วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชนออนไลน์
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
"เงินตาย" และ "เงินเป็น" มีลักษณะแตกต่างกัน
หากไม่พิจารณาดูให้ดีจะมองไม่เห็นและ
อาจทำให้เสียประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งไปกว่านั้น "เงินตาย" อาจขายคนเป็นได้ด้วย
เงินนั้นเป็นได้ ทั้งศัตรูและมิตร ถ้าเงินนั้นเป็นเงินกู้
ไม่ว่าเป็นคนรวยหรือคนจน ทุกวินาทีไม่ว่าหลับหรือตื่น
อาศัยอยู่ใต้น้ำหรือใต้ดินลึกไปกี่กิโลเมตรก็ตาม
ดอกเบี้ยจะบานอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้ถือว่าเงินเป็นศัตรูในพื้นฐาน
หาก เงินที่กู้มานั้นสามารถช่วยให้เงินงอกงามคุ้มกับดอกเบี้ยที่ต้องจ่า
เงินกู้ก้อนนั้นก็กลายสภาพจากศัตรูเป็นมิตร
แต่ถ้าเงินกู้ถูกใช้อย่างไม่คุ้มค่า ความเป็นศัตรูของเงินก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเงินนั้นเป็นเงินของเราที่ได้มาจาก
การทำงานและสามารถ อดออมไว้ได้ส่วนหนึ่ง เงินนั้นก็เป็นมิตรกับเรา
หาก เอาไปฝากในธนาคารหรือซื้อหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคง
เงินก็จะงอกงามยิ่งขึ้น เงินก้อนนั้นจะยิ่งเป็นมิตรกับเรา
แต่ถ้านำเงินนั้นไปใช้อย่างไม่เกิดประโยชน์
มันก็จะกลายร่างจากมิตรเป็นศัตรู ได้เช่นกัน
การเป็นมิตรและศัตรูของเงินจึงขึ้นอยู่กับที่มาของเงิน
และลักษณะของการนำเงินนั้นไปใช้ เงินที่เป็นศัตรูสามารถ
เปลี่ยนเป็นมิตรได้หากนำไปใช้อย่างคุ้มค่า
และเงินที่เป็นมิตรซึ่งมาจากการอดออม
ก็สามารถเป็นศัตรูได้หากนำไปใช้อย่าง ไม่เกิดประโยชน์
นอกจากลักษณะของการเป็นมิตรและศัตรูของเงินแล้ว
เงินยังสามารถแบ่งออกได้เป็น "เงินตาย" และ "เงินเป็น" อีกด้วย
ขอยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ ค่าเช่าบ้านหรือ
ที่อยู่อาศัยเป็น "เงินตาย" ส่วนค่าผ่อนบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็น "เงินเป็น"
สถานการณ์ที่เศร้าก็คือบุคคลหนึ่งสามารถทำให้
"เงินตาย" กลายเป็น "เงินเป็น" ได้ แต่ไม่ทำเพราะไม่รู้จนเสียโอกาส
ค่าเช่าบ้านคือค่าบริการสำหรับการเช่าบ้าน
ทุกเดือนที่จ่ายไปมิได้ทำให้เข้าไปใกล้ความเป็นเจ้าของมันเลยแม้แต่น้อย
แต่ สำหรับเงินที่จ่ายในแต่ละเดือนด้วยจำนวนเดียวกัน
บ้านหลังเดียวกัน แต่จ่ายเป็นค่าผ่อนบ้านแล้ว
เงินนั้นก็คือ "เงินเป็น" เพราะทำให้เข้าใกล้
ความเป็นเจ้าของบ้านซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
และหากไม่อยู่เองเอาไปให้คนอื่นเช่าก็ได้
ค่าเช่าเป็นรายได้โดยไม่ต้องทำงาน
ข้อแตกต่างของสองสถานการณ์ก็คือ
เงินดาวน์บ้านซึ่งสามารถเปลี่ยนสภาวะจากการเช่ามาเป็นการผ่อนส่ง
ถ้าไม่มีเงินดาวน์บ้านเพราะรายได้น้อยจนไม่สามารถออมได้
หรือเช่าอยู่ชั่วคราวก็พอฟังได้เพราะไม่มีทางหลีกเลี่ยงการเป็น "เงินตาย" ได้
แต่สำหรับคนที่สามารถออมได้ แต่ไม่ได้ออม
จนต้องตกอยู่ในสภาวะการเช่าแล้ว
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก
เพราะเงินจะตายอยู่อย่างนั้นอย่างไม่อาจเป็น "เงินเป็นได้"
สถานการณ์ ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือบ้าน
ก็ยังเช่าอยู่จ่ายค่าเช่าบ้านเป็น "เงินตาย" อยู่ทุกเดือน
แต่เมื่อมีโอกาสกู้เงินก็กลับเอามาผ่อนซื้อรถยนต์
เพื่อความ "หน้าบาน" ของตนเอง
อย่างนี้เรียกว่าเป็นคนถูกทำร้ายสองต่อคือ
"เงินตาย" (ค่าเช่าบ้าน) ทำร้าย
และค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ทำร้าย
(ตอนซื้อมาราคา 800,000 บาท
หากจะขายเมื่อซื้อมาได้ 1 ปี ก็ได้ราคาแค่ 650,000 บาท
ดังนั้น จึงหายไป 150,000 บาท
ในเวลา 1 ปี หรือเฉลี่ยเดือนละ 12,500 บาท)
" เงินตาย" อีกลักษณะหนึ่งก็คือค่าเสื่อม
ซึ่งเป็นเปรียบเสมือนกับ "เงินตาย"
ชนิดที่มองไม่เห็น ค่าเสื่อมไม่ใช่เงินสด
ที่ไหลออกจากกระเป๋าอย่างจับต้องได้
คนจึงมักมองข้าม ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว
เป็นเงินหรือค่าใช้จ่ายซึ่งมนุษย์ที่มีทรัพย์สิน
เสื่อมค่าได้ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา
และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
ยิ่ง มีทรัพย์สินมากเพียงใดยิ่งมีค่าเสื่อมมากเพียงนั้น
ระหว่างทางที่มันเสื่อมผู้คนมักมองไม่เห็น
เพราะจับต้องไม่ได้ จะเห็นก็ต่อเมื่อขายทรัพย์สินนั้น
และเรียนรู้ว่ามูลค่าของมันลดลงไปมากกว่าเมื่อตอนซื้อมา
มูลค่าที่แตกต่างนี่แหละคือมูลค่าที่สูญหายไปหรือ "เงินตาย"
กล่าว โดยสรุปคือ "เงินตาย" คือเงินที่จ่ายหรือ
สูญเสียไปโดยมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ขึ้นในอนาคตดังเช่น
ค่าเช่าบ้านที่ต้องจ่ายไปโดยไม่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น
ซึ่งต่างจากเงิน ค่าผ่อนบ้านซึ่งเป็น "เงินเป็น"
เพราะทำให้ได้เป็นเจ้าของในที่สุดและได้ประโยชน์อีกนานาประการ
ค่า เสื่อมเป็น "เงินตาย" เพราะเป็นเงินที่สูญไปในสภาวะจำยอม
โดยเงินที่สูญไปนั้นมิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต
(ถึงแม้ว่ามันคือราคาของการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินก็ตาม)
"เงินตาย" นั้นหลีกเลี่ยงได้ในกรณีของการเช่าบ้าน
แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในกรณีของการเสื่อมค่า
" เงินเป็น" นั้นคือเงินที่เมื่อใช้ไปแล้วก่อให้เกิดประโยชน์
ในอนาคตดังเช่นการผ่อน ส่งบ้าน
การลงทุนในโครงการที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์อย่างคุ้มค่า
ถ้า บุคคลหนึ่งใช้เงินของตนเองไม่ว่ามาจากการออมหรือ
กู้เขามาอย่างไร้ความหมาย เงินที่จ่ายออกไปคือ "เงินตาย"
ดังนั้น ถ้าจะหลีกเลี่ยงสภาวะดังกล่าวและ
ต้องการทำมันเป็น "เงินเป็น" แล้ว
ก็จำต้องใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลโดยคำนึงถึงประโยชน์ของมันในอนาคต
การ ใช้จ่ายเงินสำหรับการบริโภคยาเสพติด
การบริโภคที่ทำลายตนเองด้วยการสร้างนิสัยที่ไม่พึงปรารถนา
(สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน)
การบริโภคสิ่งที่ตนเองไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อหามาได้
(การบริโภคเกินฐานะ) ฯลฯ คือการใช้จ่าย "เงินตาย"
"เงินตาย" ขายคนเป็นเพราะทำร้ายและทำลายเจ้าของเงิน
เนื่องจากไม่เป็นสิ่งที่เป็น ประโยชน์ในอนาคต
ซึ่งต่างจาก "เงินเป็น" ซึ่งโยงใยกับประโยชน์ในอนาคต
การ มีเงินมากมิได้แก้ไขปัญหาชีวิต
หากอาจทำให้ชีวิตยุ่งยากและมีปัญหามากขึ้นก็เป็นได้
ตราบที่ไม่รู้จักข้อแตกต่างระหว่าง "เงินตาย" และ "เงินเป็น"
"เงินตาย" จะลดน้อยลงหรือแปรเปลี่ยนสภาพเป็น
"เงินเป็น" ได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจว่า
อะไรคือ "เป็น" และอะไรคือ "ตาย"