มติชน
31 ธันวาคม 2553
กำลังจะผ่านปีเสือดุไปอีกปี เข้าสู่ปีกระต่าย...
แม้ว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตคนไทยจะเจออะไรที่หนักหนามามากมาย
แต่เมื่อชีวิตยังอยู่ ก็ต้องสู้กันไป ถ้ามีกำลังใจ ชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ
ว่าแต่ว่า ก่อนเริ่มปีใหม่นี้ เรามีแนวทางชีวิตใหม่ที่ดีให้เริ่มต้นเดินกันหรือยัง ?
ถ้ายัง มาฟังกันทางนี้
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี
31 ธันวาคม 2553
กำลังจะผ่านปีเสือดุไปอีกปี เข้าสู่ปีกระต่าย...
แม้ว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตคนไทยจะเจออะไรที่หนักหนามามากมาย
แต่เมื่อชีวิตยังอยู่ ก็ต้องสู้กันไป ถ้ามีกำลังใจ ชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ
ว่าแต่ว่า ก่อนเริ่มปีใหม่นี้ เรามีแนวทางชีวิตใหม่ที่ดีให้เริ่มต้นเดินกันหรือยัง ?
ถ้ายัง มาฟังกันทางนี้
พระนักคิดที่แหลมคมท่านหนึ่งในสังคมไทย
มาพูดคุยถึงเข็มทิศชีวิตใหม่เพื่อความเป็นสิริมงคลรับปี พ.ศ. 2554
ท่านเริ่มจากการมองย้อนกลับไปปีเสือ ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งปีว่า...
"พระ อาจารย์คิดว่า การดำเนินชีวิตใหม่ของปีหน้าต้องดูจากปีนี้ก่อน
ปีนี้เป็นปีที่สังคมไทยเข้าสู่โหมดของความรุนแรงในทุกด้าน
ทั้งเรื่องความรุนแรงทางด้านความคิดที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน
ปีหน้าเราต้องหันมาลดทัศนคติที่เป็นรากฐานความรุนแรงตัวนี้ให้ได้
มิเช่นนั้นแล้ว สิ่งนี้จะเป็นอาวุธร้ายที่น่ากลัวยิ่งกว่าเอ็ม-79 เอ็ม-79
ยิงไปที่ไหนก็ระเบิดเฉพาะที่ เฉพาะจุด
แต่ทัศนคติอันตราย ถ้าจุดไปแล้ว
จะกระจายแทรกซึมเข้าไปในทุกมิติของสังคมไทย"
ความรุนแรงต่อมาคือ ความรุนแรงทางการเมือง
"การเมืองทุกวันนี้ยังคงเป็นธนาธิปไตย หมายความว่า
ยังคงเป็นการเมืองเพื่อเงิน ยังไม่ใช่การเมือง
เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและของประชาชน
เราต้องช่วยกันติง ช่วยกันเตือน ช่วยกันส่งเสียงร้อง
ให้นักการเมืองทั้งหลายได้ตระหนักรู้ว่า
การเมืองหลงทิศผิดทางออกไปมาก
ต้องนำการเมืองที่เป็นธนาธิปไตย
การเมืองที่รองรับหรือขับเคลื่อนด้วยกระบวนการคอร์รัปชั่นระดับชาติ
ลดน้อยถอยลงให้มากที่สุด"
ท่าน ว.วชิรเมธีหยุดพิจารณาครู่หนึ่งแล้วเล่าต่อว่า...
"อีก เรื่องคือ ความรุนแรงทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเข่นฆ่าประชาชนคนไทยด้วยกันเอง
กลายเป็นเรื่องที่ถูกทำให้ดูเหมือนธรรมดา
ถ้าเรายอมรับการเข่นฆ่าว่าเป็นเรื่องปกติ วันหนึ่ง
สิ่งนี้จะกลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักของสังคมไทย
วันไหนไม่ฆ่า วันนั้นแปลก
จะเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุดสำหรับสังคมไทยในอนาคต
เพราะฉะนั้น เราจะต้องถอดถอน
การข่มเหงซึ่งกันและกันให้เหลือน้อยที่สุด
ให้เราหันมาอยู่กันด้วยเมตตา"
ประการต่อมา สิ่งที่จะต้องช่วยกันกำจัดก็คือปัญหาทางศีลธรรมของสังคม เช่น
ปัญหาการพบเด็กที่ถูกทำแท้งกว่าสองพันชีวิต
แล้วสถิติการทำแท้งสามแสนคนต่อปี อันนี้เฉพาะตัวเลขบนดิน
นี่เป็นตัวเลขที่อันตรายมาก สะท้อนปัญหาของสังคมไทยว่า
ความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมขึ้นถึงจุดที่อันตรายมาก
ทำอย่างไรเราจึงจะสามารถลดความเสื่อมโทรมของศีลธรรมเหล่านี้
ให้กลับมาสู่ ความเป็นสังคมที่ศีลธรรมนำหน้า
"และอันตรายอีกประการหนึ่งก็คือ
ค่านิยมวัตถุนิยมซึ่งครอบงำสังคมไทยอย่างเข้มข้นและรุนแรงมาก
เราวัดค่าของคนกันที่ความมั่งมีศรีสุข ซึ่งไม่ถูกต้อง
สมัยก่อนเขาใช้คำว่า อยู่เย็นเป็นสุข มั่งมีศรีสุข
เป็นเกณฑ์วัดความสำเร็จของมนุษย์โดยใช้วัตถุและการบริโภคเป็น ตัวตั้ง
ถ้าเราวัดกันอย่างนี้ คนที่ประสบความสำเร็จก็มีน้อยมาก
แล้วทรัพยากรก็จะไม่ถูกกระจายไปถึงคนส่วนใหญ่
จะก่อให้เกิดภาวะสุขกระจุกและทุกข์กระจาย
ในระยะยาวอาจจะเกิดสงครามแย่งชิงทรัพยากรระหว่างชนชั้นได้
ฉะนั้น ต้องช่วยกันลดทอนค่านิยมวัตถุนิยมให้มาก
หันมาบริโภคกันอย่างมีสติ"
เมื่อมองย้อนปีที่ผ่านมาแล้ว ท่าน
ว.วชิรเมธี ได้บรรยายถึงแนวทางชีวิตใหม่ที่ควรจะเป็นในปีหน้าว่า...
"ปี หน้า พระอาจารย์อยากให้สังคมไทยมาตั้งศูนย์ถ่วงล้อกันใหม่
ให้เป็นสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของสมดุล หมายความว่า
การเมืองก็ต้องมองหาทางสายกลาง ทางสายกลางของการเมืองก็คืออะไร ?
การเมืองเป็นเรื่องของการทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
เป็นเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทุกข์ของประชาชน
ประโยชน์สุขหมายความว่า
นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลผลิตออกมานั้น
จะต้องก่อให้เกิดประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน"
ความสมดุลทางสังคมก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน...
"สังคมต้องกลับมาหาความสมดุล
เราจะต้องทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ยกย่องคนดีแล้วใช้ข้อเท็จจริง
ใช้สติปัญญา ใช้เหตุผล ใช้ศีลธรรมในการขับเคลื่อนสังคมของเรา ที่ผ่านมา
สังคมไทยนั้นเหยียบย่ำซ้ำเติมคนดี
แล้วก็ยกย่องบูชาคนเลวที่ใช้เงินไต่เต้าขึ้นมาสู่ความสำเร็จ
มากุมชะตาของชาติบ้านเมือง ทำให้ชาติบ้านเมืองผิดทิศผิดทางไป
คนเหล่านี้สนใจแต่เพียงว่าทำอย่างไร
เขาจะร่ำรวยและมั่งคั่งให้ได้มากที่สุด เท่านั้น
เป็นเหตุให้เรื่องพื้นฐานทางสังคมหลายเรื่อง เช่น
บรรทัดฐานทางจริยธรรมก็ดี ค่านิยมของสังคมก็ดี
ซึ่งเป็นสิ่งดี ๆ ที่สังคมอุ้มชูอยู่นั้น ถูกทำลาย ถูกบั่นทอนลงไปมาก"
ในมุมธุรกิจ ก็ไม่ควรจะตื้นเขินเพียงแค่ทำซีเอสอาร์กับสังคมเท่านั้น...
"ต่อ ไปเป็นเรื่องธุรกิจ ภาคธุรกิจจะต้องร่วมรับผิดชอบให้มากขึ้น
ไม่ใช่แค่หันไปทำซีเอสอาร์ให้มากขึ้นเท่านั้น
แต่คุณต้องทำให้มากกว่านั้น นั่นก็คือ ภาคธุรกิจต้องมีจิตสำนึกร่วมต่อสังคม
ไม่ใช่ทำให้แต่องค์กรธุรกิจของคุณดีขึ้น
ภาคธุรกิจต้องมีจิตสำนึกในแบบที่ว่า
ถ้าเราไม่ทำธุรกิจที่เบียดเบียนสังคม
เราก็จะได้อยู่ในสังคมที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีร่วมกัน
ให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าคุณได้กำไร
แล้วสังคมขาดทุนหรือเปล่า"
ส่วนด้านสิ่งแวดล้อม ปีนี้เป็นปีที่สังคมไทยพบกับภัยพิบัติมากมาย
ท่าน ว.วชิรเมธี อยากให้เรามาทบทวนกันใหม่
ด้วยการเปลี่ยนทัศนคติใน 3 เรื่อง
"หนึ่ง อย่าแยกตัวเองออกมาจากธรรมชาติ
เพราะแท้ที่จริง มนุษย์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
แต่มนุษย์เป็นตัวธรรมชาติเองเลยทีเดียว
ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า มนุษย์กับธรรมชาติ
คือองค์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จะทำให้เรามาสู่ข้อที่สอง
นั่นคือ จะไม่ทำให้เราหลงผิดคิดว่า
เรามีอาญาสิทธิ์เหนือธรรมชาติ ที่ผ่านมา
มนุษย์เข้าใจผิดว่ามีอาญาสิทธิ์เหนือธรรมชาติ
จึงสูบดินสูบฟ้ามาปรนเปรอกิเลสตัวเองอย่างไม่ปรานีปราศัย
ทำให้ทรัพยากรต่าง ๆ ถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองอย่างรวดเร็ว
ทำให้โลกนี้เสียสมดุล ขอให้เราทั้งหลายวางท่าทีกับธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมด้วยท่าทีที่เรียกกันว่า กัลยาณมิตร
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดนั่งหรือนอนใต้ต้นไม้ต้นใด
ไม่ควรหักราญกิ่งต้นไม้นั้น เพราะผู้ที่หักราญกิ่งไม้ของต้นไม้นั้น
เป็นผู้ประทุษร้ายมิตร และผู้ประทุษร้ายมิตร
นับเป็นคนเลว ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติต่อธรรมชาติ
ปฏิบัติการเบียดเบียนธรรมชาติจะลดน้อยถอยลง
แล้วเราก็จะสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
ได้อย่างฉันพี่น้อง มีความสุขกันมากขึ้น...
ประการที่สำคัญที่สุด อยากให้คนไทยไม่เพียง
แต่ช่วยกันรับมือภัยธรรมชาติเท่านั้น
แต่ขอให้ช่วยกันถอดรหัสด้วยว่า
ธรรมชาติต้องการส่งสัญญาณอะไรให้คุณตระหนักรู้หรือเปล่า
หน้าหนาวทำไมจึงหนาวขึ้น ทำไมฝนจึงตกมากขึ้น
ทำไมน้ำจึงท่วมหนักหนาสาหัส
ธรรมชาติกำลังส่งจดหมายมาให้คุณหรือเปล่าว่า
เกิดการผิดสำแดงบางสิ่งบางอย่างในธรรมชาติ
โดยน้ำมือของมนุษย์
และเราสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อธรรมชาติได้บ้าง...
เหล่านี้คือ สิ่งที่พระอาจารย์คิดว่า
เป็นทิศทางที่เราจะมองร่วมกันไปข้างหน้าในปีพุทธศักราช 2554"