หลังจากที่ฝึกสมาธิแล้ว ผมมีสติมากขึ้น
คือรู้จักตัวเองและเข้าใจตัวเองมากขึ้น
รู้ว่าตอนนี้โกรธ
ตอนนี้อยากมี อยากเป็น อยากอะไรต่าง ๆ
เวลาที่เรานิ่ง เราจะรับรู้ถึงสภาวะใจของเราว่านิ่ง
ว่างเปล่าเป็นสภาวะปกติของใจ
แต่ถ้าเราโกรธ มีอารมณ์ต่าง ๆ ใจก็จะไม่นิ่ง
เราจะรับรู้ได้ว่ามันผิดปกติ
ความผิดปกตินี้แหละคือความทุกข์
เรามีความทุกข์ ผมก็มีความทุกข์
ผมจึงหาวิธีที่จะจัดการกับมัน
(โดยการไปบวชเพื่อศึกษาหาวิธีการแก้ทุกข์ )
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่รู้ตัว เวลาโกรธใคร สมมตินั่งอยู่นี่ ก็คิดไปนู่น
โกรธคนนั้นคิดไปถึงไหน ๆ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เวลาโกรธ
ก็จะรู้ว่าตอนนี้เป็นภาวะที่ไม่ปกติ ( ของใจ ) ก็จะเคลียร์มันออกไป
โดยวิธีต่าง ๆ เหมือนเราดู TV ที่มีหลาย ๆ ช่อง
อารมณ์เรามีหลายแบบ มันก็ไปเรื่อยของมัน
แต่ถ้าเรามีสติรู้ตัว เรากลับมาที่ช่อง ๐ ช่องแห่งความว่างเปล่า
เราก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติของใจ
เป็นยังไงบ้างคะ คำตอบของหนุ่มนักเรียนนอก เสียงดี
เขาตอบได้ดีมาก ๆ ทีเดียว ซึ่งนอกจากคำตอบที่ออกมาแล้ว
ท่าทางที่เขาแสดงออกระหว่างพยายามอธิบายให้เราเข้าใจ นั้น
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่า เขาฝึกสมาธิมาพอสมควรทีเดียว
และเขาทำมันจริง ๆ ถึงได้ผลจาการฝึกมากขนาดนี้
หลังจากนั้นเราถามเขาเกี่ยวกับเรื่องการดื่มสุรา?
๑. คิดอย่างไรกับการดื่มเหล้าคะ
“คือก็ อย่างที่น้อง ๆ ทราบนะครับว่า
การดื่มเหล้ามันทำให้สุขภาพเราเสียแน่ ๆ
แต่ที่เสียยิ่งกว่าคือเรื่องของสติ พอเราขาดสติ
อันตรายต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ บางครั้งเราอาจจะทำอะไรผิดพลาด
หรือว่าสร้างความวุ่นวายอะไรกับชีวิตเรา
หนักหนาได้เหมือนกันจากการดื่มเหล้า ดังนั้น
ขอให้มองถึงโทษภัยของมัน
และพิจารณาดูว่า เราควรจะดื่มมันไหม”
๒. การดื่มเหล้ามีผลต่อการร้องเพลงด้วยใช่ไหมคะ
ใช่ อาจจะเป็นเพราะว่าด้วยงาน ของเรา
เราก็จะต้องดูแลตัวเอง ถ้าดื่มเหล้าแล้วมันเหนื่อย เพลีย เสียงหาย
ไปทำงานไม่ได้ แล้วผมก็ทราบว่า ดื่มแล้วมันก็เหนื่อย
ไม่ค่อยสร้างสรรค์เท่าไหร่
๓. อยากแนะนำอะไรน้องๆ วัยรุ่นบ้างไหมคะ
ก็คิดว่า ถ้าเราลดได้นะฮะ ใครที่ชอบดื่มถ้าลดได้ ละได้ เลิกได้
ก็ยิ่งมีประโยชน์ ก็รู้ว่า สุรามันไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร
อะไรมีประโยชน์มาก ประโยชน์น้อยเราต้องพิจารณา
การดื่มเหล้าอาจจะเป็นอันตรายอย่างที่เราคาดไม่ถึง
ในหลาย ๆ อย่าง บางครั้งอาจจะไม่ใช่แค่ร่างกาย
แต่อาจเป็นการกระทำที่ผิดพลาดจากความเมาของเรา
ในช่วงเข้าพรรษา ถ้างดไป ๓ เดือนจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตเรา
อย่างน้อย ผมเชื่อว่าแน่ ๆผมว่า สุขภาพน่าจะขึ้น
และก็อีกอย่างการขาดสติของเราน้อยลง
เราอาจจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้
Love me love my life ตะกุยหัวใจ หมาไทยพันธุ์แท้:
การที่เราจะพูดคุยเพื่อกระเทาะความคิด ความรู้สึก
และอารมณ์ของศิลปินดีกรีสูงอย่าง “โมเดิร์นด็อก”
ให้ออกมาอย่าง “ลึกซึ้ง” เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก ใช่ว่าพวกเขาจะท่ามาก
หากแต่พวกเขาตอบคำถามเอาใจ ใครไม่เป็น
แต่ตอบได้เพียงสิ่งที่ตัวเองเป็นเท่านั้น
คำพูดของพวกเขาจึงค่อนข้างน้อย...แต่ก็เป็นความน้อยที่ชัดเจน
ซึ่งคล้ายกับช่วงเวลากว่า ๖ ปีที่ผ่านมา ที่ “Moderndog” กับ “cafe’”
ทิ้งช่วงห่างกัน ๒ ปี จากนั้นก็ห่างหายไปอีกถึง ๔ ปี
กว่าจะได้ยินงานล่าสุดชิ้นนี้ “Love me love my life”...
ผลงานออกมา ๓ ชุด ในช่วง ๖ - ๗ ปี น้อยก็จริง
ทว่าดูไม่เคยน้อยเลยสำหรับ ผู้ที่คอยติดตามงานคุณภาพ
บ่าย ๔ โมง ของวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ก่อนหน้าเพียงไม่กี่วัน ที่อัลบั้มชุดใหม่ ของพวกเขาจะวางแผง
และก่อนหน้า ๑ วัน ที่พวกเขาจะเปิดตัวงาน
ชุดนี้กับสื่อมวลชน...ตามธรรมเนียม“เพลิน” บุก
เข้าไปยังถิ่นของหมาทันสมัยตัวนี้เรียบร้อยแล้ว
บ้านหลังขนาดย่อมในเขตพหลโยธิน หากแต่มีสวนใหญ่ด้านหน้าไว้
รองรับพันธุ์ไม้นับสิบชนิด เพลิน และ โมเดิร์นด็อก
นัดหมายกันไว้ที่นี่ บ้านของ
“โป้ง - ปวิณ สุวรรณชีพ”
มือกลองประจำวง ผู้มีบุคลิกใจเย็น และสุภาพมาก
ความดุดันของเขาดูเหมือนจะไปลงอยู่ที่ไม้กลองเท่านั้น
เขาต้อนรับ เพลิน อย่างดี สักครู่ก็ตามมาสมทบด้วย
“เมธี- น้อยจินดา” มือกีตาร์ที่ได้ชื่อว่าพูดน้อย ขี้อาย
ซึ่งเขาก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
ส่วน “บ็อบ-สมจัดถ์ บุญยะรัตนเวช” เบสฝีมือฉกาจ
ตอนนี้ต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง อยู่
เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุจนขาแพลง
และคนสุดท้ายที่จะขาดไปไม่ได้นั่นคือ “ป๊อด - ธนชัย อุชชิน”
คนที่เป็นสื่อกลางทางความคิดของวง ตามมาในเวลาอันใกล้
การพูดคุยของเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว...หลังจาก “คาเฟ่” เกิดอะไรขึ้น กับพวกเขาบ้าง
ป๊อด : “ผมก็ทำหลายอย่าง ก็มีไปบวชด้วยพรรษาหนึ่ง
แต่ส่วนใหญ่จะไปช่วยเขาทำงานเพลง
ช่วยแบบอดิเรกมากกว่าจะไปทำจริง ๆ มีไป
ถ่ายภาพที่ต่างประเทศ และเราก็ซ้อมดนตรีกันด้วย
เหมือนเรากำลังหา tradition เพลงในชุดนี้ด้วย
ครั้งหลังนี้มีโป้ง คนเดียวที่ไปเรียนต่อ
ส่วนผมกลับมาตั้งแต่อัลบั้ม คาเฟ่ ที่ผมไปคือไปเที่ยวช่วงสั้นๆ”
ดูเหมือนจะมี ป๊อด คนเดียวที่แตกต่างจากเพื่อน ๆ ออกไป
เพราะเมธีที่จบมาทางด้านสถาปัตยกรรม
และบ๊อบจากสาขาวิศวกรรมศาสตร์
ทั้งคู่ก็เลือกที่จะเรียนต่อทางด้านคอมพิวเตอร์
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ส่วนโป้งก็กลับไปเรียนต่อด้านศิลปะ
ที่สหรัฐอเมริกา...เกิดคำถามขึ้นว่า
ทำไมพวกเขาไม่เลือกที่จะเรียนทางด้านดนตรีไปเลย
เพราะยังไงพวกเขา ก็ต้องทำงานเพลงอยู่แล้ว...
เหตุผลของ เมธี นั้นก็คล้ายกับ โป้ง และ บ๊อบ
เมธี - “ไม่รู้เหมือนกัน คล้าย ๆ กับว่า เราจะมีวิธีเรียนของเราอยู่แล้ว
มีวิธีหาความรู้ บางคนอาจจะเลือกไปเรียนที่โรงเรียน
ให้อาจารย์สอนเรื่อง ตัวโน๊ต แต่ผมไม่ถนัดที่จะไปเรียนอย่างนั้น
ผมถนัดที่จะหาเรียนเอาเอง
บางทีการไปเรียนคอมพิวเตอร์อาจจะมีประโยชน์กว่า
จริง ๆ ทุกวันนี้ ผมก็นำมาใช้นะ แต่จะเปลี่ยนรูปแบบไปที่การออกแบบเสียง
สถาปัตย์ฯ อาจจะ พูดเรื่องสเปซ (space)
แต่กับเราก็นำมาใช้ออกแบบเสียงแทน
มันเป็นบรรยากาศ ของแต่ละที่ แต่วิธีคิดมันคล้ายกันนะ”
ต่างคนต่างไปทำอะไรของตนเองกว่า ๔ ปี ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลัง
จากให้กำเนิด “Love me love my life”
น่าจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง
ป๊อด - “เหมือนเป็นวงใหม่ฮะ เหมือนทำอัลบั้มชุดแรก
อันนี้จริง ๆ เป็นชุดแรกของเราที่ควบคุมเองทุกอย่าง
คือ จริง ๆ หายไป 4 ปีนี่ มัน เหมือนว่า แทบจะร้างไปเลย
และพอกลับมาด้วยมุมมองแต่ละคนที่เปลี่ยนไป
และประสบการณ์ที่ผ่านมา เราแยกย้ายไปคนละจุด
มันไปเรียนรู้ต่างกันมาก และการกลับมาตรงนี้
มันก็เหมือนกับเป็นวงดนตรีวงใหม่ไปเลย...ต้องฟังเอง
ถ้าฟังแล้วก็จะบอก อ้อ ! มันใหม่” (หัวเราะ)
“เวตาล” ซิงเกิ้ลแรกที่ออกมาให้แฟนเพลงทั่วประเทศได้ฟังทางอินเตอร์เน็ต
หลายคนบ่นอุบ เลยว่าเนื้อหาเพลงฟังยาก ค่อนข้างเป็นปริศนา
(ในปกเทปไม่มีเนื้อเพลง) ส่วนในภาคของดนตรีจะยัง
คงเข้มข้นอยู่ เมื่อถามถึงเพลง เวตาล ป๊อดยังอิดออดที่จะเฉลยถึง
ที่มาของเพลง เขาอยากให้ลองฟังอย่างตั้งใจก่อนมากกว่า...
เพลิน สังเกตว่า ซิงเกิลนี้เหมือนเป็นการผสานกันระหว่างงาน
“โมเดิร์นด็อก” และ “คาเฟ่”
ป๊อด - “ประมาณนั้น ใช่ คือมันจะเป็น Live
หมายถึงชุดแรกมันจะ เน้นหนักไปทางด้านเล่นสด
แต่ชุดสองมันจะมีในเรื่องของดีไซน์ การจัดวาง
เรียบเรียง มีเรื่องซาวนด์เข้ามา ชุดนี้ก็จะมีแบบสองส่วน
แต่จะเน้นไปที่เล่น สดค่อนข้างเยอะ กับ คาเฟ่
ที่ไม่ได้เล่นสด เพราะว่าคนทางเราไม่มี ชุดนั้นบ๊อบก็ไม่ได้ร่วมงานด้วย
เราใช้ประโยชน์จากการที่ไม่มีคน เราก็ เลยแก้ปัญหาโดย เบส
เราก็ใช้เป็นพวกซินทิไซเซอร์ ซึ่งเราก็ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
แต่ตอนนี้เราอยู่ครบแล้ว
เราก็เลยเอาความเป็นตัวเองออก มาได้เต็มที่”
เมธี - “ชุดนี้เราจะเน้นว่า เพลงทุกเพลงที่เล่นสดเราจะต้องสนุกกับ
การเล่นก่อน และอย่างอื่นก็เสริมเข้าไปในระดับที่เสริมกันได้
เพราะงานใน ห้องสตูดิโอ มันไม่จำกัด แต่ในส่วนของการเล่นสด
จะเน้นที่แกนของพวกเรา ๔ คน”
ป๊อดพูดเสริมถึงเนื้อหาของแนวเพลงในชุดนี้ว่า
ค่อนข้างจะหวานใส ขมขื่นอยู่หน่อย ๆ เพลิน
ไม่รู้ว่าเขาพูดเล่นหรือพูดจริง เพราะหลังจากได้ฟัง “เวตาล” แล้ว
ก็ยากอยู่เหมือนกันที่จะเข้าใจอย่างที่เขาบอก
ป๊อด หัวเราะ ร่วน ก่อนที่จะอธิบายว่า
“จริง ๆ ผมว่าชุดนี้ เนื้อหามันเป็นเรื่องอารมณ์ความรู้สึก
ที่แต่ละคน จะสัมผัสได้ เหมือนกับความรู้สึกจริง ๆ
มีหลายอารมณ์ ส่วนมากจะมาจาก การสังเกตอารมณ์
ความรู้สึก และเราก็กรองมันออกมาว่าเราคิดยังไง
เรารู้สึกอะไร และก็พูดมันออกมา ค่อนข้างจ
Love me Love my life เหมือนกับการทำความสนิทสนมกับตัวเอง
ลองดูว่าเราคิดกับมันยังไง”
เห็นทีคงต้องลองฟังเพลงทั้งอัลบั้มของเขาก่อนนั่นล่ะ
ถึงจะรู้ได้ว่า Love me Love my life นั้นคืออะไร
แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจให้พูดคุยอยู่
ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปถึงข้อสังเกตว่า
ถ้า “ความสด” เป็นหัวใจของโมเดิร์นด็อก
แล้วทำไมอัลบั้ม “คาเฟ่” ถึงลดจุดเด่นขอตนลงมา
ป๊อด - “บางที สถานการณ์ก็เป็นตัวทำให้เราต้องทำงานออกมา
บางครั้งเราต้องทำงานให้ได้ จากขีดจำกัดที่มี และทำให้ดีที่สุด
ตอนที่ผมทำ คาเฟ่ นั้น ผมมีความเครียดสูงมาก
แบบ...บ๊อบไม่อยู่ คนหนึ่งเนี่ย (ไปเรียน ต่อ)
มันเป็นเรื่องที่หนักมาก แต่เราจะทำยังไง
ให้งานออกมาได้ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ กับทางเลือกที่มันออกมาเป็น คาเฟ่
ในระยะเวลาตรงนั้น เราตัดสินใจทำออกมาอย่างดีที่สุดแล้ว
ผมคิดว่ามัน ก็ถูกของมันอยู่แล้ว”
สิ่งหนึ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับการกล่าวถึง คือ
การเปลี่ยนแปลงของ ต้นสังกัด เบเกอรี่ มิวสิค
การปรับองค์กรให้เล็กลง การเข้ามาร่วมทุน
ของค่ายเพลงระดับโลกอย่าง BMG
และประเด็นร้อนกับการย้ายค่ายของ โจอี้ บอย
ลูกหม้อที่โตมากับเบเกอรี่ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อ โมเดิร์น ด็อก บ้างไหม
ทั้งในเรื่องการทำงานและความ มั่นคงทางจิตใจ...
“ผมว่ามันฟรีกว่าตอนที่ยังเป็นแบบเดิมอยู่นะ (หัวเราะ)
คือ ชุดนี้ มันฟรีมากที่สุดตั้งแต่เคยทำเพลงมาในชีวิตนี้เลย
จริง ๆ แล้ว สุกี้ ทำงานกับ BMG ในส่วนของครีเอทีฟทุกอย่าง BMG
จะไม่เข้ามาควบคุมอะไรเลย เป็นการทำงานที่แยกมาอย่างเด็ดขาด
ซึ่งคุณสุกี้พอใจ ถึงได้ร่วมงานกับเขา
จริง ๆ แล้ว ไม่ได้คิดเลยนะครับ พวกเราเซ็นสัญญากับเบเกอรี่
หลังจาก ที่หมดชุด คาเฟ่ ก็เหลืออีกสองชุด
และเราก็รู้ว่าเราต้องทำอัลบั้มใหม่ เราก็ทำ แค่นั้นเอง ไม่ได้กังวล
แต่กลับรู้สึกว่า ที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันดีกว่า เบเกอรี่
ตอนที่มีรายการโทรทัศน์ อาทิตย์ละ ๓ วันเสียอีก
ผมก็รู้สึกว่า โอ้โฮ ! ทำไมต้องออกบ่อยขนาดนั้น
ตอนนี้ก็ดี ไม่มีสักรายการ (หัวเราะ)”
แน่นอนว่า มิวสิควีดีโอของ โมเดิร์นด็อก
คงจะต้องลงจอที่รายการ Chanel V Thailand ทาง UBC เป็นหลัก
ซึ่งเป็นเหตุทำให้ทีมงานของ เพลิน คนหนึ่งบ่นออกมาว่า
ที่บ้านไม่ได้ติด UBC ก็อดดูน่ะซิ ...อะไรเล็ก ๆ น้อยๆ
เช่นนี้ก็ทำให้บรรยากาศที่เริ่มจะเคร่งเครียดนั้นผ่อนคลายลงมา ได้บ้าง
เรื่องของการย้ายค่ายนั้นไม่ได้อยู่ในความคิดของ
โมเดิร์นด็อก แม้ แต่น้อย เพราะพวกเขาพอใจ
ในรูปแบบการทำงานของ เบเกอรี่ อยู่แล้ว
ก็อย่างที่หลายคนรู้ว่า อิสระ และความเป็นตัวเอง
คือปรัชญาของการ เป็นศิลปินในเครือ เบเกอรี่
มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทว่าการช่วยเหลือองค์กร
ก็เป็นส่วนสำคัญ สิ่งที่ โมเดิร์นด็อก เป็นอยู่ในวันนี้
ลงตัวหรือไม่กับความ ต้องการของตลาดเพลงบ้านเรา
ป๊อด - “คาดเดายากมากฮะ ผมคิดว่า
เราต้องทำให้ตัวเราชอบก่อน ให้เรารู้สึกว่ามันใช่
อย่างที่เรารู้สึกจริง ๆ แต่ถ้าคนอื่นชอบด้วย เอนจอย กับมันด้วย
ก็ยิ่งดีเลยฮะผมไม่อยากจะไปรอให้ผลลัพธ์มันออกมาเป็นบวก หรือลบ
ผมอยากให้ขณะที่ผลิตมัน เรามีความสุขกับความรู้สึกตรงนั้นแล้ว
มันก็ใช้ได้ มันโอเค คือจริง ๆ ผมว่างานของเราก็มี
เมโลดี้ อะไรอยู่ด้วย ไม่ได้ หลุดไปทาง อาร์ต เต็ม ๆ ทีเดียว
คือจริง ๆ เราไม่ได้นึกเลย
อย่างชุดคนอื่นเราไม่รู้ แต่ชุดของเรา เราทำแบบนี้
เออ อันนี้น่าจะทำ ออกไปแล้วให้พ่อแม่พี่น้อง ๆ ได้ฟังกันเยอะ ๆ
คือเราไม่ได้ตีกรอบเอาไว้ ว่า จะให้เฉพาะกลุ่มนิสิตนักศึกษาเท่านั้น
เราก็อยากให้คุณป้า มาร่วมฟังด้วย จริง ๆ เราก็เป็นอย่างนั้น
อยากให้คุณยายนั่งฟังเพลงเวตาล (หัวเราะ)”
พูดคุยกันมาถึงตรงนี้ ก็ยังมีอีกหลายคำถามที่ เพลิน
อยากจะถาม ถึงงานในอัลบั้มล่าสุด ป๊อด
จึงชวนพวกเราไปยังห้องพักที่อพาร์ตเม้นต์ ของ โป้ง
ซึ่งที่นั่นใช้เป็นสตูดิโอย่อย ๆ ในการทำเพลงด้วย
และอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขานัก เราไปที่นั่นเพื่อฟัง
”Love me love my life” รอบ ปฐมฤกษ์ก่อนใคร
เพลิน ไม่ปฏิเสธแน่ หากแต่ยังมีคำถามทิ้งท้ายในช่วงนี้
เรื่องจุดลงตัวในการ ทำงานของโมเดิร์นด็อก
ที่ต่างยอมรับกันนั้นคืออะไร
โป้ง - “ผมว่ามันเป็นเวลา เราใช้เวลาในการจูนกันนานเหมือนกัน
อย่างชุดนี้ ปีหนึ่งเต็ม ๆ ที่แต่ละคนเอาความคิด
ความชอบของแต่ละ คนมารวมกัน
ก็ไม่ได้มีใครบอกว่ามันต้องเป็นยังไง ก็ให้เวลาขัดเกลาไปด้วย"
ป๊อด - “แต่อีกวิธีหนึ่ง ช่วงที่เรายังไม่ทำอัลบั้ม
เราก็ไปดูคอนเสิร์ตกัน ฟังเพลงกัน เอาเพลงแลกเปลี่ยนกันฟัง
พวกนี้มันเหมือนกับเป็นการบอก ถ่ายเทกันว่า
เราสนใจอะไรยังไงบ้าง เหมือนเป็นการเรียนรู้กันด้วย
เวลา ทำงานจะง่ายขึ้น เราจะมีภาพหนึ่ง ที่แต่ละคนจะเข้าใจกัน”...
ความสูงของห้องพักของโป้งอยู่ที่ชั้นไหน
เพลินจำไม่ได้ แต่ก็สูง มากพอที่จะเห็นวิวของตึกช้าง
และทิศทางที่พระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจน
ภาพและบรรยากาศบนนี้สวยงามเหมาะแก่การก่อเกิดเพลงเพราะ ๆ ขึ้นมา
คงต้องถาม ป๊อด แล้วล่ะ ว่ามีเพลงที่แต่งเก็บไว้มากแค่ไหน
“จริง ๆ แล้ว แต่งไม่พอด้วยฮะ เลยต้องบรรเลงไปสองเพลง (หัวเราะ)
คือผมแต่งเพลงไม่ได้มา 3 ปีแล้วนะฮะ ผมยอมรับ
มันต้องมีอารมณ์นะฮะ ในการแต่งเพลง ถ้าไม่มีอารมณ์
มันก็ไม่รู้จะพูดอะไร ซึ่งอารมณ์เนี่ย บางที
เวลาเราอยู่กับอารมณ์มาก ๆ มันก็เหนื่อย ทุกข์บ้าง ทรมาน
แต่ก็โชคดีที่ อารมณ์พวกนี้ทำให้เกิดงานได้
ความจริงก็ไม่ได้อยากมาระบายเรื่องของ ตัวเองให้ใครฟัง
แต่มันเป็นงานฮะ เลยต้องทำ จริง ๆ บางทีมันอยู่กับเราก็ได้
ไม่ต้องไปบอกใคร แต่เอาล่ะ
มันเป็นเพลงก็โอเค (หัวเราะ) พูดซะหน่อยก็ได้”
ป๊อด ไม่รีรอที่จะโชว์เพลงใน “Love me love my life”
ให้ได้ฟัง ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เพลงบรรเลง
ของโมเดิร์นด็อกนั้นจะเป็นยังไง...
Happiness is... แทรคที่ 4 ของหน้าเอ ฟังแล้ว
ให้ความรู้สึกชวน หลงใหล หากแต่ในความหลง
ก็มีบางสิ่งที่ต้องค้นหาอยู่ว่ามันคืออะไร ซึ่งตรงข้ามกับ Animal
แทรคแรกของหน้าบี ที่เน้นความรู้สึกกดดัน
ไม่ปลอดภัยกับสิ่งรอบตัว ความหมายของเสียงร้องโหยหวน
คงไม่ได้หมายถึงเสียงของ Animal เพียงเท่านั้น
นี่คืองานทดลองชิ้นใหม่ของพวกเขา หรือเปล่า
ป๊อด - “มันเป็นอารมณ์ฮะ เหมือนกับว่า
เราฟังแล้วรู้สึกว่ามันดึงเราไปในทางอะไรได้บ้าง
อยากให้เป็นอย่างนั้น ชื่งเพลงก็เลย เปิดไว้อย่าง นั้น
Happiness is... ให้คนฟังรู้สึกกับมันว่าความสุขมันเป็นอะไรได้บ้าง
รู้สึกลึกๆกับมัน รายละเอียดของมัน จะมีอยู่ลึก ๆ ว่า
ความสุขของแต่ละคนนั้นมันเป็นอะไร ฟังแล้วอาจจะมีใคร
หรือเหตุการณ์อะไรในหัวเราที่แว่บเข้ามา
แต่ละคนก็จะมีภาพเฉพาะ...ที่ทำเพลงบรรเลงในชุดนี้
เพราะผมติดเรื่องการเขียนเนื้อเพลงมากในช่วงที่ผ่านมา
ก่อนที่จะได้เนื้อ เพลงในชุดนี้มา ผมไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร
มันก็เลยคิดว่า บางทีเราอาจจะไม่ ต้องพูดก็ได้
ถ้าไม่มีคำจะพูด ก็เลยคิดว่าเป็นเพลงบรรเลงก็ดี
มันอาจจะมีมู้ดของอารมณ์ที่เป็นเพลงนั้น ๆ
แทนที่จะใช้คำร้องเป็น ตัวสื่อ หรืออาจจะเป็นแค่เสียงก็ได้อย่าง Animal
มันก็จะสื่อถึงพื้นฐาน ในตัวแต่ละคน”
นอกเหนือจาก เพลงบรรเลง ที่เพิ่มขึ้นมา
ยังรู้สึกอีกว่ากลิ่นความเป็น ร็อคในตัวงานนั้นจางลง
นี่เป็นวิวัฒนาการของศิลปินร็อคทั่วโลกหรือเปล่า
ที่แนวเพลงจะเบาลงเรื่อย ๆ ในอัลบั้มต่อมา...
แต่ โมเดิร์นด็อก ไม่มอง เช่นนั้น
เมธี - “พวกเราทำงาน ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะหนักขึ้นหรือเบาลง
อย่าง ความหนัก ก็ไม่ได้จำเป็นว่ากลองจะต้องดัง
หรือเสียงกีตาร์จะต้องแผด มันอาจจะหนักที่ลักษณะบางอย่าง
สีหรือ เมโลดี้ มากกว่า”
ป๊อด - “อาจจะไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำว่าร็อคหรือป๊อบอิเล็กทรอนิกส์
ยังไง มีเสียงอะไรอยู่ในหัวก็เอาออกมา ไม่ได้นึกว่าจะต้องทำป๊อบ
ทำร็อค อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว
อยากลองกีตาร์เสียงแบบนี้ดู เสียงกลอง แบบนี้ดู”
มีความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนมากในงานชุดนี้ของพวกเขา
เรื่องนามธรรม เป็นเนื้อหาที่พูดถึงอยู่ค่อนข้างมาก
จะมีผลต่อความเข้าใจในคนหมู่มาก บ้างหรือเปล่า...ป๊อด
น่าจะตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด เพราะเนื้อเพลงทั้งหมด
จากทุกอัลบั้มนั้น ออกมาจากภาษาในหัวของเขาทั้งสิ้น
“จริง ๆ แล้ว พื้นฐานอารมณ์ของคน ของมนุษย์นะ
ผมว่ามันเหมือน กันเลย ถ้าพูดภาษาพระ เขาเรียกว่า
รักโลภโกรธหลง ประมาณนี้ ดังนั้นแกน จริง ๆ มันเหมือนกัน
ไม่ต่างกันเลย แค่ว่าจะพูด จะหยิบประเด็นไหน ถ้าเป็นหนัง
ก็จะมีพระเอก นางเอกคนละคน เหตุการณ์ คนละเหตุการณ์
แต่ถามว่า มองลึกลงไปถึงอารมณ์ ความรู้สึกแล้วมันก็เหมือนกัน
ความอยาก ความไม่อยาก ความเศร้า ความรัก รู้สึกอย่างนั้นไหม”
พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว คงเหลืออยู่แต่กลุ่มเมฆสีครามเข้มที่
กำลังเปลี่ยนตัวเองให้กลมกลืน กับเวลาที่ผ่านไป แสงไฟจากสรรพสิ่ง
เบื้องล่างเริ่มส่องสว่างขึ้น อีกครั้ง...ทุกอย่างเดินหน้าไม่เคยหยุด
โมเดิร์นด็อกในวันนี้ จะค้นพบตัวเอง แล้วหรือยัง
ว่าจะยืนอยู่ในตำแหน่งไหนในโลกดนตรี และจะเดินทางต่อไป ยังไง
ป๊อด - “ผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราตอนนี้ คือความชอบในดนตรี
และมันก็พามาเป็นอาชีพ คือเราไม่ได้ตั้งเป้าไว้เลย
เพราะเราทั้งสี่คน เรียนต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรียนศิลปะ
เรียนสถาปัตย์ฯ เรียนวิศวะฯ แต่บังเอิญ
ที่เราเลือกที่จะสนุกกับการตั้งวงเล่นกันสนุก ๆ
มันส่งผลต่อมาเรื่อย ๆ เป็นสเต็ป ๆ จนถึงตอนนี้
มันเป็นอะไรที่เราไม่ได้คาดการณ์ อย่างผมเอง
ผมมาหาความรู้ทางด้านดนตรี หลังจากทำอัลบั้มชุดแรกไปแล้ว
พอเราได้ทำ เรารู้สึกว่างานตรงนี้มันไปกับเราได้
แต่ตัวเรายังขาดความเข้าใจ อะไรอีกหลายอย่าง
ก็เลยเลือกที่จะไปเรียนต่อ เหมือนกับ ยังขาดอะไรอยู่
ก็ยังหาอยู่เรื่อยๆ ยังเรียนอยู่เรื่อยๆ
ยังมีอีกเยอะที่พวกเรายังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ค่อย ๆ ทำไป
เราก็จะรู้ จะเห็นและเข้าใจมากขึ้น มันเหมือน
กับการใช้ชีวิตเลย มันเป็นสเต็ป บางครั้งเราค้นพบตัวเอง
ในบางอย่าง ที่เรานึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นอย่างนั้นในอายุหนึ่ง
นึกออกไหมฮะ มันผุดขึ้นมา และเราก็เรียนรู้กับมัน ว่าจะเป็นยังไงต่อไป”
จากคำพูดของป๊อด การค้นหาตัวเองนั้น หากใช้เวลานานเกินไป
คนฟังที่เคยติดตามอยู่ จะค่อย ๆ ลดลงหรือไม่ เพราะ
เวลา ๖-๗ ปี ไม่ใช่น้อยเลยสำหรับการติดตามใครสักคน
ใช่หรือเปล่าว่ามันก็ต้อง มีจุดสิ้นสุด
ป๊อด - “ผมว่าจริง ๆ แล้ว อัลบั้มแต่ละอัลบั้ม มันจะมีช่วงเวลา
ของคนกลุ่มหนึ่ง หมายถึงศิลปินที่ทำงาน
มันเหมือนกับคนที่อายุ ๓ ขวบ ๑๓ ,๒๓, ๓๐ มันจะมีลักษณะเฉพาะตัว
เหมือนกับไดอารี่ คนที่มองเข้ามา เขาก็จะสัมผัสกับแต่ละช่วงนั้นๆ
เขาอาจจะพึงพอใจกับเด็กคนนี้ ตอน อายุ ๓ ขวบ
ที่มีความร่าเริง บริสุทธิ์ หรือเด็กอายุ ๑๓ ซึ่งกำลังเกเรหรือ
อาจจะไม่ชอบในตอนนี้ตอนนั้น นึกออกไหมฮะ
คนที่ทำก็สื่อสิ่งที่เขา ทำออกมา คนที่รับก็คือคนที่เลือกว่า
เขามองยังไง ซึ่งก็แตกต่างกันออกไป
ผมอยากจะสนุกกับการเล่นดนตรีของตัวเอง
และเพื่อน ๆ ให้มากที่สุด อยากให้เราเลือกที่จะทำตรงนี้
และทำมันแล้วมีความสุขที่ได้ทำ
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจะมีความสุขมากกว่า
ขายดีแล้วไม่มีความสุข
ทำเพื่อเอาใจ ใคร หรือไม่เป็นตัวของตัวเอง อะไรอย่างนั้น”
บรรยากาศช่วงท้ายกำลังจริงจัง แต่ก็มีคำถามจากทีมเพลิน
คนหนึ่งมาเปลี่ยนอารมณ์ในวงสนทนาไปได้
ก็ใครจะไปอุตริถามกันเล่า ว่าพวกคุณอยู่ได้ไหมกับการเป็นศิลปิน
หมายความว่าตอนที่คุณไม่ทำงาน เพลง จะเอาสตางค์ที่ไหนใช้
ดูซิถามไปได้ แต่เมื่อ เพลิน กล้าถาม เมธี ก็กล้าตอบ
“ก็ใช้เงินอย่างประหยัดกัน คือเราไม่มีงานประจำ
ไม่ต้องขับรถไป ทำงานตอนแปดโมงเช้า ไม่ต้องตื่นแต่เช้า
คอร์สที่จะเสียเงินของเราก็จะน้อย
ตื่นมาแปรงฟันล้างหน้า เราก็แต่งเพลงที่บ้านได้”
เอาล่ะ จะจบอย่างซึ้ง ๆ เท่ห์ ๆ คงไม่สำเร็จแล้ว เพลิน ก็นึกตั้ง
คำถามสนุกเสียเลยว่า ถ้าเปรียบโมเดิร์นด็อกเป็นหนังสักเรื่องแล้ว
หนัง เรื่องนั้นน่าเป็นเรื่องอะไร ก่อนที่ใครจะตอบ
เพลินอดคาดเดาไม่ได้ว่าจะต้อง เป็นหนังอาร์ตเฮาส์ (ที่เราไม่รู้จัก)
หรือเป็นหนังของผู้กำกับอินดี้ชื่อดังอย่าง เควนติน ตาเรนติโน่
หรือ หว่องคาไว เป็นแน่ ผิดคาดหนังของโมเดิร์นด็อก
กลับล้ำขึ้นไปยิ่งกว่านั้น
ป๊อด - “เป็นเทเลทับบี้ฮะ (เสียงเพื่อน ๆ หัวเราะเห็นด้วย)
มันน่ารักดี ชอบที่มันฉายซ้ำ มันจบแล้วก็ฉายใหม่
คุณบ๊อบดูประจำ คุณบ๊อบเป็น ตัวสีม่วง จะมีกระเป๋าถือสีแดง (หัวเราะ)”