Custom Search

Dec 9, 2009

เด็ดดอกไม้ดูไบกระทบถึงดวงดาว


วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชน
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552



คนไทยรู้จักชื่อดูไบกันเป็นอย่างดีเพราะคุณทักษิณ
ดังนั้น เมื่อบริษัท Dubai World และบริษัทอื่นๆ
ซึ่งเป็นของรัฐบาลดูไบมีปัญหาการเงิน
จนในที่สุดประกาศว่าจะไม่ชำระหนี้เป็นเวลา 6 เดือน
คนไทยจึงยิ่งสนใจกันใหญ่
ข้อเขียนนี้ต้องการชี้ให้เห็นประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจ
ซึ่งอาจยังไม่มีการกล่าวถึง เช่น
ข้อมูลประกอบของการเกิดปัญหา
ผลกระทบต่อฐานะของคุณทักษิณในการตั้งฐานอยู่ในดูไบ ฯลฯ

ดูไบเป็นหนึ่งใน 7 รัฐ (Emirate) ของประเทศ United Arab Emirates (U.A.E)
ซึ่งมีลักษณะเป็นสหพันธ์รัฐ (Federation) Abu Dhabi
เป็นพี่เอื้อยใหญ่สุดเพราะร่ำรวยน้ำมัน (มีร้อยละ 9 ของปริมาณน้ำมันดิบโลก)
และประกอบด้วยรัฐเล็กๆ อีกคือ
Ajman/ Fujairah/ Ras Al / Khaimah และ Sharjah

Emir หรือเจ้าผู้ครองรัฐของดูไบ คือ
Sheik Mohammed bin Rashid al-Maktoum
(ขอเรียกว่า Shiek Mohammed) ได้เป็น Emir มา 3 ปีแล้ว
ตั้งแต่พี่ชายตาย ก่อนหน้านั้น 7-8 ปี
Shiek Mohammed ได้เริ่มสร้างโครงการยักษ์
ที่จะสร้างดูไบให้เป็นประเทศ "เลิศ" ของโลก

วิธีการของเขาก็คือแต่งตั้งที่ปรึกษาสูงสุด 4 คน
และสนับสนุนให้แข่งขันกันสร้างมหาโปรเจ็คต์
ทั้ง 4 ก็สนองตอบด้วยการแข่งขันกันสร้างโครงการที่มหาอมตะ
และอลังการ ผ่านบริษัทที่ตนดูแล
เมื่อดูไบแทบไม่มีน้ำมันเป็นรายได้
ก็จำต้องใช้วิธีการกู้ยืมชนิดมโหฬารจนยอดหนี้
ปัจจุบันของทั้งประเทศขึ้นไปสูงถึง 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
และเมื่อ Dubai World และบริษัทอื่นๆ ที่มีหนี้รวมกัน 59,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขาดเงินสด ก็จำต้องประกาศว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้

บริษัทที่เป็นปัญหาที่สุดคือ Dubai World
ซึ่งมีที่ปรึกษาคนสำคัญที่สุดใน 4 คน คือ
Sultan Ahmed bin Sulayem เป็นประธานกรรมการ
บุคคลนี้คุณทักษิณบอกว่าเป็นเพื่อนรัก
เคยเชิญมาไทยเพื่อลงทุนและกล่าวสรรเสริญไว้มากมายตอนมาไทย
และเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้คุณทักษิณอยู่อาศัยในดูไบได้

Sulatan Sulayem มีอิทธิพลมากต่อ Maktoum
ซึ่งเป็น Emir ของดูไบ แต่ทันทีที่ Dubai World
และบริษัทอื่นๆ มีปัญหา ที่ปรึกษา 3 คน ก็ถูกปลดทั้งหมดทันที
และหนึ่งในจำนวนที่ถูกปลดนี้ก็มี Sulatan Sulayem อยู่ด้วย

ขอยกตัวอย่างโครงการของดูไบที่อลังการสุดสุด
พอให้เห็นภาพว่าทำไมมันถึงได้กลายเป็นปราสาททรายไปได้
ที่รู้จักกันดีก็คือตึก Burs Dubai ซึ่งสูงสุดในโลกในปัจจุบัน
ด้วยความสูง 688 เมตร อย่างไรก็ดีดูไบมีโครงการ
ที่จะสร้างอาคารใหม่ที่สูงกว่าเก่าคือให้สูงถึงกว่า 1 กิโลเมตร
นอกจากนี้ก็มีเกาะ Palm Jumeirah
ที่เอาทรายขึ้นมาถมเป็นเกาะรูปต้นอินทผาลัมเพื่อปลูกบ้าน
มีหมู่เกาะใหม่ที่มีลักษณะเป็นแผนที่โลก
โครงการ Jumeirah Gardens (สวนดอกไม้อยู่ในเมือง)
โครงการ Dubai Mall ซึ่งเป็น shopping center
มีห้องรวม 1,200 ห้อง สนามบิน Jebel Ali ขนาดยักษ์
โรงแรม Burj al Arab ซึ่งอ้างว่าเป็นโรงแรม 7 ดาวแห่งเดียวในโลก
ที่เล่นสกีน้ำแข็งในร่ม (อากาศข้างนอกร้อน 50 องศา)
โครงการจำลองเมือง Lyon ของฝรั่งเศส
โรงแรมขนาดยักษ์ Atlantis ฯลฯ

ความฝันก็คือสร้างดูไบเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนของเหล่ามหาเศรษฐี
เป็นแหล่งการค้าและการเงินของตะวันออกกลาง
เป็นแหล่งทำธุรกิจของนักธุรกิจอาหรับรุ่นใหม่
(แต่ปรากฏว่ามีมากสุดคือนักธุรกิจอินเดีย)
สร้างสิ่งอัศจรรย์ของโลกเพื่อให้เป็นจุดสนใจของโลก ฯลฯ

แค่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และดึงดูดทุนจากต่างชาติเข้ามาไม่พอ
Sheikh Mohammed ยังเอาเงินกู้ไปลงทุน
ในต่างประเทศอีกมากมายผ่านหลายบริษัท เช่น
ซื้อดีพาสเมนท์สโตร์ Barney"s ในสหรัฐอเมริกา
ซื้อเรือ Queen Elizabeth2 ซื้อ Madame Tussauds
ซื้อสนามกอล์ฟ Turnberry ในสกอตแลนด์
ซื้อบ่อนกาสิโนในลาสเวกัส ด้วยเงิน 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯลฯ

เมื่อการลงทุนไม่ผลิดอกออกผลดังคาด
เงินกู้เพิ่มเติมหาไม่ได้ เงินสดก็ไม่เข้ามา
เพื่อจ่ายเงินต้นและดอกที่งอกงามอย่างรวดเร็ว
ก็เกิดปัญหาขึ้นตั้งแต่เมื่อ 7-8 เดือนมาแล้ว

ประเด็นที่พึงพิจารณาในเรื่องนี้ก็คือ
(1) โลกดูจะหายตกใจกับข่าวนี้ไปแล้วเพราะมั่นใจว่าลูกพี่ Abu Dhabi
ซึ่งมีเงิน Soverign Fund (เงินจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่นำไปลงทุน)
ถึง 900,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (เทียบกับหนี้ของดูไบทั้งประเทศ
ซึ่งคาดว่าเป็นยอดประมาณ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้วเล็กน้อยมาก)
ต้องเข้ามาช่วยเหลือในรูปแบบใดแบบหนึ่ง
เนื่องจากหากทิ้งไว้อาจมีผลกระทบต่อ U.A.E. ทั้งประเทศ
และต่อตะวันออกกลางทั้งหมดในแง่ความมั่นใจของนักลงทุนจากทั้งโลกได้
แต่ความช่วยเหลือเท่าที่ระบุมาคือ
ช่วยสภาพคล่องของธนาคารเจ้าหนี้ของ U.A.E.
(จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ไม่นาน Abu Dhabi
ก็ช่วยซื้อหุ้นกู้ 10,000 ล้านเหรียญของดูไบแล้ว
และหาเงินทุนจากข้างนอกได้อีก 5,000 เหรียญสหรัฐแต่ก็ยังไม่พอ)

(2) ดูไบเป็นรัฐที่ลึกลับในเรื่องข้อมูล มีการเปิดเผยน้อยมาก
โดยเฉพาะในเรื่องเงินทอง พูดสั้นๆ ก็คือไม่ค่อยโปร่งใสเรื่องเงิน
นักลงทุนต่างประเทศสงสัยว่าตัวเลขหนี้จริงนั้นเป็นเท่าใด
ก่อนหน้านี้ไม่นาน Sheikh Mohammed
บอกว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา
เมื่อเกิดปัญหาขึ้นผู้คนสงสัยว่าที่ยืนยันนั้นเป็นการโกหก
หรือพูดความจริงโดยไม่รู้ว่าสถานการณ์จริงนั้นเป็นอย่างไร
นักลงทุนภาวนาให้เป็นการโกหก
เพราะหากเป็นประการหลังจะหนักหนากว่าเป็นอันมาก

การจัดการเรื่องการลงทุนและการเงินนั้น
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าน่าเป็นห่วงเพราะ
ที่ปรึกษาเหล่านี้ขาดประสบการณ์ในระดับโลก
(Sultan Sulayem เคยทำพังไปครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
โดยสูญไป 1,200 ล้านเหรียญ เมื่อครั้งไปซื้อกาสิโนที่ลาสเวกัส)
และความซับซ้อนซ่อนเงื่อนย่อมมีมากขึ้น
เมื่อขาดการเปิดเผยอย่างเป็นระบบ

(3) นักสิ่งแวดล้อมโจมตีโครงการของดูไบมากว่า
ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามหาศาล
(เครื่องปรับอากาศสร้างความเย็นให้โรงแรม สกี บ้านพัก
ศูนย์การค้าขนาดยักษ์ ตลอดจนกลั่นน้ำจากน้ำทะเล
เมื่อรวมกันแล้วใช้ปริมาณไฟฟ้ามากซึ่งทั้งหมดย่อมมาจากการเผาไหม้)
เมื่อคิดเป็นปริมาณปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวแล้วสูงสุดในโลกคือ
กว่า 2.5 เท่าของคนอเมริกัน

ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่ดูไบปล่อยออกมาต่อปีตก 500 ล้านกิโล
เท่ากับการเผาไหม้เชื้อเพลิงซึ่งใช้ในการบินระหว่างดูไบ-ลอนดอนชนิดไปกลับ
รวม 60,000 เที่ยว (หรือ 120,000 เที่ยวบิน)

(4) นักสิทธิมนุษยชนส่งเสียงดังขึ้นทุกปีกับชะตาชีวิตของแรงงานก่อสร้าง
ที่มาจากอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ
รวมประมาณกว่า 1.7 ล้านคน
คนเหล่านี้จำนวนมากมีหลักฐานว่าถูก "หลอก" มาว่าจะได้ค่าแรงสูงกว่า
จริงหลายเท่าตัว เมื่อเดินทางมาพบสภาวะอากาศร้อนจัดชนิด
มีคำแนะนำฝรั่งว่าห้ามอยู่กลางแดดเกินกว่า 10 นาที
ก็อยากกลับบ้านแต่ได้ลงทุนส่วนตัวไปมากแล้ว
แถมพาสปอร์ตก็ถูกยึดไว้อีกด้วย จึงต้องจำใจทำงานในดูไบ

แรงงานเหล่านี้ต้องทำงานกลางแดดร้อนจัด
ก่อสร้างมหโครงการทั้งอาคารยักษ์และสูง
อีกทั้งยังอันตรายอีกด้วย ปีหนึ่งเฉพาะแรงงานอินเดียเสียชีวิตกว่า 1,000 คน
สภาพการทำงานและที่พักซึ่งเป็นเต๊นท์อยู่นอกดูไบก็อยู่ในลักษณะย่ำแย่
องค์กรสิทธิมนุษยชนร้องเรียน
เรื่องคุณภาพชีวิตของแรงงานก่อสร้างดูไบมานานพอควร
ปัจจุบันเมื่อหลายโครงการถูกระงับไป
แรงงานจำนวนมากก็ต้องเดินทางกลับบ้านอย่างชนิดไม่คุ้มกับเงินลงทุน

ประการสุดท้าย น่าเชื่อได้ว่าคุณทักษิณได้สูญเงินลงทุน
ไปกับ "เพื่อนรัก" ไปไม่น้อย
(อยู่ในดูไบโดยไม่ร่วมลงทุนและไม่ช่วยซื้อพันธบัตร
ที่ออกมาแก้ไขปัญหาหนี้ก็คงเกินไปหน่อย)
การถูกปลดจนหมดอำนาจของ "เพื่อนรัก"
น่าจะทำให้ที่อยู่ในดูไบของคุณทักษิณร้อนขึ้นมาพอควร
Abu Dhabi ซึ่งเป็นรัฐหลักของ U.A.E. นับวันจะมีอำนาจ
ในการบังคับดูไบมากขึ้น และ U.A.E. คงไม่อยากดูไม่ดี
ในสายตาชาวโลกและมีสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับไทย
เพราะคุณทักษิณเป็นสาเหตุเป็นแน่

"เด็ดดอกไม้ดอกเดียวกระทบถึงดวงดาว"
ดูจะเป็นจริงเอามากในกรณีของ Dubai World
ต่อนี้ไปรัฐบาลดูไบต้องดูแลเรื่องการชำระหนี้ในอนาคตอย่างรัดกุม
(น่าจะเรียนรู้ด้วยว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" คืออะไร)
สิ่งที่เดาได้ก็คือการสูญเสียมูลค่าการลงทุนไปมาก
การถูกครอบงำโดยทุนจาก Abu Dhabi
หลังจากการต่อรองชำระหนี้ครั้งใหญ่
หลายโครงการต้องถูกระงับ
แต่ดูไบก็จะยังคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการเงิน
และการค้าขายในตะวันออกกลางอยู่พอควร
แต่ก็คงจะคลอนแคลนไม่มาแรงเหมือนก่อน

ไม่รู้ว่าบรรดาหมอดูสวามิภักดิ์ของคุณทักษิณทั้งหลาย
ได้ทำนายไว้หรือเปล่าว่าลูกพี่อาจร้อนที่อยู่อีกครั้ง
ซึ่งปกติก็ร้อนอยู่ไม่น้อยแล้ว

หน้า 6