Custom Search

Sep 22, 2006

ทัศนคติคือตัวตัดสินอนาคต : Dr. Varakorn Samakoses


รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
http://www.dpu.ac.th/


นักศึกษาใหม่ทั้งหลายอาจไม่รู้ว่าตัวเอง
เป็นคนโชคดีแค่ไหนในโลก
ลองดูตัวเลขสักเล็กน้อย
ประชากรโลกในปัจจุบันคือ 6,000 ล้านคน
ในจำนวนนี้มีเพียงครึ่งเดียวคือประมาณ
3,000 ล้านคน เท่านั้นที่มี
อาหารกินครบทุกมื้อ มีชีวิตที่มั่นคงและเป็นปกติพอควร
สมศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในจำนวน 3,000 ล้านคนนี้
มีไม่ถึงร้อยละ 10 หรือ 300 ล้านคน
ที่มีโอกาสเรียนในระดับอุดมศึกษา


นั่นแสดงว่าจำนวนคน 300 ล้านคน
ในประชากรโลก 6,000 ล้านคน

หรือประมาณร้อยละ 5 เท่านั้น
ที่มีโอกาสอย่างท่านทั้งหลายในขณะนี้

ที่มีความหวัง มีอนาคตสดใส มีงานที่ดีมั่นคง
มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่สุขสบาย
มีโอกาสที่จะทำประโยชน์ให้แก่ครอบครัวและคนอื่นๆ
ร่วมสังคมของเรารออยู่ข้างหน้า
นี่คือความโชคดีมหาศาล
ที่ท่านอาจไม่ทราบมาก่อน


ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังมีร่างกายสมประกอบ แข็งแรง สุขภาพดี
มีหน้าตาสดใส สดสวย
และมีมันสมองที่ดีพอจะเรียนในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย

คนจำนวนมากมายในโลกนั้น
ขอเพียงมีอาหารครบทุกมื้อ
ไม่ต้องถึงกับได้เรียน
มหาวิทยาลัยก็มีความสุขสุดๆแล้ว


ปัญหาก็คือเมื่อเราเกิดมาโชคดีขนาดนี้
มีความหวังและสิ่งดีๆรออยู่ข้างหน้าแล้ว

เราจะทำอย่างไรกับชีวิตของเราในช่วง 4 ปีข้างหน้า
เรื่องนี้น่าขบคิดเป็นอย่างมากเพราะหมายถึง
ว่าเราจะทำให้สิ่งที่เชื่อว่าดีในอนาคตนั้นดีจริง

และดีอย่างเป็นเลิศได้อย่างไร

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน
ที่อยู่ในแวดวงอุดมศึกษามากว่า 30 ปี
ที่เห็นคนเดินเข้ามหาวิทยาลัย
ตั้งแต่วันแรกและจบออกไปจำนวนมากมาย
มีทั้งประสบความสำเร็จ
และล้มเหลวจากชีวิต 4 ปีในมหาวิทยาลัย

ขอยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้แตกต่างกันนั้น
ไม่ใช่ไอคิวหรือพื้นฐานความรู้ดั้งเดิมที่มีมา
หากแต่เป็นทัศนคติของเขาเอง
ที่มีต่อการศึกษาระดับอุดมศึกษา
เมื่อเริ่มเข้าเรียนซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมของเขา
ในมหาวิทยาลัยต่อไป

คนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะเป็นคนที่ตระหนักดีว่า
โอกาสในชีวิตของคนๆหนึ่งที่จะได้เรียน
ในมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเวลานั้นมีจำกัดยิ่ง

ถ้าหากล้มเหลวไม่จบแล้ว
โอกาสที่สองนั้นเกิดขึ้นได้ยากนักหนา
เพราะไหนอายุจะมากขึ้น สมองช้าลง
ความจำเป็นในการทำงานหาเลี้ยงชีพก็มีมากขึ้น
ความรับผิดชอบในชีวิตของคนอื่นที่กิน
ทั้งเวลาและเงินทองนั้นก็มีมากขึ้น
และการหวนกลับมาเรียนอย่างอิสระเช่นคนวัยนี้
นั้นเป็นสิ่งที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้


คนที่ประสบความสำเร็จนั้น
จะมองเห็นชัดเจนว่า 4 ปีข้างหน้า
คือช่วงเวลาแห่งการไต่บันไดสู่ชีวิต
แห่งความกินดีอยู่ดี มีเกียรติ
ได้รับการยกย่องจากญาติพี่น้อง
เพื่อนบ้านและสังคม ซึ่งหมายถึง

การตั้งใจที่จะบากบั่นศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มกำลัง
ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝนพัฒนาบุคคลิกภาพ
ของตนเองซึ่งอาจได้มาจากการร่วมกิจกรรม
ในมหาวิทยาลัย
เพื่อทำให้บันไดนั้น
ทอดไปสู่ความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างแท้จริง


คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มองว่า
ความรู้เดินมาหาตนเองไม่มองว่า
ความรู้มาจากการงัดปากและป้อนด้วยคณาจารย์

หากมองว่ามาจากความบากบั่น อดทน ขยันหมั่นเพียรในการแสวงหาความรู้จากอาจารย์
จากการอ่านหนังสือ
จากการคิดวิเคราะห์
จากการถกเถียงทางวิชาการ
จากการฝึกฝนเล่าเรียนด้วยสื่อการสอนสาระพัดชนิด
ที่มหาวิทยาลัยจัดหาไว้ให้ด้วยตนเอง

คนเหล่านี้จะมองว่าทางลัดสู่การมีความรู้และ
การมีชีวิตแห่งความกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน มีเกียรติ
มีศักดิ์ศรีนั้นไม่มีทุกอย่างล้วนได้มาด้วยความบากบั่น

ต้องเดินตามเส้นทางที่เป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้น
คนที่ประสบความสำเร็จนั้นตระหนักว่า
ทุกคนมีความเก่งกันคนละอย่าง
โลกมิได้มีแต่ความเก่งในเรื่องการคิดวิเคราะห์
ซึ่งทำให้สอบได้เก่งเท่านั้น ยังมี


-ความเก่งในการมีมนุษย์สัมพันธ์กับคนอื่น-ความเก่งในเรื่องกีฬาและศิลปะ

-ความเก่งในเรื่องการพูดโน้มน้าวใจคนอื่น

-ความเก่งในเรื่องการจัดสัดส่วนและช่องว่าง
อันเป็นฐานสำคัญของการเป็นสถาปนิกหรือ
ช่างศิลปะ

-ความเก่งในเรื่องการจัดการอารมณ์ของตนเองและคนอื่น

-ความเก่งในเรื่องดนตรี ฯลฯ


เขาเหล่านี้ตระหนักดีว่าโลกเต็มไปด้วยคนเก่งหลายลักษณะ
และกลุ่มคนที่ครองโลกเพราะมีจำนวนมากที่สุดนั้น
ก็คือคนที่มีความเก่งในเรื่องเหล่านี้อย่างปานกลาง

หากมีทักษะความรู้และคุณลักษณะประจำตน
ในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม
และคุณธรรมอื่นๆประกอบอย่างสำคัญ
คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้

มองว่าตัวเขาเองเป็นคนมีค่า
ชีวิตของเขาสามารถสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว
และต่อผู้อื่นเพราะตระหนักว่าใน 100 คนในโลก
มีคนที่มีโอกาสและมีสติปัญญาสามารถเรียน
ในระดับมหาวิทยาลัยได้เพียง 5 คนเท่านั้น
ถ้าเขาไม่เอาไหนเลยก็คงจะไม่มีโอกาสได้อยู่
ในกลุ่มคนที่ฝรั่งเรียกว่า TOP 5 % ของโลกเป็นแน่


มนุษย์เลือกที่เกิดไม่ได้
เลือกที่จะมีหน้าตาสวยหรือหล่อสุดๆไม่ได้
เลือกที่จะร่ำรวยมั่งคั่งไม่ได้
และเลือกที่จะได้สิ่งต่างๆ
ที่อยู่นอกการควบคุมของตนเองไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เลือกได้อย่างแน่นอน
และอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองก็คือทัศนคติในชีวิต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทัศนคติต่อการเรียนมหาวิทยาลัย
เชื่อเถอะว่านักศึกษาในวันนี้
จะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ
มีอนาคตแห่งการกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืน
หรือเป็นบุคคลล้มเหลว
เรียนไม่จบมหาวิทยาลัยและ
เสียดายโอกาสทองของชีวิตในวันข้างหน้านั้น
อยู่ที่ตัวทัศนคติ เมื่อแรกเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย

นี่แหละเป็นตัวตัดสิน
Mirrors:
http://www.juvethailand.com/forum/index.php?topic=15854.0;wap2

http://icedea.blogspot.com/2004/11/blog-post_29.html


(เพื่อการศึกษา)

เนื้อเพลง: ผู้ชนะ
อัลบั้ม: รวมเพลงประกอบภาพยนตร์ 15 ค่ำ เดือน 11
เสก โลโซhttp://gmmgrammy.com

หากชีวิตคือการดิ้นรน คนหนึ่งคนต้องเดินก้าวไป
ให้เรารู้เส้นทางแห่งใจ แล้วก็ไปให้ถึงที่นั่น

เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น
เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้

ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี
ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

หากปัญหาเข้ามาถ่างโถม อย่าไปโหมให้จงผ่อนคลาย
ค่อยๆคิดสบายๆ ปล่อยมันไปตามเรื่องสักวัน
เพราะชีวิตคือการต่อสู้ ให้เรียนรู้ด้วยใจตั้งมั่น
เส้นทางไกลแค่ไหนช่างมัน คนช่างฝันเท่านั้นทำได้

ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี
ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

ฉันคือหนึ่งคน ที่ทนฟันฝ่า พลังศรัทราคือสิ่งดี
ได้มาเท่ากัน เหมือนกันทุกที่ เตรียมใจที่มีให้มั่นคงเข้าไว้

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ

ขอเพียงแค่ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงที่จุดหมาย
โปรดจงมั่นใจ ที่ทำลงไปนะถูกแล้ว
อย่าฟังคำคน อย่าสนใจใคร อย่าเปลี่ยนแนว
คนแน่แน่วเท่านั้น ผู้ชนะ