Custom Search

Dec 12, 2009

ปางโปรดภาติกชฎิล (ต่อ)


คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
เสฐียรพงษ์ วรรณปก
มติชน
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552


ตอนที่แล้วเล่าถึงเรื่องของชฎิล (ผู้ไว้ผมดุจชฎา) 3 พี่น้อง
คือ อุรุเวลกัสสปะ, นทีกัสสปะ, คยากัสสปะ
ที่ตั้งสำนักอยู่ตามคุ้งน้ำ แห่งแม่น้ำเนรัญชรา
ถัดกันตามลำดับ แต่จบลงตอนที่พระพุทธเจ้า
ได้พบกับภัททวัคคีย์ หรือเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ 30 คน
ชาวแคว้นโกศล และทรงแสดงธรรมให้ฟัง
จนภัททวัคคีย์บรรลุโสดาปัตติผล
ทูลขอบวชเป็นสาวกของพระองค์
พระพุทธองค์ประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้
แล้วทรงส่งไปประกาศพระศาสนา
จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลาตามลำดับ
เสด็จไปยังอาศรมของชฎิลผู้พี่นาม อุรุเวลกัสสปะ เวลาค่ำพอดี
ขอพักอาศัยค้างคืนด้วย อุรุเวลกัสสปะทำท่าอิดเอื้อนไม่เต็มใจให้พัก
อ้างไม่มีที่พัก พระพุทธองค์ทรงชี้ไปที่โรงไฟว่า
ขอพัก ณ โรงไฟก็ได้ถ้าไม่รังเกียจอุรุเวลกัสสปะกล่าวว่า
อย่าพักที่นั่นเลย มีนาคราช (งูใหญ่) อยู่
จะเป็นอันตรายเปล่าๆ พระพุทธองค์ทรงยืนยันจะพักที่นั่น
อุรุเวลกัสสปะจึงอนุญาต นึกว่าเดี๋ยวก็รู้สึกพระพุทธองค์
เสด็จเข้าไปประทับข้างใน ดำรงพระสติมั่นต่อพระกรรมฐานภาวนา
ฝ่ายพญานาคเห็นมีคนเข้ามาก็โกรธ พ่นพิษตลบไป
พระพุทธองค์ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ให้เกิดควันฟุ้งตลบ
ไปสัมผัสผิวกายพญานาค พญานาคยิ่งโกรธมากขึ้น
พ่นพิษเป็นเพลิงพุ่งขึ้น พระพุทธองค์ทรงเข้าเตโชกษิณสมาบัติ
บันดาลเพลิงลุกโชติช่วง ดังหนึ่งจะเผาผลาญโรงไฟ
ให้เป็นจุณวิจุณในบัดดลเหล่าชฎิลเห็นควันและเปลวเพลิงพุ่งขึ้น
โชตนาการเช่นนั้น ก็พากันมายืนมุงดู
ต่างก็กล่าวด้วยความสลดใจว่า
"สมณะหนุ่มรูปงามนั้น คงถูกพญานาคกำจัดเสียแล้ว
น่าเสียดายที่มาเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น"
ครั้นรุ่งเช้า พวกชฎิลก็เข้าไปในโรงไฟ
มองไม่เห็นพญานาค เห็นแต่ "สมณะหนุ่มรูปงาม"
ของพวกเขานั่งสงบอยู่ สายตาก็มองหาว่าพญานาคอยู่ที่ไหน
พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพวกเขาคิดอะไร
จึงทรงเปิดฝาบาตร แสดงพญานาค
ที่พระองค์ทรงใช้อิทธิฤทธิ์ย่อขนาดเล็กนิดใส่ในบาตร
ให้พวกเขาดูเมื่อเห็นพญานาคตัวใหญ่กลายเป็นงูเล็กขด
"มะก้องด้อง" อยู่ในบาตรสมณะหนุ่มรูปงามก็อัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
ต่างก็เปล่งอุทานว่า สมณะ ท่านมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่แท้
ข้าแต่สมณะ นิมนต์ท่านอยู่ที่อาศรมของข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด
ข้าพเจ้าทั้งหลายจะถวายภัตตาหารเป็นนิตย์น่าสังเกตว่า
ถึงแม้จะยอมรับว่าพระพุทธเจ้ามีอิทธิฤทธิ์มากกว่าตน
แต่ก็ยังไม่ยอมรับว่า พระองค์เป็นอรหันต์เหมือนพวกตน
มีทิฐิมานะถือตนว่า พวกเขาเท่านั้นเป็นพระอรหันต์
พระพุทธองค์จึงเสด็จไปประทับ ณ พนาสณฑ์ตำบลหนึ่ง
ใกล้อาศรมของอุรุเวลกัสสปะ ครั้นถึงรัตติกาล
ท้าวจาตุมมหาราชทั้ง 4 ก็ลงมาถวายบังคมพระพุทธองค์
ส่องแสงสว่างไปทั่วสี่ทิศ รุ่งเช้าอุรุเวลกัสสปะเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
ถามว่า เมื่อคืนมีแสงสว่างทั่วสี่ทิศ เกิดอะไรขึ้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า ท้าวจาตุมมหาราชทั้งสี่มาไหว้
พระองค์คืนวันต่อๆ มา ท้าวสักกเทวราช สหัมบดีพรหม
ก็มาเฝ้าตามลำดับ อุรุเวลกัสสปะเมื่อทราบเช่นนั้น
ก็นึกอัศจรรย์ใจว่า สมณะหนุ่มรูปนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่กว่า
พระอินทร์และพรหมเชียวหนอ แต่ช่างเถอะ
สมณะหนุ่มนี้มิได้เป็นอรหันต์เช่นเดียวกับเราอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เป็นกำหนดวันมหายัญญลาภของพวกชฎิล
ถึงวันนี้ พวกชาวเมืองราชคฤห์จะนำลาภสักการะ
เป็นจำนวนมากมาถวาย และฟังธรรมจากหัวหน้าชฎิล
อุรุเวลกัสสปะนึกว่าถ้าสมณะหนุ่มอยู่กับเรา
เธอก็จะได้ส่วนแบ่งจากลาภสักการะด้วย
ไฉนหนอ จะให้เธอจากไปเสียก่อนวันงานจะมาถึง
พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของอุรุเวลกัสสปะ
พอถึงวันมหายัญญลาภ พระองค์เสด็จออกไปยังอุตตรกุรุทวีป
ทรงยับยั้งอยู่จนล่วงเลยวันที่กำหนดแล้วจึงเสด็จกลับมา
อุรุเวลชฎิลถามว่าพระองค์หายไปไหน
จึงตรัสบอกตามความเป็นจริง อุรุเวลกัสสปะนึกอัศจรรย์ใจว่า
สมณะหนุ่มนี้มีฤทธิ์มากจริงๆ แต่ถึงอย่างไร
ก็มิได้เป็นพระอรหันต์เช่นเรา เรียกว่าทิฐิมานะยังไม่ลด
ว่าอย่างนั้นเถอะ พระพุทธองค์ต้องทรมานให้หายพยศให้ได้
จึงจะทรงแสดงธรรมให้ฟังวันหนึ่งเหล่าชฎิลจะผ่าฟืน
ก่อไฟทำพิธีบูชาไฟ พระพุทธองค์ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ให้
พวกเขาไม่อาจผ่าฟืนได้ พยายามอย่างไรๆ ก็ผ่าไม่ได้
อุรุเวลกัสสปะจึงกล่าวกับพระพุทธองค์ว่า
ไม่ทราบว่าเพราะอะไรวันนี้พวกตนจึงผ่าฟืนไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ลองพยายามอีกครั้งซิ
ครั้นพวกเขาผ่าอีกครั้งก็สำเร็จครั้งที่สอง
พวกเขาจะก่อไฟ ก็ก่อไม่สำเร็จ
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสขึ้นเท่านั้นไฟก็ลุกโชนขึ้นทันที
โดยมิทันจุด ครั้นทำยัญพิธีเสร็จแล้วจะดับ
ก็ไม่สามารถดับได้ จนกว่า
พระพุทธองค์จะรับสั่งให้ไฟดับครั้งที่สาม
พวกชฎิลลงไปดำผุดดำว่ายน้ำ
(คงทำพิธีกรรมตามความเชื่อของตน)
รู้สึกหนาวมาก ขึ้นมาแล้วประสงค์จะผิงไฟ
ทันใดก็ปรากฏกองไฟลุกโชน ณ ทุกจุดที่พวกเขาขึ้นจากน้ำ
พวกเขาจึงนึกว่า นี้คงเป็นสมณะหนุ่มบันดาลให้แน่นอน
เธอช่างมีอิทธิฤทธิ์มากจริงๆ แต่ถึงจะมีฤทธิ์มาก
ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา ว่าเข้านั่นครั้งที่สี่
วันหนึ่งเกิดฝนตกอย่างหนัก
กระแสน้ำหลากมาท่วมบริเวณโดยรอบ
รวมถึงตำบลที่พระพุทธองค์ประทับด้วย
พวกชฎิลพากันหนีไปอยู่บนที่ดอน
รุ่งเช้าขึ้นมานึกถึง "สมณะหนุ่ม" ขึ้นมาได้
พากันลงเรือมายังตำบลนั้นเพื่อดู
และแล้วพวกเขาก็อัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสถานที่พระพุทธองค์ทรงยืนจงกรมไปมาอยู่นั้น
เป็นโพรงมีน้ำล้อมรอบ ดุจดังมีกำแพงกั้นไว้
พระพุทธองค์จึงเสด็จเหาะขึ้นจากภูมิภาคขึ้นไปนภากาศ
ลอยไปลงสู่เรือของชฎิล สร้างความประหลาดมหัศจรรย์
แก่พวกเขาเป็นทวีตรีคูณ
"ถึงจะเก่งยังไง ก็ยังไม่เป็นอรหันต์เหมือนเรา"
อุรุเวลกัสสปะยังคงมีทิฐิมานะเช่นเดิมพระพุทธเจ้า
ประทับอยู่กับพวกชฎิลเป็นเวลา 2 เดือน
ทรงใช้อิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ
เพื่อให้พวกเขาสยบยอมสละความคิดเห็นผิด
แต่พวกเขาก็ยังมีทิฐิมานะสำคัญตนผิดว่า
เป็นพระอรหันต์อยู่นั่นเอง ท้ายที่สุดพระองค์ตรัสเตือนสติ
อุรุเวลกัสสปะผู้หัวหน้าว่า
"กัสสปะ ตัวท่านมิได้เป็นอรหันต์
แนวทางปฏิบัติของท่านก็มิได้นำไปสู่การพ้นทุกข์
ท่านก็รู้แก่ใจตนดี ทำไมจึงยังหลอกลวงตนและคนอื่นอยู่
ถึงเวลาที่ท่านจะต้องยอมรับความจริงแล้วกัสสปะ
ไม่นานดอกท่านจะได้เป็นอรหันต์ ทำที่สิ้นสุดทุกข์ได้"
อุรุเวลกัสสปะได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกตัว ละอายแก่ใจ
ซบเศียรแทบพระยุคลบาท กราบทูลว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขออุปสมบท
ในสำนักของพระองค์"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"กัสสปะ เธอจงชี้แจงให้บริวารของเธอเข้าใจ
และยินยอมพร้อมใจกันหมดทุกคนก่อน
ตถาคตจึงจะอุปสมบทให้"
อุรุเวลกัสสปะจึงไปประชุมสานุศิษย์ทั้งหมด
ชี้แจงให้เห็นถึงความไร้แก่นสารของข้อปฏิบัติที่พวกตนเคยทำมา
และชักชวนให้บวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ทั้งหมดเห็นพ้องต้องกัน ลอยบริขาร
และเครื่องนักพรตต่างๆ เช่น ชฎา สาแหรก
คาน น้ำเต้า หนังเสือ เครื่องบูชาไฟ ฯลฯ
ลงแม่น้ำหมดสิ้น บวชในสำนักของพระพุทธองค์น้องชาย
อีกสองคนตั้งอาศรมอยู่คุ้งน้ำถดไป
เห็นบริขารลอยฟ่องมาตามน้ำ ก็ตามขึ้นไป
รู้ว่าพี่ชายของตนและบริวารบวชเป็นสาวกพระพุทธเจ้า
ก็เลยบวชตาม เป็นอันว่าชฎิลสามพี่น้อง
พร้อมบริวาร 1 พันรูป ได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า
ด้วยประการฉะนี้แล
หน้า 6