้าฉาย ณ โรงภาพยนตร์ลิโด
วันที่ 16 มิถุนายน เป็นต้นไป ก่อนจะสัญจรไปตามวิทยานาฏศิลป์ ทั่วประเทศ
นก - นิสา กล่าวว่า คือบรรดาครูอาจารย์และศิลปินแห่งชาติ
ในแต่ละภูมิภาคที่พวกเธอผ่านเป็นไปพบ
และได้นำเรื่องราวและการแสดงของพวกท่านเหล่านั้น
มานำเสนอผ่านภาพยนตร์

“หน้าของครูบา อาจารย์ ทั้งหลายแหล่จะลอยอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น ถ่ายเสร็จแล้วเราจะเก็บไว้ได้อย่างไร
เราต้องเอาออกมาให้คนได้ดู ป๊อบพูดได้ดีว่า นิสา
บ้านเรามันขาดรอยต่อ คนยุคนี้จะไม่อยู่แล้ว
แล้วคนข้างหลังจะทำอย่างไร
เราต้องบันทึกไว้เพื่อเป็นอะไรตรงกลาง
เป็นเหมือนลูกโซ่ที่เชื่อมระหว่างลูกโซ่

และคนพวกนี้เขาคือ ศิลปินอย่างแท้จริง
ไม่ใช่ศิลปินอย่างที่เราเห็นในทีวี เพราะทั้งชีวิตเขาคือศิลปิน
ทำสิ่งเหล่านั้นโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทนก็ทำ
แล้วก็รักศิลปะเหล่านั้นจริงๆ หมดแล้วหมดเลยนะ
ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ไว้”

นกย้ำว่าศิลปะการแสดงใน ภาพยนตร์เรื่องนี้
เป็นเพียงกระจกสะท้อน แต่สิ่งซ่อนอยู่ในนั้นคือ
ความเป็นรากของเรานั่นต่างหาก

“รากเราประกอบด้วยอะไร ก็ประกอบด้วย รากเหง้า วิถีชีวิต จิตวิญญาณ
ซึ่ง รากเหง้า แน่นอนคือวัฒนธรรมของชาตินั่นเอง
วิถีชีวิต คือ เราอยู่กับธรรมชาติ อยู่อย่างพอเพียง
เพราะแผ่นดินเราอุดมสมบูรณ์ ไม่มีภัยพิบัติใดๆ
และจิตวิญญาณ ที่ส่วนใหญ่เราเป็นพุทธะ
ซึ่งถ้าจิตวิญญาณของเรามันยังเป็น

พุทธะอยู่ประเทศเราจะงดงามมาก”
ก่อนที่เธอจะทิ้ง ท้ายเพื่อ เรียกสติให้เรา
หันมาช่วยกันดูแลรากของเราว่า

“ทุกวันนี้รากเราเน่า มากแล้ว
ถ้าเราปล่อยให้รากเน่าต่อไป รับรองว่าวันหนึ่ง
เราอาจจะถูกโค่นโดยไม่รู้ตัว”

Text by ฮักก้า


ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ และ Celeb Online www.astvmanager.com โทร.0 -2629 - 4488 ต่อ 1530 Email: thinksea@hotmail.com




Jun 13, 2011

มนุษย์ต่างดาว ถวัลย์ ดัชนี


มนุษย์ต่างดาว ถวัลย์ ดัชนี

ศิลปินไทยฝีมือระดับโลก ที่มีภาพเขียนมูลค่าสูงที่สุดในขณะนี้ .. คิดเป็นนาทีละล้านบาทเลยทีเดียว

ภาพวาดอลังการสีขาวดำทะมึนกำลังเยื้องย่างอย่างทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ ถวัลย์ ดัชนี ช่างวาดรูปนามอุโฆษเจ้าของภาพวาดระดับโลกและเป็นศิลปินไทยที่มีภาพเขียนมูลค่าสูงที่สุดในขณะนี้ หรือคิดเป็นนาทีละล้านบาทเลยทีเดียว

ถวัลย์ ดัชนี ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) ปี 2544 ปัจจุบันเพิ่งมี
อายุครบ 70 ปี เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา ล่าสุดนักเขียนปากกาทองอย่าง ไมตรี ลิมปิชาติ ได้สัมภาษณ์และเรียบเรียงเขียนออกมาเป็นหนังสือชีวประวัติ ถวัลย์ ดัชนี มนุษย์ต่างดาว ซึ่งกำลังจะตีพิมพ์ออกมาเร็วๆ นี้

กว่าจะออกมาเป็นเรื่องราวชีวิตที่เปลี่ยนจากเฟรมผ้าใบมาโลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษนั้น ไมตรี ลิมปิชาติ ยอมรับว่าไม่ง่ายเพราะชีวิตของเขาทั้งน่าทึ่งและเป็นยิ่งกว่านิยาย...

0 เริ่มต้นไปสนิทสนมหรือรู้จักมักคุ้นกับ'ถวัลย์ ดัชนี'ได้อย่างไร?

ส่วนตัวเป็นคนสนใจศิลปะและไปดูงานใครแสดงที่ไหนก็ไปดู ทำให้สนใจว่าทำไม 'ถวัลย์ ดัชนี' ถึงได้รับความเชื่อถือว่าเขียนรูปแต่ละรูปแล้วสามารถทำให้คนออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ครั้งหนึ่งเคยเขียนรูปแสดงและมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเข้าใจว่าเป็นนักศึกษาเอามีดไปกรีดไปทำลาย สมัยเมื่อประมาณ 30 กว่าปีได้ ยังไม่ดังด้วยซ้ำ เลยเริ่มรู้จัก คิดว่าน่าสนใจ ด้วยความเป็นคนชอบอ่าน แต่งานศิลปะก็ชอบ พอหลังจากนั้นก็เฉยๆ ไปเพราะไม่เคยคิดจะเขียนประวัติแกเลย ลำพังงานเขียนหนังสือของตัวเองมันก็เยอะแล้ว

บังเอิญ..ต้องใช้คำว่า 'บังเอิญ' ผมรู้จักกับ อาจารย์สุเทพ สังข์เพ็ชร เป็นคนสนิทกันมากเพราะทำงานอยู่การประปานครหลวงด้วยกัน สนิทกันเหมือนกับเป็นเพื่อนซี้กัน เรียกว่าไปไหนด้วยกัน แกเป็นนักเรียนเพาะช่างรุ่นเดียวกันกับถวัลย์ ดัชนี พอแกบอกเป็นรุ่นเดียวกันผมก็รู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้จัก คุณสุเทพพาไปรู้จักกันครั้งแรกเลยที่เชียงราย เขาเรียก 'บ้านดำนางแล' จังหวัดเชียงราย เขาสนิทกันเพราะเรียนห้องเดียวกัน เจอกันเขากอดกันเลย พอบอกไปว่าผมคือใคร พี่ถวัลย์แกเป็นคนที่ไม่ค่อยได้พูดเรื่องส่วนตัวเท่าไรนะ แต่เท่าที่คุยกันแกก็รู้จักผมเหมือนกัน

0 เหมือนต่างคนต่างเคยรู้จักกันผ่านผลงานมาก่อน?

ตอนหลังพอรู้จักกันเลยได้คุยกัน มีความรู้สึกว่าถ้าจะเขียนประวัติส่วนตัวใครสักคน เล่มแรกต้องเอาแกมาเขียนนะ เพราะว่าพี่ถวัลย์หรือเรียกแกว่า 'พี่หวัน' ไม่ใช่นักวาดรูปธรรมดา แกเป็นนักปราชญ์ด้วย เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ไม่ใช่ว่าเด็กอาชีวะมาแล้วไม่รู้จะเรียนที่ไหน เลยมาเรียนวาดรูปนะ แต่เรียนได้ทุนจากเชียงราย ความที่เป็นคนเรียนเก่ง จบ ม.6 อายุแค่ 14 ปี สมัยก่อนเขาเรียก มศ.3 ถ้าจะมาต่อเตรียมอุดม เตรียมทหาร หรือไปเรียนแพทย์-วิศวะได้แน่นอน แต่แกไม่เอา แกเอาวาดรูป มันน่าทึ่งนะ และสิ่งที่ชอบแกคือความเป็นศิลปินแท้ เช่น ยกตัวอย่างไปเจอกันครั้งแรกที่บ้านดำนางแล ตอนนั้นแกมีบ้านประมาณ 30 กว่าหลัง ทาสีดำ และมีของเรียกว่าเป็น 'สมบัติบ้า' เต็มไปหมด

แต่จริงๆ มันไม่ใช่สมบัติบ้านะ มันมีพวกเขาทั้งเขาควาย เขากวาง เขาทุกชนิดที่มีอยู่ในโลกนี้ งาช้าง เครื่องทองเหลือง ทองแดง อาวุธ มีเยอะมากเป็นหมื่นๆ อย่าง และยังมีพวกกระดูกสัตว์ เขี้ยวสัตว์ ซึ่งเราเองคนธรรมดาเขาไม่ทำกันนะ กลายเป็นว่ายิ่งสนใจแกใหญ่ว่าเป็นศิลปินจริงๆ และคิดเอาเองว่าแกคงจะใช้จินตนาการของพวกนี้มาเขียนรูป

0 ความน่าทึ่งทั้งหลายมารวมอยู่ในตัวตนคนเดียวกัน?

ตอนแกเรียนเพาะช่าง 3 ปี แกเล่าให้ผมฟังว่าเรียนเพาะช่างเพราะอยากวาดรูป แต่สมองของแกคิดไปไกลแล้ว แกก็เดินไปที่หอสมุดบริติช เคาน์ซิล แล้วก็ไปเรียนภาษา เรียนอยู่สามปีนี้สามารถพูดภาษาอังกฤษ-ฝรั่งเศสได้ สามารถศึกษาอ่านรู้เรื่อง นักเรียนเพาะช่างคนอื่นเอาแต่วาดรูป แต่แกมองไปไกลแล้ว น่าทึ่งหลายๆ อย่าง และที่ทึ่งมากกว่านั้นอดพูดเป็นเงินไม่ได้ แต่พี่หวันแกไม่อยากให้ตีค่าเป็นเงินนะ บางทีไปบ้านแกก็พาไปดูห้องทำงาน เรียกว่าห้องทำงานไม่ได้ ตอบเรียกว่าเป็นโรงงานขนาดใหญ่มากเลย แกวาดรูปแล้วมีคนมาขอซื้อสิบกว่าล้านบาท ตอนนี้บ้านแกอยู่ในประเทศ 3-4 แห่ง ส่วนบ้านที่ต่างประเทศมีทั้งอยู่เยอรมนี อเมริกา และอีกหลายประเทศ

0 ในหนังสือได้เล่าถึงช่วงชีวิตวัยเด็กของเขาไว้บ้างไหม?

ถ้าย้อนไปนิดนึงที่รู้ประวัติของพี่หวันว่าท่านเป็นลูกคนมีอันจะกิน แต่ตอนมาเรียนเพาะช่างไม่ยอมจะไปพักหอพัก ไม่อยู่วัด เป็นคนที่ไม่ยอมไปสังสรรค์กับพวกเด็กวัด ไม่ใช่ดูถูก แต่เป็นคนชอบโลกส่วนตัว อาศัยอยู่ที่เพาะช่าง หลบซ่อนอยู่ตามซอกตึก มีมุ้งอยู่อันหนึ่งพันเอวไว้ กลางคืนนอนก็กางมุ้งซอกตึกนี้ พอมีคนรู้ก็ไปนอนอีกซอกตึกหนึ่งและอาบน้ำตามน้ำพุ จริงๆ เป็นลูกคนรวยมีสตังค์ แต่อยู่เพาะช่าง 3 ปี เขาเรียกว่าเป็น 'นินจา' ไม่มีบ้าน แต่ตอนนี้แกมีบ้านไม่ต่ำกว่า 40 หลัง ทั้งบ้านที่เชียงราย 30 กว่าหลังและต่างประเทศอีกไม่ต่ำกว่า 40 หลัง แต่ไม่ใช่มี 40 หลังแล้วมีเมีย 40 คนนะ (ฮา) ทั้งเนเธอร์แลนด์และเยอรมนีมีอยู่ทั่วไปหมดเลย

อีกอย่างคนรุ่นหลังไม่ค่อยมีใครรู้ว่าพี่หวันเป็นดอกเตอร์นะ แกจบปริญญาตรีศิลปากร ส่วนใหญ่ศิลปากรรุ่นนั้นเขาได้แค่อนุปริญญา แต่แกสามารถที่จะเรียนจบปริญญาตรี และได้รับทุนให้ไปเรียนต่อที่เนเธอร์แลนด์ ที่จริงแกจะสอบชิงทุนไปอิตาลีไปอะไรก็ได้ แต่แกเห็นคนอื่นไปกันเยอะ เลยเอาที่มันแปลกๆ และไปจบปริญญาโท-ปริญญาเอก อายุแค่ 28 ปีจบด้านปรัชญา และพูดได้ 7-8 ภาษา

0 มองว่าทำไมภาพเขียนของเขาถึงได้รับการยกย่องและมีชื่อเสียงระดับโลก?

ถ้าพูดถึงผลงานของแก 'กมล ทัศนาญชลี' ซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติเหมือนกัน ยืนยันว่าพี่หวันไม่ได้เป็นแค่ศิลปินอย่างเดียว แต่เป็นนักปราชญ์ด้วย ช่วงหลังสุดพี่หวันไปอเมริกาอยู่แค่ 10 กว่าวันได้เงินกลับมาเกือบ 20 ล้านบาท แกไม่เอากลับ คุณกมลบอกว่าไปพักบ้านแก จริงๆ พี่หวันมีบ้านให้พักนะ แต่ไปพักบ้านคุณกมลเพราะคงรู้ใจและความเป็นศิลปินด้วยกัน แล้วตอนเช้าคุณกมลพอว่างแกก็เอาเฟรมวาดรูปทาสีแดงบ้าง สีดำบ้าง ทิ้งไว้ให้แต่ไม่ได้บอกให้พี่หวันวาดนะ เหมือนกับเป็นการยั่วให้แกวาด คนเราเป็นศิลปินมีสีวางไว้ให้ มีแปรงวางไว้ให้ แกก็วาด วาดเสร็จก็มีคนมาซื้อ วาดเสร็จสียังไม่ทันแห้งเลย ขอยกขึ้นรถ แล้วรูปแต่ละรูปร่วมสองหมื่นเหรียญนะ คิดเป็นหลายแสนบาท แล้วเงินที่ได้แกให้ไว้ทางโน้นสำหรับต้อนรับศิลปินที่จะเที่ยวอเมริกา ตัวผมเองก็เคยไปเที่ยว

พี่หวันมีมูลนิธิช่วยเหลือโรงเรียนทุกโรงเรียนที่แกเคยเรียนและยังช่วยศิลปากร และช่วงหลังแกคงมีอารมณ์ในแง่ที่ว่ารัฐบาลสมัยทักษิณส่งคนเก่งๆ ทุกสาขาไปเรียนเมืองนอก ยกเว้นสาขาศิลปะ แกเลยส่งของแกเองเลยนะ ส่งมาหลายปีแล้ว ปีนี้คัดเลือกประมาณ 20 คนได้ เลือกเด็กทั่วประเทศและพาไปดูงานศิลปะที่อเมริกา แล้วให้แสดงงานที่นั่น ทุกคนมีเงินติดกระเป๋ากลับมาหมด แกช่วยสนับสนุนและแกรักเพื่อนด้วยนะ เพื่อนคนไหนลำบากแกให้เงินเดือนให้เงินใช้เพราะแกทำงานได้เยอะ งานแต่ละชิ้นของแกคือไม่อยากพูดเป็นเงิน


0 ก่อนจะมาถึงวันนี้ต้องผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน?

สิ่งที่อยากเล่าอีกอย่างหนึ่งคือพี่หวันนอกจากจะเป็นคนมีฝีมือดีแล้ว ดวงแกก็ดีด้วย ที่จริงพูดคำนี้อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับแกเท่าไร เพราะแกเก่งนะ แต่ว่าจริงๆ มันใช่ด้วย เช่น แกรู้จักกับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และมีเจ้าชายจากเยอรมนีมาเมืองไทยก็มาบ้านหม่อมคึกฤทธิ์ และหม่อมเองก็ชอบงานของพี่หวันมาก เอาไปติดโชว์ไว้ทั้งที่สยามรัฐและที่บ้าน เจ้าชายพระองค์นี้เห็นแล้วก็ชอบรูป ถามว่าใครวาด หม่อมคึกฤทธิ์บอกว่าคนวาดชื่อ 'ถวัลย์ ดัชนี' ถามหาว่าอยู่ที่ไหน ตอนนั้นพี่หวันยังไม่ได้ร่ำรวยมาก ยังเช่าห้องอยู่ กำลังต่อสู้ชีวิตอยู่ เจ้าชายก็ให้นามบัตรทิ้งไว้ พี่หวันไม่รู้ว่านั่นคือเจ้าชาย คิดว่าเป็นคนธรรมดา สั่งพี่หวันไว้ว่าถ้าไปสวิตเซอร์แลนด์ให้โทรศัพท์ไปหา

หลังจากนั้นนานเท่าไรจำไม่ได้แล้ว พี่หวันก็ไปแสดงภาพที่สวิส แกโทรศัพท์ไปบอกว่าอยู่ที่สนามบิน คนรับสายบอกว่าจะมารับ แกถามว่าเอาอะไรมารับ เขาบอกว่าเอาเครื่องบินส่วนตัวมารับ แกเล่าว่าขึ้นไปนานพอสมควรแล้วไปลงกลางป่าและเดินไปอีกสักพักไปเจอปราสาทหลังใหญ่มากเลย ปรากฏว่าปราสาทนี้เป็นของเจ้าชายที่ไปหาแก ทีนี้พอแกเดินดูปราสาท แกบอกว่าเดินได้ 11 ห้องก็หมดแรงแล้วเพราะมันมีอีกเยอะ เจ้าชายบอกว่าจะให้วาดรูป แกก็โอเค แกอยู่ 5-6 เดือนโดยไม่เห็นอะไรเลย แต่ก่อนที่จะอยู่แกกลับมาวางแผนก่อนแล้วกลับไปใหม่ แกบอกว่าอยู่ที่นั่นไม่ต้องการเจอคน แม้แต่เจ้าชายก็ยังไม่เจอเลย เจ้าชายต้องย้ายไปอยู่อีกปราสาทหนึ่ง แกบอกว่าแกอยู่กับพวกกระต่ายกับกวาง คืออยู่ในห้องเขียนรูป

จนกระทั่งเจ้าชายได้เห็นภาพเขียนก็โอเค ถามว่าเท่าไหร่ เจ้าชายไม่เขียนตัวเลข แต่ลงนามในเช็คว่าให้พี่หวันใส่ตัวเลขเอาเอง แต่แกไม่ได้บอกว่าใส่ตัวเลขเท่าไหร่นะ เสร็จแล้วหายไปอีกสองปีแกกลับมาอยู่เมืองไทย ทางโน้นโทรมาใหม่บอกว่าอยากให้วาดต่อ ทีนี้ตกลงกันแล้วเซ็นใส่ตัวเลขให้เลย บอกว่าครั้งที่แล้วเหมือนกับคุณไม่ได้อะไรเลย แสดงว่าพี่หวันต้องใส่ตัวเลขน้อย ทีนี้เจ้าชายเซ็นให้เลย เท่าไหร่ไม่บอก คงเยอะนะเพราะเจ้าชายมีเมียแต่ไม่มีลูก มีปราสาทไม่รู้กี่หลัง รวยมาก กลายเป็นซี้กัน สนิทกัน ไปเที่ยวด้วยกันทั่วโลก อยากไปไหน อยากนั่งเรือล่อง อยากขึ้นขั้วโลกเหนือ อยากขึ้นภูเขาเอเวอร์เรสต์ก็ไปปีนมาแล้ว ไปกับเจ้าชายนี่แหละ เลยเป็นเพื่อนซี้กัน

0 ถือว่าโชคดีเพราะได้เจอกับเจ้าชายที่ชื่นชอบศิลปะเหมือนกัน?

แกโชคดีที่เจอเจ้าชายที่ดีและรักศิลปะ และแกต้องฝีมือดีด้วย ภาษาก็ได้ ฝีมือก็ถึง แล้วแกใช้ปรัชญาใช้ความลึกของแกมาเขียนรูป เขียนรูปด้วยความรู้ ภาพแต่ละภาพมีความหมาย เหมือนเอาทั้งโลกมาไว้ในภาพเดียว สมมติเขียนกรุงเทพฯอย่างนี้นะ เหมือนกับเอากรุงเทพฯทุกแห่งมาอยู่ในรูปเดียวกัน มันยาก แต่แกทำได้ เอาจักรวาลเอาโลกทั้งโลกมาอยู่ด้วยกัน เจ้าชายคงดูออกเพราะเป็นศิลปินด้วยกัน เท่าไหร่ก็ยอม พอเจ้าชายพระองค์นี้เสด็จสวรรคตหรืออะไรก็แล้วแต่ โอ้โห..ในวังมีค่าเพราะรูปของถวัลย์ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะมีรูปในวังด้วย คงจะได้เห็นกัน และปรากฏว่าตอนหลังมีเจ้าชายองค์อื่นมาจ้างอีก เลยได้งานเยอะ

นอกจากมีฝีมือ ความรู้ดี มีโชค พร้อมแล้วและสิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ นี่คือกรรมดีอย่างหนึ่ง พี่หวันเป็นศิลปินที่ไม่มีอบายมุขเลย บุหรี่ไม่สูบ เหล้าไม่กิน พนันไม่เล่น และสะอาด ไปดูใกล้ๆ หนวดสะอาด ผมเผ้าสะอาด รองเท้า นิ้วเท้า นิ้วมือสะอาด เหมือนแกเกิดมาเป็นอีกคนหนึ่ง เลยตั้งชื่อหนังสือว่า 'มนุษย์ต่างดาว' แต่กว่าจะมาถึงวันนี้แกก็ค้นหาตัวเอง แต่งตัวมาสารพัด แต่งตัวเป็นเอลวิส เพรสลีย์ เป็นฮิปปี้ บางทีเอากระดูกสัตว์ต่างๆ มาแขวนคอ อันนั้นมันเหมือนกับการค้นหา ในที่สุดก็กลับมาเป็น 'ถวัลย์ ดัชนี' ที่ไม่เหมือนศิลปินคนอื่น

0 ชื่อ'มนุษย์ต่างดาว'มีคำจำกัดความหรือว่านัยอะไรบ้าง?

ตอนแรกตั้งชื่อว่า 'ถวัลย์ ดัชนี คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา' เพราะเคยเขียนลงเดลินิวส์ ความที่ล่าช้าไม่ได้เขียนประวัติแกง่ายๆ ปรากฏว่าตอนหลังมีคนเขียน 'ไม่ธรรมดา เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์' อันนี้คำของเรานี่หว่า เลยไม่อยากให้ซ้ำ ที่จริงแล้วพี่หวันเหนือกว่าคุณเฉลิมชัยมากหลายเท่า เพราะว่าจริงๆ ในวงการศิลปะเขายกย่องเหนือกว่าเยอะ ฉะนั้นจะเอาชื่อนี้ก็ไม่ดี คิดชื่อใหม่ ทีนี้เพื่อนแกคือคุณสุเทพ สังข์เพ็ชร เขาเขียนถึงถวัลย์แล้วเขาไม่รู้จะยกย่องพี่หวันยังไง ถ้าบอกว่าคนนั้นเก่งยังไงมันยาก เอาเป็น 'มนุษย์ต่างดาว' แล้วกัน มันไม่เหมือนคนอื่น ตัดสินใจว่าเอามนุษย์ต่างดาว แต่พี่หวันยังไม่รู้นะ

พอพูดถึงตรงนี้ เขียนเรื่องของพี่หวันถึงแม้จะเป็นเล่มแรกก็จริง แต่เขียนยากมากเลย ยากกว่าไปเขียนเป็นนิยายเพราะชีวิตของพี่หวันยิ่งกว่านิยาย และไม่รู้ว่าจะเขียนแนวไหน ถ้าเขียนแนวเอาชีวิตคนเหมือนสมัยก่อนอย่างเรื่อง 'ดอกเตอร์ ครก' ก็มีตัวตนเอามาเขียนเหมือนนิยาย มันต้องใส่อารมณ์ใส่อะไรลงไป แต่สำหรับพี่หวันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าความรู้สึกแกจะลึกกว่านักเขียนอีก ถ้าเราเขียนรับรองไม่ลึกพอเท่า บรรยายยังไงก็สู้ไม่ได้ ขืนเขียนเราพัง ผมยอมแพ้ ยกมือไหว้ ไม่ไหวถ้าเขียนแนวนี้

เอาใหม่อีก จะเขียนทุกคำที่พี่หวันพูด โดยไปสัมภาษณ์ เอาเทปไปวางและจด คำต่อคำน่าจะดี แต่พอไปสัมภาษณ์ถามไปประโยคหนึ่ง พี่หวันจะกระจายเรื่องเยอะ ปะติดปะต่อยาก เรียบเรียงยาก และย้อนถาม และพูดลึกจนกระทั่งว่าต้องมานั่งคิด ไม่แน่ใจว่าถ้าเขียนไปแล้วผู้อ่านจะตีความได้ไหม แต่ถ้าเกิดเรามาขยายความเกิดไม่ตรงกับที่แกพูดเราก็ซวยอีก ถ้าไม่ตรงตามที่พี่หวันควรจะให้เป็นอย่างนั้น มันจะไม่ดี แต่ยังไงๆ ก็ต้องเขียนพี่หวันให้ได้เพราะว่าศรัทธา

0 ในที่สุดไปลงที่วิธีไหน?

ผลที่สุดที่เขียนได้เพราะคิดว่าจะไม่สัมภาษณ์แกแล้วล่ะ ต้องยอมแพ้ ตัดสินใจว่าจะไปสัมภาษณ์คนที่รู้จักแก เช่น ไปสัมภาษณ์ครูศิลปะคนแรก ผมไปสัมภาษณ์เองเลยถึงเชียงราย ไปสัมภาษณ์ศิลปินที่เชียงรายที่มองพี่หวัน สัมภาษณ์เพื่อนพี่หวันที่เคยเรียนเพาะช่างด้วยกัน ถามพี่สัมพันธ์ ก้องสมุทร ที่มาจากเพาะช่างเหมือนกันว่าพี่หวันสนิทกับใครบ้าง พอได้รู้รายชื่อก็โทรศัพท์ไปคุยกับเขาว่าสมัยเรียนศิลปากรแกทำอะไรบ้าง สรุปแล้วสัมภาษณ์คนรอบตัวแกหมด แม้แต่คนรับใช้ซึ่งอยู่ที่บ้านประจำ ถามจริงๆ ว่าเช้าๆ แกทำอะไรครั้งแรก ชอบกินอะไร เขียนรูปตอนไหน นอนเมื่อไหร่ และชอบไปเที่ยวที่ไหน ถามถึงขนาดนี้ ถึงได้รู้ว่าแกชอบกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นพวกนี้ ชอบกินอาหารเหนือ ถ้าผมไปถามแกก็จะโดนย้อนถามว่าแล้วปกติคุณไมตรีชอบกินอะไรล่ะ (หัวเราะ)

นอกจากว่าจะเขียนจากที่ไปพบกับคนรู้จักกับพี่หวันและก็ไปคุยกับพี่หวันแล้ว สิ่งที่ทำอีกอย่างหนึ่งก็คือเอาบทสัมภาษณ์ที่คนอื่นเคยสัมภาษณ์มาเรียบเรียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง เช่นจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ นิตยสารแพรว ดิฉัน ที่เขาเคยไปสัมภาษณ์ โดยเฉพาะเรื่องชีวิตครอบครัว เพราะผมเป็นคนไม่ถนัดเล่าเรื่องนี้ เลยไปเอาจากหนังสือมาเรียบเรียงใหม่

0 เนื้อหาระหว่างชีวประวัติกับผลงานจะเน้นไปทางไหนมากกว่ากัน?

ปกติเป็นคนถนัดและชอบที่สุดคือเขียนเรื่องสั้นเพราะเกิดจากเรื่องสั้นตั้งแต่รุ่นเก่าๆ ตอนหลังไปเขียนนวนิยาย บทความ คอลัมนิสต์อย่างนี้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะเขียนประวัติชีวิตบุคคล แต่พอคิดโจทย์แรกก็หนักที่สุดเลย เพราะว่าพี่หวันเป็นคนที่เหนือมนุษย์จริงๆ ต้องตีความให้ถูก บางทีแกบอกว่าภาพของแกไม่สวยหรอกเพราะมันไม่มีสี ผมย้อนว่าดูหมีแพนด้าสิมันมีขาว-ดำสวยไหม แกหยุดเลยนะ เพิ่งชนะแกเที่ยวนึง แกบอกเขียนภาพนาทีละเป็นล้าน เคยมีนักข่าวคนหนึ่งไปสัมภาษณ์แกว่ารูปของพี่ถวัลย์คิดราคาเป็นตารางฟุตเหรอ แกบอกว่าไม่ใช่ คิดเป็น 'จุด' (หัวเราะ) แกเป็นคนอย่างนี้ แต่จริงๆ แกไม่ได้โม้นะ แต่เป็นลูกเล่นเป็นอารมณ์ขัน แล้วเราจะเขียนยังไง ผมบอกว่าพี่หวันคิดไม่ถูกนะ พี่หวันบอกเขียนนาทีละเป็นล้าน ผมแย้งว่าก่อนจะมาเป็นนาทีเดียวพี่หวันสะสมความสามารถมาตั้ง 30-40 ปี

0 เล่มนี้บอกไว้ด้วยไหมว่าภาพไหนมีมูลค่ามากที่สุด?

รูปที่สูงที่สุด 40-50 ล้านบาท แต่ผมเน้นว่ารูปของพี่หวันตีเป็นเงินไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นค่าที่หาไม่ได้ คือจะเท่าไหร่ก็ได้ คนไม่ชอบร้อยบาทก็อาจจะไม่ซื้อ คนชอบเป็น 20 ล้านบาทก็ซื้อ แต่ว่าบางครั้งที่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องเงินเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจง่ายขึ้นว่ารูปนี้เป็นล้านเพื่อให้คนอ่านได้มองว่ามันมีค่านะ คือไม่พูดเสียเลยมันก็ไม่ได้ อย่างครั้งหนึ่งแกเคยวาดรูปให้กับธนาคารแห่งหนึ่งมูลค่า 1 ล้านเหรียญ ตอนนั้นเหรียญหนึ่งประมาณ 50 บาท เกือบๆ 50 ล้านบาท และวาดรูปไว้ในห้องทำงานหรือโรงงานของแก เล่ากันว่ามีคนถามว่ารูปใหญ่ๆ ขนาดนี้จะเอาออกประตูได้ยังไง พี่หวันบอกว่าเอาออกเป็นเรื่องของคนจ้างเป็นเรื่องของธนาคาร เขาจ้างผมวาด

จริงๆ ไม่ใช่จะซื้อรูปกับแกได้ง่ายๆ หรือเวลาไปแสดงใช่ว่าจะติดราคาเหมือนศิลปินคนอื่น แกต้องใช้คำว่าแสดงไปอย่างนั้นแหละ ใครจะซื้อค่อยว่ากัน ไปหาแกและต้องสนิท ต้องจีบแก เพราะเคยมีคนนึงต้องบินไปจีบแกถึงเชียงรายเหมือนกับไปจีบผู้หญิงเพื่อที่จะไปขอซื้อรูป ตอนหลังเลยสนิทกัน เท่าไหร่ก็เอา แต่เขาก็ไม่กล้าให้น้อย คือเป็นศิลปินที่เหนือกว่าศิลปินคนอื่น คงไม่มีแล้วในเมืองไทย เรียกว่าเป็นคนของแผ่นดิน

0 เวลาพูดออกสื่อหรือให้สัมภาษณ์ดูเป็นคนไม่ธรรมดา?

จริงๆ แกฟอร์มไปอย่างนั้นแหละ ความจริงเป็นคนมีอารมณ์ขัน เล่าเรื่องตลก สนุกและต้องมีโจ๊กเล่าทุกครั้ง และแกไม่อยากให้ใครเรียกแกเป็นศิลปินนะ แกบอกว่าแกเป็น 'ช่างวาดรูป' แต่จริงๆ แกเป็นศิลปินระดับโลก แต่เรียกตัวเองว่าเป็นช่างวาดรูป แต่คำว่าช่างวาดรูปลึกๆ อาจต้องการประชดใครต่อใครก็ได้ว่ามันเป็นศิลปินได้ บางคนแสดงภาพครั้งเดียวเป็นศิลปินแล้ว ศิลปินมันต้องได้รับการยกย่องจากคนอื่น ไม่ใช่ว่าตัวเองแสดงภาพครั้งเดียวยกตัวเองเป็นศิลปินแล้ว แกไม่มีเลยนะ

อีกอย่างแกร้องเพลงเพราะด้วย เอาดีทางร้องเพลงได้เลย แต่ล่าสุดกำลังทำมหาวิหารที่ทำคล้ายๆ แสดงภาพ เป็นศาลาใหญ่มากเลย ถ้าไปถามเด็กที่ดูแลอยู่ ขนาดค่าแรงเดือนหนึ่งร่วม 6 แสนบาท และสร้างมา 4-5 ปีแล้ว ลองคูณดูว่าเท่าไหร่ ออกแบบอีกกี่ร้อยล้านบาท และบ้านอีก 35 หลัง ตอนนี้กำลังสร้างเพิ่มอีก ไว้สำหรับต้อนรับผู้รักศิลปะด้วยกัน เชื่อไหมว่าแต่ละหลังนี้สถาปนิกไปก็งงเลยเพราะแกออกแบบสวยจริงๆ จนกระทั่ง ดร.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา บอกว่าถวัลย์ไม่ใช่เป็นศิลปินแห่งชาติทางวาดรูปอย่างเดียวนะ แต่เป็นศิลปินแห่งชาติด้านสถาปัตย์ด้วย

0 ส่วนตัวคุณไมตรีเองก็เริ่มเขียนรูปและมีจัดแสดงไปบ้างแล้ว?

เคยแสดงไปแล้วสองครั้ง ผมได้รับอิทธิพลมาจากแกละมั้ง มันพูดแล้วมันอาย 'วาดภาพสีน้ำแบบจินตนาการนามธรรม' ตอนนี้กำลังทำแกลลอรีส่วนตัวอยู่ที่บางขุนพรหมใกล้จะเสร็จแล้ว จะแสดงอีกครั้งหนึ่งในเดือนมีนาคมปีหน้าที่ศูนย์การเรียนรู้ทีเค ปาร์ค ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ แสดงภาพและเปิดตัวหนังสือด้วย ประมาณ 90 รูป เป็นภาพลักษณะคล้ายสีน้ำอะครีลิกบนกระดาษ

บังเอิญผมไปค้นพบว่าการเขียนสีอะคริลิกไม่จำเป็น ต้องเขียนในผ้าใบอย่างเดียว ลองเขียนในกระดาษอาร์ตดูมันลื่นไหลดี บางทีก็ดูไม่รู้เรื่อง แต่มันสบายๆ








Jun 12, 2011

จากภูธรสู่นครบาล

http://teetwo.blogspot.com/2009/08/httpwww.html

http://teetwo.blogspot.com/2011/02/blog-post_8365.html

เรื่อง : ภูธรสู่นครบาล
เรียบ เรียงโดย : พีรภัทร โพธิสารัตนะ
สำนัก พิมพ์ : มิสเตอร์ มิวสิก
จำนวนหน้า : 144 หน้า
ราคา : 250 บาท


หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวผ่านการเล่าเรื่องของ โอม ชาตรี คงสุวรรณ
ผู้ชายที่เล่นกีตาร์ด้วยมือขวา ทั้งๆ ที่เป็นคนถนัดซ้าย
ซึ่งหลายๆ คนรู้จักเขาในฐานะโปรดิวเซอร์ใหญ่
แต่คงมีไม่กี่คนที่รู้ว่ากว่าผู้ชายคนนี้จะได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จัก เช่นวันนี้
เขาเคยผ่านการเล่นดนตรีในบาร์รำวง งานแต่ง งานบวช
ต้องขนเครื่องดนตรีเองมาแล้วทั้งนั้น
โดยเจ้าของเรื่องได้เล่าประวัติของตัวเองไล่ตั้งแต่วัยเยาว์จนเข้าสู่วัยรุ่น


จากเด็กราชบุรีสู่การเป็นนักดนตรีในเมืองหลวง
จนกระทั่งเข้าร่วมวง The Innocent และออกอัลบั้มสุดท้าย
ซึ่งนอกจากประวัติของนักดนตรีที่ชื่อ ชาตรี คงสุวรรณ แล้ว
ผู้อ่านจะได้รับรู้ถึงบรรยากาศ การต่อสู้ และการดิ้นรนของนักดนตรีบ้านนอก (ภูธร)
ที่ต้องการมาตามหาฝันของตัวเองที่กรุงเทพฯ (นครบาล)
พร้อมกับสอดแทรกเกร็ดความรู้ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ชอบเล่นและ
ชอบฟังดนตรีไว้ได้อย่างแนบเนียน แถมยังมี CD เพลงบรรเลงกีตาร์
"How Are You Today" ที่แต่งพิเศษแนบไว้ท้ายเล่ม
เป็นโบนัสให้กับผู้อ่านอีกด้วย


"ภูธรสู่นครบาล" เรื่องเล่าที่จะทำให้คุณเข้าใจและไม่รังเกียจคำว่า
"ด้อยโอกาส" เพราะบางครั้งการด้อยโอกาสก็ทำให้คุณได้โอกาสด้วยเช่นกัน








Jun 10, 2011

ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔

ตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔

[Official Emblem]

The Celebration on the Auspicious Occasion of His Majesty the King’s 7th Cycle Birthday Anniversary

5th December 2011

ความหมายตราสัญลักษณ์

อักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. สีเหลืองทอง อันเป็นสีประจำวันพระบรมราชสมภพอยู่กลางตราสัญลักษณ์ ขลิบรอบตัวอักษรด้วยสีทองบนพื้นวงกลมสีน้ำเงินล้อมรอบด้วยกรอบโค้งเรียบ สีเหลืองทอง หมายความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนไทยทั้งชาติ ด้านบนอักษณพระปรมาภิไธยเป็นเลข ๙ หมายถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เลข ๙ นั้น อยู่ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์ และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จราชาธิราช

ถัดลงมาด้านข้างซ้ายขวาของอักษรพระปรมาภิไธย มีสายพุ่มข้าวบิณฑ์สีทอง ซึ่งมีสัปตปฎลเศวตฉัตรประดิษฐานอยู่เบื้องบน ด้านนอกสุดเป็นกรอบโค้งมีลวดลายสีทองบนพื้นสีเขียว หมายถึงสีอันเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ อีกทั้งยังหมายถึงความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์และความสงบร่มเย็น ด้านล่างอักษรพระปรมาภิไธยเป็นรูปกระต่ายสีขาว กระต่ายนั้นทรงเครื่องอยู่ในลักษณะกำลังก้าวย่าง อันหมายถึง ปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ตรงกับปีเถาะ ซึ่งปีกระต่ายเป็นเครื่องหมายแห่งปีนักษัตร โดยรูปกระต่ายอยู่บนพื้นสีน้ำเงิน

มีลายกระหนกสีทอง อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร เบื้องล่างตราสัญลักษณ์เป็นแพรแถบสีชมพูขลิบทองเขียนอักษรสีทอง ความว่า “พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ”

ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา 

เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554

รูปกระต่ายอยู่บนพื้นสีน้ำเงิน มีลายกระหนกสีทอง อันหมายถึง
ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภาร

การประกวดตราสัญลักษณ์การจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ
๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้ประกาศให้มีการส่งผลงานในระหว่าง
วันที่ ๑ – ๗ กรกฏาคม ๒๕๕๓
โดยกำหนดให้ตราสัญลักษณ์ที่ส่งเข้าประกวด
แสดงถึงความหมายและระบุข้อความ
“พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔”

ผู้ชนะเลิศการประกวดตราสัญลักษณ์ในครั้งนี้ ได้แก่

นายศิริ หนูแดง

ได้รับเงินรางวัล 400,000 บาท พร้อมประกาศเกียรติคุณ



เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม




วันที่ 9 มิถุนายน 2554 เวลา 19 นาฬิกา 9 นาที
เพลง "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม"ออกอากาศพร้อมกันทั่วประเทศ
ครั้งแรก ทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง พร้อมกันทั้งแผ่นดิน

เพลง "เราจะครองแผ่นดินโดย ธรรม"เป็นเพลงเฉลิมพระเกียรติปีมหามงคล
เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554
พื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่
ที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทยอย่างอเนกอนันต์
ดั่งปฐมบรมราชโองการ
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

คุณประภาส ชลศรานนท์

ประพันธ์เนื้้อร้อง

เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม

เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทุก บ้านทุกถิ่น ภูเขาทุกดอยทุกดง
หุบเหวทุ่งนาไพรพง ทุกเขื่อนคลองที่ ทุกข์ ทน
หากแผ่นดินนั้นเป็นไทย เสด็จไปถึงทุกชั้นชน
ดังสายฝนโปรยปรายให้คลาย ทุกข์เข็ญ

น้ำ พระทัยกว้างใหญ่มหาศาล ทรงงานมิเคยว่าง เว้น
พระ ราชทานความร่มเย็น ด้วยแนวคิดอันยั่งยืน
พระองค์ทรงเป็น ตาน้ำของแรงบันดาลใจ
ยามทุกข์ยามท้อเมื่อใด พระราชนิพนธ์สอนสั่ง

เมื่อ ตกลงไปในน้ำ อย่ามัวถามเมื่อไรจะถึงฝั่ง
จงว่ายไปด้วยพลัง ว่ายด้วยธรรมของความเพียร
แม้นยามใดบ้านเมืองจะ มืดมน เหลือแต่หนทางเดินที่วนเวียน
พระราชดำรัส ดังแสงเทียน ส่องให้เห็นถึงปลายทาง

เราจะ ครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์ สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทุก ย่านทุกหย่อมย่อมมีบ้างความแตกต่าง
ศาสนาพูดจาท่าทาง วัฒนธรรมท้องถิ่น
หลาก หลายในชาติเชื้อพันธุ์ มารวมกันบนแผ่นผืนดิน
จง รักต่อพระภูมินทร์และแผ่นดินนี้
แม้ ว่าความแตก ต่างจะมากมาย แต่ในใจยังรักและสามัคคี
หนึ่งคำ ที่ทำให้คิดดี คือมีในหลวงองค์เดียวกัน

เราจะ ครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ครอง แล้วทรงครองแผ่นดิน ครองหัวใจไทยทั้งแผ่นดิน
ธ ทรงเป็นศูนย์รวมใจไทยทุกดวง
เรา ผองคนไทยจึงมารวมกัน เปล่งเสียงจากใจถวายพระพร
ทรง พระเจริญ ยิ่งยืนนาน
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ


เรา จะ ครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม

ทรง พระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ทรงพระ เจริญ ยิ่งยืนนาน

ผู้ร่วมขับร้องจำนวน 999 คนและหนึ่งวาทยกร คุณบัณฑิต อึ้งรังษี

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน