Custom Search

Aug 15, 2009

หนึ่งวันของ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์



เรื่อง : ขาว-ดำ
ภาพ : กิตติเดช เจริญพร


บ่ายวันแดดร้อนวันหนึ่งของเดือนมีนาคมเขาก็มาเยือนอิมเมจ
หนุ่มฮอตร่างสูงเกือบ 180 เซนติเมตร

ที่เมื่อไม่นานมานี้เคยตกเป็นข่าวเรื่องสัมพันธ์รักกับดาราสาว

และต่อมาก็เปิดตัวให้สัมภาษณ์กับสื่ออีกหลายเล่มติดต่อกัน
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ คือหนุ่มฮอตที่เราพูดถึง
เป็นดาราหนุ่มลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสวัย 28 ปี

สาวน้อย-ใหญ่ในอิมเมจออกอาการ‘กรี๊ด’ต้อนรับ
เป็นเรตติ้งที่บอกได้ถึงความนิยม

และทำให้อากาศร้อนของวันดู ผ่อนคลาย
จากความอบอ้าวสู่ความชื่นบาน และท้ายที่สุด

ภาพของเขาในลักษณะเคียงกายก็ได้รับการบันทึกไว้ใน
โทรศัพท์มือถือของบรรดาสาว น้อย-ใหญ่อีกครั้ง

เสร็จสิ้นจากการถ่ายภาพในสตูดิโอ ซันนี่
ก็มานั่งประชิดเทปบันทึก

อารมณ์สนุกของเขายังมีอยู่ครบครัน
รวมทั้งความช่างพูด และแอ็กติ้งประกอบที่สมจริง


ตอนนี้กำลังถ่ายทำ‘เนื้อคู่ประตูถัดไป’ซีซั่นสองอยู่ใช่ไหม

ครับ เริ่มถ่ายแล้ว

เป็นไงบ้าง
ก็สนุกครับ สนุกกันทั้งกอง เป็นซิตคอมที่เนื้อเรื่องตลก
มีความสนุกอยู่ในตัวเองแล้ว คนที่มาเล่นก็จะคิดโน่นคิดนี่กันมา

เล่นหนังมาสองเรื่อง ซิตคอมหนึ่งเรื่อง เริ่มเข้าที่กับงานแสดงหรือยัง
ตัวผมเองเข้าที่มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่คนอื่นจะมองยังไงผมไม่ทราบครับ

มีฟีดแบ็กถึงตัวเราอย่างไรบ้าง
ก็แล้วแต่ครับ มีทั้งคนชมและไม่ชม หลายอย่างครับ

ตัวซันนี่ เองล่ะ
ผมดูแล้ว คือถ้ากลับไปทำใหม่ได้ ทุกคนก็คงอยากจะทำให้ดีขึ้น
แต่ถ้าผมกลับไปทำใหม่อีกครั้งได้ ผมก็จะทำอย่างนั้นละครับ (ยิ้ม)

เพราะผมรู้สึกว่าผมคือตัวละครแต่ละตัวนั้นแล้ว บางทีคนอาจจะบอกว่าเรื่องที่สองผมดีขึ้น
เล่นเก่งขึ้น แต่ถ้ากลับกัน เรื่องที่สอง (สายลับจับบ้านเล็ก)
มาก่อนเรื่องแรก (เพื่อนสนิท)
ผมก็เล่นเหมือนเดิม เพราะตัวละครคนละตัวกัน

เรื่องที่สองทำให้การแสดงง่ายขึ้นไหม
ผม ไม่เคยคิดถึงเรื่องยากง่ายเลยครับ ผมทำอะไรทุกครั้งอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
แต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนจะมองว่าใครที่มาเล่นเรื่องแรกมักจะไม่ดี
ยังไม่อะไร ซึ่งก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ชีวิตเปลี่ยนไปไหมหลังจากมีผลงานออกมา
ก็ เปลี่ยนไปตรงที่มีคนจำได้มากขึ้น และอีกอย่างก็คือ
มีสิ่งที่รักสิ่งแรกในชีวิต คือรักการแสดงครับ
ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับทุกสิ่งที่เคยทำมาน่ะครับ

อย่างเล่นดนตรีก็รู้สึกเฉยๆ ถ่ายโฆษณาก็รู้สึกว่า
มันเป็นงาน แต่สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัก และรู้สึกว่าเป็นอาชีพ

แล้วทำไมรับงานแสดงน้อย
มัน เป็นความรู้สึกน่ะครับ ถ้าอันไหนที่ผมรู้สึกว่าไม่ได้ปิ๊ง ไม่ได้ชอบมัน
แล้วเราจะไปทำทำไม รู้สึกแค่นั้นละครับ เหมือนเราเจอเสื้อผ้า
ที่เห็นแล้วซื้อทันที กับเห็นปุ๊บแล้วยังไงดีน้า...
อย่างนี้มากกว่า ก็เลยปฏิเสธบางสิ่งบางอย่างไป


งานพิธีกรรายการ‘หนึ่งวันเดียวกัน ’ล่ะ เป็นอย่างไร
ชอบครับ ชอบมาก ตรงที่มันสร้างแรงบันดาลใจให้คน เป็นสรณะให้คนดูได้
มีเรื่องราวที่เราไม่เคยเห็น อย่างเรื่องหนึ่งที่ ผมไปทำมา
คือตัวคนให้สัมภาษณ์บอกว่า เขารู้สึกผิดจังเลยที่รับเงินเดือน

คือเขารักงานนี้แล้วทำไมเขาต้องรับเงินเดือน มีคนอย่างนี้ด้วยนะครับ (ยิ้ม)
มันเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คน เขาทำงานอาสาสมัคร เขารักในสิ่งที่เขาทำ

ซันนี่ เชื่อหรือว่าใครจะทำอย่างนั้นได้จริง
เขา รักในสิ่งที่เขาทำ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ผมไม่ใช่ตัวเขา
แต่ผมว่าคนที่ประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นมีความแตก-ต่างกัน
บางคนวัดจากการมีเงินสิบล้าน แต่ชีวิตผมไม่ต้องการอย่างนี้
ผมไม่จำเป็นจะต้องยึดติดกับสิ่งเหล่านี้เลย


“ผม ไม่ต้องการมีสิบล้านหรือรถหรูๆ ไม่ใช่ครับ
ผมไม่อยากทำงานเก็บตังค์

แล้วพออายุสี่สิบ-ห้าสิบไปเที่ยว มันไม่มันแล้ว
ผมอยากทำไปด้วยแล้วใช้ชีวิตไปด้วยตลอดเวลา”

แนวคิดของซันนี่ เป็นอย่างไร
ผมเป็นคนใช้ชีวิตครับ แล้วรู้สึกดีกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว และดูแลครอบครัวได้

เท่านั้นเอง ผมไม่ต้องการมีสิบล้านหรือรถหรูๆ ไม่ใช่ครับ
ผมไม่อยากทำงานเก็บตังค์ แล้วพออายุสี่สิบ-ห้าสิบไปเที่ยว
มันไม่มันแล้ว ผมอยากทำไปด้วยแล้วใช้ชีวิตไปด้วยตลอดเวลา

ซึ่งตอนนี้ก็ทำอยู่

ครับ ผมทำเรื่อยๆ แล้วไม่ใช้ตังค์เปลืองด้วย

ได้ใช้สิ่งที่เรียนมาบ้างหรือเปล่า
ก็ ทุกสิ่งทุกอย่างละครับ ที่เรียนมามันก็ทำให้ฉลาด ให้เราสามารถวิเคราะห์ วิจัย
และมองสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจมากขึ้น เรียนเพื่อให้ฉลาด
ผมไม่ได้เรียนเพื่อตามตำราหรือเรียนเพื่อเอาใบปริญญา
เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าผมคงไม่เอาไปใช้
อีกอย่างหนึ่ง เรียนเพื่อจบปริญญาตรีด้านสังคมฯ

เพื่อเวลาข้างบ้านมาถามแม่ผมว่าลูกจบหรือยัง
แม่จะได้ตอบว่า จบแล้ว (หัวเราะ)
แค่นั้นแหละครับ ไม่งั้น ว้าย ลูกยังไม่จบ ลูกเรียนหรือเปล่าเนี่ย

จบตามเวลาปกติหรือเปล่า
ไม่ครับ ตอนนั้นผมไม่มีตังค์เรียน จบเกือบห้าปี
เพราะไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอม

ช่วงนั้นมีปัญหาที่บ้าน
ใช่ครับ แต่ก็โอ.เค.ครับ ช่วงนั้นผมเล่นดนตรีไปด้วย เป็นช่วงชีวิตที่สนุก (ยิ้ม)


รู้สึกคุ้มค่ากับการทำงานไหมตอนนั้น
ทุก สิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาหรือที่ผมตัดสินใจไปแล้วมันคุ้มค่าหมดละครับ
ผมไม่เคยคิดย้อนกลับไปเลยว่า รู้งี้ทำอย่างโน้นดีกว่า
มันคือสเต็ปของชีวิตคน จะซวยก็ซวย จะโชคดีก็โชคดีไป

ไม่เสียใจกับอดีต
ไม่เคยครับ (หัวเราะ)

ซันนี่ ทำงานทุกวันหรือเปล่า
ช่วงหลังๆ นี่เกือบครับ แต่ไม่ทุกวัน อย่างงานพิธีกรรายการ อาทิตย์หนึ่งถ่ายแค่วันเดียว
หรือไม่ก็สองวันส่วน ซิตคอมถ่ายเดือนละสี่-ห้าครั้ง ที่เหลือก็ใช้ชีวิตเหมือนเดิม
แต่ถ้าเกิดมีสิ่งที่ผมอยากทำเข้ามา ต่อให้ทำงานเจ็ดวันผมก็ทำ
ถ้าผมอยากทำนะครับ แต่ทีนี้มันมีที่อยากทำแค่นี้เอง

จะให้ผมทำงานหนักผมก็ทำได้ เพราะถ้าเป็นงานที่ผมรักก็ถือว่าผมใช้ชีวิตไปด้วย
ไม่จำเป็นจะต้องทำงานสามวันแล้วว่างสี่วันไปเที่ยว

ชอบอะไรในงานแสดง
ความรู้สึกมั้งครับ ความรู้สึกที่ได้คิด ได้ใช้ความรู้สึกในการทำ คือความเชื่อนะครับ

บางทีผมเล่นไปผมไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองทำอะไร พอมาดูที่มอนิเตอร์
อ๋อ เมื่อตะกี้ผมทำอย่างนี้ออกไปเหรอ (ยิ้ม)
มันมาจากข้างในน่ะครับ มันเชื่อก่อน ผมไม่ได้คิดว่าวันนี้
จะต้องเดินออกไป หันหน้าสี่สิบห้าองศา (แสดงท่าทาง)
แล้วพูดว่า แกไปไหน แล้วหันกลับมา ไม่ใช่ครับ (หัวเราะ)
มันเชื่อข้างใน แล้วทำทุกอย่างเป็นธรรมชาติ

หรือชอบที่ได้เป็นตัวละครที่ไม่ใช่ตัวเอง

ไม่ใช่ครับ มันเป็นความรู้สึกที่ว่าตัวเองทำได้ประมาณหนึ่งแล้ว
ได้คิดอะไรเยอะ ได้ไปกองถ่าย

เป็นอาการติดหรือเปล่า
ไม่ทราบครับ (หัวเราะ) ผมไม่เคยติดอะไรเสียด้วย แต่มันชอบ
เหมือนเตะบอลแล้วชอบ เล่นดนตรีแล้วชอบ ฟังเพลงแล้วชอบ

เหมือนกัน แต่ว่ามันมากกว่า ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง

วันว่างซันนี่ทำอะไร
ไปเที่ยว ไปเรื่อยละครับ บางทีไปต่างจังหวัดกับเพื่อน มีสังสรรค์กับเพื่อน เดินเล่น
เตะบอล ส่วนใหญ่ไปกับเพื่อนตามที่ต่างๆ มากกว่า เพราะว่าเราสนิทกันเกินเหตุ
ว่างไม่ได้ต้องคุยกัน เจอกันห้าวันติดๆ ก็ยังมีเรื่องคุยกันทั้งห้าวันผมเพื่อนเยอะ


มีความเชื่อทางศาสนาอีกไหม
ตอนนี้เชื่อแค่ความดี แต่ไม่มีความศรัทธาครับ ผมเป็นเจได (หัวเราะ)


แล้วเชื่ออะไร
เชื่อในความดีครับ เชื่อในจิตสำนึก เพราะจิตสำนึกผมดีอยู่แล้ว (ยิ้ม)
เราเข้าใจศาสนาว่าอะไรควร แล้วเราก็ต้องพึ่งตัวเอง แค่นั้น

ตอนที่ยังเชื่ออยู่เคยคาดหวังไหม
ก็ เพราะคาดหวังไงครับ ผมถึงเสียศรัทธา ตั้งแต่เด็กเกิดมาผมก็เป็นคริสต์แล้ว

มีพิธีต่างๆ สวดมนต์ ไปวัด จนมาเสียศรัทธาก็เลย...
ก็ไม่มีใครลงจากฟ้ามาช่วยผมน่ะ ที่บ้านผมก็ไม่มีใครช่วย
ผมก็เลยต้องทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งใคร
แต่ถ้าเจอผีก็ซวยหน่อยละครับ (หัวเราะ)
ต้องสู้กับผีโดยไม่มีพระ

กลัวผีเหรอ
กลัวอยู่แล้ว (หัวเราะ) ไม่เคยเจอนะครับ แต่กลัว
อาจจะเป็นสิ่งที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กก็ได้ เรื่องผี ซึ่งอาจจะไม่มีก็ได้


ความคิดเรื่องการเมืองล่ะ
เรื่องการเมืองเหรอ ผมไม่เชื่อน่ะ ไม่เชื่อว่าอยู่ดีๆ
ใครจะมาเสนอตัวเข้ามาทำอะไรเพื่อประเทศชาติ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดีนะครับ แต่ผมไม่เชื่อเท่านั้นเอง

ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ก็แค่คนแย่งอำนาจกันใช่มั้ยครับ แค่นั้นเอง

คิดว่ามีทางออกไหม
ไม่มีหรอกครับ ตราบใดที่ยังใช้คนหมู่มากกับคนหมู่น้อยอยู่
ยกเว้นเราจะเป็นคอมมิวนิสต์อีกครั้งหรือเปล่า ไม่ทราบครับ
ผมว่าถ้ามีการพัฒนาการศึกษา น่าจะช่วยได้มากที่สุด
พัฒนาการศึกษาของประเทศ ไม่ต้องเรียนสูง
แต่ให้เรียนแล้วฉลาด เรียนแล้วสมองกว้าง คิดได้เอง

ไม่ต้องฟังใครแล้วตาม น่าจะช่วยได้ครับ