Custom Search

Feb 16, 2019

สักวันฉันจะดีพอ


เภาอดีต Bodyslam เล่าความหลัง สักวันฉันจะดีพอ เพลงที่ผมไม่ได้ส่วนแบ่ง
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_2191162
รัฐพล พรรณเชษฐ์ หรือ เภา อดีตมือกีต้าร์วง Bodyslam ได้โพสต์เล่าเกี่ยวกับความหลังของเพลง สักวันฉันจะดีพอ ว่า ร้านอาหารซักแห่ง ผับซักที่ หรือคาราโอเกะซักห้อง เมื่อเพลง “สักวันฉันจะดีพอ” ขึ้น เพื่อนๆหรือคนที่รู้จักผม ทุกคนจะถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ ส่งมาให้ผมดู
สำหรับคนรอบตัว เพลงนี้คือเพลงที่ทำให้คนนึกถึงผม แต่ใครจะรู้ว่า ในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้ส่วนแบ่งจากเพลงนี้เลยซักบาท
20 ปีก่อน มีข้อความนึงในเอกสารสัญญาที่ผมต้องเซ็น จำรายละเอียดไม่ได้ แต่จับใจความได้ว่า ถ้าทำผิดสัญญา ต้องชดใช้คนละ 1 ล้านบาท โอ้โห สำหรับเด็กมัธยมเมื่อ 20 ปีก่อน คงเป็นเงินที่ไม่คิดว่าจะมีปัญญาชดใช้ได้ เลยถามผู้ใหญ่ไปแบบซื่อๆว่า ตั้ง 1ล้านบาท ทำไมปรับแพงจังเลยครับ ผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอก
ผู้ใหญ่ในห้องหัวเราะร่วน แล้วบอกว่า “เขียนไปยังงั้นแหละ ใครจะไปเอาเงินเภาตั้ง 1 ล้าน” ผมหัวเราะตาม แล้วเซ็นชื่อทุกหน้า ด้วยหน้าตายิ้มแย้มมีความสุข ….โปรดฟรีซภาพหน้ายิ้มกว้างผมค้างไว้ พร้อมคำบรรยายว่า “นั่นล่ะครับ วินาทีของเทวดาตกสวรรค์อย่างแท้จริง”
เด็กๆเรามีความฝัน แต่เราไม่มีความรู้ ช่วงแวลานั้น แค่ได้เล่นดนตรีบนเวที มีคนดูซัก 10-20 คน ก็มีความสุขจะแย่ ประสาอะไรกับการที่มีคนบอกว่าจะให้เราแต่งเพลง อัดเพลงกันเอง แล้วเผยแพร่งานเราสู่คนทั่วประเทศ เห้ยย! วงดนตรีเด็กๆ อายุ 17 ขวบเอง ปัทโธ่! ใครจะไม่รับข้อเสนอนี้ ให้เซ็นอะไรก็เซ็นหมดนั่นล่ะ
“จริงอย่างที่เค้าว่า ยังไม่มีใครมาปรับเงินผม 1 ล้าน ก็ผมไม่ได้ทำผิดสัญญาอะไรนี่นะ แต่ในทางกลับกัน มันก็ไม่สร้างรายได้อะไรให้เลย จนเราเองที่ทนอยู่กับมันไม่ได้อีกต่อไป เหลือเพียงเสียงดังก้องอยู่ในหัวว่า “ก็โง่เซ็นเอง เอง เอง เอง เอง” ปาดน้ำตาที ยอมรับก็ได้ว่าโง่จริง”
ผมออกจากวงการมานานแล้ว นานจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้แล้วล่ะ แต่แปลกที่ผมทนไม่ได้กับเรื่องของคนอื่น เวลาที่เห็นข่าวว่า มีวงดนตรีที่แต่งเพลงขึ้นมา แล้วไม่สามารถร้องเพลงตัวเองได้ หนำซ้ำยังโดนฟ้องเอาเงินจากการร้องเพลงตัวเองอีก ทำให้รู้สึกว่า “โลกนี้มันโหดร้ายจังวะ”
ถึงตรงนี้บางคนอาจจะคิดว่า ผมคงรู้สึกแย่กับเพลง “สักวันฉันจะดีพอ” สินะ …เปล่าเลยครับ! ผมรักมัน มันไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของการถูกเอาเปรียบ ….แต่ สำหรับผม มันคือสัญลักษณ์ของความรัก ผมจะร้องให้ลูกฟัง ลูกจะร้องให้หลานฟัง แล้วเล่าว่า มันคือเพลงที่ปู่แต่ง และคนมากมายรักมัน
สำหรับคนที่มีความฝันทุกคน มันคืออุทาหรณ์ ว่ามีความฝันแล้ว ต้องมีสติด้วย นักดนตรีใช้ความรู้สึกมาก ก็ต้องใช้เหตุผลให้มากกว่า อย่าให้ใครเอาความฝันเราไปขยี้ แล้วเหยียบซ้ำอย่างไม่ใยดี ด้วยคำพูดสวยหรู เวลาที่เรารู้สึกติดปีกบิน พุ่งทะยานขึ้นฟ้า มันหึกเฮิม ลืมรอบข้าง แต่หากวินาทีที่ปีกหัก กลับเจ็บปวดช้าๆอย่างยาวนาน ไม่ทันรู้ตัว เราก็ตกลงบนพื้นแล้ว พร้อมแผลฉกรรจ์
หลังจากใช้เวลาเลียแผลกว่า 10 ปี ถ้ามีคนถามผมว่า เวลาคิดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกยังไง ผมจะตอบว่า คงรู้สึกคล้ายๆ “เทวดาตกสวรรค์” ล่ะมั๊งครับ “มันเคยมีความสุขมากแค่ไหน ตอนอยู่บนฟ้า ตอนนี้ผมลืมไปแล้วจริงๆ….”
ที่มา Rattapol Phanchet