Custom Search

Sep 20, 2008

อเมริกาเปลี่ยน กระบวนทัศน์เปลี่ยน มนุษยชาติเปลี่ยน

มติชนรายวัน
วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11151
โดย ประสาน ต่างใจ http://jitwiwat.blogspot.com
แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ
มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

หรือเป็นลิขิตของจักรวาล เช่นที่ผู้เขียนสงสัยว่าอาจจะเป็นไปได้ ซึ่งหากเป็นจริงตามนั้น
ก็นับว่าอาจเป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย
เพราะสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่เป็นตัวแทนของความเป็นสองหรือ
ทวิตา (dualism) คือ เป็นทั้งดีสุดสุด และชั่วร้ายสุดสุด หรือให้ทั้งความจริงสุดสุด
กับภาพมายาสุดสุด ที่จักรวาลจัดสรรให้เป็นเช่นนั้นในช่วงเวลานี้
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่และนักจิตวิทยาโดยเฉพาะ
นักจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ
(transcendent or spiritual psychology)
จำนวนมากต่างมองเห็นคล้ายๆ กันเป็นทำนองนั้น
นั่นคือ จักรวาลหรือฟ้า ประหนึ่งได้ดลบันดาล
ให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกในช่วงเวลานี้
ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด ขอย้ำว่าเป็นช่วงสำคัญที่สุดจริงๆในประวัติศาสตร์
ของมนุษยชาติเท่าที่เคยมีมา นั่นคือ
เป็นช่วงที่โลกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน
หรือมีการปฏิวัติที่จะทำให้กระบวนทัศน์ทางสังคมของโลกต้องเปลี่ยนไป
ซึ่งที่สุดมนุษยชาติและสังคมของมนุษย์ก็จะต้องเปลี่ยนตามไปด้วยเพราะฉะนั้น
ในความเห็นของผู้เขียน การที่พรรคเดโมแครตตัดสินส่งคนอเมริกันผิวดำ
คือ นายบารัค โอบามา ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้
จึงมีความสำคัญที่สุดกับเผ่าพันธุ์และสังคมของมนุษย์
ชนิดที่เราไม่เคยเห็นไม่เคยมีมาก่อนอย่างที่ว่ามาข้างบนจริงๆ
นโยบายหาเสียงของนายโอบามานั้น มีเพียงคำเดียวง่ายๆ คือ "เปลี่ยน" (change)
ซึ่งอาจหมายความว่า นายโอบามาเพียงต้องการเปลี่ยน
นโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนปัจจุบัน จอร์จ ดับเบิลยู. บุช
และพรรครีพลับลิกัน ที่เห็นว่าความปลอดภัยในบ้านในประเทศเป็นใหญ่
จึงหันไปทำสงครามกับอัฟกานิสถานและอิรัก
เปิดศึกนอกบ้านเพื่ออุ้มไข่ในหินอันเป็นนโยบายของอเมริกามาตั้งแต่ต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ญี่ปุ่นโจมตีฮาวายในสงครามโลกครั้งที่สอง
ประชาธิปไตยตัวแทน และระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี
ที่จะว่าไปแล้วเป็นการเปลี่ยนน้อยๆ หรือเป็นการปฏิรูปน้อยๆ ก็ได้
แต่คำๆ นี้ก็อาจตีความไปได้อีกทาง คือ อาจเป็นไปได้ว่า
นายโอบามาต้องการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนหรือ
การปฏิวัติระบบและโครงสร้างของประเทศทั้งหมดเลยก็ได้
แต่เท่าที่ผู้เขียนมองเห็น ประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สองมา
ไม่ว่าพรรคใดได้เป็นผู้บริหารประเทศ นโยบายจะไม่ได้ต่างกันมากนัก
โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศและการทหาร
ฉะนั้นนโยบายของนายโอบามาหรือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือ
การมองเห็นความสำคัญภายในบ้านมากขึ้นหรือการปฏิรูปน้อยๆ มากกว่า
การปฏิรูปกับปฏิวัตินั้นต่างกันมากเหลือเกิน เหมือนเพชรแท้กับเพชรเทียม
จึงน่าจะใช้คำใหม่กัน คิดว่าท่านผู้อ่านหลายคนอาจคิดเช่นเดียวกับผู้เขียนก็ได้
คือคิดว่า ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นสำคัญมากๆ ต่อระบบทุกๆ ระบบ
โดยเฉพาะระบบการเมืองการทหารของโลกในปัจจุบัน
อย่างน้อยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองจบสิ้นแล้วเป็นต้นมา
เพราะโดยรูปธรรม อเมริกาคือผู้ชนะสงครามในครั้งนั้นแต่เพียงผู้เดียว
โดยแทบจะไม่ได้รับความบอบช้ำเท่าไรเลย
จริงๆ แล้ว ตลอดเวลาค่อนศตวรรษมานี้ สหรัฐอเมริกามั่งคั่งร่ำรวยที่สุดอยู่แล้ว
จึงเป็นเสมือนผู้นำโลก บางครั้งผ่านหน้าม้าหรือสหประชาชาติ
ในทางเศรษฐกิจ การเมืองการทหาร และทางสังคมแต่เพียงประเทศเดียว
คนที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจนั้น ทำอะไรก็ดูดีไปหมดหรือดูน่ารักไปหมด
ถ้าหากเรามองโลกมองจักรวาลในแบบของผู้เขียน
ที่คิดว่าไม่มีคำว่าบังเอิญในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลของกลไกของวิวัฒนาการ
(evolution) อันเป็นหลักการสำคัญเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้มีจักรวาลโผล่ปรากฏขึ้นมา
นักฟิสิกส์ทฤษฎีแนวหน้าของโลกบางคนเรียกประหนึ่งว่า
เป็นแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาล อาทิ เซอร์ เจม จีนส์ เซอร์ อาเธอร์ เอดดิงตัน
เซอร์ เฟรด ฮอยล์ พอล เดวีส์ ฯลฯ ไม่ว่าสิ่งนั้นคือพระเจ้า
หรือมันเป็นเช่นนั้นของมันเอง
ฉะนั้น ภาวะโลกร้อนและการล่มสลายของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติอื่นๆ
อันเกิดจากน้ำมือมนุษย์ กิเลสตัณหากับอวิชชา
ที่ไม่เป็นไปตามที่แม่แบบพิมพ์เขียวกำหนด จึงผิดธรรมชาติ
เพราะฉะนั้น มหันตภัยธรรมชาติไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
เช่น สภาพของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง
จึงเกิดจากสภาวะธรรมชาติซึ่งผิดไปเช่นนั้น
นั่นคือกรรมร่วมที่มนุษย์เจตนาทำขึ้นจากวิวัฒนาการที่ผิดทาง
ในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์จะต้องเป็นผู้รับกรรมร่วมนั้น
มากหรือน้อยแล้วแต่เจตนา ดังนั้น ก่อนที่มหันตภัยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และมนุษยชาติโดยรวมจะต้องรับผลกรรมเช่นนั้น
การก่อกรรมทำเข็ญต่อโลกธรรมชาติจึงไม่น่าจะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ระบบสังคม การเมือง
โดยเฉพาะเศรษฐกิจส่วนใหญ่คงจะดำเนินไปอย่างผิดธรรมชาติเหมือนเดิม
แม้ว่าคนส่วนหนึ่งในอเมริกากับประเทศที่พัฒนามากๆ
ทั้งหลายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางจิตไปบ้างแล้ว
แต่ไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงของคนทั้งโลกจะเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่เดือน
ในที่นี้หมายถึงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา
นั่นคือมันยังไม่ถึงเวลาของการสุกงอมต่อวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ
และการเปลี่ยน (transformation) ของมัน
ฉะนั้น สงครามตะวันออกกลางและการก่อการร้ายยังจะต้องมีต่อไป
ทั้งอาจขยายกว้างขึ้นไปอีก โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหมากตัวสำคัญที่สุด
ดังนั้น ไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างใดหรือเชียร์ใคร
หากว่ามีแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลจริงๆ ตามความคิดของผู้เขียน
และหากการเปลี่ยนแปลง (change) ของนายโอบามาไม่ได้เป็นไป
อย่างถอนรากถอนโคนหรือเป็นการปฏิวัติอย่างสิ้นเชิง
คือ เป็นเพียงการเปลี่ยนน้อยๆ หรือเป็นการปฏิรูปน้อยๆ อย่างว่า
หรือเพียงเปลี่ยนจากข้างนอกมาเป็นข้างในประเทศ
ขณะที่แทบทุกสิ่งทุกอย่างยังจะค่อนข้างเหมือนเดิม
ก็ขอฟันธงได้เลยว่าพรรครีพลับลิกันจะได้ชัยชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ นายจอห์น แมคเคน
จะได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2008
นี้อย่างค่อนข้างแน่นอนดังที่กล่าวมาแล้วว่า มันยังไม่ถึงเวลาที่สุกงอมจริงๆ
ผู้เขียนจึงเชื่อว่า
เวลาของการเปลี่ยนแปลงของประชากรในประเทศพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีมานานแล้ว
ยังคงมีไม่ถึง "มวลอันวิกฤต" (critical mass)
แม้ว่าผู้เขียนจะไม่รู้ว่าจำนวนนั้นคือเท่าไร
แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ภายในปีสองปีนี้ จากการวิจัยมากหลายพบว่า
ความเจ็บปวดทรมานเป็นเวลายาวนาน
คือตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลง (2007 Shift Report)
เพราะฉะนั้น ภัยธรรมชาติจากสภาวะโลกร้อน การก่อการร้าย หรือสงคราม
หากว่าไม่ถี่กระชั้นหรือมากเกินไป ยกเว้นสงครามนิวเคลียร์
ก็คงยังไม่ถึงกับทำให้คนทั่วไป
โดยเฉพาะนักธุรกิจและนักการเมืองทนไม่ได้หรือสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด
หรือจิตสำนึกได้ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่จักรวาลเป็นผู้กำหนดแม่แบบพิมพ์เขียว
หรือควบคุมโลกและมนุษยชาติ จักรวาล
ย่อมมองเห็นอนาคตของโลกและมนุษยชาติกับสังคมโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร
ซึ่งอนาคตของสังคมมนุษย์ เท่าที่ผู้เขียนมองเห็นก็มีอยู่สองทางเท่านั้น
คือ หนึ่ง เผ่าพันธุ์มนุษย์ยังคงมีอยู่
แต่จะเหลือน้อยเต็มทีและจะมีวิวัฒนาการต่อไป
ซึ่งวิวัฒนาการจะเป็นไปในทางของจิตสู่จิตวิญญาณ (spirituality or transcendence)
กับ สอง มนุษย์สูญพันธุ์ไปทั้งหมด ซึ่งจริงๆ แล้ว
หากว่าเราทั้งหลายเชื่อในเรื่องของแม่แบบพิมพ์เขียวของจักรวาลอย่างที่ผู้เขียนคิด
เชื่อในทฤษฎีหลักการมนุษยจักรวาลวิทยา (cosmological anthropic principle)
อันเป็นคณิตศาสตร์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ก็ต้องอยู่คู่กับจักรวาลตลอดไป
ไม่ว่าจะเป็นดาวนพเคราะห์ใดและระบบดวงอาทิตย์ในกาแล็กซี่ไหน
สามารถมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณได้ถ้วนทั่วทุกตัวคนหรือไม่
โดยหลักการที่ว่านั้น จักรวาลกับโลกของเราจึงปราศจากมนุษย์ไปไม่ได้
แต่หากว่าจักรวาลและโลกของเราจำเป็นต้องมีมนุษย์เช่นว่านั้น
อนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจากวันนี้ มนุษย์เราและสังคมของเราจะเป็นอย่างไร?
นั่นคือ เนื้อหาสาระของบทความนี้ คือ เมื่อโลกเปลี่ยน
เมื่อกระบวนทัศน์เปลี่ยน มนุษย์และสังคมของมนุษย์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย
ทั้งนี้เนื่องจากรากฐานของการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
เป็นเรื่องวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ อันเป็นเป้าหมายของจักรวาล
พฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ของเราจะเป็นไปด้วยจิต "ใหม่" ทั้งสิ้น
ซึ่งตรงกันข้ามกับที่เราคิดและกระทำกันอยู่ในขณะนี้ ที่ล้วนแล้วแต่ "เหมือนเดิม"
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ การต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย
การต่อสู้กับความยากจนยากไร้ ภัยจากโลกร้อนและผลจากภาวะล่มสลายของธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม อาชญากรรม ยาเสพติดและอื่นๆ
เช่น การใช้เทคโนโลยีทำลายธรรมชาติของนักธุรกิจที่ไร้ความรับผิดชอบ
ความแตกแยก และความรุนแรง ฯลฯ คือเป็นความคิด
และการกระทำของมนุษย์ที่มีกฎหมายของสังคมในกระบวนทัศน์เก่า
อันได้มาจากความคิดของคนที่ยังไม่วิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณ
เป็นพวกตาต่อตา หรือฟันต่อฟัน แล้วเราจะหาความพอเพียงพอดีและยั่งยืนได้อย่างไร?
เป้าหมายระดับแรกที่ผู้เขียนเอามาจากนักวิทยาศาสตร์สังคมว่าด้วยระบบ
และนักจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือนักจิตวิทยาจิตวิญญาณ
(system theorist / transcendental
psychologist or spiritual psychologist)
รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่หลายคน
สำหรับมนุษย์ ที่จะเหลือราวๆ ร้อยละ 20 เท่านั้น
และสังคมของมนุษย์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกลจากวันนี้
คือ การล่มสลายหายไปของ "อารยธรรมสมัยใหม่ "
ที่อยู่กับเรามานานจนกระทั่งวันนี้ไปทั้งหมด (modern civilization)
และทั้งหมดจริงๆ ที่จะเข้ามาแทนที่คือ อารยธรรมใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ที่สมดุล
พอเพียงพอดีและยั่งยืน ที่ไม่เหลือเค้าโครงของเก่าอย่างใดเลยให้เห็น
และสิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นในวันพรุ่งนี้จะเป็นความศิวิไลซ์ที่ภายใน
ในทางการเมืองสังคมวัฒนธรรมนั้น รัฐธรรมนูญ กฎหมาย
ประชาธิปไตยตัวแทนที่เราใช้อยู่
รวมทั้งสิทธิมนุษยชนจอมปลอมจะหมดไป พร้อมๆ
กับที่ประเทศหรือนครและเมืองใหญ่ๆ จะหายไปหมดพร้อมๆ
กับประชากรโลกที่หายไปเพราะขาดอาหารและน้ำ
และผลพวงของภัยธรรมชาตินานัปการของสภาวะโลกร้อนจัดจริงๆ
จนเกินขอบเขตของสัตว์โลกจะดำรงอยู่ได้
ยกเว้นในภูมิภาคที่อยู่ใกล้กับขั้วโลก เช่น อลาสกา กรีนแลนด์ ไซบีเรีย
ปลายสุดของอเมริกาใต้และแถบเทือกเขาไหล่เขาที่สูงมากๆ
ที่อากาศเย็นหน่อย การดำรงอยู่ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงจะเป็นไป
ในรูปของหมู่บ้านหรือตำบลที่ประชาชนอยู่ร่วมกันภายใต้ประชาธิปไตยที่ทุกคนมีส่วนร่วม
และมีวัฒนธรรมที่เน้นคุณค่าและความหมายของมวลสรรพสิ่งเป็นสำคัญ
ทุกคนไม่ว่าใคร เพศวัยใด ต้องได้รับการคุ้มครองและมีสิทธิกับโอกาสที่เท่าเทียมกัน
อันเป็นกระบวนการจากภายในในด้านของเศรษฐกิจและธุรกรรมทั้งหมด
จะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการที่สมดุลพอเพียงพอดี
และยั่งยืนเป็นสำคัญ เทคโนโลยีที่แลกเปลี่ยนกับความล่มสลาย
และเป็นศัตรูต่อสิ่งแวดล้อมเกินขอบเขตของการฟื้นตัวเองจะมีขึ้นไม่ได้
การเกษตรจะดำเนินไปบนฐานของความจำเป็นและความต้องการที่พอเพียงพอดี
พลังงานจะเป็นรูปแบบของการใช้พลังงานทางเลือกที่ทดแทนได้เองทั้งหมด
เช่น พลังแสงอาทิตย์ หรือพลังลม เป็นต้น
ส่วนการติดต่อหรือการค้าขายกันก็จะเป็นเรื่องของอินเตอร์เน็ตแทบทั้งหมด
นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ จริงๆ แล้วโลกเริ่มเปลี่ยนแล้ว
และกระบวนทัศน์ของมนุษย์กับสังคมของมนุษย์ก็เริ่มที่จะเปลี่ยนตาม
โดยเฉพาะสำหรับในโลกตะวันตกเช่นที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกา
แม้ว่ายังไม่ถึง "มวลอันวิกฤต" เช่นที่ว่าไว้ข้างบน ส่วนประเทศที่พัฒนาใหม่ๆ
หรือประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งที่บ้านเรา
ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นเรื่องฝันหวาน ซึ่งเราที่อยู่รอดจากวิกฤตโลก
ที่กำลังเกิดอยู่และจะรุนแรงมากขึ้นจนถึงที่สุดภายในสี่ห้าปีนี้
จะได้เห็น อย่าลืมว่า อนุสัยสันดาน "ตัวกูของกู" นั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้นนิรันดร
ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจัง มีเกิดก็ต้องมีแก่และมีตาย
มีรูปกายก็ต้องมีนามมีจิต มียุคกสิกรรมก็ต้องมียุคอุตสาหกรรม
มีสมัยใหม่ก็ต้องมียุคหลังสมัยใหม่ ทำไมมนุษย์จึงมีกายกับจิต?
ถ้าหากกายมีวิวัฒนาการได้ จิตก็ต้องมีได้
และหากจิตมีวิวัฒนาการผ่านพ้นตัวตนหรือก้าวพ้น "ตัวกูของกู" ได้
ที่กล่าวมาข้างบนทั้งหมดทำไมจึงจะเป็นไปไม่ได้?