Custom Search

Oct 28, 2010

ประเทศรวยขึ้น ครอบครัวใหญ่ขึ้น


https://www.facebook.com/varakornsamakoses


วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

มติชนออนไลน์

วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่าเมื่อประเทศมีความกินดี อยู่ดีขึ้น
ขนาดของครอบครัวจะเล็กลงซึ่งส่งผลกระทบอย่างสำคัญ
ต่อขนาดของประชากรและสัด ส่วนของประชากรในวัยต่างๆ
จนอาจส่งผลกระทบต่อภาระการดูแลประชาชนของภาครัฐในอนาคต

อย่างไรก็ดี มีงานศึกษาที่มีหลักฐานสนับสนุนว่า
สิ่งที่เข้าใจกันมาแต่เดิมนั้นไม่ถูกต้อง
สำหรับ สัตว์ทั่วไปนั้นเมื่อมีอาหารอุดมสมบูรณ์กว่าเดิม
มีความกินดีอยู่ดีขึ้น การเจริญพันธุ์ก็จะสูงขึ้น
แต่สำหรับมนุษย์แล้วกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม
หลักฐานมีมากมายว่าเมื่อกระบวนการพัฒนาติดไฟ
ประเทศเหล่านี้จะประสบกับสิ่งที่เรียกว่า
การเปลี่ยนผ่านของประชากร (demographic transition)
อัตราการเจริญพันธุ์ (fertility rate)
ซึ่งหมายถึงจำนวนลูกซึ่งเกิดจากหญิงคนหนึ่ง
ตลอดอายุขัยของเธอจะเริ่มลดลง
ตัวเลขนี้มีการลดลงตั้งแต่ 8 ถึง 1.5

หากอัตราเจริญพันธุ์ต่ำเช่น อยู่ในระดับ 1.5
และถึงแม้อัตราตายของทารกจะลดลงเมื่อประเทศมีความกินดีอยู่ดีขึ้น
แต่ในหลายกรณีก็ไม่ทำให้ประชากรอยู่ในจำนวนคงที่ยั่งยืนได้ ตัวอย่างเช่น
ญี่ปุ่น แคนาดา และอีกหลายประเทศประสบปรากฏการณ์นี้
จนทำให้จำนวนประชากรลดลง

การพัฒนาประเทศมิได้ทำให้การเจริญพันธุ์ลดลงเท่านั้น
ยังสร้างปัญหาในอีกลักษณะหนึ่ง
กล่าวคืออายุขัยเฉลี่ยของประชากร (life expectance) เพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ ต่ำมาก
อัตราการตายของทารกลดน้อยลง และประชากรมีอายุขัยเฉลี่ยสูงขึ้น
สิ่งที่เกิดตามมาก็คือโครงสร้างประชากรจะเปลี่ยนไป
ผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนสูงขึ้นซึ่งหมายความว่า
ประชากรในวัยทำงานจะต้องจ่ายภาษีเพื่อดูแลผู้สูงอายุเหล่านี้
พูดง่ายๆ ก็คือต้องทำงานกันหนักเพื่อเลี้ยงดูคนสูงอายุ

ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ
ประสบปัญหาการลดลงของประชากร
หากไม่มีการอพยพประชาชนจากประเทศอื่นเข้ามาช่วย
(ในตอนกลางศตวรรษนี้ประชากรของประเทศพัฒนาแล้ว
ส่วนใหญ่จะลดลงพร้อมกับสัด ส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นมาก)

ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงดังที่เข้าใจกันในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์ Mikko Myrskyla
แห่ง University of Pennsylvania
และพวกได้ศึกษาและเขียนบทความในนิตยสาร Nature
เมื่อปีที่แล้ว โดยพิสูจน์ว่าเมื่อประเทศต่างๆ มีการพัฒนาไปในระดับหนึ่งแล้ว
อัตราเจริญพันธุ์จะเพิ่มขึ้นอย่างกลับทิศทางกับความเชื่อเดิม

ศาสตราจารย์ Myrskyla
ใช้ข้อมูลอัตราการเจริญพันธุ์และ
ดัชนี HDI (Human Development Index ของ UN
ซึ่งสร้างบนพื้นฐานข้อมูลอายุขัยเฉลี่ย รายได้ต่อหัว
และระดับการศึกษา โดยมีค่าระหว่าง 0 ถึง 1)
ของหลายประเทศทั่วโลกของ 2 ปี คือ
ค.ศ.1975 และ 2005
เมื่อเอาข้อมูลทั้งสองชุดของปี 1975 และ 2005
มาคำนวณหาความสัมพันธ์ก็พบว่า
ในปี 1975 ข้อมูลของ 107 ประเทศ
แสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ชัดเจนที่ HDI สูงขึ้น
และอัตราการเจริญพันธุ์ลดลง
กล่าวคือเป็นเส้นเกือบตรงที่ลากลงจากซ้ายมาขวา
เมื่อแกนตั้งคืออัตราการเจริญพันธุ์และแกนนอนคือ HDI

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาข้อมูลของ 240 ประเทศของปี 2005
ก็พบว่าความสัมพันธ์เป็นไปในลักษณะเดียวกันกับของปี 1975
แต่สำหรับกลุ่มประเทศที่มีค่า HDI สูงเกินกว่า 0.90 แล้ว
อัตราเจริญพันธุ์จะกลับสูงขึ้น

ข้อมูลของปี 2505 ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์
เป็นไปในลักษณะตัวยู คือ ลากจากซ้ายมาขวา
(เมื่อ HDI สูงขึ้น อัตราเจริญพันธุ์ลดลง)
แต่เมื่อมาถึงค่า HDI = 0.90 เส้นดังกล่าว
ก็จะทอดขึ้นจากขวาขึ้นไปซ้าย
ซึ่งหมายความว่ามีจุดผกผัน
กล่าวคือเมื่อพ้น HDI = 0.90 ไปแล้วอัตราเจริญพันธุ์จะสูงขึ้น
(ยกเว้นคานาดาและญี่ปุ่น)
ทางโน้มนี้เห็นได้ชัดเจนการศึกษาของ Myrskyla
การ
ค้นพบครั้งนี้มีความสำคัญเพราะส่งผลกระทบต่อ
การกำหนดนโยบายของภาครัฐสำหรับ อนาคต
ไม่ว่าจะเรื่องการรับคนอพยพเข้าประเทศ
การวางแผนดูแลผู้สูงอายุ การวางแผนครอบครัว ฯลฯ

และถือได้ว่าเป็นข่าวดีสำหรับประเทศพัฒนาแล้ว
ว่ายังมีความหวังที่ประชากรอาจไม่ลดน้อยลงไป
แต่อาจคงตัว กล่าวคือจำนวนคนตายและคนเกิดเท่ากันในแต่ละปี

เหตุใดอัตราการเจริญพันธุ์จึงต่ำลงและกลับสูงขึ้นอีกครั้ง?
คาดว่าไม่ใช่ทุกคนจะเห็นด้วยกับคำตอบต่อไปนี้
แต่คำตอบของการลดลงของอัตราการเจริญพันธุ์น่าจะเป็นว่า

(1) เมื่อประเทศรวยขึ้นสัดส่วนหญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานสูงขึ้น
จึงไม่ต้องการมีลูกมาก

(2) เมื่อพอมีเงินมีความรู้ก็มีปัญญาวางแผนครอบครัว
(3) หญิงมีปากมีเสียงมากขึ้น
ในการควบคุมจำนวนลูกที่ตนเองต้องการมี

(4) ต้นทุนในการมีลูกสูงขึ้น
จึงมีลูกน้อยลงเป็นธรรมดา

(5) โอกาสลูกตายมีน้อยลง
จึงไม่จำเป็นต้องมีลูกมากเพื่อตาย
ดังในสมัยที่ประเทศยังไม่พัฒนา

(6) เมื่อมีการศึกษามากขึ้นก็รู้ว่าการมีลูกน้อย
แต่มีคุณภาพสูงดีกว่ามีลูกมาก
แต่คุณภาพด้อยกว่า
สำหรับการผกผันของอัตราเจริญพันธุ์
เมื่อประเทศพัฒนาขึ้นมากนั้น
อาจมาจากการมีนโยบายการจ้างงาน
ที่สนับสนุนให้หญิงมีลูกมากคนขึ้น เช่น
ในประเทศพัฒนาแล้วอนุญาตให้ลางานได้นานขึ้น
บางประเทศยอมให้สามีลางานมาช่วยเลี้ยงลูกได้ด้วย

อย่างไรก็ ดี คำถามที่น่าสนใจกว่า
เพราะเป็นจริงกับครอบครัวเกือบทั่วโลก
นั่นก็คือเหตุใดมนุษย์จึงปรารถนา
ที่จะมีลูกน้อยลงในขณะที่มีเงินทองมากขึ้น
คำตอบอาจโยงใยกับจิตวิทยาของการสืบทอดชาติพันธุ์ของสัตว์
โดยอาจเห็นว่าทาง เลือกแรกคือการมีลูกมากๆ
และหวังว่าคงมีรอดบ้างเพื่อสืบทอดเผ่าพันธุ์

ทางเลือกสองคือมีลูกน้อยและดูแลเป็นอย่างดีเพื่อให้อยู่รอด
ทางเลือกแรกเป็นของเผ่าพันธุ์สัตว์ที่มีสิ่งแวดล้อมไม่มั่นคง
(ถูกกิน ถูกฆ่าง่าย)
และสำหรับสัตว์ที่มีสิ่งแวดล้อมที่ "นิ่ง" พอควรและปลอดภัย
จากศัตรูในระดับหนึ่งนั้นจะใช้ทางเลือกสอง

เมื่อ เปรียบเทียบกับสัตว์อื่นแล้ว
มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีสิ่งแวดล้อมไม่เป็นภัยจึงใช้ทางเลือกสอง
แต่กระนั้นก็ตามในขณะที่ยังจนอยู่ดังเช่น
ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนา
ก็จำเป็นต้องมีลูกมากๆ คล้ายทางเลือกแรก
และเมื่อร่ำรวยขึ้นรู้สึกปลอดภัยขึ้นก็ใช้ทางเลือกสอง
โดยดูแลอุ้มชูลูกน้อย เป็นอย่างดี

แต่เมื่อกินดีอยู่ดีมากยิ่งขึ้น
จนรู้สึกว่าการมีลูกมากขึ้นมิได้ทำให้
ลูกคนอื่นสูญเสียการอุ้มชูดูแลลงไป
สัญชาตญาณเดิมของการมีลูกไว้สืบเผ่าพันธุ์ก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
และนั่นก็คือจุดผกผันดังกล่าว
สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือจิตวิทยา
ของการสืบสานเผ่าพันธุ์เป็นปัจจัยเบื้องหลัง
ประกอบการตัดสินใจต่างๆ ของมนุษย์

ทางโน้มของการมีอัตราเจริญพันธุ์สูงขึ้น
เมื่อประเทศพัฒนาไปมากๆ ขึ้น
ทำให้ประเทศพัฒนาแล้วอุ่นใจขึ้นมาก
แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าเป็นจริงกับทุกประเทศ
และเมื่อข้ามเวลาออกไปอีกปรากฏการณ์เช่นนี้
จะยังคงเป็นจริงอยู่หรือไม่

ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นลักษณะที่เรียกว่า cross section
กล่าวคือเสมือนกับการถ่ายภาพนิ่ง 2 ครั้ง
ข้ามเวลากัน คือ 1975 ที่ไม่มีจุดผกผัน
และปี 2005 ที่มีจุดผกผัน
มิได้เป็นการศึกษาข้อมูลของประเทศ
ข้ามระยะเวลายาวนาน (time series data)
ในแนวลึกว่าอัตราการเจริญพันธุ์เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อกินดีอยู่ดีมากขึ้นจริง หรือไม่

ถึงอย่างไรก็เป็นงานศึกษาที่น่าสนใจ
เพราะกระตุ้นให้มีการถกเถียงกันและศึกษากันลึกซึ้งยิ่งขึ้น

Oct 26, 2010

คำถามสำคัญกว่าคำตอบ : สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา : ราคาคือของจริง



http://teetwo.blogspot.com/2009/11/blog-post_10.html
http://teetwo.blogspot.com/2007/12/blog-post_25.html

คำถามสำคัญกว่าคำตอบ
โลกนี้จะ "สุข" หรือ "ทุกข์" อยู่ที่เราตั้งคำถามกับชีวิตอย่างไร?
ผู้เขียน: หนุ่มเมืองจันท์
http://www.facebook.com/boycitychanFC





http://teetwo.blogspot.com/2010/09/blog-post_9233.html

http://teetwo.blogspot.com/2010/01/httproundfinger.html
http://teetwo.blogspot.com/2009/06/conversations-with-architects-series.html
http://teetwo.blogspot.com/2006/08/blog-post_26.html
http://teetwo.blogspot.com/2009/09/positioning-magazine-2548-related-days.html


มติชนออนไลน์
วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา" ที่ไม่ธรรมดาของ"นิ้วกลม"
โดย รักษ์การอ่านสิ่งของที่เราพบเห็นหยิบจับ และใช้มันตามหน้าที่
เราอาจจะมองข้ามความสำคัญ
แน่ละ!!
สิ่งที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันย่อม "ธรรมดา"
ในสายตาของใครๆ


แต่สำหรับ "นิ้วกลม" กลับมองถึงความหมาย
โดยหยิบเอาแนวคิดมาถ่ายทอดในรูปแบบการเขียนที่เขาถนัด
นำเสนอสไตล์เรียบง่าย เข้าใจได้ แต่ลึกซึ้ง
โดยใช้สิ่งของทั่วไปมาแปรสารเป็นมุมมองที่น่าสนใจ
โยงใยกับความรู้สึกของผู้อ่านโดยไม่รู้ตัว

เช่น การเปรียบเทียบคู่รักเป็นช้อนส้อม
ทั่วไปเรามักจะได้ยินคำเปรียบเปรยหรือ
ของชำร่วยในงานแต่งงานเป็น "ตะเกียบ"
เพราะมันเป็น "คู่" แล้วช้อนส้อมล่ะ
เราก็ควรจะใช้คู่กันไม่ใช่หรือ

"ตะเกียบที่ดีจึงควรจะมีหน้าตาที่ "เหมือนกัน"
แต่นั่นมิใช่ลักษณะของช้อนส้อม
ไม่เคยมีช้อนส้อมคู่ใดที่หน้าตาเหมือนกัน
อันนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่า "ช้อนส้อม"
แต่ใช่ว่ามันจะเป็นสิ่งเดียวกันเสียเมื่อไหร่"

และว่า "ในยามที่อยู่ไกลกันช้อนก็ใช้ชีวิตของมันไปตามปกติ
คงมีบ้างที่มันคิดถึงส้อม
"ถ้ามีส้อมเราคงทำอะไรได้ถนัดถนี่กว่านี้"


แต่ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ไม่ง้อ
แต่ก็สามารถอยู่เดี่ยวๆ ตัวคนเดียวได้
โดยไม่เปลี่ยวเหงา
ฝ่ายส้อมก็เช่นกัน ในวันที่ไม่มีช้อน

มันไม่เคยเกี่ยงงอนแต่อย่างใด
ยังคงใช้ปลายแหลมหลายซี่ของมันจิ้มลง

ไปในไส้กรอก ลูกชิ้น ให้คนหยิบขึ้นมากินได้สบายๆ
มีชีวิตได้อย่างอิสระและมีคุณค่า ใช่หรือไม่ว่า
ทั้งช้อนและส้อมต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง"
หรือการเปรียบเปรย "ไม้เท้า"
เป็นอุปกรณ์สำหรับคนอ่อนแอต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
"
ในห้วงยามที่เราเหนื่อยล้า ท้อแท้ สับสน
เสียจนแทบไม่สามารถจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคง
ซวนเซจวนเจียนจะล้มลงกลางทาง
ก็มีทั้งสองท่านคอยประคับประคองอยู่ข้างๆ
ให้เราไม่รู้สึกอ้างว้างจนเกินไป
เปรียบดังเป็นไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่
ช่วยพยุงให้เราก้าวไปพิชิตปัญหาและ อุปสรรค
ไม่ว่ามันจะหนักหนาแค่ไหน
ถ้ามีไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ใกล้ๆ
เรามักรู้สึกว่าจะก้าวผ่านมันไปได้ในท้ายที่สุด ...
พ่อและแม่จึงเป็นไม้เท้าให้กับเราตลอดชีวิต"
ส่วนที่อ่านแล้วอยากถามคนเขียนว่า

"คิดได้อย่างไร" คงจะเป็น "คลิป"
ตัวแทนสิ่งของที่ "พอดี"
และ "พองาม" นิ้วกลม เขียนไว้ว่า

"คลิปรู้หน้าที่ของมันดี ว่ามันมีหน้าที่"หนีบ"เพียงชั่วคราวเท่านั้น
กระดาษที่ถูกคลิปหนีบจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ยังคงเป็นกระดาษแผ่นเดิม ไม่มีรอยแผลจากความผูกพัน
ที่ต้องมารวมเข้าด้วยกันกับกระดาษแผ่นอื่น
สามารถดึงออกแล้วไปรวมเข้ากับกระดาษแผ่นใหม่ได้โดยไร้รอยช้ำ"
ทั้งยังเปรียบเทียบกับ "แม็กซ์"
ที่เจาะกระดาษหลายแผ่นเข้าด้วยกัน
เป็นการหนีบที่แน่นหนากว่า แข็งแรงกว่า คงทนกว่า
ทว่า-เจ็บ เพราะเป็นความสัมพันธ์แบบยึดแน่น..

ความผูกพันที่เกิดจากของ "จิปาถะ" ของนิ้วกลม
ได้ถ่ายทอดความรู้สึกเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ ผ่านทาง

"นาฬิกาปลุก แปรงสีฟัน กระจก กุญแจ รูปถ่าย ดินสอ ยางลบ
หินลับมีด กระทะ ผ้าขี้ริ้ว ฝักบัว ม่าน เทียนไข
หุ่นยนต์ ลูกโป่ง ไม้เท้า กระเป๋าสตางค์ กรรไกร คลิป ร่ม
ช้อนส้อม กระถางต้นไม้ รองเท้า หมอน"
24 สิ่งของธรรมดา ที่ขอเชื้อเชิญคุณให้ลองมอง "ของข้างกาย"
เพราะสิ่งนั้นคงอยากมีชีวิตในความรู้สึกของ
"เจ้าของ"

หากติดใจ "นิ้วกลม" จากงานเขียน "ณ",
"บุกคนสำคัญ"
และ "อาจารย์ในร้านคุกกี้"
พลาดไม่ได้กับผลงานใหม่ แวะไปได้ที่บูธ "มติชน"

ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 15
ถ้าอยากได้ลายเซ็นต์เจ้าตัวจะมาแจกใน 2 วันสุดท้าย
30-31 ต.ค.นี้ เวลา 17.00 น.

ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่ง"สิ่งมหัศจรรย์ธรรมดา"
ทำสถิติยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของมติชนอีกด้วย
From T2




รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์







http://teetwoblog.webs.com/40114_483567557078_312471482078_6802030_7037317_n.jpg
http://teetwo.blogspot.com/2007/09/blog-post_23.html

ใครที่เป็นแฟนประจำคอลัมน์หนังสือ “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” ของ วรากรณ์ สามโกเศศ
“ราคาคือของจริง” หนังสือในชุดโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ภาค 9
ที่จะชี้ให้ผู้อ่านได้มองเห็น “ต้นทุน” ในรูปแบบ “ราคา”
ที่มีความหมายมากกว่าตัวเลข ซึ่งเป็นสาระความรู้ที่ไม่ได้ให้ฟรี
แต่ต้องแลกด้วยการอ่านเช่นกัน
ราคาคือของจริง
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ
ราคา 130 บาท / จำนวน 168 หน้า


ราคา คือต้นทุนอันดับต้นๆ ที่มีอำนาจต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคเหตุผลที่ว่า
"ซื้อเมื่อจำเป็นต้องใช้" จะหมดไปทันที
เมื่อเจอของดีราคาถูก ทว่านอกจากความหมายในทางตัวเลขแล้ว
ราคายังเป็นสัญลักษณ์ในด้านคุณค่าหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ไม่สามารถใช้เงินซื้อ หามาได้
แต่ต้องใช้ต้นทุนอื่นๆ แลกเปลี่ยน เช่น
เวลา แรงกาย ความคิดสร้างสรรค์ ความรัก
การเอาใจใส่ ฯลฯ หรืออีกนัยคือ
ความทุ่มเทแรงกายแรงใจ เปรียบดั่งราคาที่ต้องจ่ายในรูปแบบหนึ่ง
สำหรับเศรษฐศาสตร์ก็เล่นกัน ยังมีมิติที่เรียนรู้ และเข้าใจได้อย่างสนุก




เงินทองของมายา
หากท่านผู้อ่าน หรือลูกหลานเรียนเศรษฐศาสตร์
แล้วปวดหัวกับสมการคณิตศาสตร์ หรื
อรูปกราฟที่มีเส้นเคลื่อนขึ้นเคลื่อนลง...
ราคาปกติ 125.00 บาท




มนุษย์ยุคขับเคลื่อนด้วยเงินตรา
ของทุกอย่างมีราคาและแน่นอนที่สุดคือ “ไม่มีอะไรได้มาฟรี”
มุมมองต่อเงินทองมีหลากหลาย เช่น
“เห็นเงินเรียกน้องเห็นทองเรียกพี่ "
“งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”
“เงินทองของนอกกายไม่ตายหาใหม่ได้” ฯลฯ

ไม่ว่าจะมีวิสัยทัศน์เรื่องเงินๆ ทองๆ
ในมุมใดย่อมก่อให้เกิดวิถีปฏิบัติแตกต่างกันไป
ทว่าเมื่อเรื่องทรัพย์สินเงินตราอยู่ในเขตแดนของเศรษฐศาสตร์
แง่มุมอันเพลิดเพลิน กลเม็ดที่เข้าใจง่าย
ได้เปิดเผยให้ทุกคนนำไปใช้ต่อยอดออกดอกรับผลอย่างมากมาย

เงินทองของมายา จัดอยู่ในหนังสือชุด โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ลำดับที่ ๘
ได้นำเสนอข้อมูลการเงิน และแง่มุมทางเศรษฐศาสตร์

โดยอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ ต้นตำรับเศรษศาสตร์อ่านง่าย
ได้นำสาระเข้มข้นและเกร็ดความรู้จากทั่วโลก
มาเสิร์ฟเมนูบำรุงสมองให้กับท่านผู้อ่านเช่นเคย
- เข้าใจระบบเศรษฐศาสตร์กิจจากวัว
- แนะนำรู้จักใช้ เข้าใจเงิน
- พ่อแม่ควรสอนลูกเรื่องเงินอย่างไร
- บ้านอื่นก็บ้าเรียนพิเศษ
- Social Enterprise คือรูปแบบใหม่ของการให้
- รู้จักบ่อน ก่อนไปเล่น
- ลูกเล่นใหม่ของนักต้มตุ๋น
- คอร์รัปชั่นเป็นวาระแห่งโลก
- Myth เรื่องโลกร้อน
- ประชากรฟิลิปปินส์ใกล้เหยียบร้อยล้าน



Oct 23, 2010

๑๐๐ปีแห่งการสวรรคตของ"พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" พระราชา อันเป็นที่รักยิ่งแห่งราษฎร





ไทยรัฐ

23 ตุลาคม
ของทุกปี คือ วันปิยมหาราช


โดยเฉพาะ 23 ตุลาคม 2553 ถือเป็นวันสำคัญกว่าทุกปี
เพราะเป็นวาระครบรอบ 100 ปีแห่งวันสวรรคต
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

โดยจะมีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่
เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงคุณูปการ

ที่ทรงมีแก่ประเทศชาติและ ประชาชนชาวไทย
"๑๐๐ ปี แห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

ชื่องาน ที่รัฐบาลกำหนดจัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ เป็น 100 ปี
ที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะ ทรงนำพาประเทศ

ให้รอดพ้นจากการล่าอาณานิคม ชาติไทยจึงเป็นเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งทรงริเริ่มและวางแผนให้โครงสร้างของสังคมไทย
มีความทันสมัยทัดเทียมกับ นานาอารยประเทศ

ที่สำคัญ ทรง "เลิกทาส"
เพื่อให้คนไทย ได้เป็น "ไท" เท่าเทียมกัน
อันเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

คุณูปการ จากพระราชกรณียกิจเป็นที่ประจักษ์ ต่อนานาประเทศทั่วโลก
และใน ปี พ.ศ.2546 องค์ การยูเนสโก
ได้ยกย่องและประกาศเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็น "บุคคลสำคัญของโลก"
และในปี พ.ศ.2552
ก็ประกาศขึ้นทะเบียนเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระองค์เป็น
"มรดกความทรงจำของโลก"

และในวาระสำคัญนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชานุญาต แบบตราสัญลักษณ์ ๑๐๐ ปี
แห่ง การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อให้ประชาชนนำไปประดับบ้านเรือนเทิดพระเกียรติในวาระดังกล่าวด้วย
โดยตราสัญลักษณ์ มีอักษรพระ ปรมาภิไธย จปร
ประดิษฐานอยู่ใจกลางตรา

หมายถึง พระองค์ทรงสถิตอยู่ในใจไพร่ฟ้าประชากร
ดั่งเลข ๑๐๐ ในหัวใจสีชมพู

ด้านล่าง แบบลวดลายไทย หมายถึง
ความเป็นไทย เอกลักษณ์ไทย แพรแถบประดิษฐ์อักษร

๑๐๐ ปี แห่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สีที่ใช้ ชมพู คือ สีประจำวันพระบรมราชสมภพ
สีน้ำเงิน หมายถึงพระมหากษัตริย์

สีเหลือง แทน แสงสว่าง
สีทองนั้นด้วยพระองค์เปี่ยมคุณค่าหา
ผู้ใดเปรียบ
สีเขียว คือความสดชื่น เกษมสำราญ


ศ.(พิเศษ) ธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)
กล่าวว่า 100 ปีแห่งวันสวรรคตคือ 100 ปี
แห่งบทเรียน
ที่คนไทยควรเรียนรู้ในพระราชกรณียกิจของพระองค์
ที่ทรงนำบ้านเมืองฝ่าฟันอุปสรรคจนไทยเป็นชาติที่มั่นคงมาจนถึงปัจจุบัน

โดย เฉพาะด้านการศึกษา เพราะทรงต้องการให้คนไทยมีความรู้
โปรดให้มีการปฏิรูปครั้งใหญ่

มีการตั้งโรงเรียนเพื่อวางรากฐาน สร้างครู
ที่สำคัญเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้เรียนหนังสือเทียมเท่ากับผู้ชาย
ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากในสมัยนั้น


"ทรงทำให้คนฉลาด
แต่ขณะเดียวกันทรงเน้นมีความรู้
ต้องคู่กับศีลธรรม
เพราะรู้มากฉลาดมากก็โกงมาก

รู้น้อยฉลาดน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่โกง
ดังนั้น ต้องมีศีลธรรมหรือธรรมะกำกับ" ศ.(พิเศษ) ธงทอง ระบุชัดเจน

ด้านพระ พุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดเกล้าฯ ให้มี การชำระและการพิมพ์พระไตรปิฎก
เป็นอักษรไทยครั้งแรกในประเทศไทย

และพระราชทานแด่พระอารามหลวงและวัดราษฎร์
ทั้งในกรุงเทพฯและหัวเมือ

ทรงสร้างวัดขึ้นใหม่ คือ วัดราชบพิธ
วัดเทพศิรินทราวาส
วัดเบญจมบพิตร วัดอัษฎางค์นิมิต
วัดจุฑาทิศราชธรรมสภา

วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ และ ทรงปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุ
ทำให้มีสร้อยนามว่า "วัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎิ์"

ทั้ง โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมขึ้นตามวัดต่าง
ทรงกำหนดให้มีการสอบไล่พระปริยัติธรรมเป็นประจำทุกปี
และโปรดเกล้าฯให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาชั้นสูงสองแห่งจนกลายมาเป็น
มหาวิทยาลัยสงฆ์ในปัจจุบัน คือ
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พระธรรมวรเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม
ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดงานที่วัดราชบพิธฯ กล่าวว่า

พระองค์ทรงใช้วัดเป็นศูนย์กลางการศึกษาของประชาชนในรูปแบบของ "บวร"
หรือ บ้าน วัด โรงเรียน
ที่สำคัญทรงเป็นผู้ให้กำเนิดการปกครองคณะสงฆ์
ทรงให้คณะสงฆ์ปกครองตนเอง
และให้มีการตรากฎหมายคณะสงฆ์ขึ้นครั้งแรก


"วัด ราชบพิธฯ และหน่วยงานต่างๆ กว่า 300 แห่ง
ที่ใช้พระปรมาภิไธยของพระองค์ท่าน

ร่วมจัดกิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 21-23 ต.ค.นี้
ที่วัดราชบพิธฯ โดยวันที่ 23 ต.ค.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เสด็จพระราชดำเนินทรงบำเพ็ญ

พระราชกุศลอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธฯ ด้วย" พระธรรมวรเมธี กล่าว

พระพรหมเมธี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส และกรรมการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า
วัดเทพศิรินทราวาสจะจัดงานในวันที่ 22 ต.ค.มีทั้งตักบาตรพระสงฆ์ 10
0 รูป
มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน 100 ทุน และเวลา 17.00 น.
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
เสด็จฯแทนพระองค์ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส

สำหรับ กิจกรรมในส่วนของรัฐบาลนั้น ส่วนกลางจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 ต.ค.
โดยมีพิธีการทำบุญ ตักบาตรและพิธีบวงสรวงบริเวณสวนอัมพร วันที่ 23 ต.ค.
และ ลานพระราชวังดุสิต มีนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ ของ 25 หน่วยงานภาครัฐ ที่
อาคารถาวรวัตถุ หน้าวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จัดนิทรรศการถาวรเฉลิมพระเกียรติ
หอประชุมกองทัพเรือ กองบัญชาการกองทัพเรือ มีสัมมนาเชิงวิชาการ
"รำลึก 100 ปี ปิยมหาราชานุสรณ์ : บทเรียนความอยู่รอดของชาติท่ามกลางความขัดแย้ง"
โรงละคร แห่งชาติ มีแสดงละครบทพระราชนิพนธ์เรื่องเงาะป่า
และ หอสมุดดำรงราชานุภาพ
หลังอาคารถาวรวัตถุ จัดฉายภาพยนตร์ ภาพนิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ในรัชสมัย
ส่วน ภูมิภาค จัดใน 4 ภูมิภาค ภูมิภาคละ 8 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.2553
เป็นนิทรรศการเคลื่อนที่ ขณะที่ กรมป่าไม้ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสถาปนาขึ้น จัดให้อาสาสมัครพิทักษ์ป่าปลูกต้นไม้ทั่วประเทศ


ทีมข่าวการศึกษา มั่นใจว่า ถึงวันนี้แม้ผ่านมาถึง 100 ปีแห่งการสวรรคต
แต่พระพุทธเจ้าหลวงยังคงสถิตในหัวใจของคนไทยทุกหมู่เหล่า
ทั้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงริเริ่มและพระราชทานกิจการด้านต่างๆ มากมาย
อันเป็นรากฐานของความเจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ ที่สืบทอดมาถึงปัจจุบัน

ดั่งพระสมัญญานาม "พระปิยมหาราช"..... พระราชาอันเป็นที่รักยิ่งแห่งราษฎร.
ทีมข่าวการศึกษา



Oct 19, 2010

สมคิด เลิศไพฑูรย์ ลอยลำ อธิการบดีคนใหม่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

http://teetwo.blogspot.com/2010/08/blog-post_8004.html
http://teetwo.blogspot.com/2009/09/blog-post_6589.html

สมคิด เลิศไพฑูรย์ ลอยลำ อธิการบดีคนใหม่
ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยม.ธรรมศาสตร์เลือกด้วยคะแนน 25 เสียง
มติชนออนไลน์
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553


ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ในช่วงเช้าวันที่ 18 ตุลาคม
มีการประชุมสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยมีวาระที่สำคัญคือ การเลือกอธิการบดี คนใหม่
แทน ดร. สุรพล นิติไกรพจน์
ที่จะพ้นวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 25 ตุลาคม ศกนี้

ผลการลงคะแนน ผลปรากฏว่า
ศ. ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ รองอธิการบดีฝ่ายการคลัง
อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ได้รับเลือกด้วยคะแนน 25 เสียง


ขณะที่ รศ. ม.ร.ว. พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์
คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม ได้คะแนน 5 เสียง
และมีกรรมการ งดออกเสียง 1 คน
ส่วน รศ.กําชัย จงจักรพันธ์"
อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ ได้ถอนตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว


ก่อนหน้า ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ เปิดเผย"มติชนออนไลน์"ว่า
อาจารย์สมคิด เป็นเพื่อนของตนจริง
แต่ไม่ใช่ทายาทของตนเองแน่นอน
ไม่มีใครเป็นทายาทของใครได้ในธรรมศาสตร์
ส่วนตนเองจะกลับไปสอนกฎหมายที่คณะนิติศาสตร์
เช่นเดิม
สำหรับ วิสัยทัศน์ของ ดร.สมคิด
ในช่วงหาเสียงอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์
มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
"มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ประกาศตัวว่า
เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย
ดังนั้นผมจึงอยากเห็นธรรมศาสตร์เน้นการวิจัย
เน้นวิชาการและพัฒนาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ซึ่งคงต้องรับอาจารย์วุฒิปริญญาเอกเข้ามามากๆ
และมีอาจารย์ระดับศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์
และผู้ช่วยศาสตราจารย์ให้มากด้วย มธ.
จึงจะอยู่ได้ด้วยคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกศิษย์มีคุณภาพดีตามไปด้วย
ผมอยากให้ธรรมศาสตร์เป็นแหล่งชุมนุมของผู้มีความรู้
ทั้งอาจารย์ นักศึกษาและผู้ที่ต้องการเข้ามาใฝ่หาความรู้
ที่สำคัญผมอยากให้ธรรมศาสตร์
กลับไปเน้นจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์
คือผลิตบัณฑิตที่รักประชาธิปไตย
กล้าตัดสินใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม รักความเป็นธรรม
กล้าต่อสู้เพื่อความถูกต้อง"


"นักศึกษาเปรียบเหมือน เมล็ดที่ตกอยู่ที่ไหนก็จะงอกเงย
ช่วยให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า
ผมอยากเห็นภาพนี้อีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับว่า
บรรยากาศการเมืองในธรรมศาสตร์หายไป
ส่วนหนึ่งก็เนื่องจากไม่มีนักศึกษาระดับปริญญาตรีในท่าพระจันทร์
เพราะย้ายไปอยู่ที่ศูนย์รังสิตหมด
ตอนนี้ท่าพระจันทร์เงียบมาก
แทบจะไม่เห็นบรรยากาศทางวิชาการเหมือนในอดีต
ผมจึงมีความคิดที่จะย้ายนักศึกษาชั้นปี 1-2 และบางคณะ
เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์
วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน พาณิชยศาสตร์และการบัญชี เป็นต้น
กลับมาเรียนที่ท่าพระจันทร์เหมือนในอดีต
เพราะท่าพระจันทร์เป็นจุดเริ่มต้นของ มธ.
เราต้องธำรงรักษาสถานที่และจิตวิญญาณของท่าพระจันทร์ตลอดไป
แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภามหาวิทยาลัยว่า
จะมีมติอย่างไร รวมทั้งจะต้องจัดสรรทรัพยากรให้ดี
โดยเฉพาะอาจารย์ผู้สอนที่อาจจะต้องเดินทางระหว่าง
ท่าพระจันทร์กับรังสิต อย่างไรก็ตาม
คิดว่าประชาคมนักศึกษาคงไม่มีใครต่อต้าน
เพราะส่วนใหญ่ต้องการมาเรียนที่ท่าพระจันทร์กันทั้งนั้น"


"นอกจากนี้ ผมอยากให้ มธ.มีโรงเรียนธรรมศาสตร์วิทยานุสรณ์
ลักษณะเดียวกับโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
เพื่อผลิตเด็กเก่งด้านวิทยาศาสตร์ระดับชั้น ม.4-6
ป้อนให้กับ มธ. ตลอดจนจะปรับปรุง มธ.ให้ทันสมัย
ในเรื่องหอพักของนักศึกษาและบุคลากร
ผมได้ยินนักศึกษาบ่นเรื่องนี้กันมาก
ซึ่งคงต้องนั่งพูดคุยกับนักศึกษาว่า
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร จะแก้ปัญหาด้วยวิธีใด
เรื่องหอพักบุคลากร มธ.ต้องจัดให้เพียงพอ
โดยถือว่าเป็นสวัสดิการและขวัญกำลังใจของทุกคน
ทั้งนี้ การที่ มธ.อยู่ที่รังสิตเราเสียเปรียบมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมืองพอสมควร
แต่เราไม่ควรยอมรับสภาพ เราควรพัฒนาชีวิตนักศึกษาให้ดีขึ้น
ผมอยากให้นักศึกษาที่รังสิตมีชีวิตที่ดีแบบเดียวกับที่ท่าพระจันทร์
หาอาหารกินง่าย ปลอดภัย และราคาไม่แพง
มีห้องสมุดที่ดี มีห้องเรียนที่ทันสมัย
ผมคาดหวังว่า มธ.ในอนาคตจะต้องเป็นศูนย์รวมของผู้รู้ทางวิชาการ
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีองค์ความรู้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ
เป็น University of creative incubator
และนำความรู้ดังกล่าวไปชี้นำสังคม
มีศักยภาพในการแข่งขันกับมหาวิทยาลัย
ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และบุคลากรและนักศึกษา
สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและยั่งยืน"


"ผม อยากจะให้ธรรมศาสตร์มีวัน sport day
เพราะธรรมศาสตร์อาจเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่มี sport complex
สมบูรณ์ภายในมหาวิทยาลัย
เรามีศูนย์กีฬาที่มีเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถดูแลอยู่
เราจึงควรส่งเสริมให้นักศึกษา
อาจารย์และเจ้าหน้าที่เล่นกีฬา
เหมือนกับหลายหน่วยงานที่กำหนดให้มีวัน sport day
ซึ่งกีฬาจะทำให้คนธรรมศาสตร์ไม่มีโรคภัย
ส่วนโรงพยาบาล มธ.ในอนาคต
จะต้องเป็นโรงพยาบาลด้านการวิจัยควบคู่ไปกับโรงพยาบาลรักษาคนไข้
ที่สำคัญจะต้องเพิ่มบุคลากรของโรงพยาบาลในด้านต่างๆ
ให้เพียงพอด้วย รวมทั้งเพิ่มการให้บริการแก่บุคลากรของเรา
ผมจะสนับสนุนเต็มที่ให้มีศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทาง
โดยแรกๆ อาจมีสัก 2-3 ศูนย์ เช่น
ศูนย์ความเป็นเลิศในการตรวจพิเคราะห์โรค
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสมุนไพร
และศูนย์ความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
แล้วค่อยขยับขยายออกไปให้มากขึ้นในอนาคต
รวมทั้งควรมีศูนย์เครื่องมือด้านวิทยาศาสตร์
เราต้องหางบประมาณมาทำเรื่องพวกนี้ให้ได้
ไม่เช่นนั้นแล้วงานวิจัยของ มธ.ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวะ
แพทย์คงไม่ก้าวไกล ศูนย์เครื่องมือที่อาจมีเช่น
เครื่องมือวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชีวภาพและอณูชีววิทยา
ศูนย์เครื่องมือวิจัยด้านการวิเคราะห์เคมีและวัสดุศาสตร์
ศูนย์เครื่องมือด้านการวิจัยทางฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น"

"ผม อยากเห็น มธ.ศูนย์รังสิตในอนาคตเป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์แบบ
ทั้งด้านวิชาการ คือมีครบทุกสาขา ด้านสังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การแพทย์
และสาธารณสุข สมบูรณ์แบบด้านการวิจัย คือ
มธ.จะมีศูนย์เครื่องมือ มีศูนย์ความเป็นเลิศ
มีการจดลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร พร้อมร่วมมือกับทั้งสถาบัน A.I.T.
และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
และมีความสมบูรณ์แบบด้านที่พักอาศัย
ที่สามารถรองรับทั้งอาจารย์ เจ้าหน้าที่
และนักศึกษาอย่างเพียงพอ สมบูรณ์แบบด้านสนามกีฬา
ที่มีสนามกีฬาทุกประเภท สมบูรณ์แบบด้านการแพทย์
โดยมีจุดเน้นเฉพาะทาง ซึ่งเราจะก้าวไปอย่างนั้นได้
ตัวอธิการบดีจะต้องทำงานหนัก วิสัยทัศน์ต้องชัดเจน
โดยมีคนใน มธ.ช่วยกันขับเคลื่อนไปข้างหน้า"

"สำหรับ มธ.ศูนย์ลำปางในอนาคตจะต้องดีขึ้น
ต้องพัฒนามากกว่าในปัจจุบัน
ทุกวันนี้แม้ว่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังพัฒนาได้ไม่เท่าท่าพระจันทร์ และรังสิต
ผมจะพัฒนาให้ศูนย์ลำปางเป็นที่เชิดหน้าชูตาในภาคเหนืออย่างเต็มภาคภูมิ
เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านสังคมศาสตร์
ที่ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ที่สอดคล้อง กับสภาพพื้นที่
และวัฒนธรรมของชาวภาคเหนืออย่างแท้จริง
ส่วน มธ.ศูนย์พัทยา เราวางแผนให้เป็นศูนย์ด้านการฝึกอบรม
ศูนย์ด้านการปกครองท้องถิ่น และการเรียนการสอนระดับปริญญาโท
ซึ่งทิศทางนี้ถูกต้องแล้ว ผมจะขยายจำนวนห้องของโรงแรมเพิ่มขึ้น
ปรับปรุงด้านกายภาพ และส่งเสริมให้คณะที่จัดการเรียนการสอนอยู่แล้ว
ให้พัฒนาได้อย่างเต็มที่"
"ส่วน เรื่องการผลักดัน
มธ.ออกนอกระบบราชการนั้น
ขณะนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โดยทำมาตั้งแต่สมัย รศ.ดร.นริศ ชัยสูตร เป็นอธิการบดี
เข้าใจว่ามีการทบทวนในระดับคณะ/มหาวิทยาลัย/สภามหาวิทยาลัยหลายครั้ง
และน่าจะผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วด้วย
ซึ่งขณะนี้มีมหาวิทยาลัยจำนวนมากเปลี่ยนสถานภาพ
เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของ รัฐไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยบูรพา ฯลฯ
ดังนั้น การจะดำรงสภาพมหาวิทยาลัยในส่วนราชการต่อไป
อาจทำให้ธรรมศาสตร์ล้าหลังกว่า มหาวิทยาลัยต่างๆ ได้
แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนสภาพไปแล้ว
ก็มีปัญหามากพอสมควร
ธรรมศาสตร์จึงต้องระมัดระวังกับการเปลี่ยนสภาพไปด้วย"

Oct 16, 2010

คนบริสุทธิ์ด้วยการงาน


http://teetwo.blogspot.com/2007/04/blog-post_30.html

http://teetwo.blogspot.com/2008/10/blog-post_06.html




วันเสาร์ ที่ 16 ตุลาคม 2553


http://www.varakorn.com


https://www.facebook.com/varakornsamakoses



สำหรับใน
วันนี้ก็ขอคัดลอกบทความจากหนังสือรู้จักใช้เข้าใจเงิน เป็นบทความโดย
ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ของธนาคารไทยพาณิชย์
มาเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนนะคะ




งานไม่เคยทำร้ายหรือฆ่าใคร
ยิ่งทำงานหลากหลายลักษณะที่ท้าทายความสามารถ


รวมทั้งยิ่งทำงานหนักที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากขึ้นเพียงใด
ก็ยิ่งทำให้บุคคลนั้นมีประสบการณ์และมีศักยภาพที่สูงขึ้นเพียงนั้น


การทำงานเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน
เมื่อเกิดมาเป็นสมาชิก
ของโลกนี้
ก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทำงานรักษาโลกนี้
เพื่อสืบทอดต่อไปยังคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
เฉกเช่นเดียวกับที่คนรุ่นก่อน ๆ
ได้กระทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องและยาวนาน


Kenneth B
oulding นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล
ได้อุปมาว่า
โลกเรานี้เปรียบเสมือนยานที่ล่องลอยอยู่ในอวกาศ
ถ้าผู้คนบนยานไม่ดูแลตัวถัง
ไม่ดูแลหมุดที่ยึดโยงโครงสร้าง
ไม่ดูแลเค
รื่องยนต์ ไม่ดูแลผู้โดยสารกันเอง
และไม่ดูแลสภาพแวดล้อมภายในยานเป็นอย่างดีแล้ว



วันหนึ่งยานลำนี้ก็จะถึงกาลอวสาน
หนทางที่จะช่วยให้ยานลำนี้
อยู่รอดปลอดภัยได้นานเท่านานก็คือ
กัปตัน เจ้าหน้าที่ และผู้โดยสารทุกคน
ต้องร่วมมือกันทำงานอย่างหนัก
อย่างไม่วางมือเพื่อดูแลยานลำนี้อย่างดีที่สุด


ในโลกจริง ๆ ของมนุษย์
งานที่แต่ละคนทำถูกกำหนดขึ้น
โดยพลังของตลาดเสรีภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม


และโดยภาครัฐในบางประเทศ
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการทำงานก็คือ
การได้รับผลตอบแทนหรือค่าจ้างของผู้ทำงาน


ทุกคนปรารถนาที่จะได้รับเงินมาก ๆ
จากการทำงานต่างพยายาม
เรียนหนังสือให้ได้รับปริญญาระดับสูง
เพราะเชื่อว่าเป็นหนทางไปสู่เป้าหมายและ
ถือว่าเป็นหนทางสู่ความสำเร็จอีก ด้วย
ซึ่งแนวความคิดเช่นนี้นับว่าถูกต้อง
แต่ไม่ถูกต้องทั้งหมด
เนื่องจากยังมีอีกหลายปัจจัย
ที่จะทำให้บุคคลหนึ่งบรรลุฝันดังกล่าวได้


ปัจจัยของความสำเร็จที่สำคัญอย่างหนึ่ง
นอกเหนือจากการมีความรู้ความสามารถใน
งานเป็นอย่างดีพร้อมทั้งใส่ใจ
หาความรู้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องแล้ว


ก็คือ การมีเป้าหมายในชีวิต มีความบากบั่นมานะ
พยายามให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ชัดเจนอย่างเด็ดเดี่ยวและมีคุณธรรม
ซึ่งการมีวินัยบังคับตนเอง
เป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งในการเดินทางสู่ความสำเร็จ


มีคนเป็นจำนวนมากในโลกนี้ซึ่ง
มีความพร้อมทั้งในด้านความรู้ความสามารถ
แต่ขาดเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต
แต่ละวันทำงานอย่างเต็มความสามารถ
แต่ก็ขาดหางเสือที่จะนำเข้าไป
สู่เป้าหมายที่เขาเองก็ไม่ตระหนักชัดเจนว่าคือ อะไร


อย่างไรก็ตามเมื่อมีการจัดการ
ให้บรรลุเป้าหมายของชีวิตไม่ชัดเจน
จึงไม่น่าประหลาดใจหากการจัดการ
ในเรื่องการเงินในชีวิตมีปัญหาไปด้วย


ชีวิตการทำงานของมนุษย์นั้นไม่ยาวนานนัก
สูงสุดไม่เกิน 30 ปีเศษก็ถึงวัยเกษียณ


หากตลอดอายุการทำงานมิได้มีการวางแผนด้านรายได้
และการใช้จ่ายอย่างรอบคอบและรัดกุมแล้ว


เงินทองที่หามาได้ก็จะหมดไปอย่างไม่มีความหมายนัก
กล่าวคือมีความสุขสบายในช่วงวัยทำงาน


แต่เมื่อพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้วก็ขาดรายได้
ที่จะทำให้สามารถรักษาระดับความสุข
และสะดวกสบายไว้ดังเดิมได้


ดังนั้นคนเราจึงควรตั้งมั่นในความไม่ประมาท
และไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง


ทั้งนี้จะเริ่มต้นออมเงินและการสร้างวินัยทางการเงิน
เพื่อชีวิตที่มั่นคงและอยู่ได้อย่างมีเกียรติ
และมีศักดิ์ศรีในบั้นปลายของชีวิต


รวมทั้งการยอมทำงานด้วยความเหนื่อยยากลำบาก
เสียตั้งแต่ยังมีพลกำลังและมีโอกาสในการหารายได้


ดีกว่าที่จะรู้สึกเสียใจว่าคิดได้ก็สายเกินไปเสียแล้วนะคะ.






เรื่องจริงของอาหลิว

http://teetwo.blogspot.com/2010/06/21.html
ปิยมิตร ปัญญา มติชนออนไลน์ วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เมืองจิ้นโจว มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ไม่มีอะไรพิเศษพิสดารไปจากอีกหลายเมืองในมณฑลรอบนอกของประเทศ ที่นี่มีเรือนจำของรัฐ-เรือนจำจิ้นโจว-ห้องขังขนาดมาตรฐานอีกเช่นกัน แต่ละห้องมีขนาดเนื้อที่ 30 ตารางเมตร หนึ่ง ในห้องขังของเรือนจำจิ้นโจว มีนักโทษใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน 6 คน 5 คนเป็นอาชญากร อีกคนแตกต่างออกไป เขาบอกกับใครๆ ว่า เป็นนักวิชาการด้านปรัชญา กิจวัตรที่ทั้ง 6 ทำร่วมกันบ่อยๆ ใน "เรือนนอน" แห่งนี้ ก็คือเล่นไพ่ ทุกๆ วัน พวกเขามีโอกาสได้ออกจาก ห้องไปใช้ชีวิตอยู่กลางแจ้ง บนพื้นสนามของเรือนจำ 1 ครั้ง นักปรัชญาพยายามรักษาสภาพร่างกายของตัวเองด้วยการจ๊อกกิ้ง หรือไม่ก็ชวนเพื่อนร่วมชะตากรรมเล่นแบดมินตัน เวลาส่วนใหญ่ที่เหลือ ของเขานอกเหนือจากนั้น ถูกใช้ไปกับการอ่าน นวนิยายภาษาฝรั่งเศส หนังสือประวัติศาสตร์ วรรณกรรมจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ หนังสือพิมพ์เป็นของต้องห้าม เช่นเดียวกับตำรับตำราทางการเมืองทั้งหลาย ระหว่างนี้เขากำลังทุ่มเทให้กับการอ่านงานหลายเล่ม ของนักเขียนญี่ปุ่นที่ชื่อ ฮารูกิ มูราคามิ ทุก เดือน ภรรยาจะเดินทางมาเยี่ยมอย่างน้อย 1 ครั้ง นำเอาหนังสือเล่มใหม่มาให้ เงินสดจำนวนหนึ่งสำหรับใช้ซื้อบุหรี่ คุกกี้ และไข่เค็ม จากตู้ขายอัตโนมัติในเรือนจำ นั่นเนื่องเพราะ อาหารเรือนจำก็ยังคงเป็นอาหารเรือนจำ แย่เสมอต้นเสมอปลาย เนื้อแทบไม่มีให้เห็น ระยะ เวลาการเยี่ยมจำกัดเพียงแค่ 1 ชั่วโมง และเริ่มนับวินาทีแรกในทันทีที่ก้นของเขาสัมผัสเก้าอี้ คำสนทนาถูกกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งเอาไว้บันทึกอยู่ตลอดเวลา กระนั้นก็ยังมีผู้คุม 2 คนคอยตรวจสอบอยู่ในระยะประชิด พร้อมที่จะเข้ามาขัดจังหวะในทันทีที่เนื้อความ เริ่มเบี่ยงเบนออกไปจากเรื่อง ราวส่วนตัว หรือการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป แต่การเยี่ยมเมื่อ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นเรื่องผิดแปลกออกไปจากปกติ เธอเดินทางมาเยี่ยมเขาเป็นกรณีพิเศษ ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ เธอเดินทางมา เพื่อแจ้งให้เขาทราบว่า เขา-หลิว เสี่ยวปอ-ได้รับเลือกให้เป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพประจำปี 2010 น้ำตาอาหลิวคลอเบ้า แล้วก็ไหลรินลงมาอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากอึ้งไปชั่วขณะ เขาบอกกับภรรยาด้วยเสียงสั่นเครือว่า เขา ขออุทิศรางวัลที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนี้ ให้กับบรรดานักศึกษาเยาว์วัยที่ เสียชีวิตไปจากการปราบปรามของทางการ ในเหตุการณ์เมื่อปี 1989 ใจกลางกรุงปักกิ่ง เหตุการณ์ซึ่งรู้จักกันไปทั่วโลกในชื่อ "การสังหารหมู่ที่เทียนอันเหมิน"! เหตุการณ์ ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 1989 คือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของหลิว เสี่ยวปอ ไปทั้งชีวิต เปลี่ยนเขาจากนักเขียน นักวิจารณ์วรรณกรรม นักปรัชญา ให้กลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองตราบจนทุกวันนี้ อาหลิว เป็นคนฉางชุน เขาเกิดที่เมืองเอกของมณฑลจี้หลิน เขตอุตสาหกรรมสำคัญทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแห่งนี้ เริ่มเรียนประถมในห้วงเวลาของการเกิด "ปฏิวัติวัฒนธรรม" ขึ้นในจีน (ระหว่างปี 1966-1967) ห้วงเวลาที่เขาบอกใครต่อใครบ่อยครั้งว่าเป็นช่วงของการ "ปลดแอกจากกระบวนการทางการศึกษาชั่วคราว" เมื่อเติบใหญ่ เขากลายเป็นหนึ่งในคนรุ่นแรกของจีน ที่ได้กลับเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอีก ครั้งหลังการปฏิวัติวัฒนธรรมหนนั้น สำเร็จปริญญาตรีจากภาควิชาภาษาจีนของมหาวิทยาลัยจี้หลิน เขาถูกคัดเลือกเข้าเรียนต่อระดับปริญญาโทและเอกที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เขาเลือกเรียนวรรณกรรมวิจารณ์และปรัชญา มีนักเขียนและนักปรัชญาเพียง 2 คน ให้ศึกษาอย่างปรุโปร่ง หนึ่งคือ เหมา เจ๋อ ตุง หนึ่งคือ คาร์ล มาร์กซ์ หลิว เสี่ยว ปอ ศึกษางานทั้ง 40 เล่ม ของ มาร์กซ์ นักปรัชญาเยอรมัน เขาเคยสรุปทั้งหมดให้คนใกล้ชิดฟังภายหลังว่า ลัทธิ มาร์กซิสม์ "สรรค์สร้างโอกาสวิเศษสุดให้รัฐบาลจีนกดขี่ประชาชนของตนเอง" อาหลิว สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกในที่สุด มหาวิทยาลัยเลือกให้เขาทำหน้าที่อาจารย์สอนอย่างต่อเนื่อง เขาสร้างชื่อให้กับตัวเองในหมู่นักศึกษาและปัญญาชนจีนด้วย คำบรรยายที่แหลมคม การวิพากษ์วิจารณ์ที่เผ็ดร้อน และการเรียกร้องให้ทุกคนบีบเค้นเอาข้อเท็จจริง ออกมาให้ได้จากประวัติศาสตร์ ที่เชิดชูเหมาจนเกินจริง ปริญญานิพนธ์ระดับดอกเตอร์ของเขา ชื่อ "สุนทรียะกับเสรีภาพแห่งมนุษย์" องอาจ หาญกล้าเสียจนจวนเจียนจะทำให้ผู้ทำชวดปริญญา! ชื่อ เสียงของนักปรัชญาหนุ่มขจรขจายไปถึงต่างแดน ปี 1988 เขาได้รับเชิญไปเป็นองค์ปาฐกในการแสดงปาฐกถาต่างแดน ต่อเนื่องยาวนาน 8 เดือนเต็ม เริ่มจากนอร์เวย์ ไปลงเอยส่วนใหญ่สหรัฐอเมริกา ที่ฮาวาย และนิวยอร์ก เขาบอกในภายหลังว่า 8 เดือนที่ว่านี้ คือห้วงเวลาสำคัญของการบ่มเพาะทางความคิด การทำความเข้าใจใหม่ๆ นี่คือห้วงเวลาที่ทำให้เขาได้ตระหนักว่า "ประชาธิปไตย" ที่แท้ไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบ ของระบบการเมืองระบบหนึ่งเท่านั้น "แต่แท้จริงแล้วประชาธิปไตยคือบรรทัดฐานแห่งมนุษยชาติ มันคือรูปแบบของชีวิตและปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนด้วยกัน" นอกจากพูด อาหลิวยังเขียนไม่หยุดยั้งในห้วงเวลาดังกล่าวนี้ หนึ่งในความเรียงยุคนี้สะท้อนตัวตนของเขา ออกมาชัดเจนแม้ในชื่อเรื่อง ความเรียงชิ้นนั้นชื่อ "เหมา เจ๋อ ตุง : ปิศาจในคราบมนุษย์"! หลิว เสี่ยว ปอ ได้ยินเรื่องการประท้วงของนักศึกษา ตามท้องถนนและเริ่มปักหลักที่เทียนอันเห มิน เรียกร้องหาประชาธิปไตยและยุติการคอร์รัปชั่นในปี 1989 ตั้งแต่ยังทำหน้าที่อาจารย์รับเชิญอยู่ที่ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เขายอมรับว่าสองจิตสองใจในตอนแรก ลังเลมากเสียจนแทบจะหันหลัง กลับระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องบินที่ญี่ปุ่น แต่ในที่สุด ก็ตัดสินใจกลับถึงจีนเมื่อปลายพฤษภาคม ตอนที่การประท้วงระบาดไปทั่วประเทศ ต้นมิถุนายน เมื่อชัดเจนแล้วว่าทางการเตรียมใช้กำลังเข้ากวาดล้าง อาหลิวกับปัญญาชนมีชื่อเสียงอีก 3 คน ประกาศอดอาหารเป็นเวลา 72 ชั่วโมง ในทางหนึ่งเขาเพียงต้องการสร้างความไว้วางใจ จากขบวนการนักศึกษาที่กำลังเบน เข้าหาความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ในอีกทางหนึ่งมันช่วยให้เขามีสถานะที่จะเจรจาต่อรอง กับทางกองทัพเพื่อขอให้ เปิดทางให้นักศึกษาล่าถอย สลายการชุมนุมได้อย่างสันติ การกวาดล้าง เริ่มขึ้นไม่นานหลังจากการเจรจาดังกล่าว แกนนำหลายคนเผ่นหนีออกนอกประเทศ หลิว เสี่ยว ปอ ถูกจับส่งเรือนจำรัฐในฐานะ "ผู้ทรยศ" และ "ปฏิปักษ์ปฏิวัติ" กั๊ว ะ หยู เพื่อนร่วมขบวนการที่ถูกจับกุมก่อนหน้า เขาไม่กี่ชั่วโมงที่ต่อมากลายเป็นผู้สื่อข่าว บอกถึงผลลัพธ์ในการเจรจาของ หลิว เสี่ยวปอ และคนอื่นๆ ในวันนั้นเอาไว้ภายหลังว่า ถ้าไม่มีการเจรจาครั้งนั้น เทียนอันเหมินคงกลายเป็นลานเลือด! อา หลิว เป็นอิสระในปี 1991 เขาถูกถอดจากตำแหน่งอาจารย์ ห้ามสอนหนังสือ ห้ามตีพิมพ์ผลงาน ห้ามพูดจาปราศรัยในที่สาธารณะ แต่เขายังคงทำหน้าที่ตัวเองต่อไปอย่างทะนง ยื่นคำร้อง ยื่นฎีกาเรียกร้องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และวิพากษ์ข้อเท็จจริงจากคำตัดสิน กรณีเทียนอันเหมินของทางการไม่หยุดหย่อน ปี 1995 การเคลื่อนไหวต่อเนื่องทำให้เขาระเห็จเข้าคุกอีก 8 เดือน ปี 1996 เขาถูกพิพากษาให้ส่งเข้าค่ายใช้แรงงานเป็นเวลา 3 ปี จากความเรียงวิพากษ์รัฐ และเรียกร้องให้ยุติคอร์รัปชั่น ภาพที่เจนตาในเวลานั้นก็คือ ภาพของหลิว เสี่ยว ปอ ขี่จักรยานข้ามเมืองไปยังพื้นที่ที่ตั้งสำนักงาน และที่พักอาศัยของคนต่างชาติ เพื่อส่งแฟกซ์ความเรียงของเขาออกไปตีพิมพ์ยังต่างแดน จาง ซู่ หวา อดีตยุวชนพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ต่อมากลายเป็นหนึ่งในแกนนำเคลื่อนไหว เพื่อประชาธิปไตยคนสำคัญผู้หนึ่งใน เวลานี้บอกว่า ทศวรรษ 1990 มีเพียง หลิว เสี่ยว ปอ เท่านั้นที่ยังคงยืนหยัด เคลื่อนไหวในแนวทางของตนอย่างมุ่งมั่น ในขณะที่คนอื่นถูกความกลัว ชีวิตในต่างแดน และความทะยานอยากต่อความมั่งคั่งส่วนตน เบียดบังจนเงียบกริบ มีบ้างบางคนที่ทำงานเชิงทฤษฎีและนโยบาย แต่ไม่มีใครลงมือประท้วง วิพากษ์ และทำโน่นทำนี่อย่างจริงจังเหมือน หลิว เสี่ยว ปอ ปี 1999 อาหลิวเป็นอิสระอีกครั้ง จีนเปลี่ยนแปลงไปในเชิงรูปธรรมมากมาย คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาท และเปลี่ยนรูปแบบของการต่อต้านไปไม่น้อย เขาต่อต้านคอมพิวเตอร์ในตอนแรก แต่ลงเอยด้วยการศึกษาทำความเข้าใจและได้ข้อสรุปว่ คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตคือ "ของขวัญจากพระเจ้าถึงชาวจีน"! "ชา ร์เตอร์ང" หรือ "คำประกาศประชาชนปี 2008" ได้รับการขนานนามจากนักวิชาการ นักปรัชญาบางคนว่าเป็น "หนึ่งในเอกสารต่อต้านทางการเมืองที่น่าประทับใจที่สุดในโลก" มันไม่ได้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิวัติ ล้มล้างรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ถามหา "ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน" ถามหา "เสรีภาพในการแสดงออก ในการชุมนุม สมาคม ในการหยุดงาน ในการประท้วง" มันไม่ได้ยุยงส่งเสริมการปฏิวัติ แต่เป็นเพียงเรียกร้อง "การเปลี่ยนแปลงอย่างระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป" หลิว เสี่ยว ปอ และพวกใช้เวลานานกว่า 3 ปี ร่าง แก้ไข เขียน ปรับปรุงแล้วปรับปรุงอีก ก่อนนำ "ชา ร์เตอร์ང" ไปนำเสนอและโน้มน้าวจนมีผู้ลงชื่อสนับสนุนเบื้องต้น 303 คน มีทั้งปัญญาชน แรงงาน และกระทั่งสมาชิกพรรค มันถูกส่งขึ้นเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต มีชีวิตอยู่ชั่วระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก่อนที่จะถูกทางการตรวจสอบพบและลบทิ้ง แต่ก็สามารถสร้างกลุ่มผู้สนับสนุนได้สูงถึงกว่า 10,000 รายชื่อ "ชา ร์เตอร์ང" ได้ชื่อมาจาก "ชาร์เตอร์ 77" เอกสารทำนองเดียวกันที่ตีพิมพ์ในเชโกสโลวะเกีย หนึ่งในจำนวนผู้เขียนคือ วาคลาฟ ฮาเวล นักเขียนที่ต่อมาก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดี และเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ ได้แรงบันดาลใจมาจาก "คำประกาศเสรีภาพและรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา" กับ "คำประกาศแห่งปวงชนฝรั่งเศษว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และพลเรือน" นี่คือ แนวทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กลั่นกรอง แล้วว่ามีความเป็นไปได้ในทาง ปฏิบัติในจีน -น่าเสียดายที่พรรคและรัฐของจีนไม่เห็นพ้อง 303 คนที่เริ่มต้นลงชื่อ ถูกเชื้อเชิญ "ไปร่วมรับประทานน้ำชา" กับเจ้าหน้าที่ ก่อนถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ แต่จำเป็นต้องมี "ไก่" ถูกเชือดให้เป็นเยี่ยงอย่างของ "ลิง" ทั้งหลายเหล่านี้ หลิว เสี่ยว ปอ ถูกเลือกให้เป็น "ไก่" ตัวนั้น! 2-3 เดือนหลังจากที่แขกบ้านแขกเมืองร่ำลา จากมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง อาหลิวถูกนำตัวออกจากอพาร์ตเมนต์ในกรุงปักกิ่งอย่างเงียบๆ ถูกกักตัวชนิดที่ไม่มีใครรู้เห็นนานหลายเดือน ธันวาคม 2009 เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐาน พยายามต่อต้านและล้มล้างรัฐบาล ใช้เสรีภาพในการแสดงออกเกินเลย ข้อกำหนดของกฎหมาย จาก "ชาร์เตอร์ང" และความเรียงอีก 6 ชิ้น เนื้อความของทุกชิ้นคล้ายคลึงกัน ชาวจีนนับสิบ นับร้อยล้านคนทอดร่างพลีให้กับรัฐบาลและ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มาเนิ่น นานเต็มทีแล้ว ถึงเวลาที่รัฐต้องชดใช้ด้วยการให้ "เสรีภาพ" และ "สิทธิขั้นพื้นฐาน" แก่พวกเขา ศาลลงโทษให้จำคุกนาน 11 ปี เกือบ 2 ปีให้หลัง วาคลาฟ ฮาเวล ทะไล ลามะ และ เดสมอนด์ ตูตู คือแรงผลักดันในการนำเสนอชื่อ อาหลิวให้คณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลสันติภาพแห่งนอร์เวย์ ในวัย 54 ปี หลิว เสี่ยว ปอ กลายเป็นคนจีนคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ และเป็นคนที่ 3 ต่อจากคาร์ล ฟอน ออสเซียทสกี้ ชาวเยอรมัน ในปี 1935 และออง ซาน ซูจี ในปี 1991 ที่ได้รับรางวัลสันติภาพขณะถูกจองจำ ถูกจองจำโดยรัฐบาลของตนเอง! อาจ บางที ความยิ่งใหญ่ของ หลิว เสี่ยว ปอ ไม่ได้อยู่ที่การต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่อยู่ที่ "ความรัก" ที่เขามีอย่างล้นเหลือต่อทุกผู้คน เขาไม่เพียง มีความรักให้กับหลิว เซี่ย ภรรยาช่างภาพ และกวีวัย 49 ปี ชนิดที่ "แม้ร่างถูกบดป่นเป็นผุยผง ธุลีนี้จักโอบกอดเธอ" เท่านั้น หลิว เสี่ยว ปอ ยังมีความรักให้ประชาชนจีน รัฐบาลจีน ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้พนักงานอัยการ มีความเข้าใจและเคารพในวิถีของทุกผู้คน เขาเรียกร้องความรัก ถามหาสัจจะ และอ้อนวอนขอเสรีภาพเท่านั้น ใน "คำแถลงปิดคดี" ระหว่างการพิจารณาคดีหลังสุด ในเวลา 2 ชั่วโมง เขาประกาศไว้กลางศาลว่า "...แต่ ข้าฯขอบอกไปยังผู้ปกครองที่ลิดรอนเสรีภาพของข้าฯว่า ข้าฯยังคงยืนหยัดในความเชื่อซึ่งได้แสดงออกไว้ ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ในคำประกาศอดอาหารประท้วง 2 มิถุนายน ว่าข้าฯปราศจากศัตรู ข้าฯปราศจากความเกลียดชัง... "...เพราะความเกลียดชัง คือตัวกัดกร่อนทำลายปัญญา และสำนึกแห่งผู้คน "ความ คิดเห็นเป็นศัตรู คือพิษร้ายที่บ่อนทำลาย จิตวิญญาณแห่งความเป็นชาติ ยุยงส่งเสริมให้เกิดการทำลายล้างชีวิต ให้เกิดการดิ้นรนต่อสู้ด้วยความตาย ทำลายขันติธรรมและมนุษยธรรมในสังคม และปิดกั้น ขัดขวางการรุดหน้าของเสรีภาพ และประชาธิปไตยของชาติ "ดังนั้น ข้าฯได้แต่ตั้งความหวังว่า จะมีความสามารถผันแปรทุรกรรมแห่งตนเอง ให้กลายเป็นความเข้าใจอันจะนำไปสู่ พัฒนาการแห่งรัฐ และการเปลี่ยนแปลงของสังคม "เปลี่ยนแปรความเป็นปรปักษ์ให้ กลายเป็นความปรารถนาดีที่สุดให้กันและกัน ปลดชนวนความชิงชังรังเกียจด้วยความรัก..." นี่คือ หลิว เสี่ยว ปอ เสี่ยวที่แปลว่า ตะวัน ปอ ที่หมายถึงแรกปรากฏ เสี่ยวปอ ที่หมายถึง ตะวันแรก หรือ อรุณรุ่ง นั่นเอง ! (จากหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 16 ต.ค.2553)

Oct 14, 2010

เชื่อหรือไม่ ปริศนาเลข 33 นำโชคช่วยคนงานชิลี



http://teetwo.blogspot.com/2009/08/blog-post_03.html
http://teetwo.blogspot.com/2007/03/blog-post_8306.html

http://teetwo.blogspot.com/2009/09/blog-post_28.html

สุดฮือฮา! พบความเกี่ยวข้องหลายประการระหว่างตัวเลข 33
กับภารกิจกู้ภัยช่วยชีวิต 33 คนงานติดเหมืองที่ชิลี...


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ว่า
ตัวเลข 33 ได้กลายเป็น "หมายเลขนำโชค"
ของปฏิบัติการช่วยชีวิตคนงานทั้ง 33 ราย
ที่ติดอยู่ที่ระดับความลึกกว่า 700 เมตรใต้เหมืองทอง-ทองแดง"
ซัน โฮเซ" ที่เมืองโกเปียโปทางตอนเหนือของประเทศชิลี
ไปอย่างไม่น่าเชื่อ โดยพบความเกี่ยวข้องกันหลายประการระหว่างเลข 33
กับเหตุการณ์กู้ภัยครั้งประวัติศาสตร์นี้
เริ่มจากการขุดเจาะอุโมงค์ หรือ "ปล่องทางออก"
สำหรับใช้หย่อนแคปซูลช่วยเหลือซึ่งใช้เวลา 33 วัน
ในการขุดแบบพอดิบพอดี แม้หลายคนอาจมองว่า
เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้นก็ตาม


ขณะ ที่มิคาอิล โปรเอสทากิส ผู้บริหารของบริษัทดริลเลอร์ ซัพพลาย
ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการขุดเจาะอุโมงค์ช่วยเหลือสำหรับช่วยชีวิตคนงาน
เหมืองทั้ง 33 รายออกมาระบุว่า
ขนาดของอุโมงค์หรือปล่องสำหรับหย่อนแคปซูล "ฟีนิกซ์"
นั้นก็มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 66 เซนติเมตร
ซึ่งมีค่าเท่ากับตัวเลข 33 คูณ 2 นั่นเอง


"ผมเชื่อในความมหัศจรรย์ของตัวเลข มันมั่นใจว่าระหว่างตัวเลข 33
กับคนงานทั้งหมดต้องมีความหมายพิเศษอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่"
โปรเอสทากิสกล่าว


ขณะเดียวกันมีการตั้งข้อสังเกตว่า ปฏิบัติการช่วยเหลือ
คนงานเหมืองทั้งหมดยังได้เริ่มขึ้นในวันที่ 13 ต.ค. 2010
ซึ่งสามารถเขียนในรูปย่อๆได้ว่า 13/10/10
และเมื่อนำตัวเลขวันที่ทั้งหมดมาบวกกัน (13+10+10)
ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาเท่ากับ 33 อีกเช่นกัน
แม้แต่ประธานาธิบดีเซบาสเตียน ปินเญรา
ของชิลีเองยังพูดถึงความมหัศจรรย์ของเลข 33 ดังกล่าว


ด้าน มาเรีย เซโกเบีย น้องสาวของดาริโอ เซโกเบีย
หนึ่งในคนงานที่ได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาจากเหมืองซัน โฮเซ
ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของชิลีว่า
เลข 33 ปรากฏอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ 33 คนงานอย่างสอดคล้องกัน
และเธอเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปาฏิหาริย์จากพระผู้เป็นเจ้า


แค่นั้นยังไม่พอ นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัย "กาตอลิกา" ของชิลี
ยังออกมาระบุว่า ตัวเลข 33 ตามความเชื่อของชาวคริสต์นั้น
ยังถือเป็นตัวเลขอายุของพระเยซู
เมื่อครั้งที่พระองค์ถูกตรึงด้วยไม้กางเขนอีกด้วย







Oct 7, 2010

พ่อครัวหัวป่าก์ฝรั่ง


วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
มติชนออนไลน์
วันที่ 07 ตุลาคม พ.ศ. 2553




http://www.facebook.com/people/w-ra-krn-sam-koses/100000879957910




มนุษย์ทั่วโลกย่อมรู้สึกหวงแหนสิ่งที่ถือว่า
เป็นของชาติตนเองเสมอดังเช่น
มวยไทย คนจำนวนหนึ่งรู้สึกหงุดหงิด
หากนักมวยไทยแพ้นักมวยไทยต่างชาติ
ในเวลาอีกไม่นานคนไทยจะได้รับรู้ว่ามีคนต่างชาติ
ซึ่งมีฝีมือปรุงอาหารไทยในระดับมืออาชีพมาเปิดร้านในกรุงเทพฯ
คำถามที่น่าสนใจก็คือคนไทยจะรู้สึกอย่างไร

คำตอบนี้มีความสำคัญต่อความเป็นสากลของคนไทยในอนาคต

David Thompson ชาวออสเตรเลียวัย 50 ปี

ผู้ดื่มด่ำในอาหารไทยและวัฒนธรรมไทย
มีชื่อเสียงในระดับโลกในเรื่องอาหารไทย
ร้านอาหารไทยของเขาที่ลอนดอนชื่อ Nahm (น้ำ)
มีชื่อเสียงในระดับโลกด้วยการได้รับ "สองดาว"

จาก Michelin Guide และเป็นหนึ่งในสอง
ร้านอาหารไทยในโลกที่ได้รับดาวจาก Michelin ด้วย
Michelin Guide คือ หนังสือประจำปีแนะนำร้านอาหาร
และโรงแรมที่ตีพิมพ์โดยบริษัทยาง Michelin
ซึ่งออกมาตั้งแต่ ค.ศ.1900 มักเรียกหนังสือนี้กันว่า
Michelin Red Guide
หนังสือแนะนำร้านอาหารเด็ดนี้ทำการประเมินด้วยการ
ส่งสายลับที่ไม่มี การเปิดเผยตัวโดยเด็ดขาดไปสำรวจชิมและ
พิจารณาว่าถึงขั้นจะให้กี่ดาว นักสืบเหล่านี้จะรายงานผลการสำรวจ
และมีการประชุมสรุปว่าจะให้กี่ดาว ไม่เข้าขั้นก็ไม่ให้ดาวเลย
และไม่อยู่ในเล่มด้วย เมื่อพิจารณาครบถ้วนระบุจำนวนดาว
ที่ให้แก่ร้านแล้วก็จะมีการติดตามไปตรวจสอบ
อีกหลายครั้งในรอบปี โดยไม่ให้เจ้าของทราบ

"หนึ่งดาว" หมายถึงภัตตาคารที่ดีมากอย่างสมควรแวะ
"สองดาว" หมายถึงอาหารปรุงยอดเยี่ยมคุ้มกับการเดินทางแวะไป
และ "สามดาว" ซึ่งเป็นการให้สูงสุดหมายถึง
อาหารสุดยอดอย่างเป็นพิเศษและคุ้มกับการเดินทางไปเป็นการเฉพาะ
การให้ "สามดาว" นั้นยากมากๆ ณ สิ้นปี 2009
มีเพียง 81 ร้านอาหารในโลกเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้
ร้าน Nahm ของ David Thampson ได้รับ "สองดาว"
ในปี 2002 และรักษาสถานะไว้ได้จนทุกวันนี้
อาหารไทยอีกร้านหนึ่งที่ได้ "สองดาว" ก็คือ Kiin Kiin
ในโคเปนเฮเกน สองร้านอาหารไทยนี้เท่านั้นในโลกที่ได้
"ดาว" จาก Michelin

David Thompson มีชื่อเสียงก้องโลกจาก
การแต่งตำราอาหารไทยเล่มสำคัญ
ปกผ้าไหมไทยสีม่วงชื่อ "Thai Food" หนา 673
หน้าด้วยภาพตำราอาหารและเรื่องราว
ตลอดจนความเป็นมาของอาหารไทยและวัฒนธรรมไทย
ตำราเล่มนี้ผู้เขียนบอกว่าได้มาจากการเรียนรู้การปรุงอาหารไทย
ตั้งแต่ปี 1986 เมื่อมาเที่ยวเมืองไทยและหลงรักแผ่นดินและอาหารไทย
เขาศึกษาจริงจังเป็นเวลานานกับคุณครูสมบัติ จันทร์เพชร
ซึ่งคุณแม่ทำงานในห้องเครื่องในวังมาก่อน
และลงมือทดลองปรุงอาหารด้วยตนเอง

David รวบรวมตำราอาหารไทยหลายอย่างจากหนังสือพิมพ์
งานศพเก่าๆ อายุเหยียบร้อยปีมาผสมกับสิ่งที่เขาเรียนรู้
และมีผลงานออกมาเป็นอาหารไทยที่
เขายืนยันว่าปรุงแบบอาหารไทยแท้
มิได้ปรุงตามลิ้นคนต่างชาติ ซึ่ง David
บอกว่าเป็นการทำลายอาหารไทยโดยแท้

ผู้เขียนไม่เคยพบและไม่รู้จัก David Thompson
แต่ได้เคยอ่านบทสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับอาหารไทย
ในหนังสือพิมพ์ฝรั่งอยู่เนืองๆ มาหลายปี
จนรู้สึกทึ่งในความตั้งใจและความจริงจังกับการปรุงอาหารไทย
และพัฒนาการอาหารไทยให้ชาวโลกรู้จัก

เมื่อ David ได้เรียนรู้เรื่องอาหารไทยจนหนำใจแล้ว
ในปี 1991 เขาก็เปิดร้านอาหารไทยในซิดนีย์ชื่อ
Darley Street Thai อย่างประสบความสำเร็จ
(ทั้ง 8 ปีที่เปิดได้รับการลงคะแนนจากหนังสือพิมพ์
Sydney Morning Herald ให้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดทุกปี)

เขาเปิดอีกร้านหนึ่งชื่อ Sailors Thai ในปี 1995
ก่อนที่จะไปเปิดร้าน Nahm ในลอนดอนในปี 2002
และเพียงไม่ถึง 6 เดือนเขาก็ได้ดาวดวงแรกจาก Michelin Guide
และต่อมาไม่นานก็ได้ "สองดาว"

ขณะนี้เขาจะมาเปิดร้านอาหารไทยในกรุงเทพฯ
อย่างท้าทายความรู้สึกคนไทยว่าฝรั่งจะปรุงอาหารไทยได้สับปะรดหรือไม่
และการกระทำของเขาสร้างสรรค์หรือมาแย่งอาชีพคนไทย
เมื่อหลายปีก่อนคนญี่ปุ่นก็หวงแหนยูโด คาราเต้
เช่นเดียวกับที่คนเกาหลี หวงแหนเทควันโด
รู้สึกปวดใจเมื่อเห็นคนต่างชาติเอาชนะคนของตน
แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปก็ตระหนักว่าการเปิดใจกว้างเช่นนี้ให้เป็นที่รู้จัก
และนิยมของชาวโลกแล้วก็จะช่วยทำให้กีฬาก้าวหน้าไปอีกหลายขั้น
มวยไทยและอาหารไทยของเราก็เช่นกัน คนไทยต้องใจกว้าง
ยิ้มรับ เตรียมการและเตรียมใจสู่ความเป็นสากล
ของมรดกวัฒนธรรมของเราอย่างเต็มใจ
ถ้าเรามีทัศนคติที่คับแคบต้องการให้มวยไทย
และอาหารไทยเป็นสิ่งพิเศษเฉพาะของ คนไทยแล้ว
ทั้งสองสิ่งก็จะไม่มีวันก้าวหน้า
และในความเป็นจริงก็ไม่สามารถปิดกั้นได้ด้วยในโลกปัจจุบัน

ผมเชื่อว่าถ้า David Thompson ไม่เขียนตำรา Thai Food
และหนังสืออีก 2 เล่มคือ Classic Thai Cuisine และ
Thai Street Food อาหารไทยก็คงไม่ดังในโลกของผู้มีรสนิยม
ในเรื่องอาหารสมกับที่เป็นอยู่ในขณะ นี้
มีประมาณการว่าในปัจจุบันร้านอาหารไทยอยู่ทั่วโลกไม่ต่ำกว่า
5,000-6,000 ร้าน ซึ่งทำการประชาสัมพันธ์
การท่องเที่ยวเมืองไทยอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
ความใจกว้างและความเป็นสากลของคนไทยจะ
ได้รับการพิสูจน์ครั้งนี้จาก
การเปิดร้านอาหารไทยของเขาในกรุงเทพฯ
ว่าจะเหมือนการขายน้ำแข็งให้คนเอสกิโมหรือไม

ผมเชื่อว่าคนไทยใจกว้าง ก้อนน้ำแข็งนี้
จะเป็นก้อนน้ำแข็งแกะสลักที่ช่วยให้ก้อนน้ำแข็งทั่วไปรอบตัว
คนเอสกิโมและคนต่างถิ่นดูงดงามมากขึ้น






Newer Posts Older Posts Home