Custom Search

Sep 29, 2008

ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม : 'วันนี้ ผมคือ..ผู้ที่ตื่นแล้ว'


ที่มา : http://www.doohoon.com/smf/index.php?topic=14304.0
เพิ่มเติม : http://teetwo.blogspot.com/2007/09/blog-post_20.html

'วันนี้ ผมคือ..ผู้ที่ตื่นแล้ว' จากลูกพ่อค้าชาวจีน
ที่พ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบัติให้เป็นทุนรอน
แต่กลับสร้างตัวจนเป็น "เดอะเฟิร์ส เจนเนอเรชั่น"
ของตระกูลเจ้าสัวเมืองไทย "บูลย์"

ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม
ผู้นี้..เขาย่อมไม่ใช่ธรรมดา
"บูลย์"
ชื่อที่คนใกล้ชิดเรียกขาน
เป็นเพียงลูกพ่อค้าชาวจีนธรรมดาๆ

หากเขาไม่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าว่า
สักวันหนึ่ง..."กูต้องรวย" คงจะไม่ต่างไปจาก
"อาตี๋หนุ่ม..แซ่อึ้ง" คนอื่น
ที่ต้องสืบทอดกิจการร้านขาย

"ของชำ" เล็กๆ ย่านถนนเยาวราชของพ่อ
"ผมเริ่มบอกกับตัวเองว่า...กูต้องรวย ตั้งแต่เรียนจบ
(เกียรตินิยมนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ)
คิดว่าถ้าผมเรียนจบมาแล้ว

ต้องไปขายของชำอย่างงั้นก็ไม่ต้องไปเรียนดีกว่า"

อากู๋ เคยถ่ายทอดความคิดในวัยหนุ่มให้ฟัง
เพราะพ่อไม่มี "เงิน" ให้เป็นทุน ไม่มีนามสกุล
ถูกบรรจุอยู่ในตำนาน "เจ้าสัว"
พ่อมีแต่ความขยัน และมัธยัสถ์ ที่ปฏิบัติตัวให้เห็น
รวมทั้งคำสอนที่ว่า "อย่าเป็นหนี้"
เพราะมันจะทำให้หัวสมอง "บื้อ"

ส่วนความสำเร็จต้องไปไขว่คว้าหาเอาเอง
โรงเรียนที่หล่อหลอม "อากู๋"
ให้เติบใหญ่ทางความคิด ไม่ใช่มหาวิทยาลัย
แต่เป็นการเรียนรู้วรยุทธ์จากนายห้างเทียม โชควัฒนา
ในบริษัท ฟาร์อีสท์ แอดเวอร์ไทซิ่ง
(ปัจจุบันคือ บมจ.ฟาร์อีสท์ ดีดีบี)

ตอนมาทำแกรมมี่ลงทุนเริ่มแรกไปเท่าไร?

"สักสี่ซ๊า...ห้าแสนบาท"
บริษัท แกรมมี่ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่)
ถือกำเนิดเมื่อปี 2526 หรือเมื่อ 25 ปีที่แล้ว

แต่ไม่ได้ก่อเกิดบนความตั้งใจครั้งแรกของไพบูลย์

เขากล่าวว่า "พระเจ้าพาผมเข้ามา"

นี่อาจเป็นลิขิตชีวิตที่มี "ฟ้า" เป็นผู้กำกับ

"ผมเริ่มต้นจากการทำเพลง

"มหาดุริยางค์ไทย" ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
ทำเป็นเทป 2 ม้วน นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ"

ซึ่งขณะนั้นอากู๋มีอายุเพียง 33 ปี

และเริ่มทำเทปในนาม บริษัท แกรมมี่ ตอนอายุประมาณ 35 ปี

"ตอนนั้น ผมก็มองหาธุรกิจที่ไม่ใหญ่นัก
ก็มองที่ธุรกิจเต้นกินรำกินนี่แหละคิดว่ายังไงๆ

เราพอสู้ได้ ตอนนั้นก็มีรายใหญ่คุมอยู่
แต่คำว่า "ใหญ่" มันไม่ได้ใหญ่เหมือนกับโอสถสภา

สหพัฒน์ หรือยูนิลีเวอร์ เออ! ยังงี้...พอไหว ดูแล้วธุรกิจนี้กำไรดี"

พ่อยังสอนด้วยว่า..ถ้าแกมีเงินให้นั่งทับไว้ที่ก้น หัวมันจะฉลาดเอง
เพราะฉะนั้นวิธีการทำธุรกิจของ
ไพบูลย์
เขาจึงไม่ชอบกู้เงินมาทำธุรกิจ (ถ้าไม่จำเป็น)
นี่คือ 1 ในสิ่งที่เจ้าพ่อวงการบันเทิงเมืองไทยบอกว่า
คือ "Key to Success"

ของเขาถ้าเผื่อให้ทางเลือกผม 2 ทาง
ทางแรกบอกว่า
"เสี่ยงมาก...รวยมาก"
ทางที่สองบอกว่า
"เสี่ยงน้อย...รวยน้อย"
คุณจะเอาทางไหน?..
ถ้าผมมีทุนน้อยผมจะเลือกทางที่เสี่ยงน้อยที่สุดเอาไว้ก่อน
แต่ทุกวันนี้ผมมีเงินทุนแล้ว ผมรู้ว่าความเสี่ยงนั้นถึงจะมาก
แต่ก็ยังเสี่ยงอยู่ในขอบเขต
หลายคนอาจจะบอกว่าผมทำธุรกิจที่ผมไม่เคยทำ

นั่นคือความเสี่ยง แต่สำหรับผมจะมองว่ามันไม่ใช่ความเสี่ยง"อากู๋"
มีหลักการธุรกิจอยู่อย่างหนึ่งว่า...
เขาจะไม่ทุ่มเงินก้อนหนึ่งไปทุ่มให้กับธุรกิจเพียงสิ่งเดียว
แต่เขาจะกระจายการลงทุนให้อยู่ในเนื้อหาสาระ
อยู่ในโครงสร้างที่เกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เมื่อชีวิตเดินทางมาไกลกว่าที่ฝัน

ไพบูลย์
ตัดสินใจสานฝันให้ไกลออกไป
โดยตัดสินใจสร้าง "ขาหยั่ง"

เพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งอีกครั้ง
ด้วยการรุกธุรกิจส่วนตัวหลายอย่างพร้อมๆ กัน
เริ่มตั้งแต่การซื้อตึกโรจนะ ทาวเวอร์ (ตึกแกรมมี่)
มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านบาท
เพื่อให้บริษัทในเครือเช่า ลงทุนธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป "โฟร์มี"
ธุรกิจขายตรงเครื่องสำอาง "ยูสตาร์"
และ ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น "โฮยู" เป็นต้น
สำหรับธุรกิจในเครือแกรมมี่ ก็กระจายไปลงทุนที่หลากหลาย

แต่อยู่ภายใต้การเกื้อกูลซึ่งกันและกัน บ้างก็สำเร็จ..บ้างก็ล้มเหลว
ล่าสุดถามอากู๋ว่า ที่ผ่านมา

ได้รับ “บทเรียน” อะไรบ้างจากการทำธุรกิจ

ได้รับคำตอบว่า ได้รู้ว่าความ “ขี้เกียจ”

ทำให้ชีวิตไม่เจริญรุ่งเรือง

ถ้าสลัดตัวขี้เกียจออกไปได้จะไม่มีคำว่า

“ล้มเหลว” เกิดขึ้นเลย

อีกอย่างหนึ่งที่ได้รับคือ
หากเราไม่วางยุทธศาสตร์ให้
สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป

ก็จะทำให้ “ทุนหายกำไรหด”

"ผมยอมรับว่าที่ผ่านมา คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่า
สิ่งที่เรามองเห็น “ถูกต้องที่สุด..ดีที่สุด”
โดยไม่ได้มองว่าวันนี้โลกกำลังหมุนไปทิศทางไหน

ที่ผ่านมาผมเหมือนคนย่ำอยู่กับที่ ทั้งๆ ที่รู้

และเห็นอยู่แล้วว่าเดินทางนี้มันผิดแต่ก็ยังทำ

สุดท้ายก็สะท้อนผ่านผลประกอบการ(ขาดทุน
)"


ทุกวันนี้ อากู๋ จึงบอกว่า พร้อมจะ

นำบทเรียนราคาแพงมาเป็นเครื่องเตือนสติ

และสอนใจ จากนี้คิดจะทำอะไรให้
ดูคนอื่นด้วยว่าเขาเดินไปทางไหนกัน
วันนี้อยากให้ผู้ถือหุ้นไว้ใจว่า
ในการทำธุรกิจ
“ผม..คือผู้ที่ตื่นแล้ว”





Sep 25, 2008

ขงเบ้ง “จิ๋ว ลงจากหลังเสือ


Business Thai
[12-12-2003]
http://www.businessthai.co.th/content.php?data=406708_VIP%20Varieties

บรรดานายทหารที่ผันตัวเองมาเล่นการเมือง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “บิ๊กจิ๋ว”
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
เจ้าของฉายา “ขงเบ้ง”
เป็นนายทหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
บนเวทีการเมืองยุค ปัจจุบัน
พล.อ.ชวลิต
เป็นนักเรียนนายร้อยที่เรียนดี
ด้วยความเป็นคงแก่เรียน
จึงถูกบรรจุอยู่ในเหล่าสื่อสาร
ไม่ใช่นายทหารที่คุมกำลังที่มักจะก้าวถึงจุดสูงสุด

ของการเป็นข้าราชการทหาร
แต่ พล.อ.ชวลิต เป็นคนที่สนใจการเมือง
ศึกษาปรัชญาการเมืองทุกสำนักอย่างลึกซึ้ง
เป็นจุดพลิกผันให้เขาก้าวเข้ามาสู่แวดวงการเมือง
ชื่อ “ชวลิต” เป็นที่รู้จักของสาธารณชน
เมื่อครั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ก้าวจากผู้บัญชาการทหารบก มาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
โดยเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนโยบาย 66/23
ให้โอกาสสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

เข้ามาเป็นผู้พัฒนาชาติไทย เป็น
การยุติสงครามกลางเมืองที่สู้รบมาตั้งแต่ ปี 2507
อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ผลงานดังกล่าว ส่งผลให้ พล.อ.ชวลิต
ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกในที่สุด
และเมื่อพล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก เกษียณ อายุราชการ
พล.อ.ชวลิต
จึงนั่งในตำแหน่งรักษาการ
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอีกตำแหน่งหนึ่ง
8 ปี ของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพล.อ.เปรม
จะเรียกว่า พล.อ.ชวลิตเป็นขุนพลผู้ค้ำบัลลังค์ก็ไม่ผิด
โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลของพล.อ.เปรม
จะมีเงาร่างของ พล.อ.ชวลิต เป็นผู้ล็อบบี้พรรคการเมืองต่างๆ

และประสบความสำเร็จทุกครั้งจนได้รับการขนานนามว่า เป็น “ขงเบ้ง”
หมดยุคพล.อ.เปรม ถึงยุคพล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี
พล.อ.ชวลิต
ถูกวางตัวให้เป็นทายาททางการเมือง
หากพล.อ.ชาติชาย ก้าวลงจากการเมือง
พล.อ.ชวลิต
ได้ลาออกราชการด้วยวัยเพียง 55 ปี
เพื่อเข้าสู่เวทีการเมือง
โดยรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ในรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย
แต่ถูกกลเกมในพรรคชาติไทย เล่นงาน
จนเจ้าตัวต้องลาออกไปตั้งพรรคความหวังใหม่
มุ่งมั่นเป็นนายกรัฐมนตรีกลายเป็นตำนานการเดินทาง 200,000 ไมล์

ในเวลาต่อมาพล.อ.ชวลิต ลงเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2535 ที่จ.นนทบุรี
ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาแบบต้องลุ้นจนนาทีสุดท้าย
ต่อมาจึงย้ายไปลงสมัครที่จังหวัดนครพนมพื้นที่ของบิดาในอดีต
จนกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญนำพรรคความหวังใหม่
ประสบความสำเร็จในการยึดครองพื้นที่ภาคอีสานได้สำเร็จ
แม้ว่า จะไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ตาม
พล.อ.ชวลิต
ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งถึง 4 ครั้ง พรรคความหวังใหม่
จึงมีเสียงข้างมาก ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้สำเร็จ

เป็นนายทหารคนแรกที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร
โดยผ่านการเลือกตั้ง
การก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี กลายเป็น บาดแผลสำคัญที่ติดตัว
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
มาตลอด เพราะเป็นคนเปิดลอยตัวค่าเงินบาท
จนคนไทยจำนวนมากที่กู้เงินมาจากต่างประเทศ มีหนี้สินเพิ่มอีกเท่าตัว

ต้องล้มละลายครึ่งค่อนประเทศ
ที่คนส่วนใหญ่เจ็บใจ เพราะ พล.อ.ชวลิต
ออกโทรทัศน์ยืนยันหนักแน่นว่า
ไม่ลดค่าเงินบาท แต่ไม่ถึง 2 วัน
ก็ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท จนตั้งตัวกันไม่ได้
การลดค่าเงินบาทเป็นมาจากการธนาคารแห่งประเทศไทย
นำทุนสำรองไปปกป้องค่าเงินบาท จนหมดหน้าตัก
จำเป็นที่รัฐบาลพล.อ.ชวลิต ต้องนำประเทศ เข้าสู่
โปรแกรมของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
เป็นวิกฤติการทางเศรษฐกิจที่รุนแรง
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมาวิกฤติการดังกล่าว

กดดันให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
เพื่อเปิดโอกาสให้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ
หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาในเวลานั้น
เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายถูกเกมของพรรคประชาธิปัตย์
ดึงส.ส.จากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเดิม
มาจัดตั้งรัฐบาลแทน นายชวน หลีกภัย
ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นคำรบสอง ว่ากันว่า พล.อ.ชวลิต

เหมาะที่จะนั่งเป็นที่ปรึกษามากกว่ามานั่งเป็นผู้บัญชาการเกมเสียเอง
การตัดสินใจของพล.อ.ชวลิต ส่งผลให้ พรรความหวังใหม่
ตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายอย่างหนัก แกนนำคนสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายเสนาะ เทียนทอง
ได้นำพาส.ส.ไปอยู่ กับพรรคไทยรักไทย
ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ที่กำลังก่อตั้ง
ใขณะที่พล.อ.ชวลิต นำพรรคความหวังใหม่
ลงสู่สนามการเลือกตั้งเป็น ครั้งสุดท้าย
มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นขุนพลคู่ใจ
หลังการเลือกตั้ง พล.อ.ชวลิต
ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ยอมลดตัวจากที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี
มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ต่อมาก็ได้ยุบพรรคความหวังใหม่
รวบกับพรรคไทยรักไทยในที่สุด
เป็นการปิดฉากพรรคความหวังใหม่ที่ตั้งมากับมือ
เพื่อหาทางลงการเมืองด้วยความสง่างาม
ต่อมาพล.อ.ชวลิต ถูกปรับออกจาก
ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
เหลือตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1
เพียงตำแหน่งเดียว
ถูกมอบหมายงานสำคัญคือ ปราบปราม ยาเสพติด
และปราบปรามผู้มีอิทธิพล

เป็นจนประสบความสำเร็จ
เมื่อไม่กี่วันก่อน พล.อ.ชวลิต
ประกาศลาจากการเมืองอย่างเด็ดขาด
ภายหลังสิ้นสุดรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้นปี 2548
แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พยายามดึงให้อยู่ ช่วยงานต่อไป

เพราะเห็นว่า เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ
พล.อ.ชวลิต
วางแผนไว้ว่าหลังจากที่ตัวเองปลดระวางจากการเมือง
จะผลักดันให้คุณหญิงพันธ์เครือ ยงใจยุทธ
ภริยาที่เพิ่งจบปริญญาตรี
รัฐศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัย รามคำแหง
และกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท
จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ลงสมัครเป็น ส.ว.นครพนม

แม้หลายคนไม่ชมชอบ แต่หลายคนก็ชมชอบพล.อ.ชวลิต
โดยเฉพาะความเป็นสุภาพบุรุษ จะเห็นได้ว่า
ตลอดระยะเวลาการเล่นการเมือง พล.อ.ชวลิต ไม่เคยฟ้องร้องใคร
ไม่เคยให้ร้ายใคร แม้ว่า ตัวเองจะถูกถล่มอย่างหนักก็ตาม
ที่น่ายกย่องมากที่สุด คือ สปิริตของนักประชาธิปไตย แม้ว่า
ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ พล.อ.ชวลิต

ก็ยอมก้าวเดินตามวิถีทางประชาธิปไตยที่หนักและเหนื่อย
ไม่ยอมเดิน
ทางลัดด้วยการใช้กำลั
แม้ว่าจะอยู่ในวิสัยที่ทำได้ก็ตาม
หลายคนชมชอบ พล.อ.ชวลิต
ที่รับฟังความเห็นของบุคคลอื่น
และยอมเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ เมื่อถูกคัดค้าน
แต่ข้อดีนี้ อีกฝ่ายกลับมองว่า เป็นข้อเสียเหมือนคนโลเล
พล.อ.ชวลิต
ยังมีฉายาว่า จิ๋วหวานเจี๊ยบ เพราะปากหวาน

และรับปากกับคนทั่วไปหมดด้วยความเกรงใจ

แต่สุดท้าย ก็ไม่ได้ตามที่รับปาก

บทบาทสุดท้ายของ พล.อ.ชวลิต
คือ การปราบปรามยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล

หากทำสำเร็จ
พล.อ.ชวลิต ก็จะก้าวลงจากหลังเสือ
ด้วยความสง่างามที่น้อยคนจะทำได้

2 ตุลาคม 2552
พล.ท.พิรัช สวามิวัศดุ์ นายทหารคนสนิท
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ เผยว่า
ในเวลา 09.00น. วันที่ 2 ต.ค. พล.อ.ชวลิต
กำหนดเดินทางไปพรรคเพื่อไทย ตามคำเชิญ
เพื่อรับตำแหน่งประธานพรรคเพื่อไทย
ช่วยบริหารพรรค รวมทั้งแก้ปัญหาวิกฤติบ้านเมือง
โดยตั้งใจขออุทิศตัวเองในการรับใช้ชาติบ้านเมืองป็นครั้งสุดท้าย

ชื่อ -สกุล : พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ

ชื่อเล่น - นามแฝง/ฉายา : ตึ๋ง/บิ๊กจิ๋ว

วันเกิด : 15 พฤษภาคม 2475

ครอบครัว : เป็นบุตร ของ ร.อ.ชั้น และ
นางสุรีย์ศรี (เดิมชื่อ ละมุน ) ยงใจยุทธ
มีพี่สาวร่วมมารดาเดียวกัน 1 คน ชื่อ สุมน สมสาร
และน้องชายต่างมารดา 1 คน ชื่อ ธรรมนูญ ยงใจยุทธ
สมรส กับ คุณหญิงพันธุ์เครือ นามสกุลเดิมของคู่สมรส ลิมปิภมร
มีบุตร 3 คน คือ นายคฤกพล ยงใจยุทธ (ต้อย)
นางอรพินท์ นววงศ์ (ติ๋ม)
และนางสาวศรีสุภางค์ ยงใจยุทธ (แต๋ม)

การศึกษา :

28 ตุลาคม 2532 ประกาศเกียรติคุณ
และปริญญาเอก นิติศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม

4 พฤศจิกายน 2531 ประกาศเกียรติคุณและปริญญาเอก วิทยาศาสตร์
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเกษตรศาสตร์
จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น

23 กรกฎาคม 2530 ประกาศเกียรติคุณและปริญญาเอก ศิลปศาสตร์
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากบัณฑิต วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

27 มีนาคม 2530 ประกาศเกียรติคุณและปริญญาเอก นิติศาสตร์
ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัย เปปเปอร์ไดน์ สหรัฐอเมริกา

ปี 2515 หลักสูตรชั้น NOVICE ได้รับเครื่องหมาย
แสดงความสามารถในการกระโดดร่ม จาก กองทัพบก สหรัฐอเมริกา

ปี 2512 หลักสูตรกระโดดร่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่ รุ่นที่ 2 จากกองทัพบกไทย

ปี 2507 หลักสูตรเสนาธิการกิจ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ประเทศไทย
- หลักสูตรเสนาธิการทหารบก
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ที่ฟอร์ด ลีเวินเวิทร์ สหรัฐฯ

ปี 2505 หลักสูตรผู้บังคับกองพัน โรงเรียนการสื่อสาร ประเทศไทย

ปี 2504 หลักสูตรฝึกงานการประกอบและซ่อมเครื่องมือสื่อสาร
กองทัพน้อยที่ 9 เกาะริวกิว โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

ปี 2502 หลักสูตรการซ่อมเครื่องไมโครเวฟ
โรงเรียนสื่อสารกองทัพบก ฟอร์ตบอนมัธ สหรัฐอเมริกา

ปี 2496 ปริญญาตรี วิทยาศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ประเทศไทย

ปี 2492 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
(จปร.1/นตน.08 : หมายเลขประจำตัว 5565)

ปี 2492 มัธยมศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

ปี 2492 มัธยมศึกษา โรงเรียนอำนวยศิลป์

ปี 2491 มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอำนวยศิลป์ รุ่นลมหวล

การทำงาน/ตำแหน่งหน้าที่ :

ตำแหน่งทางทหาร :

1 ตุลาคม 2530 รักษาราชการผู้บัญชาการทหารสูงสุด
คนที่ 12 (รักษาราชการ) (1 ต.ค.2530-28 มี.ค.2533)

27 พฤษภาคม 2529 ผู้บัญชาการทหารบก คนที่ 24
( 27 พ.ค.2529-29 มี.ค.2533 )

1 ตุลาคม 2528 เสนาธิการทหารบก

1 ตุลาคม 2526 รองเสนาธิการทหารบก

1 ตุลาคม 2525 ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ

2524 เจ้ากรมยุทธการทหารบก และหัวหน้าฝ่ายยุทธการ
กองอำนวยการร่วมรักษาความสงบแห่งชาติ
1 ตุลาคม 2523 เจ้ากรมยุทธการทหารบก

1 ตุลาคม 2522 เสนาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

4 ตุลาคม 2522 นายทหารคนสนิทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
(พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) และประจำกองบัญชาการทหารบก

9 กรกฎาคม 2514 หัวหน้ากอง กรมยุทธการทหารบก

2511 นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกรม กรมยุทธการทหารบก

2510 นายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึกกรมทหารอาสาสมัคร

2503 ผู้บังคับกองร้อยซ่อมบำรุงเครื่องสื่อสารเขตหลัง กรมการทหารสื่อสาร

- อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก

25 มกราคม 2497 ว่าที่ร้อยตรี ประจำกองกลาง กรมทหารสื่อสาร

ตำแหน่งทางการเมือง :

24 กันยายน 2551 รองนายกรัฐมนตรี (ลาออก 7 ต.ค.2551)

3 ตุลาคม 2545 รองนายกรัฐมนตรี

14 กรกฎาคม 2545 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย
(ลาออก 1 มี.ค.2548)

17 กุมภาพันธ์ 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
(พ้น 3 ต.ค.2545)

17 กุมภาพันธ์ 2544 รองนายกรัฐมนตรี

6 มกราคม 2544 ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคความหวังใหม่
(สมัยที่ 5)

16 พฤษภาคม 2543 หัวหน้าพรรคความหวังใหม่
(ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุพรรค 28 มี.ค.2545)

12 พฤษภาคม 2542 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
(ลาออก 30 เม.ย.2543)

2 กันยายน 2541 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
(ลาออก 27 เม.ย.2542)

2 กันยายน 2541 หัวหน้าพรรคความหวังใหม่
(ลาออก 19 เม.ย.2542)

26 พฤศจิกายน 2540 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
(ลาออก 2 มิ.ย.2541)

25 พฤศจิกายน 2539 นายกรัฐมนตรี คนที่ 22
(ลาออก 6 พ.ย.2540)

29 พฤศจิกายน 2539 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

17 พฤศจิกายน 2539 ส.ส. นครพนม
เขต 1 พรรคความหวังใหม่ (สมัยที่ 4)

18 กรกฎาคม 2538 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
(ยุบสภา 27 ก.ย.2539)

18 กรกฎาคม 2538 รองนายกรัฐมนตรี
(ยุบสภา 27 ก.ย.2539)

2 กรกฎาคม 2538 ส.ส. นครพนม เขต 1
พรรคความหวังใหม่ (สมัยที่ 3) (ยุบสภา 27 ก.ย.2539)

14 กรกฎาคม 2537 รองนายกรัฐมนตรี
(ลาออก 25 ต.ค.2537)

23 กันยายน 2536 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม
คนที่ 1 (23 ก.ย.2536-7 ม.ค.2537)

20 พฤศจิกายน 2535 ประธานกรรมการพิสูจน์
และสืบหาบุคคลที่สูญหายจากเหตุชุมนุมประท้วง

29 กันยายน 2535 ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ

29 กันยายน 2535 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
(ลาออก 11 ธ.ค. 2537)

13 กันยายน 2535 ส.ส. นนทบุรี เขต 1
พรรคความหวังใหม่ (สมัยที่ 2) (ยุบสภา 19 พ.ค. 2538)

23 พฤษภาคม 2535 ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

22 มีนาคม 2535 ส.ส. นนทบุรี เขต 1
พรรคความหวังใหม่ (สมัยแรก)

4 เมษายน 2534 หัวหน้าพรรคความหวังใหม่
(ลาออก 2 มิ.ย. 2541)

30 มีนาคม 2533 รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ลาออก)

22 เมษายน 2530 สมาชิกวุฒิสภา (ลาออก 31 ส.ค. 2533)

2526 สมาชิกวุฒิสภา

24 เมษายน 2524 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

22 เมษายน 2524 สมาชิกวุฒิสภา

ราชการพิเศษ :

มกราคม 2531 นายทหารพิเศษ ประจำกองนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์
โรงเรียนนายเรือ กรมยุทธศึกษา ทหารเรือ ,
ประจำกองบัญชาการ กรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ นาวิกโยธิน ,
ประจำกรม นักเรียนนายเรืออากาศรักษาพระองค์
โรงเรียนนายเรืออากาศ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ
และประจำกองพันอากาศโยธินที่ 1 รักษาพระองค์ กรมอากาศโยธิน

ธันวาคม 2530 นายกองเอก กองอาสารักษาดินแดน

เมษายน 2529 นายทหารพิเศษประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์,
ประจำกรมทหารราบ ที่ 11 รักษาพระองค์ ,
ประจำกรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

มกราคม 2529 ตุลาการศาลทหารสูงสุด

ตุลาคม 2526 นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 1
มหาดเล็กรักษาพระองค์ และประจำกรมทหารม้า ที่ 4 รักษาพระองค์

กันยายน 2526 นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์

เมษายน 2526 ราชองครักษ์เวรพิเศษ

มีนาคม 2526 ผู้อำนวยการศูนย์ยุทธการกองทัพบก
และหัวหน้าฝ่ายยุทธการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงแห่งชาติ

2524 ประธานกรรมการ คณะกรรมการศึกษา
เรื่องพลังงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม พฤษภาคม

2524 ราชองครักษ์เวร

2512-2515 ราชการพิเศษปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

2510 ราชการสงครามเวียดนาม

2508-2509 ราชการพิเศษ
ในการยับยั้งการรุกรานของฝ่ายคอมมิวนิสต์

2494 ราชการพิเศษกรณีปราบจราจล

ตำแหน่งอื่นๆ :

27 มิถุนายน 2549 ประธานที่ปรึกษา
ศูนย์อำนวยการต่อสู่เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ

15 มีนาคม 2549 นายกสภามหาวิทยาลัยนครพนม

27 ธันวาคม 2548 ผู้อำนวยการศูนย์อำนวย
การต่อสู่เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ

27 ธันวาคม 2548 ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
ด้านนโยบายขจัดความยากจน

17 กุมภาพันธ์ 2544 ประธานกรรมการป้องกัน
และปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)

- ประธานกรรมการข้าราชการตำรวจ

17 กุมภาพันธ์ 2544 ประธานกรรมการป้องกัน
และปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) (ลาออก 19 มี.ค.2545)

9 มกราคม 2540 ประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)




















กรมทหารราบที่ ๗

พระนามแะนามผู้บังคับบัญชาของกรมทหารราบที่ ๗
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๒ - ๒๕๕๑
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการพิเศษ ในปีพุทธศักราช ๒๔๕๕
  1. พ.อ. พระยาศักดาภิเดชวรฤธิ์ ผบ.พล.๘ พ.ศ. ๒๔๕๒ - ๒๔๕๓
  2. พ.ท. หลวงสรชิตพลการ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๕๓ - ๒๔๕๔
  3. พ.ท. พระยาพิพิชเดชะ ผบ.พล.๘ พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๔๕๔
  4. พ.ท. หลวงสรศักดิ์ประสิทธิ์ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๔๕๕
  5. พล.ต. พระยาพิพิชเดชะ ผบ.พล.๘ พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๒๔๕๖
  6. พ.ท. หลวงรามรณภพ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๕๕ - ๒๔๕๗
  7. พ.ต. หลวงแผลงศรศาสตร์ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๕๖ - ๒๔๕๗
  8. พ.ต. หลวงรำบาลประจามิตร ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๕๗ - ๒๔๕๘
  9. พล.ต. พระยารามคำแหง ผบ.พล.๘ พ.ศ. ๒๔๕๘ - ๒๔๖๒
  10. พ.ท. พระยาบาลภูวนาถ ผบ.พล.๘ พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๖๙
  11. พ.ท. พระยาพิชัยชาญณรงค์ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๖๗
  12. พ.ท. พระยาศักดิศัลยาวุธ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๖๗ - ๒๔๖๙
  13. พล.ต. พระยาอมรวิสัยสรเดช ผบ.พล.๘ พ.ศ. ๒๔๖๙ - ๒๔๗๑
  14. พ.อ. พระยามหาณรงค์เรืองเดช ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๗๑ - ๒๔๗๓
  15. พ.อ. พระยาดัสกรปลาศ ผบ.ร.๘ พ.ศ. ๒๔๗๓ - ๒๔๗๕
  16. พ.ท. หลวงวิชิตโยธา ผบ.พัน.ร.๑๔ พ.ศ. ๒๔๗๕ - ๒๔๗๖
  17. พ.ท. หลวงเสนารณรงค์ ผบ.พัน.ร.๑๔ พ.ศ. ๒๔๗๖ - ๒๔๗๙
  18. พ.ต. หลวงเดชณรงค์ ผบ.พัน.ร.๑๔ พ.ศ. ๒๔๗๙ - ๒๔๘๑
  19. พ.ต. หลวงเสนีย์ยุทธกาจ ผบ.พัน.ร.๓๑ พ.ศ. ๒๔๘๑ - ๒๔๘๓
  20. พ.ต. ขุนวัฒนโยธิน ผบ.พัน.ร.๓๑ พ.ศ. ๒๔๘๓ - ๒๔๘๕
  21. พ.ท. สว่าง แสง-ชูโต ผบ.พัน.ร.๓๑ พ.ศ. ๒๔๘๕ - ๒๔๘๖
  22. พ.อ. หลวงสรสิทธิ์สมบูรณ์ ผบ.พัน.ร.๓๑ พ.ศ. ๒๔๘๖ - ๒๔๘๙
  23. พ.ท. สงวน อัมมวรรณ ผบ.พัน.ร.๓๑ พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๔๘๙
  24. พ.ท. สง่า เดชกล้า ผบ.พัน.ร.๓๑ พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๔๙๑
  25. พ.อ. ขุนเข้มข้นเพิ่มกำลังเมือง ผบ.พัน.ร.๑๔ พ.ศ. ๒๔๙๑ - ๒๔๙๓
  26. พ.อ. ประยูร สุคนธทรัพย์ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๔๙๓ - ๒๔๙๔
  27. พ.อ. ขุนสุจิตรบรรจงยุทธ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๔๙๔ - ๒๔๙๕
  28. พล.จ. ประเสริฐ เสนานิกรม ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๔๙๕ - ๒๕๐๒
  29. พ.อ. อยู่รบ กรเพ็ชร์ ผบ.ผส.๗ พ.ศ. ๒๕๐๒ - ๒๕๐๘
  30. พ.อ. การุณ บุญบันดาล ผบ.ผส.๗ พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๑๔
  31. พ.อ. ประดิษฐ์ พันธาภา ผบ.ผส.๗ พ.ศ. ๒๕๑๔ - ๒๕๑๕
  32. พ.อ. วงศ์ บุญกล้า ผบ.ผส.๗ พ.ศ. ๒๕๑๕ - ๒๕๑๙
  33. พ.อ. อำนวย ชูเกษ ผบ.ผส.๗/ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๑๙ - ๒๕๒๓
  34. พ.อ. จำกัด กลันทะกะสุวรรณ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๒๓ - ๒๕๒๘
  35. พ.อ. ศิลกัล กัลยาณมิตร ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๒๘ - ๒๕๓๒
  36. พ.อ. สุทิน จันทร์กระจ่าง ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๓๒ - ๒๕๓๕
  37. พ.อ. ยืนยง ศรีดามา ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๓๕ - ๒๕๓๖
  38. พ.อ. ธวัชชัย วัฒนะ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๓๖ - ๒๕๓๘
  39. พ.อ. สมหมาย วงษ์มาก ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๓๘ - ๒๕๔๒
  40. พ.อ. ชาญชัย นาคประไพ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๔๒ - ๒๕๔๔
  41. พ.อ. ชัยณรงค์ ธนารุณ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๔๔ - ๒๕๔๗
  42. พ.อ. สุทัศน์ จารุมณี ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๔๗ - ๒๕๔๘
  43. พ.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงค์ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๔๘ - ๒๕๕๐
  44. พ.อ. นพพร เรือนจันทร์ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๑
  45. พ.อ. อุทัย ชัยชนะ ผบ.ร.๗ พ.ศ. ๒๕๕๑ - 

Sep 24, 2008

หมอประเวศ วะสี ชู "การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี โอกาสอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย"

มติชน
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

"คนไทยเหมือนไก่อยู่ในเข่ง" เป็นความหมายที่นพ.ประเวศสื่อให้เห็นภาพ และแสดงกระแสทรรศน์ชี้ จุดเด่น จุดด้อยของพันธมิตรฯ ที่หวังจะปฏิรูปการเมืองให้เข้มแข็ง แต่ต้องไม่หลง จนคิดว่าตัวเองเป็น "พรรคการเมือง"เสียเอง

วิกฤต คือ โอกาส
ประเทศไทยวิกฤตสุดๆ ก็เป็นโอกาสสุดๆ เหมือนกัน
โอกาสอะไร โอกาสเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี

ถ้าเราเข้าใจปรากฏการณ์ว่าเป็นโอกาส เราจะได้ไม่ทุกข์ไม่เครียดจนเกินไป มีสติปัญญา ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่ภวะใหม่ที่ดีเกิดขึ้นโดยเจ็บปวดน้อยที่สุด สูญเสียน้อยที่สุด หรือไม่สูญเสียเลย
๑. ตามปรกติวิกฤตนำไปสู่สงคราม
ตามปรกติในประเทศใดประเทศหนึ่งเมื่อวิกฤตสุดๆ จนไม่มีทางไปก็จะเกิดสงครามหรือสงครามกลางเมือง เช่น สงครามกลางเมืองของสหรัฐอเมริกา หรือการที่เยอรมนีและญี่ปุ่นเข้าสู่สงครามมีคนตายและทำให้คนตายหลายสิบล้านคน การแพ้สงครามของเยอรมนีและญี่ปุ่นเป็นวิกฤตสุดๆ ของประเทศของเขา แต่หลังจากแพ้สงครามปรากฎว่า เยอรมันและญี่ปุ่นเจริญอย่างรวดเร็ว เพราะการแพ้สงครามเป็นโอกาสแก้ปัญหาที่ตามปรกติแก้ไม่ได้ และปัญหาที่แก้ไม่ได้ ได้นำประเทศทั้งสองเข้าไปสู่สงคราม
สำหรับประเทศไทยซึ่งวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึง “วิกฤตที่สุดในโลก” มีผู้ตั้งคำถามกันมานานแล้วว่า เราจะพ้นวิกฤตโดยไม่ต้องนองเลือดได้อย่างไร และก็มองไม่เห็นว่าจะไม่นองเลือดได้อย่างไร อาจจะเป็นบุญของประเทศเรา บุญซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยเฉพาะบางอย่าง ประเทศของเรากำลังจะผ่านสภาวะวิกฤตสุดๆ ไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีโดยไม่ต้องนองเลือด


๒.มหาวิกฤตการณ์สยาม
สังคมไทยไม่สามารถแก้ปัญหาหลักๆ อันได้แก่ ความยากจนและความอยุติธรรมในสังคม ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยถ่างกว้างมากขึ้น ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม สิ่งแวดล้อม และการเมืองอันสลับซับซ้อน การเอารัดเอาเปรียบและฉ้อฉลเพิ่มขึ้นทุกวงการ เป็นวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมที่บีบคั้นคนไทยมากขึ้นๆ อย่างมองไม่เห็นทางออก เครื่องมือต่างๆ เช่น กลไกรัฐ ระบบการศึกษา ระบบการเมืองดูไม่มีน้ำยาที่จะแก้ไขสภาพวิกฤต หรือตัวเองก่อให้เกิดปัญหาวิกฤตมากขึ้น อย่างที่เรียกว่า การเมืองน้ำเน่า ก็วนเวียนอย่างนั้นและเลวร้ายกว่าเดิม รัฐประหารก็ทำกันมาหลายครั้ง รัฐธรรมนูญก็ร่างกันมาหลายฉบับ เรียกว่าลองกันมาหมดทุกอย่างก็ไม่หายวิกฤต นี่แหละที่เรียกว่าวิกฤตสุดๆ หรือวิกฤตที่สุดในโลก จนไม่มีทางไปในภวะเดิม ต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ภวะใหม่

๓.พลังอำนาจทางสังคม
เราคุ้นเคยอยู่กับพลังอำนาจ ๒ ประเภท คือ
 พลังอำนาจรัฐ (รัฐฐานุภาพ) ใช้กฎหมายและกำลังติดอาวุธ คือทหารและตำรวจ
 พลังอำนาจเงิน (ธนานุภาพ) ใช้เงินเป็นอำนาจ ซึ่งอาจครอบงำอำนาจรัฐได้ด้วย
ทั้งสองอำนาจนี้ประสบความล้มเหลวในการขจัดความไม่ถูกต้องเป็นธรรม หรือกลับเป็นปัญหาเสียเอง ในสังคมสมัยใหม่ที่ซับซ้อนการใช้อำนาจเกือบจะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลย แต่กลับสร้างปัญหามากขึ้น ดังที่การปฏิวัติรัฐประหาร หรือการที่ทุนขนาดใหญ่เข้ามายึดอำนาจรัฐก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้แต่กลับเป็นปัญหาเสียเอง
มีพลังอำนาจอีกชนิดหนึ่งที่เราไม่ค่อยรู้จักกัน คือ พลังอำนาจทางสังคมหรือสังคมมานุภาพ
อำนาจสังคมยุติความชั่วร้ายทั้งปวง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
(๑) สมัยก่อนโจรปล้นควายชุกชุม โจรปล้นควายเป็นคนกลุ่มเล็กๆ มีปืนเที่ยวปล้นควายชาวบ้านก่อความเดือดร้อนทั่วไป เจ้าหน้าที่บ้านเมืองแก้ไขไม่ได้ ต่อเมื่อชาวบ้านทั้งหมู่บ้านรวมตัวกันจัดเวรยามตีเกราะเคาะไม้ เมื่อโจรมาชาวบ้านตื่นขึ้นมาพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน โจรก็ทำอะไรไม่ได้ การที่ชาวบ้านรวมตัวกันทั้งหมู่บ้านนั่นแหละ คืออำนาจสังคมหรืออำนาจแห่งการรวมตัวกัน
(๒) ที่อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ย้อนหลังไป ๒๐ ปี ชาวบ้านเดือดร้อนมาก จากการให้สัมปทานป่าชายเลน และการที่มีเรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาใช้อวนรุนชิดชายฝั่ง ซึ่งคราดเอาหญ้าทะเลไปหมด กุ้งหอย ปูปลาไม่มีที่อนุบาล ชาวบ้านยากจนลงเพราะขาดแคลนอาหาร ชาวบ้านจะร้องเรียนทางราชการอย่างไร ๆ ก็ไม่ได้ผล เพราะเจ้าของเรือประมงขนาดใหญ่มีอำนาจมากกว่า ต่อมาชาวบ้านรวมตัวกันสร้างเครื่องป้องกันไม่ให้เรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาลากอวนชิดชายฝั่งซึ่งผิดกฎหมาย เอาปะการังเทียมและหญ้าทะเลลง ความสมบูรณ์ของสภาพแวดล้อมกลับคืนมา กุ้งหอยปูปลากลับมา ชาวบ้านพ้นจากความอดอยากยากแค้น และขณะนี้รวมตัวกันรักษาชายฝั่งทะเลอันดามันขยายตัวออกไปทั้งทางเหนือและทางใต้ อำนาจแห่งการรวมตัวกันหรือความเป็นสังคมทำให้ความไม่ดียุติลงได้
(๓) ที่ดอนสามหมื่นจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มลักลอบตัดต้นไม้ขึ้นไปพร้อมทั้งเครื่องมือ คือรถยนต์ เลื่อยไฟฟ้า ปืนเครื่องมือสื่อสาร คนตัดไม้ทำลายป่ามีอำนาจเกินกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดีๆ จึงถูกฆ่าตายหรือฆ่าตัวตาย เช่น คุณสืบ นาคะเสถียร แต่เมื่อโจรตัดต้นไม้กลุ่มนี้ขึ้นไปเจอชาวบ้านรวมตัวกันอยู่หนึ่งพันคน ก็ไม่กล้าตัดต้นไม้
จึงกล่าวว่า

อำนาจสังคมหรืออำนาจแห่งการรวมตัวของประชาชนคือเครื่องยุติความชั่วร้ายทั้งปวง
สังคมคือผู้กำกับความถูกต้อง ตัวอย่าง
(๑) เมื่อครั้งพุทธกาล พระที่กรุงโกสัมพีแบ่งเป็นสองพวกทะเลาะกันยืดเยื้อทำอย่างไรๆ ก็ไม่หยุด พระพุทธองค์เสด็จไปทรงห้ามก็ไม่เชื่อแถมยังว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก พระบรมศาสดาจึงเสด็จหลีกเข้าป่าปาเลไลย์ไป ต่อมาชาวบ้านรำคาญหยุดใส่บาตรพระทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงหมดกำลัง หยุดทะเลาะ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้แต่พระศาสดาของพระเหล่านั้นเองยังยุติความขัดแจ้งไม่ได้ แต่สังคมคือชาวบ้านทั้งหลายสามารถทำได้
(๒) คนเราจากทุกประเทศจะเจริญหรือไม่เจริญอย่างไรก็ไปเล่นฟุตบอลกันได้ทั่วโลก เพราะในการเล่นฟุตบอลมีกรอบ กติกา และกลไกชัดเจน มีผู้กำกับเส้นดูแลให้เล่นอยู่ในกรอบ มีกรรมการกำกับให้เล่นตามกติกา กรรมการและผู้กำกับเส้นอาจโกงได้ แต่โกงไม่ได้ เพราะมีคนดูคอยกำกับอยู่อีกทีหนึ่ง คนดูคือสังคมคอยกำกับความถูกต้อง
ผู้มีอำนาจใด ๆ ไม่ว่าอำนาจรัฐ อำนาจเงิน หรือกรรมการหรือแม้แต่พระอาจโกงได้เสมอถ้าไม่มีสังคมคอยกำกับ อำนาจสังคมคืออำนาจที่กำกับทำให้เกิดความถูกต้อง นี่เป็นข้อที่เราจะต้องตราไว้ ว่าจะไม่ไปเรียกร้องผู้มีอำนาจใดๆ ให้เข้ามาแก้ปัญหา เพราะไม่สามารถแก้ได้ แต่อำนาจสังคมนั่นแหละที่จะกำกับให้เกิดความถูกต้อง


๔.พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับระบอบทักษิณ

พธม.กับระบอบทักษิณเป็นตัวอย่างให้เราเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมถึงพลังอำนาจทางสังคม ระบอบทักษิณคงจะมีทั้งคุณและโทษสุดแต่ผู้มอง

แต่ที่แน่ๆ ก็คือระบอบทักษิณทรงพลังอำนาจมหาศาล ทักษิณานุภาพนี้ไม่มีองค์กรหรือสถาบันใดๆ จะต้านทานได้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะถูกหรือผิดแล้วแต่ผู้มอง แต่ที่แน่ๆ คือเป็นการรวมตัวของมหาชนอันหลากหลายจำนวนมากนับแสนนับล้าน เป็นพลังทางสังคมที่ทำให้ทักษิณานุภาพแม้ทรงมหิธานุภาพเพียงใด ก็อ่อนกำลังลงและเปิดโอกาสให้กระบวนการยุติธรรมเข้มแข็งขึ้น

การที่ขบวนการการเมืองภาคประชาชนเติบโตเข้มแข็งขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากวิกฤตการณ์สุดๆ ไม่มีทางไป และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากมีคนอย่างคุณทักษิณ และคุณสมัคร ถ้าปราศจากคนอย่างคุณทักษิณและคุณสมัครขบวนการประชาชนก็จะไม่เติบโตอย่างนี้ การที่คนในชาติรวมตัวกันเป็นสังคมเข้มแข็ง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ถ้าเกิดขึ้นเป็นทุนทางสังคมอันยิ่งใหญ่
การรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนจำนวนมากเกิดจากการมีเป้าหมายร่วม ประชาชนควรจะรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ ในทุกองค์กร และในทุกเรื่อง เกิด เป็นประชาสังคมหรือสังคมเข้มแข็ง
สังคมเข้มแข็งนั่นแหละคือประชาธิปไตยโดยสาระ ในขณะที่กลไกทางการเมืองอาจเป็นเพียงรูปแบบ
ประเทศใดที่สังคมเข้มแข็ง เศรษฐกิจจะดี การเมืองจะดี และศีลธรรมจะดี นี้เป็นสัจจะซึ่งสามารถตรวจสอบจากหลักฐานในข้อเท็จจริงจากทั่วโลก

๕. ประชาธิปไตยมาก่อนรัฐธรรมนูญ

เมื่อผมเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗ และ คพป.เสนอให้ยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อปฏิรูปการเมืองนั้น มิตรที่เป็นนักทฤษฎีประชาธิปไตยเตือนผมว่าลัทธิรัฐธรรมนูญไม่นำไปสู่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ ผมเป็นหมอไม่มีความรู้ความชำนาญใดๆ ทางการเมือง แต่สังคมไทยได้เรียนรู้แล้วว่ารัฐธรรมนูญไม่มีพลังที่จะต้านอำนาจเผด็จการ เรามีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับแล้วไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยที่แท้ได้
สมมติว่าลองคิดกลับกันเสียว่าประชาธิปไตยมาก่อนรัฐธรรมนูญ
นั่นคือประชาชนจำนวนมากมีความสำนึกในอิสรภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนของตนเอง และพยายามทำอะไรดีๆ รวมตัวร่วมคิดร่วมทำเป็นกลุ่มและเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ในโครงสร้างเผด็จการ (รูป ก.)


(ก) โครงสร้างเผด็จการ (ข) โครงสร้างประชาธิปไตย มีการรวมตัวใช้อำนาจสั่งการจากบนลงล่าง ร่วมทำด้วยความสมัครใจ เล็กหรือใหญ่
อาจใหญ่เป็นมวลชนมหาชนที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน
มีการใช้อำนาจสั่งการจากบนลงล่าง โครงสร้างชนิดนี้มีความไม่เป็นธรรมสูงมีการเรียนรู้น้อย ไม่มีพลังที่จะแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ในโครงสร้างประชาธิปไตย (รูป ข.) คนแต่ละคนมีเสรีภาพ ใช้ศักยภาพของตนเองได้เต็มที่ รวมตัวร่วมคิดร่วมทำด้วยความสมัครใจ ด้วยความเสมอภาคและภราดรภาพ เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย เกิดเป็นผลในทางสังคม หรือสังคมเข้มแข็ง
พลังทางสังคมที่เข้ามาตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและมีส่วนในนโยบายสาธารณะ (ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๘๗) เป็นการเมืองภาคพลเมืองหรือการเมืองภาคประชาชน

การเมืองภาคประชาชนมีพลังการตรวจสอบและกำกับให้เกิดความถูกต้องทางการเมืองมากกว่ารัฐสภา และมากกว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ในสภาพการณ์ปัจจุบันนี่เป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่าประชาธิปไตยมาก่อนรัฐธรรมนูญ เพราะประชาชนสามารถรวมตัวกันเคลื่อนไหวประชาธิปไตยก่อนมีรัฐธรรมนูญ

๖.ขบวนการมหาประชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย
พธม.คงจะมีทำผิดบ้าง แต่ภาพรวมคือขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ที่ตรวจสอบอำนาจทางการเมือง การเมืองภาคประชาชนถ้าทะนุบำรุงหล่อเลี้ยงให้เติบโตแข็งแรงมีความถูกต้องก็จะเป็นพลังทางศีลธรรมอันยิ่งใหญ่ที่จะกำกับตรวจสอบ และส่งเสริมให้เกิดความถูกต้องทุกด้าน ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การพัฒนาจิตใจ และสันติวิธี
การเมืองภาคประชาชนต้องเป็นพลังทางจิตสำนึก พลังทางความรู้ พลังทางการสื่อสาร พลังทางสังคม ซึ่งถ้าทำได้ธรรมาธิปไตยกับประชาธิปไตย จะเข้ามาซ้อนทับกัน ประชาธิปไตยกับธรรมะจะต้องผนวกกัน
ขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย ประชาธิปไตย จะเป็นปราการอันแข็งแกร่งที่ทำให้การเมืองดีและขบวนการยุติธรรมแข็งแรง รวมทั้งสิ่งดีๆ อื่นๆ เกิดตามมา
พธม.ควรจะอยู่กับจุดแข็งของ พธม. คือ สร้างขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย มากกว่าเข้าไปสู่กลไกและรูปแบบทางการเมือง ซึ่งจะเปลืองตัวและทำให้ตัวเองอ่อนแอลง ขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย จะไปทำให้เกิดกลไกและรูปแบบทางการเมืองต้องปรับตัวไปสู่ประชาธิปไตยเอง ซึ่งการกระจายอำนาจไปอย่างทั่วถึง และทุกส่วนของสังคม จะปฏิสัมพันธ์ด้วยการเรียนรู้และตรวจสอบซึ่งกันและกัน แทนที่การใช้อำนาจจากบนลงล่างแบบแยกส่วนตายตัวซึ่งเป็นการเมืองแบบเก่า ประชาธิปไตยจะกลายเป็นวัฒนธรรมที่เข้ามาอยู่เหนือกลไกทางการเมือง

๗.ความมุ่งมั่นร่วมกันของคนไทยทั้งมวลในการบินออกจากเข่ง
การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะมีการปฏิวัติประชาธิปไตยโดยมวลชน ด้วยสันติวิธีเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่โอกาสกำลังอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ด้วยลักษณะพิเศษของคนไทยทำให้การปฏิวัติด้วยสันติวิธีเป็นไปได้และถ้าเป็นจริงจะเป็นศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ของคนไทยว่าเราเป็นคนที่เจริญ
คนไทยเหมือนไก่อยู่ในเข่ง ขณะที่รอความพินาศต่อชีวิตจะมาถึงด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ยังจิกตีกันร่ำไป ที่จิกตีเพราะในเข่งมันคับแคบบีบคั้นทำให้กระทบกระทั่งกัน
เข่งคือระบอบเผด็จการอันคับแคบ ต้องรวมตัวกันบินออกจากเข่ง นั่นคือสร้างระบอบประชาธิปไตยการปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคนไทยทั้งมวลสามารถทำได้ด้วยสันติวิธี ไม่มีการยึดอำนาจหรือการฆ่าแกงอะไรใครทั้งสิ้น แต่โดยคนไทยมีสำนึกประชาธิปไตยแล้วรวมตัวกันเป็นเครือข่ายประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เชื่อมโยงกันเต็มประเทศ โดยไม่ต้องรอรัฐธรรมนูญ เพราะประชาธิปไตยต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญและองค์กรทางการเมืองที่จะเกิดตามมาเป็นระบบ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
ขบวนการมหาประชาชนเพื่อธรรมาธิปไตย-ประชาธิปไตย เป็นขบวนการที่ใครๆ ก็เข้าร่วมได้ เพราะไม่ได้เป็นศัตรูกับใครและไม่ได้โค่นล้มอะไรใคร แต่เป็นการที่ประชาชนจับมือกันสถาปนาระบอบประชาธิปไตยขึ้นเองด้วยสันติวิธี
โอกาสอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ที่จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีในระบอบประชาธิปไตยอันเป็นธรรมนี้ ความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันเป็นเรื่องไม่ยาก ยุคศรีอาริยะที่คนไทยใฝ่ฝันกันมาเนิ่นนานจะเป็นจริงได้
ประเทศไทยที่เข้มแข็งเป็นธรรมและศานติ นอกจากประโยชน์ของตัวเองแล้ว ยังช่วยชาวโลกได้ด้วย เพราะล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกเดียวกัน

Sep 23, 2008

รับภัยเศรษฐกิจสหรัฐ รู้พอเพียงถึงจะรอด

ไทยรัฐ
24 ก.ย. 51
ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=105186

“ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น ถ้าเปรียบเทียบเป็นการชกมวยสากล ต้องบอกว่า การชกยังไม่ครบ 12 ยก ตอนนี้แค่ยกที่ 6 เท่านั้น ยังไม่ถึงจุดต่ำสุดของวิกฤติแต่อย่างใด”
ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมกราคม 2551 ได้ชี้ให้เห็นว่า


ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯยังอยู่ในขั้นยกที่ 2 ขณะนั้น ธุรกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ซิตี้แบงก์
หรือซิตี้กรุ๊ป และ บริษัท เมอร์ริล ลินซ์ ประสบปัญหาขาดทุน
จากหนี้เน่ามหาศาลในการปล่อยกู้ให้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่รู้จักกันในชื่อ “ซับไพร์ม”
จนต้องซมซานให้กลุ่มธุรกิจจากสิงคโปร์ และโลกอาหรับ ขนเงินเข้ามาช่วยอุ้มชูกิจการ
เป็นแค่ยกที่ 2 เทียบกับวิกฤติเศรษฐกิจไทย เมื่อปี 2540

ก็คือ... รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กำลังอยู่ในขั้นจะตัดสินใจว่า
จะปิด 58 สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้จนเกิดหนี้เน่า ดีหรือไม่ และปัญหาวิกฤติซับไพร์มที่ลุกลามมาถึงจุดที่บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์ จากภาวะล้มละลาย กับบริษัทอเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป หรือเอไอจี
เจ๊งไม่เป็นท่า... จนธนาคารกลางสหรัฐฯต้องเข้าไปอุ้มกิจการให้อยู่รอด...อันเป็นยกที่ 6 นั้น
ไม่ต่างกับเหตุการณ์รัฐบาลไทยในยุคต้มยำกุ้งตัดสินใจปิดสถาบันการเงิน
จนก่อให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งตามมาในยก 12 นั่นแหละ

แต่วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ดร.สมภพ บอกว่า ยกที่ 12 จะไม่มาเร็วเหมือนอย่างวิกฤติต้มยำกุ้ง ด้วยศักยภาพความสามารถ
ด้านการเงินของไทยกับสหรัฐฯต่างกันลิบลับ

“แม้ยกที่ 12 ยังมาไม่ถึง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
และเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่น้อย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
เป็นสัญญาณเตือนบอกให้เรารู้ล่วงหน้าว่าต่อไป คนจะจนกันทั้งโลก
ไม่เพียงแต่สหรัฐฯเท่านั้นที่จนลง ปัญหาวิกฤตินี้ได้ลุกลามไปในหลายประเทศ

อังกฤษมีอัตราการขยายตัวของจีดีพีเท่ากับศูนย์ เยอรมนี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น
อัตราการเติบโตของจีดีพีติดลบ 5 ประเทศนี้มีความสำคัญต่อการทำมาค้าขายของโลกมาก เพราะสั่งสินค้าเข้าประเทศมากถึง 2 ใน 3 ของโลก”
เมื่อประเทศเหล่านี้จนลง การสั่งซื้อสินค้าลดลง...ประเทศไทยเจอปัญหาขายสินค้าไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
นี่เป็นปัญหาอันดับแรก ที่ ดร.สมภพ บอกว่า จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย
และกระทบไม่ใช่น้อย เศรษฐกิจของประเทศไทยเน้นพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
จนทุกวันนี้ การส่งออกเป็นเสาหลักเกือบจะเสาเดียว
ที่ค้ำชูเศรษฐกิจประเทศไม่ให้หกคะเมน
ไม่เพียงเราจะขายสินค้าให้กับ 5 ประเทศผู้นำของโลกไม่ได้เท่านั้น
การขายสินค้าให้กับประเทศอื่นๆ ประเทศเล็กๆ ประเทศเพิ่งจะเกิดใหม่
ที่เราเพิ่งจะรู้จักทำมาค้าขายด้วย เราก็จะขายได้น้อยลงเหมือนกัน
เนื่องจากประเทศที่เกิดใหม่ หันมาค้าขาย มาซื้อสินค้าจากเรา
เพราะเขามีเงิน มีรายได้มาจากการขายสินค้าให้กับ 5 ประเทศยักษ์ใหญ่เหล่านั้นเหมือนกัน
เมื่อ 5 ประเทศนั้นจนลง ประเทศเกิดใหม่ขายของไม่ได้ ก็ไม่มีเงินมาซื้อสินค้าจากเรา
เรียกว่า ส่งผลกระทบทำให้ยากจนกันไปทั้งโลกกันเลยทีเดียว

นับจากนี้ไป ดร.สมภพมองว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะหวังพึ่งพาการส่งออกเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้อีกแล้ว นโยบายเศรษฐกิจต้องเน้นการลงทุนภายในประเทศ
และส่งเสริมการบริโภคในประเทศให้มากขึ้น

“แต่ต้องไม่ใช่ส่งเสริมการบริโภคแบบประชานิยม ลดแลกแจกแถม
หาคะแนนเสียงเหมือนที่ผ่านมา เพราะไม่ได้เป็นการส่งเสริมการสร้างงาน
สร้างรายได้แบบยั่งยืน
ถ้าจะแจกก็ให้แจกแบบพระเวสสันดร เอาทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองไปบริจาคได้

ไม่มีใครว่า แต่อย่าเอาเงินภาษีของคนส่วนใหญ่ไปแจก
เพราะจะเป็นการเพิ่มภาระให้กับประเทศชาติ และประชาชนผู้เสียภาษี”

ไม่เพียงแต่ภาครัฐเท่านั้นที่จะต้องปรับตัว ภาคประชาชนก็ปรับตัวรับวิกฤตินี้เช่นกัน
สิ่งที่จะเกิดผลกระทบตามมาของวิกฤติครั้งนี้ก็คือ
บริษัทต่างชาติที่มาลงทุนในบ้านเรา จะรีบทยอยขายสินทรัพย์ต่างๆ
เพื่อเอาเงินไปช่วยเหลือในบริษัทแม่ จะมีการเทขายเงินบาท
กว้านซื้อดอลลาร์อย่างเกิดขึ้น
จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า ดอลลาร์แข็งตัว ในบางครั้งบางคราว
อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน...เศรษฐกิจสหรัฐฯแย่
แต่ทำไมดอลลาร์ถึงได้แข็งค่าเงินบาทอ่อน
นั่นเป็นเพราะบริษัทที่มาลงทุนต่างกว้านซื้อดอลลาร์เอากลับไปจุนเจือ
บริษัทแม่ในสหรัฐฯ
นับแต่นี้ต่อไปจะเกิดความผันผวนทางการเงิน และธุรกิจเก็งกำไรรุนแรง
และมีความเสี่ยงสูง...ฉะนั้นแมลงหวี่ แมลงเม่าทั้งหลายระวังให้ดี

ในสถานการณ์ที่บริษัทโบรกเกอร์ยักษ์ ผู้เชี่ยวศึกการปั่นหุ้น ปั่นราคา
ตกอยู่สภาพใกล้หมดตัวอย่างนี้ การปั่นราคา เก็งกำไรต่างๆ
จะเกิดขึ้นแบบเหนือความคาดหมาย...
มิต่างอะไรกับลีลาการเล่นฟุตบอลตุกติกของทีมเกาหลี
ที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาเงิน เอากำไรไปอุดโปะหน้าตักตัวเอง
แมลงเม่าที่รู้ไม่เท่าทัน ถูกไฟเผาเป็นจุณ
กระนั้นก็ตาม ในวิกฤติยังมีโอกาสซ่อนอยู่...
ตอนนี้ใครที่คิดจะซื้อบ้าน ซื้อคอนโดฯ ดร.สมภพ บอกว่า
ให้เก็บเงินให้กับตัวก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนซื้อ
ปลายปีนี้ ต้นปีหน้าได้เห็นบ้าน คอนโดฯลดกระหน่ำรับปีใหม่...
เมื่อบริษัทต่างชาติที่มาลงทุนร้อนเงิน เทขายสินทรัพย์ขนเงินกลับไปช่วยบริษัทแม่
ส่วนภาคเกษตรรากหญ้า...มีคำแนะนำ
ต้องหันให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจแบบพอเพียงให้มากขึ้น
“เมื่อคนจนลงทั้งโลก คนซื้อสินค้าน้อยลง
ราคาสินค้าเกษตรจะไม่ดีเหมือนที่ผ่านมา
เกษตรกรต้องรู้จักการบริหารความเสี่ยง อย่าคิดแต่ปลูกพืชชนิดเดียว
หวังได้เงินก้อนใหญ่ก้อนเดียวเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ เพราะจะขาดทุน
ต้องยึดแนวเศรษฐกิจแบบพอเพียง กระจายความเสี่ยงโดยปลูกพืชหลายชนิด

รวมทั้งหยุดคิดว่า จะปลูกเพื่อขายอย่างเดียว ต้องคิดแบบพอเพียง
ปลูกไว้ให้ตัวเองมีกินมีใช้ไว้ก่อน ที่เหลือถึงจะขาย ถึงฝ่าฟันวิกฤติไปได้”

และที่สำคัญเหนืออื่นใด รัฐบาลชุดใหม่ ทีมงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
รัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะมารับงาน...จะใช้มือสมัครเล่นไม่ได้อีกต่อไป
วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ลามลุกไปทั่วโลกในขณะนี้...ถึงจะอยู่ที่ยก 6 ก็ตาม
แต่ไม่แน่ว่า ศึกครั้งนี้จะต่อยกันครบ 12 ยกหรือเปล่า
ถ้าครบ 12 ยก...ประเทศไทยยังพอมีเวลาปรับตัว
แต่ถ้าครบไม่ครบ 12 มีการน็อกขึ้นมาก่อน...เราอาจจะรับมือไม่ทัน
จะครบไม่ครบ 12 ยก ดร.สมภพ แนะให้จับตา 2 บริษัทยักษ์ใหญ่
ถัดมาว่า จะมีอาการส่อไปในทิศทางใด นั่นก็คือ...
มอร์แกน สแตนเลย์ กับ โกลด์แมน แซกส์
สองยักษ์ใหญ่นี้ล้มเมื่อไร เตรียมตัวเตรียมใจให้ดี
ประเทศชาติได้รัฐมนตรีงั้นๆ วิกฤติ 2540 ที่ว่าแน่...จะเป็นแค่จิ๊บๆ.



Sep 20, 2008

อเมริกาเปลี่ยน กระบวนทัศน์เปลี่ยน มนุษยชาติเปลี่ยน

มติชนรายวัน
วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11151
โดย ประสาน ต่างใจ http://jitwiwat.blogspot.com
แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ
มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

หรือเป็นลิขิตของจักรวาล เช่นที่ผู้เขียนสงสัยว่าอาจจะเป็นไปได้ ซึ่งหากเป็นจริงตามนั้น
ก็นับว่าอาจเป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย
เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นตัวแทนของความเป็นสองหรือ
ทวิตา (dualism) คือ เป็นทั้งดีสุดสุด และชั่วร้ายสุดสุด หรือให้ทั้งความจริงสุดสุด
กับภาพมายาสุดสุด ที่จักรวาลจัดสรรให้เป็นเช่นนั้นในช่วงเวลานี้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่และนักจิตวิทยาโดยเฉพาะ
นักจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ
(transcendent or spiritual psychology)
จำนวนมากต่างมองเห็นคล้ายๆ กันเป็นทำนองนั้น
นั่นคือ จักรวาลหรือฟ้า ประหนึ่งได้ดลบันดาล
ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกในช่วงเวลานี้
ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด ขอย้ำว่าเป็นช่วงสำคัญที่สุดจริงๆในประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติเท่าที่เคยมีมา นั่นคือ
เป็นช่วงที่โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน
หรือมีการปฏิวัติที่จะทำให้กระบวนทัศน์ทางสังคมของโลกต้องเปลี่ยนไป
ซึ่งที่สุดมนุษยชาติและสังคมของมนุษย์ก็จะต้องเปลี่ยนตามไปด้วยเพราะฉะนั้น
ในความเห็นของผู้เขียน การที่พรรคเดโมแครตตัดสินส่งคนอเมริกันผิวดำ
คือ นายบารัค โอบามา ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้
จึงมีความสำคัญที่สุดกับเผ่าพันธุ์และสังคมของมนุษย์
ชนิดที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยมีมาก่อนอย่างที่ว่ามาข้างบนจริงๆ
นโยบายหาเสียงของนายโอบามานั้น มีเพียงคำเดียวง่ายๆ คือ "เปลี่ยน" (change)
ซึ่งอาจหมายความว่า นายโอบามาเพียงต้องการเปลี่ยน
นโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
และพรรครีพลับลิกัน ที่เห็นว่าความปลอดภัยในบ้านในประเทศเป็นใหญ่
จึงหันไปทำสงครามกับอัฟกานิสถานและอิรัก
เปิดศึกนอกบ้านเพื่ออุ้มไข่ในหินอันเป็นนโยบายของอเมริกามาตั้งแต่ต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีฮาวายในสงครามโลกครั้งที่สอง
ประชาธิปไตยตัวแทน และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี
ที่จะว่าไปแล้วเป็นการเปลี่ยนน้อยๆ หรือเป็นการปฏิรูปน้อยๆ ก็ได้
แต่คำๆ นี้ก็อาจตีความไปได้อีกทาง คือ อาจเป็นไปได้ว่า
นายโอบามาต้องการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนหรือ
การปฏิวัติระบบและโครงสร้างของประเทศทั้งหมดเลยก็ได้
แต่เท่าที่ผู้เขียนมองเห็น ประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สองมา
ไม่ว่าพรรคใดได้เป็นผู้บริหารประเทศ นโยบายจะไม่ได้ต่างกันมากนัก
โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศและการทหาร
ฉะนั้นนโยบายของนายโอบามาหรือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ
การมองเห็นความสำคัญภายในบ้านมากขึ้นหรือการปฏิรูปน้อยๆ มากกว่า
การปฏิรูปกับปฏิวัตินั้นต่างกันมากเหลือเกิน เหมือนเพชรแท้กับเพชรเทียม
จึงน่าจะใช้คำใหม่กัน คิดว่าท่านผู้อ่านหลายคนอาจคิดเช่นเดียวกับผู้เขียนก็ได้
คือคิดว่า ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสำคัญมากๆ ต่อระบบทุกๆ ระบบ
โดยเฉพาะระบบการเมืองการทหารของโลกในปัจจุบัน
อย่างน้อยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจบสิ้นแล้วเป็นต้นมา
เพราะโดยรูปธรรม อเมริกาคือผู้ชนะสงครามในครั้งนั้นแต่เพียงผู้เดียว
โดยแทบจะไม่ได้รับความบอบช้ำเท่าไรเลย
จริงๆ แล้ว ตลอดเวลาค่อนศตวรรษมานี้ สหรัฐอเมริกามั่งคั่งร่ำรวยที่สุดอยู่แล้ว
จึงเป็นเสมือนผู้นำโลก บางครั้งผ่านหน้าม้าหรือสหประชาชาติ
ในทางเศรษฐกิจ การเมืองการทหาร และทางสังคมแต่เพียงประเทศเดียว
คนที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจนั้น ทำอะไรก็ดูดีไปหมดหรือดูน่ารักไปหมด
ถ้าหากเรามองโลกมองจักรวาลในแบบของผู้เขียน
ที่คิดว่าไม่มีคำว่าบังเอิญในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลของกลไกของวิวัฒนาการ
(evolution) อันเป็นหลักการสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มีจักรวาลโผล่ปรากฏขึ้นมา
นักฟิสิกส์ทฤษฎีแนวหน้าของโลกบางคนเรียกประหนึ่งว่า
เป็นแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล อาทิ เซอร์ เจม จีนส์ เซอร์ อาเธอร์ เอดดิงตัน
เซอร์ เฟรด ฮอยล์ พอล เดวีส์ ฯลฯ ไม่ว่าสิ่งนั้นคือพระเจ้า
หรือมันเป็นเช่นนั้นของมันเอง
ฉะนั้น ภาวะโลกร้อนและการล่มสลายของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอื่นๆ
อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ กิเลสตัณหากับอวิชชา
ที่ไม่เป็นไปตามที่แม่แบบพิมพ์เขียวกำหนด จึงผิดธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น มหันตภัยธรรมชาติไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
เช่น สภาพของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง
จึงเกิดจากสภาวะธรรมชาติซึ่งผิดไปเช่นนั้น
นั่นคือกรรมร่วมที่มนุษย์เจตนาทำขึ้นจากวิวัฒนาการที่ผิดทาง
ในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์จะต้องเป็นผู้รับกรรมร่วมนั้น
มากหรือน้อยแล้วแต่เจตนา ดังนั้น ก่อนที่มหันตภัยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และมนุษยชาติโดยรวมจะต้องรับผลกรรมเช่นนั้น
การก่อกรรมทำเข็ญต่อโลกธรรมชาติจึงไม่น่าจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ระบบสังคม การเมือง
โดยเฉพาะเศรษฐกิจส่วนใหญ่คงจะดำเนินไปอย่างผิดธรรมชาติเหมือนเดิม
แม้ว่าคนส่วนหนึ่งในอเมริกากับประเทศที่พัฒนามากๆ
ทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปบ้างแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงของคนทั้งโลกจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่เดือน
ในที่นี้หมายถึงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา
นั่นคือมันยังไม่ถึงเวลาของการสุกงอมต่อวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ
และการเปลี่ยน (transformation) ของมัน
ฉะนั้น สงครามตะวันออกกลางและการก่อการร้ายยังจะต้องมีต่อไป
ทั้งอาจขยายกว้างขึ้นไปอีก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหมากตัวสำคัญที่สุด
ดังนั้น ไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างใดหรือเชียร์ใคร
หากว่ามีแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลจริงๆ ตามความคิดของผู้เขียน
และหากการเปลี่ยนแปลง (change) ของนายโอบามาไม่ได้เป็นไป
อย่างถอนรากถอนโคนหรือเป็นการปฏิวัติอย่างสิ้นเชิง
คือ เป็นเพียงการเปลี่ยนน้อยๆ หรือเป็นการปฏิรูปน้อยๆ อย่างว่า
หรือเพียงเปลี่ยนจากข้างนอกมาเป็นข้างในประเทศ
ขณะที่แทบทุกสิ่งทุกอย่างยังจะค่อนข้างเหมือนเดิม
ก็ขอฟันธงได้เลยว่าพรรครีพลับลิกันจะได้ชัยชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ นายจอห์น แมคเคน
จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2008
นี้อย่างค่อนข้างแน่นอนดังที่กล่าวมาแล้วว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่สุกงอมจริงๆ
ผู้เขียนจึงเชื่อว่า
เวลาของการเปลี่ยนแปลงของประชากรในประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมานานแล้ว
ยังคงมีไม่ถึง "มวลอันวิกฤต" (critical mass)
แม้ว่าผู้เขียนจะไม่รู้ว่าจำนวนนั้นคือเท่าไร
แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภายในปีสองปีนี้ จากการวิจัยมากหลายพบว่า
ความเจ็บปวดทรมานเป็นเวลายาวนาน
คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลง (2007 Shift Report)
เพราะฉะนั้น ภัยธรรมชาติจากสภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย หรือสงคราม
หากว่าไม่ถี่กระชั้นหรือมากเกินไป ยกเว้นสงครามนิวเคลียร์
ก็คงยังไม่ถึงกับทำให้คนทั่วไป
โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักการเมืองทนไม่ได้หรือสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด
หรือจิตสำนึกได้ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่จักรวาลเป็นผู้กำหนดแม่แบบพิมพ์เขียว
หรือควบคุมโลกและมนุษยชาติ จักรวาล
ย่อมมองเห็นอนาคตของโลกและมนุษยชาติกับสังคมโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร
ซึ่งอนาคตของสังคมมนุษย์ เท่าที่ผู้เขียนมองเห็นก็มีอยู่สองทางเท่านั้น
คือ หนึ่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงมีอยู่
แต่จะเหลือน้อยเต็มทีและจะมีวิวัฒนาการต่อไป
ซึ่งวิวัฒนาการจะเป็นไปในทางของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality or transcendence)
กับ สอง มนุษย์สูญพันธุ์ไปทั้งหมด ซึ่งจริงๆ แล้ว
หากว่าเราทั้งหลายเชื่อในเรื่องของแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลอย่างที่ผู้เขียนคิด
เชื่อในทฤษฎีหลักการมนุษยจักรวาลวิทยา (cosmological anthropic principle)
อันเป็นคณิตศาสตร์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ก็ต้องอยู่คู่กับจักรวาลตลอดไป
ไม่ว่าจะเป็นดาวนพเคราะห์ใดและระบบดวงอาทิตย์ในกาแล็กซี่ไหน
สามารถมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณได้ถ้วนทั่วทุกตัวคนหรือไม่
โดยหลักการที่ว่านั้น จักรวาลกับโลกของเราจึงปราศจากมนุษย์ไปไม่ได้
แต่หากว่าจักรวาลและโลกของเราจำเป็นต้องมีมนุษย์เช่นว่านั้น
อนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจากวันนี้ มนุษย์เราและสังคมของเราจะเป็นอย่างไร?
นั่นคือ เนื้อหาสาระของบทความนี้ คือ เมื่อโลกเปลี่ยน
เมื่อกระบวนทัศน์เปลี่ยน มนุษย์และสังคมของมนุษย์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
ทั้งนี้เนื่องจากรากฐานของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
เป็นเรื่องวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ อันเป็นเป้าหมายของจักรวาล
พฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของเราจะเป็นไปด้วยจิต "ใหม่" ทั้งสิ้น
ซึ่งตรงกันข้ามกับที่เราคิดและกระทำกันอยู่ในขณะนี้ ที่ล้วนแล้วแต่ "เหมือนเดิม"
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ การต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย
การต่อสู้กับความยากจนยากไร้ ภัยจากโลกร้อนและผลจากภาวะล่มสลายของธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม อาชญากรรม ยาเสพติดและอื่นๆ
เช่น การใช้เทคโนโลยีทำลายธรรมชาติของนักธุรกิจที่ไร้ความรับผิดชอบ
ความแตกแยก และความรุนแรง ฯลฯ คือเป็นความคิด
และการกระทำของมนุษย์ที่มีกฎหมายของสังคมในกระบวนทัศน์เก่า
อันได้มาจากความคิดของคนที่ยังไม่วิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ
เป็นพวกตาต่อตา หรือฟันต่อฟัน แล้วเราจะหาความพอเพียงพอดีและยั่งยืนได้อย่างไร?
เป้าหมายระดับแรกที่ผู้เขียนเอามาจากนักวิทยาศาสตร์สังคมว่าด้วยระบบ
และนักจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ
(system theorist / transcendental
psychologist or spiritual psychologist)
รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่หลายคน
สำหรับมนุษย์ ที่จะเหลือราวๆ ร้อยละ 20 เท่านั้น
และสังคมของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจากวันนี้
คือ การล่มสลายหายไปของ "อารยธรรมสมัยใหม่ "
ที่อยู่กับเรามานานจนกระทั่งวันนี้ไปทั้งหมด (modern civilization)
และทั้งหมดจริงๆ ที่จะเข้ามาแทนที่คือ อารยธรรมใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ที่สมดุล
พอเพียงพอดีและยั่งยืน ที่ไม่เหลือเค้าโครงของเก่าอย่างใดเลยให้เห็น
และสิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นในวันพรุ่งนี้จะเป็นความศิวิไลซ์ที่ภายใน
ในทางการเมืองสังคมวัฒนธรรมนั้น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย
ประชาธิปไตยตัวแทนที่เราใช้อยู่
รวมทั้งสิทธิมนุษยชนจอมปลอมจะหมดไป พร้อมๆ
กับที่ประเทศหรือนครและเมืองใหญ่ๆ จะหายไปหมดพร้อมๆ
กับประชากรโลกที่หายไปเพราะขาดอาหารและน้ำ
และผลพวงของภัยธรรมชาตินานัปการของสภาวะโลกร้อนจัดจริงๆ
จนเกินขอบเขตของสัตว์โลกจะดำรงอยู่ได้
ยกเว้นในภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับขั้วโลก เช่น อลาสกา กรีนแลนด์ ไซบีเรีย
ปลายสุดของอเมริกาใต้และแถบเทือกเขาไหล่เขาที่สูงมากๆ
ที่อากาศเย็นหน่อย การดำรงอยู่ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงจะเป็นไป
ในรูปของหมู่บ้านหรือตำบลที่ประชาชนอยู่ร่วมกันภายใต้ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีส่วนร่วม
และมีวัฒนธรรมที่เน้นคุณค่าและความหมายของมวลสรรพสิ่งเป็นสำคัญ
ทุกคนไม่ว่าใคร เพศวัยใด ต้องได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิกับโอกาสที่เท่าเทียมกัน
อันเป็นกระบวนการจากภายในในด้านของเศรษฐกิจและธุรกรรมทั้งหมด
จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการที่สมดุลพอเพียงพอดี
และยั่งยืนเป็นสำคัญ เทคโนโลยีที่แลกเปลี่ยนกับความล่มสลาย
และเป็นศัตรูต่อสิ่งแวดล้อมเกินขอบเขตของการฟื้นตัวเองจะมีขึ้นไม่ได้
การเกษตรจะดำเนินไปบนฐานของความจำเป็นและความต้องการที่พอเพียงพอดี
พลังงานจะเป็นรูปแบบของการใช้พลังงานทางเลือกที่ทดแทนได้เองทั้งหมด
เช่น พลังแสงอาทิตย์ หรือพลังลม เป็นต้น
ส่วนการติดต่อหรือการค้าขายกันก็จะเป็นเรื่องของอินเตอร์เน็ตแทบทั้งหมด
นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ จริงๆ แล้วโลกเริ่มเปลี่ยนแล้ว
และกระบวนทัศน์ของมนุษย์กับสังคมของมนุษย์ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนตาม
โดยเฉพาะสำหรับในโลกตะวันตกเช่นที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา
แม้ว่ายังไม่ถึง "มวลอันวิกฤต" เช่นที่ว่าไว้ข้างบน ส่วนประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ
หรือประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งที่บ้านเรา
ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นเรื่องฝันหวาน ซึ่งเราที่อยู่รอดจากวิกฤตโลก
ที่กำลังเกิดอยู่และจะรุนแรงมากขึ้นจนถึงที่สุดภายในสี่ห้าปีนี้
จะได้เห็น อย่าลืมว่า อนุสัยสันดาน "ตัวกูของกู" นั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้นนิรันดร
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง มีเกิดก็ต้องมีแก่และมีตาย
มีรูปกายก็ต้องมีนามมีจิต มียุคกสิกรรมก็ต้องมียุคอุตสาหกรรม
มีสมัยใหม่ก็ต้องมียุคหลังสมัยใหม่ ทำไมมนุษย์จึงมีกายกับจิต?
ถ้าหากกายมีวิวัฒนาการได้ จิตก็ต้องมีได้
และหากจิตมีวิวัฒนาการผ่านพ้นตัวตนหรือก้าวพ้น "ตัวกูของกู" ได้
ที่กล่าวมาข้างบนทั้งหมดทำไมจึงจะเป็นไปไม่ได้?

Sep 12, 2008

คนใจร้อน: Prapas.com


www.prapas.com

สวัสดีค่ะคุณประภาส

แฟนดิฉันเป็นคนใจร้อนมาก เราสองคนมีปากเสียงกัน จากความใจร้อนของเขาเป็นประจำ

ก่อนแต่งงานก็คิดว่าแต่งไปแล้ว น่าจะปรับเข้าหากันได้ แต่กลับเป็นว่าพอทำอะไร
ไม่ทันใจเขาทีไร เขาก็พูดประชดให้เสียใจอยู่เรื่อยว่า เขาน่าจะแต่งกับผู้หญิงที่ใจร้อนเหมือนเขา เคยมานั่งคิดดูเหมือนกันว่าคำพูดของเขาถูกมั้ย คนใจร้อนต้องคู่คนใจร้อน
คนใจเย็นต้องคู่กับคนใจเย็น จะได้ไม่ทะเลาะกัน คุณประภาสคิดว่าไงคะ

แม่บ้านชาดำเย็น

ไม่ว่าจะเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐาน
ผมก็นิยมคนใจเย็น มากกว่าคนใจร้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นเรื่องในบ้าน
ชีวิตผู้คนในเมืองทุกวันนี้ ต้องเรียกได้ว่าแทบจะติดจรวดติดอยู่กับก้นแทบทุกคน
ธุรกิจที่ต้องแข่งขันกันเป็นวินาทีทำให้มนุษย์เมืองหลวงไขลานชีวิตจนตึง
และเมื่อกลับบ้าน หลายคนก็ยังไม่ยอมปล่อยปล่อยให้ลานมันหมุนช้า ๆ บ้างเลย
อ่านจากจดหมายแล้วผมคงแนะวิธีแก้ปัญหาตรง ๆ กับคุณแม่บ้านชาดำเย็นไม่ได้ คนใจร้อนนี่เราไปว่ากล่าวตักเตือนตรง ๆ ผมว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เอานะครับ คุณแม่บ้านชาดำเย็นก็คงนึกออก
ความใจร้อนของเขาจะทำให้เขาปะทะคารมกลับมาทันที
อันที่จริงตัวผมเองนั้นก็เคยถูกจับเข้าข่ายคนใจร้อนอยู่เหมือนกัน
ยิ่งตอนหนุ่ม ๆ นี่วิวาทกับคนเพราะเรื่องงานมาก็เยอะ ยาขนานเดียวที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้หัวจิตหัวใจผมควันฉุยน้อยลงก็คือ ธรรมชาติ
อยู่ใกล้ ๆ ธรรมชาติมาก ๆ นี่ใจร้อนไม่ออกหรอกครับ
ปัญญามันอยู่ในนั้นเต็มไปหมด เมล็ดถั่วนี่ใครไปเร่งให้มันงอกรากได้หรือ ถุงเท้าที่ตากแดดไว้มันก็ต้องใช้เวลาให้น้ำในผ้ามันระเหยจนแห้ง
ดอกบัวมันก็ต้องค่อย ๆ ชูดอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ ก่อน แล้วถึงค่อยบานในวันหลัง

แก่นแท้ของคนใจร้อนคืออะไร
ความไม่ปล่อยวางนั่นแหละครับ คือมูลก้อนใหญ่ที่แมลงชื่อใจร้อนชอบมาตอม
คนที่ใจร้อนเขาแสดงอาการใจร้อนจากเรื่องใดบ้าง คุณแม่บ้านชาดำเย็นก็คงคุ้นเคย

กลัวไม่ทันเวลา กลัวเสียโอกาส
กลัวคนอื่นเขาว่า กลัวเสียเงินเยอะ
กลัวอดดู กลัวอดกิน กลัวเสียหน้า
คนใจร้อนนี่ขี้กลัวชะมัด
ยึดติดยิ่งกว่าตังเมติดเหงือกอีก

ในที่ทำงาน การวิ่งแข่งธุรกิจเป็นเรื่องจำเป็น หนึ่งวินาทีที่ช้าไป

อาจทำให้สูญเงินหลายล้านบาท ทำธุรกิจแล้วไม่ยึดติดเรื่องกำไร
ก็คงเป็นเรื่องประหลาดไปหน่อย
ความรวดเร็วทันใจในการทำงาน
จึงยังคงเป็นเรื่องสำคัญของการค้าสมัยใหม่
แต่เมื่อเอนลงที่เก้าอี้ที่บ้าน เราจะไปเร่งหัวใจให้มันเต้นเร็วทำไม
แต่เชื่อผมอย่างหนึ่งเถิด นักธุรกิจที่หมุนเงินหลายร้อยล้านบาท
ภายในสองสามนาทีนี่ไม่ใช่คนใจร้อนเลยครับ
บางคนใจเย็นมากจนไม่น่าเชื่อ
ดูจากบุคลิกแล้วหลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นคนเฉื่อยชาด้วยซ้ำ
ผมว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดมากกว่าใจเร็ว
ก็เหมือนคนขับรถเร็วนั่นแหละครับ
เวลาเราเรียกขานว่าคนไหนขับรถเร็ว
เราหมายถึงเขาขับรถแบบไหน
แบบแรก พวกนี้ขับเร็วในทุกที่แม้แต่ในซอยเล็ก ๆ
เห็นแล้วน่ารำคาญ
แบบที่สอง พวกนี้เวลาอยู่ตามถนนเล็ก ๆ สายสั้น ๆ ก็ใช้ความเร็วปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ค่อนข้างออกไปทางช้าเสียด้วย แต่เมื่ออยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์
พวกนี้จะค่อย ๆ เร่งจนเร็วมาก และเร็วจนพวกแบบแรกเหยียบตามไม่ทัน


ผมไม่เรียกพวกแบบแรกว่าเป็นพวก ขับรถเร็ว ผมว่า เขาขับรถเร่ง มากกว่า
พวกนี้แหละครับพวกเดียวกับ "คนใจร้อน"
อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลย ฟังผมเล่านิทานเกี่ยวกับคนใจร้อนสักสองแบบดีกว่า
ไหน ๆ ก็แก้ปัญหาให้คุณแม่บ้านชาดำเย็นตรง ๆ ไม่ได้แล้ว
เรื่องแรกชื่อเรื่องเหยียบน้ำลาย

สมัยที่กรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่าพระนคร คนที่เป็นนักเลงโตจะมีลูกสมุน เดินตามเป็นทิวแถวนักเลงสมัยนั้นมักคาบบุหรี่ไว้ในปากตลอดเวลา บุหรี่โบราณนี่ไม่มีก้นกรองเหมือนทุกวันนี้นครับ คนสูบนี่ต้องคอยถุยยาเส้นที่หลุดเข้าไปในปากออกมาบ่อย ๆ
บางขั้นถึงขั้นต้องถุยน้ำลายและทุกครั้งที่ถุยน้ำลาย

นักเลงทั้งหลายก็จะเอาเท้าเหยียบขยี้น้ำลายให้ไม่เห็นรอย
ท่าทางการเหยียบน้ำลายนั้นก็ล้วนเป็นท่าที่ถูกออกแบบมาแล้วว่ากวนประสาทที่สุด

และยิ่งนักเลงคนไหนมีลูกน้องเยอะ
เหล่าบรรดาลูกน้องที่เห็นลูกพี่ถุยน้ำลายเมื่อไร
ก็จะเข้าไปเหยียบน้ำลายให้ทันที
นับเป็นการประจบสอพลอที่ประหลาดเอาการอยู่
พูดง่าย ๆ ว่าใครได้เหยียบน้ำลายลูกพี่บ่อยกว่าคนอื่น
ก็ถือว่าเป็นลูกน้องคนสนิท

นายตุ๋ย เป็นนักเลงใหม่ เพิ่งเข้ามาเป็นสมุนของพี่โตได้ไม่ถึงเดือน

เดินตามพี่โตมาก็หลายวันแล้วยังไม่มีโอกาสได้เหยียบน้ำลายพี่โตสักที
อาจเป็นเพราะต้องเดินรั้งท้ายแทบทุกครั้ง
ยิ่งได้เห็นลูกน้องคนอื่น ๆ เขาเหยียบน้ำลายพี่โตแล้วเอามาคุยทับกันว่า

วันนี้ใครได้เหยียบมากกว่า นายตุ๋ยก็ยิ่งคับแค้นใจว่าตัวเองอุตส่าห์มาพินอบพิเทา
สมัครเป็นลูกสมุนพี่โตก็ร่วมเดือนแล้ว อย่าว่าแต่ได้เหยียบน้ำลายพี่โตเลย
แม้แต่ชื่อนายตุ๋ย พี่โตก็คงไม่รู้จัก
ถึงลูกสมุนรุ่นพี่จะเคยเล่าว่าต้องมาอยู่เป็นปี ๆ ถึงจะได้เหยียบน้ำลาย
นายตุ๋ยก็รู้สึกว่ามันช้าไปมาวันหนึ่งบ้านพี่โตมีงานเลี้ยง นักเลงตามซุ้มต่าง ๆ

ที่เป็นเพื่อนพี่โตก็มานั่งกินเลี้ยงกัน ลูกน้องส่วนใหญ่ถูกกะเกณฑ์
ให้ไปช่วยกันยกเก้าอี้ยกอาหาร นายตุ๋ยเองก็ถูกมอบหมายให้คอยยกจานอาหาร

ที่หมดแล้วออกจากโต๊ะทุกโต๊ะ หรือไม่ก็คอยเติมน้ำแข็งในกระติกที่ใกล้หมด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนุกกับงานเลี้ยง
เสียงโครมครามก็ดังขึ้นที่โต๊ะของพี่โต
ลูกสมุนของพี่โตกรูกันไปที่โต๊ะทันที
ใครที่คว้ามีดคว้าไม้ได้ก็คว้าติดไปด้วย
ที่โต๊ะของพี่โตที่เอียงกะเท่เร่อยู่นั้น
พี่โตนักเลงใหญ่กำลังยืนเหยียบอกชายคนหนึ่งอยู่ ลูกน้องที่วิ่งเข้าไปถึงก่อนต่างก็เข้าตะลุมบอนชายคนนั้น
จนเลือดกลบปาก
"ไอ้ตุ๋ยนี่หว่า" ลูกสมุนคนหนึ่งจำได้ แม้หน้านายตุ๋ยจะบวมปูด
"มึงเป็นใครวะ" พี่โตดึงคอเสื้อนายตุ่ยขึ้นมา
"ลูกน้องใหม่เรา...พี่โต" สมุนคนเดิมบอก
"แล้วมึงกล้าดีอย่างไรเอาตีนมาถีบปากกู" พี่โตเอามือลูบปาก
"ผมเปล่าถีบ"
"มึงถีบกูแล้วมึงยังมีหน้ามาเถียง" พี่โตเงื้อกำปั้น
นายตุ๋ยยกมือขึ้นป้อง "ก็...ผมเห็นพี่โตสูบบุหรี่แล้วทำปากเหมือนจะถุยน้ำลาย

ผมกลัวว่าถ้าพี่โตถุยออกมาแล้วคนอื่นจะมาเหยียบก่อนแล้วผมก็อดเหยียบอีก
ผมเลยรีบเหยียบเสียที่ปากพี่ แหม..ผมดีใจจริง ๆ ที่ได้เหยียบน้ำลายพี่แล้ว"
หลังจากนั้นนายตุ๋ยก็คงน่วมไปอีกระลอกใหญ่จากความใจร้อนที่ค่อนข้างซื่อไปสักหน่อย

เรื่องที่สองนี้ถึงแม้จะมีตัวละครหลายตัวแต่ก็เป็นเรื่องไม่ยาวนัก

เพราะตัวละครแต่ละตัวไม่มีใครใจเย็นเลย คุณแม่บ้านชาดำเย็น
จะถือเอานิทานเรื่องนี้เป็นความเห็นของผมที่ถามมาว่าผมคิดอย่างไร
กับแนวความคิดที่ว่าคนใจร้อนน่าจะคู่กับคนใจร้อนไหม?
ผมก็ไม่ขัดข้องครับ
เรื่องที่สองชื่อเรื่องหมู่บ้านคนใจร้อน
ชายใจร้อนคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวกลางตลาด

ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะและยังไม่ได้สั่งอะไรเลย เขาก็พูดขึ้นว่า
"บะหมี่น้ำทำไมยังไม่ได้" พูดจบก็ตบโต๊ะดังปัง แสดงอาการไม่พอใจ
เจ้าของร้านได้ยินดังนั้นก็ยกบะหมี่น้ำร้อนจนควันฉุยมาชามหนึ่งวางบนโต๊ะ

เขาวางชามแรงจนน้ำร้อนกระเซ็นมาโดนชายใจร้อนคนนั้น วางเสร็จก็พูดขึ้นทันทีว่า
"กินตั้งนานแล้วยังไม่เสร็จอีก เร็ว ๆ หน่อยจะปิดร้านแล้ว"
ว่าแล้วเจ้าของร้านก็เดินมาปิดประตูร้านทันที
ชายใจร้อนหยิบเงินขึ้นมาจ่ายแล้วก็รีบกลับบ้าน ทันทีที่ถึงบ้าน

ชายใจร้อนบ่นด้วยความโมโหตลอดเวลาถึงเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว
ระหว่างที่บ่นอยู่ก็ตะโกนเรียกภรรยาตัวเอง
ให้ตักข้าวมาให้กิน ภรรยาเดินออกมาจากในครัว
"ยังไม่ได้หุงเลย"
"ทำไมไม่หุงเตรียมไว้" ชายใจร้อนตะคอกใส่ภรรยา
"นี่เพิ่งจะบ่าย ใครเขาหุงข้าวกันตอนนี้" ภรรยาตอบ
"น่าจะหุงไว้ตั้งแต่เมื่อวาน โอย..หิวจะตายอยู่แล้ว

นี่ถ้าฉันไม่ได้กินข้าวเดี๋ยวนี้ฉันต้องตายแน่ ๆ " ชายใจร้อนโวยวาย
"ฉันจะแต่งงานใหม่" ภรรยาตอกกลับ
"ทำไมเล่า" ชายใจร้อนตกใจ
"แกบอกว่าแกจะตายแล้วนี่ เรื่องอะไรฉันจะอยู่เป็นม่ายตัวคนเดียว"

พูดจบหล่อนก็เก็บข้าวของออกจากบ้านทันที
แล้วในเย็นวันนั้นเองภรรยาของชายใจร้อนก็แต่งงานใหม่
กับคนที่เดินสวนกันที่ตลาด
รุ่งเช้าสามีใหม่เดินเข้ามาพูดกับหล่อนเพื่อขอหย่า หล่อนแปลกใจมาก
จึงถามเขาว่าหล่อนทำผิดอะไรหรือ
สามีใหม่ตอบด้วยความโมโหว่า
"ก็เธอเป็นหมันไง ป่านนี้เรายังไม่มีลูกกันเลย"

ที่มา :
http://chai56.blogspot.com/2008/02/blog-post.html