Custom Search

Nov 15, 2020

The Must : กฤชยศ เลิศประไพ


ที่มา http://chai56.blogspot.com/2011/09/blog-post.html

ประมาณปลายปี 2533 มีผู้ชายคนหนึ่งนั่ง แทะเล็บ

รอผู้ชายอีกคนหนึ่งอยู่ในบ่ายวันเสาร์อันร้อนผ่าว ณ ซอย 39

( สุขุมวิท)

"นั่นไง! มาแล้ว" ชายคนที่นั่งรอคิดในใจ

ว่าแล้วก็พุ่งตัวเข้าไปกล่าวสวัสดีผู้ชายอีกคนที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามา

สิ้นสุดเสียทีการรอคอย

"สวัสดีครับพี่ดี้ พี่ไม่รู้จักผมหรอก แต่ผมรู้จักพี่

เอาเป็นว่าเห็นมีคนบอกที่นี่มีการเปิดเวิร์คช็อปเขียนเพลง

ผมขอถือโอกาสเรียนด้วยคนนะครับ"

เจอรถสิบล้อไม่ติดทะเบียนชนเข้าให้ชายผู้มาใหม่ถึงกับพยักหน้าหงึกหงัก

"อ๊ะ ถ้างั้นก็ตามมา" ว่าแล้วก็กดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 4

อันเป็นที่หมายสำคัญในห้องนั้นมีคนนั่งอยู่เป็นจำนวนมากทีเดียว

ซัก 30 คน หญิงชายเห็นจะได้ ผู้ชายอาวุโสหันมาถามผู้ชายที่อ่อนวัยกว่า

"เราชื่ออะไรล่ะ?" "มัสท์ ครับ...มัสท์ "

ว่าแล้วผู้ชายผู้รับคำตอบกลับไปก็หันไปบอกทุกคนในห้อง

"เอ้า พวกเรานี่เพื่อนใหม่จะมาเรียนด้วยชื่อมัชนะ

ไงก็ทำความรู้จักกันเอาเองนะเราไปนั่งกับเพื่อนล่ะกัน

ดูเค้าก่อนนะว่าที่นี่ทำอะไรกันบ้าง"

...นั่นไม่อาจเรียกว่าเป็นกุศโลบายใดๆทั้งสิ้น

เป็นเพียงลูกซื่อที่ถือดีนับตัวเอง

ตั้งแต่นั้นมาว่าเป็นลูกศิษย์นักแต่งเพลง

ที่ชื่อ "นิติพงษ์ ห่อนาค"..โอ้พระเจ้าฝันไปหรือนี่!?!

ตัดภาพกลับมาเป็นภาพสี พอกันทีภาพขาว-ดำ ผมชื่อ

กฤชยศ เลิศประไพ

ผู้ชายไม่เอาถ่านคนหนึ่ง ณ วันนั้น

(จนถึงวันนี้ ถ่าน ยังเป็นสิ่งของชนิดเดิมชนิดนึงที่ผม ไม่เอา)

...ผมถูก เจี๊ยบ วรรธนา ขอร้องแกมบังคับ

(อย่างหลังดูจะมีน้ำหนักมากกว่า)

ให้ช่วยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีการเขียนเพลงของผม

"ใครจะไปอยากรู้ล่ะจ๊ะ?"

ผมถามเธอตรงๆ ว่าแล้วเธอก็ชักแม่น้ำคงคา ยมุนา

สินธุ ฮวงโห แยงซีเกียง อะเมซอน ไทกริส-ยูเฟติส ฯลฯ

(อ้าว...เกิน 5 แล้วนี่หว่า) มาอ้าง.. ผมเริ่มใจอ่อน

ด้วยความอ่อนใจต่อทิฐิมานะของเธอ ผมวางหูโทรศัพท์ไป

นึกในใจ "เอ้ ..กูหลุดปากรับคำอะไรไปรึเปล่า? อืม ไม่น่า"

...ผมวางหูโทรศัพท์อีกครั้ง หลังจากวางหูโทรศัพท์ครั้งแรกไปได้ไม่ถึงอาทิตย์

"สงสัยต้องทำให้เค้าแล้วว่ะ"

หลังจากใส่บาตรตอนเช้า ผมเลยมานั่งจ่อมพิมพ์คอมฯง่วนอยู่นี่ไง

"แล้วจะเริ่มตรงไหนล่ะเนี่ย? ..ซวยแล้น!!!"

ถ้าผมทำให้บางคน ที่อ่านข้อความมาถึงตรงนี้เริ่มไม่แน่ใจ

"คุณเปลี่ยนใจยังทันครับ...เชื่อผม

เพราะผมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรมาสื่อสารให้คุณๆรับรู้อยู่เหมือนกัน"

ส่วนคนที่ใจเร็วด่วนได้เห็นผู้ชายของขึ้น

ชอบเห็นของคนอื่นเป็นของเรา

หรือเหมาว่าตัวเองเป็นประเภทคนดีผีคุ้ม

คนถูกรุมก็ช่วยมุง (ฮุย! เล! ฮุย!) งั้นตามมาเราคอเดียวกัน

ผมมีอะไรบางอย่างจะเล่าสู่กันฟังเล่นๆ

ผมเคยใช้ห้องน้ำสยามเซ็นเตอร์สมัยก่อนยังไม่ไฟไหม้และปรับปรุงโฉมใหม่ซะเรี่ยม

จนแทบจำไม่ได้เป็นที่เขียนเพลงๆนึง ผมมีเวลา 2 อาทิตย์

ในการรับผิดชอบดูแลเพลงเพลงนั้นให้เสร็จเรียบร้อยแต่คนที่ทำทำนอง

ใช้เวลาประมาณหนึ่งอาทิตย์กับอีก 5 วันไปซะแล้ว เมโลดี้ก็แปร่งๆ หม่นๆ

ถ้าจะใส่คำก็จะได้ก็ประมาณ

"ควรมิควร จะดีมั๊ยหนอ? พอมั๊ยพอ? จะรอเค้ามั๊ย?"

สุดท้ายท่ามกลางอวลกลิ่นไม้นานาพรรณผมก็ได้กองทิชชู่ 1 ขยุ่มมา

เรียบเรียงใส่กระดาษส่งเป็นงานภายในเย็นวันนั้น

"ผ่าน" วู่!....ผมเป่าปากอย่างโล่งใจ


ผมได้ เสาวลักษณ์ ลีละบุตร มาร้องเพลงนี้ให้ เพลงที่ว่าคือเพลงละครเรื่อง "ล่า"

วิยะดา โกมารกุล ณ นคร ผมชอบเสียงเธอจัง ฝันไว้เล่นๆว่า ถ้ามีโอกาสอยากเขียนเพลงให้เธอร้องซักเพลง

แล้วโอกาสผมก็มาถึง "เติมฝัน" เพลงละครอีกเรื่องหนึ่งจากเรื่อง "เคหาสน์ดาว" ทำให้ฝันของผมเป็นจริง

"เพลงนี้ขึ้นเหมือนเพลงพี่ที่ร้องเมื่อวานเลย" ธงไชย แมคอินไตย์

กล่าวหลังจากที่ชะโงกหน้ามาดูกระดาษที่ผมเขียนและนั่งกินอาหารบนโต๊ะเดียว

กับที่ผมกำลังง่วนเขียนท่อนพิเศษของเพลง "รักเธอคนเดียว"ของ แอน นันทนา บุญ-หลง อยู่

เพราะระหว่างนั้นชั้นบน พี่เต๋อ กับ ปอนด์ กำลังคุมแอนร้องเนื้อเพลงเท่าที่มีอยู่

ผมคงมีเวลาไม่มากนักที่เขียนท่อนที่เหลือให้เสร็จ

เพื่อขึ้นไปส่งให้ทันเวลา ก่อนที่จะทำการร้องท่อนที่ว่า

ผมรู้ว่าพี่เบิร์ดคงหมายถึงเพลงเธอผู้ไม่แพ้

เพราะขึ้นด้วยคำว่า ..ในชีวิต..เหมือนกัน

เหมือนฟ้าแกล้งพี่เบิร์ดชวนผมคุยกินข้าวตามอัธยาศัยที่ดีของแก

แต่หารู้ไม่ว่าตอนนั้นผมต้องการสมาธิแบบสุดชีวิต

เพราะไฟกำลังลนก้นผมจนร้อนระอุเต็มที่ แล้ว

ผมแทบจะกล่าวกับพี่เบิร์ดในตอนนั้นว่า

"พี่ครับ พี่เดินไปเลยครับพี่ซอยสุทธิพรเนี่ยทั้งซอยเค้าอยากรู้จัก

อยากคุยกับพี่กันทุกคนเลยอ่ะ ..แต่ไม่ใช่ผมตอนนี้ครับ!!!"

เวลาได้ทำหน้าที่ของมัน เพลงนั้นเสร็จทันการณ์

ผมนึกขำตัวเอง ระคนผิดในใจ

"พี่เบิร์ดครับ ผมขอโทษที่คิดไม่ค่อยดีกับพี่ในตอนนั้น ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

ถ้าโลกเบี้ยวมีเพลงแบบ "ให้เธอ" ของพี่โต๊ะจะเป็นยังไง?

อืมม คิดไปคิดมาผมก็ลองจับกีต้าร์ขึ้นมา ฮึมๆ ฮัมๆ

ทำนองเล่นๆ ด้วยคอร์ดง่ายๆไม่กี่คอร์ด

มันเริ่มจากประโยค "ก็ยังรักคนๆหนึ่ง และก็ก็ยังซึ้งกับคนๆ นั้น.."

ผมมักจะได้ยินอยู่เสมอๆ ว่าเพลงสมัยนี้ไม่ค่อยสัมผัสกันซักเท่าไหร่?

ถ้าใครเคยอ่านเนื้อหรือฟังเพลงนี้ ก็เห็นจะจริง

เพราะมีท่อนนึงที่ผมไม่สามารถหาสัมผัสได้ นั่นคือท่อน

"ถึงไม่ได้เป็นคนแรกของเธอแค่ได้เป็นคนสุดท้ายก็เอา"

แต่นอกนั้นถ้าว่ากันตามฉันทลักษณ์ ผมยืนยันว่า เพลงตลกๆ

เพลงนี้มีสัมผัสครบทุกวรรคทุกตอนครับ

จริงแล้วเพลงนี้มันเกิดจากผมหมั่นไส้เพลงๆนึง

อ้อ ความจริงหลายเพลงเชียวล่ะที่เขียนไว้

เล่นตามกแค้มป์ไฟน่ารักๆเข้าว่า แต่หาสัมผัสไม่ได้เท่าไหร่

ก็เลยเขียนประชดมันซะอย่างงั้นเอง

แล้วหาคำที่ไม่น่าจะลงไปได้ ในเพลงอย่างคำว่าโลกาภิวัตน์

ที่ชอบพูดกันนักในช่วงนั้นแถ-ลงไปจนได้

จริงๆผมตั้งชื่อมันไว้ว่า "รักนี้ไม่มีสาขา"

แต่ด้วยกระแส คำว่า โลกาภิวัตน์ มันแรง เค้าเลยไปเปลี่ยนชื่อเป็น

"รักโลกภิวัตน์" แทน"อยากจะมีเธอ" เป็นอีกเพลงทีผมอยากพูดถึง

ผมชอบเพลงนี้นะ ผมว่าพี่ป้อม เกริกศักดิ์

แกร้องแล้วได้อารมณ์ดีจังชอบ ไม่มีอะไรพูดถึงมาก แต่แค่อยากพูดถึง

ผมชอบเพลง "เรานั้นยังรักกัน" ที่พี่ ปุ๊ อัญชลีร้องไว้

ผมใช้เวลาในการฟังเมโลดี้ นานมาก คิดอยู่นานวาจะเขียนเรื่องอะไรดี

แล้วก็มาคิดเรื่องที่ว่าพี่ปุ๊หายไปนานแล้วเค้ากลับมา

เค้าอาจจะไม่แน่ใจว่าเค้าจะได้รับ การตอบรับจากคนฟังมากน้อยแค่ไหน

แต่ผลตอบรับของ Cross road คือบทพิสูจน์ได้ดี

ผมเลยเขียนเพลงนี้ให้คิดได้ 2 ชั้น เสมือนว่าพี่ปุ๊พูดกับแฟนเพลงที่หายไป

กับอีกนัยหนึ่งก็เหมือนคนที่ไม่แน่ใจกับความรัก แล้วสุดท้ายก็รับรู้ว่าที่แท้

ทุกอย่างที่ตัวเองคิดมันอาจจะผิดไปก็ได้เลยกลับมาขออภัยที่ไม่กล้ายอมรับความจริงในความรักของอีก

คนที่มีให้จริงๆแล้วให้ผมมานั่งนึกว่าตัวเองทำอะไรมาบ้างผมนึกไม่ออกหรอก

มีเทคนิคพิเศษแนะนำ ผมก็ไม่มีหรอก ลำพังเอาตัวรอดไปวันๆมาได้นี่ก็บุญหัวแล้วล่ะ อิ อิ

แต่ที่ชอบเล่นเป็นประจำเวลานึกอะไรไม่ออกมักจะหาอะไรมาเป็นโจทย์ซักตัว อาทิเช่น

"ฝนตกหยิมๆยายฉิมเก็บเห็ด" ถ้ายายฉิมไม่เก็บเห็ดจะทำอะไรได้บ้าง?

อาจจะเป็น"ฝนตกหยิมๆยายฉิม เก็บศพ","ฝนตกหยิมๆยายฉิมปล่อยแก่",

"ฝนตกหยิมๆยายฉิมอวบอัด" ฯลฯ

มันอาจดูไร้สาระ แต่มันจะได้ประโยชน์ตรงที่ว่า

คำว่า เก็บเห็ด มันเป็นเสียงวรรณยุกต์เสียงเอก 2 ตัวติดกัน

ถ้าเราหาคำที่มีความหมาย 2 พยางค์ มาแทนได้ ก็ถือว่า

เป็นการซ้อมหาคำมาในการเขียนเพลงไปในตัวจะได้ไม่ตัน

ยกตัวอย่าง คำที่เปลี่ยนมาแล้วแต่น้ำหนักเสียงของคำยังเท่าเดิม อย่าง

พลเอกการุณ เก่งระดมยิง อาจจะเป็น พลเอกการุณ เก่งประมาณนึง

หรือพลเอกเชรษฐา ฐานะจาโร ก็เป็น พลเอกเชรษฐา ฐานะปานกลาง,

พลเอกเชรษฐา ฐานะโอเค เป็นต้น

คำที่หามาต้องได้ความหมายด้วยนะไม่งั้น ได้น้ำหนักคำ แต่ไม่รู้เรื่อง

ก็ถือว่าไม่ผ่านลองเอาไปเล่นดูก็แล้วกัน อีกอย่างผมชอบทำงานภายใต้ความกดดัน

เพลงที่ผมเขียนผมต้องชอบก่อน ฮิตไม่ฮิตก็เรื่องของมัน

แต่มันต้องมีคำแปลกๆ หรือไม่ก็พยายามสรรหาคำมาเขียน

เป็นเรื่องให้ได้ผมเป็นพวกสำบัดสำนวนไม่ค่อยเป็นพวกคอนเส็ปท์นัก

อีกอย่างเป็นพวกคิดช้า ทำช้า

(นี่อุตส่าห์ยอมด่าตัวเองแล้วนะ จะได้ไม่มีใครมาแอบด่าในใจให้ได้ยิน

พอดีเป็นคนขี้ระแวงน่ะ อิอิ)