บอย โกสิยพงษ์ กับงานเพลงจากแรงบันดาลของพระเจ้า
ผู้จัดการออนไลน์
“ผมเขียนเพลงไม่ออกมา 6 ปี เขียนเพลงแบบไม่มีความสุขมากขึ้นๆ ทุกวัน”
นั่นคือบทสนทนาประโยคแรกของ "บอย โกสิยพงษ์" เจ้าของเพลง "ฤดูที่แตกต่าง"
หลังจากที่ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองมานานถึง 6 ปีเต็ม
หลายคนสงสัยว่านักแต่งเพลงระดับนึกจะเขียนก็เขียนกันได้
ทุกที่ทุกเวลาอย่างเขานั้นทำไมต้องทิ้งระยะนานขนาดนั้นสำหรับอัลบั้มเพลงส่วนตัว
“มันปัญหาของผมก็คือ เมื่อสมัยแรกที่เราเริ่มต้นอาชีพนี้ ผมเขียนเพลงด้วยหัวใจ
แต่เมื่อเราทำมันจนเป็นอาชีพแล้ว มันกลับกลายเป็นเรื่องเคยชิน
เหมือนงานรูทีนที่เราจะรู้ว่าเขียนออกมาแบบนี้แล้วโดน เป็นรูปแบบที่ตายตัว
ซึ่งผมสรุปได้ว่าผมเขียนเพลงโดยใช้สมองมากกว่าหัวใจ”
บอยบอกว่า เขามีนามปากกาสำหรับเขียนเพลงอยู่ตั้ง 7 ชื่อ
เริ่มไล่ไปตั้งแต่เพลงที่เขียนส่งๆไปงั้น ไปจนกระทั่งเพลงที่ตัวเองชอบ
“นามปากกานี่แตกต่าง ถ้าใช้ชื่อจริงเพลงนั้นจะเป็นเพลงที่เรารู้สึกชอบมัน
แต่ถ้าไม่ใช่ซึ่งต้องขอสงวนนามเอาไว้หน่อย
อันนั้นก็จะรู้สึกว่าทำเป็นหน้าที่ทำตามแพทเทิร์นของเราไว้
ทีนี้พอมาทำอัลบั้มของตัวเอง มันก็เลยแย่ เพราะเราชักรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง
เพราะเรารู้ว่าหลายอย่างมันเฟค พอเขียนหน่อยก็ต้องหยุด ชักเครียดขึ้นมา
ก็ต้องหยุด”
“ยิ่งมีคนถามมากๆ ว่าจะออกเมื่อไหร่ ผมก็ต้องผลัดไปเรื่อยเกรงใจเขาเหมือนกัน
แต่มันทำให้ผมเครียดมาก เพราะมันไม่อยากจะทำ”
อัลบั้มที่สองของบอยนั้นไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่ าไหร่
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เกร็งด้วยหรือเปล่า ?
“ก็มีส่วนนะครับ จริงๆ อัลบั้มนั้นผมว่า มันก็ดี แต่เราตั้งใจมากไป เราอยากจะ
“โชว์”ทุกอย่าง ทีนี้เราก็เลยเอามันทุกอย่าง
หลายคนบอกว่ามันดัดจริตไอ้นั่นก็ใช่ เพราะเราตั้งใจใส่มากไง
เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงอัลบั้มนี้มันก็เลยขัดๆกันอยู่ในตัวเองมากๆ
เราเองก็ไม่รู้จะทำยังไง”
แล้วคิดตกในเรื่องนี้ได้อย่างไร ?
“ช่วงที่ผ่านมามีสองเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้ผมคิดตก อย่างแรกก็คือ
เรื่องของคุณพ่อที่เสีย (เงียบไปครู่หนึ่ง)
เพราะอันนั้นมันเป็นแรงกระแทกอย่างแรงของเรามาก
เพราะชีวิตผมนี้ได้มากที่สุดก็จากพ่อ เมื่อพxxตxxเราก็นิ่งเลย
มีบางวันที่ผมนอนไม่กินอะไรเลย ผมนอนนิ่งๆ อยู่แบบไม่ทานอะไรเลย
ไม่ทำอะไรเลยเกือบอาทิตย์ ภรรยาของผมเขาก็ร้องไห้
บอกว่าเราทำแบบนี้เขาเป็นทุกข์มาก
อย่างน้อยลุกขึ้นมาแสดงให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่หน่อยก็ยังดี
ผมเห็นเธอร้องไห้ก็เริ่มคิด ก็มานั่งนึกว่าถ้าเราทำแบบนี้พ่อก็คงเสียใจ
คนที่อยู่ก็เสียใจ
เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริงว่ามันได้เกิดขึ้นมาแล้ว..."
ก็นึกถึงคำพูดของพ่อที่ท่านสอนผมเอาไว้ก่อนว่า
เราต้องเรียนรู้สติของเราให้ทัน เตรียมพร้อมตัวเองเพื่อรับสิ่งที่มันจะมาหาเรา
รู้จักมันอย่าให้อารมณ์มาครอบงำ พ่อบอกว่าชีวิตของคนเราอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่
เราไม่ได้อยู่กับความฝัน และทำตรงนั้นให้ดีที่สุด เมื่อภรรยาผมพูดแบบนั้น
ผมยอมรับว่าผมได้คิด วันนั้นผมก็เลยลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง”
“อีกเหตุการณ์หนึ่งเหมือนเรื่องมหัศจรรย์ครับ
ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเรียกว่าพระเจ้าหรืออะไร แต่เมื่อผมเครียดมาก
เพื่อนฝรั่งคนหนึ่งบอกผมว่า เฮ้ ยูเอาไบเบิ้ลไปอ่านดูซิ เขาก็ส่งมาให้ผม
ผมนั่งอ่านก็ไปเจออยู่หน้าหนึ่ง เขาบอกว่า คนเรานั้นถ้าทำตามหัวใจจะดีกว่า
ผมก็มานั่งนึกถึงตัวเองว่าที่ผ่านมา เราทำอะไรก็ตามเราคิดใช้สมองนำ
ไอ้การทำงานโดยมีพื้นฐานของหัวใจแบบที่เคยเป็นนั้นมันหายไปหมด
ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า ลืมมันเหอะไอ้สมองเนี่ย
ทำอย่างที่หัวใจเราอยากให้เป็นดีกว่า นั่นคือ ทำด้วยความรัก
เราไม่ต้องไปนึกถึงโจทย์ทางการตลาดหรืออะไรทั้งนั้น ไม่ต้องไปนึกว่า
เขียนแบบนี้แล้วจะมีคนฟังหรือไม่ หรือเขียนแล้วมันจะไปโดนกลุ่มคนฟังกลุ่มไหน
ผมบอกกับตัวเองว่าเราจะกลับไปทำงานให้สนุกอีกครั้ง ใช้หัวใจนำหน้าครับ”
“ใครจะว่าผมบ้าก็ได้แต่ผมเชื่อว่าบางทีใบเบิ้ลที่เพื่อนเอามาให้
อ่านอาจจะเป็นสาส์นที่พระเจ้าต้องการบอก ผมก็ได้
เพราะหลังจากนั้นผมไปพลิกดู
หลายรอบผมหมายถึงผมอยากจะแนะนำให้คนอ่านตรงนี้บ้าง
ผมกลับหาไม่เจอแล้วดูให้ละเอียดยังไงก็หาไม่เจอ
ผมก็เลยคิดว่ามันเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับตัวผม”
“เพราะฉะนั้นเพลงในชุดใหม่ผมก็เลยทำงานด้วยความรู้สึกแบบที่พ่อสอนก็คือ
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เข้าใจสติของตนเอง
ขณะเดียวกันผมก็ใช้หัวใจที่ผมคิดว่าผมละทิ้งมันไปนานเข้ามาเขียนเพลง”
ผลจากการใช้หัวใจนำหน้าทำให้บอยบอกว่า เขาแต่งเพลงชนิดเหมือนคนบ้า
เพราะเขียนไม่หยุด เขียนไปยิ้มไป เขียนขนาดที่ว่า
มีเนื้อหาวัตถุดิบอยู่เป็นร้อยเลย
“เพราะฉะนั้นงานชุดนี้ถึงชื่อว่า Million Ways To Love Part1
ที่ต้องมีพาร์ตวันเนื่องจากภายในปีนี้ผมจะปล่อยภาคสองออกมา
แล้วตลอดทั้งปีนี้ผมจะปล่อยซิงเกิ้ลในลักษณะพิเศษออกมาตลอด
คือเพลงจะไม่เหมือนกับในอัลบั้มแน่นอน”
บอยกล่าวว่า หลังจากนั้นเขาทำงานง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่ยึดติดว่าตนเองจะเป็น
ริทึ่ม แอนด์ บอยด์ เหมือนอย่างงานชุดแรก
หรือต้องกลั่นให้เห็นว่าเขามีฝีมือแค่ไหนเช่นในงานชิ้นสอง
แต่เป็นงานที่มีลักษณะสบายๆ แต่แน่นและเต็มไปด้วยความรู้สึก
“บรรยากาศในเพลงมันจะแตกต่างกันทั้ง 12 เพลง เพราะผมไม่ยึดติดกับอะไร
แต่ตั้งใจว่าจะให้คนที่ฟังๆ แล้วสบายใจ ตัวผมเองก็สบายใจ ไม่มีเกร็ง
ซึ่งมันได้ผลนะครับ เพราะทุกคนพอรู้ว่าไม่มีกรอบอะไรเลย
เขาก็ทำกันชนิดที่เรียกว่ายอดเยี่ยมอย่างที่ผมไม่นึกมาก่อน
อย่างเพลงแรกที่เราตัดออกมาก็คือ “ใคร” ซึ่ง ป็อด (โมเดิร์นด็อก) เขาร้อง
คนจะแปลกใจ เพราะเขาร้องแบบสบายๆ กว่าทุกครั้งที่เคยร้องเพลง
เพลงอย่าง “ผมแอบชอบคุณอยู่” ก็เป็นเพลงลักษณะที่เรียกว่า
ผมเกิดอารมณ์ขันก็เขียนขึ้นมา
ปรากฏว่าคุณนภแกก็โชว์เต็มที่ในลีลาใหม่
หรืออย่างเพลง "Live And Learn"
ซึ่งเป็นเพลงที่ผมชอบมากๆ คือ
แม่ของสุกี้กับน้อยคือคุณกมลา (สุโกศล)
เป็นคนร้อง
เพลงนี้อยากให้ฟังกันเพราะเธอร้องแปลกมากคือ
ร้องเพลงไทยด้วยสำเนียงบรอดเวย์
ผมบอกท่านว่าร้องไปเลยครับ
ท่านก็ร้องลีลาท่าน มันออกมาดีนะครับ
ผมฟังแล้วก็อิ่ม ฟังไปน้ำตาซึมเลย”
“คือเพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเขียนขึ้นจากคำสอนของพ่อก่อน ที่ท่านจะเสีย
เนื้อเพลงทั้งหมดเป็นเพลงของพ่อผม
ผมเองก็อยากจะบอกทุกคนเหมือนกันด้วยเนื้อหาสาระแบบเดียวกัน นั่นคือ
ชีวิตคนเรามันก็เท่านั้น ถ้าเราเข้าใจตัวเรา ชีวิตก็มีความหมาย
คือประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า
แต่ถ้าเราทำแล้วเราทำมันเต็มที่ ทำมันให้ดีที่สุด ไม่หลอกตัวเอง
ใช้หัวใจทำเข้าไป ผมเชื่อว่ามันจะมีความสุขมากๆ กับการมีชีวิตในโลกนี้”
แต่ฟังดูเหมือนกับฤดูที่แตกต่างยังไงพิกล ? เราถามขึ้นมา
“ (หัวเราะ) ใช่ครับ เขียนไปเขียนมาผมว่ามันก็คือ ภาคสองของ Seasons Change
จะว่าตั้งใจก็คงใช่ ผมอยากจะให้คนฟังฤดูที่แตกต่างแล้วมาฟังเพลงนี้
เพราะมันจะครบถ้วนในความเป็นเพลงที่ตั้งใจเอาไว้”
แต่ถึงแม้จะเป็นการทำงานที่สนุก
แต่บอยก็ค้นพบว่าในความสนุกนั้นมันมีปัญหาอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นคือ
เพลงแต่ละเพลงในชุดนี้มีความยาวเกิน 5 นาทีหมด และเป็นเรื่องที่บอยกล่าวว่า
มันก็ช่วยไม่ได้...แต่เขาเชื่อว่า
ถ้าคุณภาพของดนตรีหรือของเพลงมันมีอย่างเต็มร้อย
โอกาสที่สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาก็ย่อมจะน้อย
“อย่างเพลง Live And Learn นั้น ยาวมากเกินห้านาที
เพราะเราปล่อยบราสเซคชั่นเต็มที่
หรืออย่างช่วงที่คุณกมลาแอดลิบตอนกลางเพลงนั้น
ท่านปล่อยอารมณ์เต็มที่ คือฟังแล้วขนลุก
เพราะฉะนั้นมันไปตัดไม่ได้ครับ
เพราะมันสมบูรณ์ในตัวมันเองอยู่แล้ว
ซึ่งตรงนี้ลำบากเพราะวิทยุบ้านเรานั้นถ้าเพลงมันเกิน 3 นาที
ดีเจเขาอาจจะไม่เปิด
แต่ผมเชื่อว่าถ้าเผื่อเพลงมันดีเขาก็ไม่น่าจะละเลยมัน”
บอยกล่าวด้วยว่า
ด้วยพลังของพระเจ้ากับคำสอนของพ่อทำให้เขาตั้งใจจะทำงานออกมาให้แฟนๆ
ฟังอย่างจุใจ อย่างตอนปลายปีนี้ก็จะมีงานภาคสองของชุดนี้ หรือ
Million Ways To Love Part 2 ออกมาให้ฟังกันอีก
เช่นเดียวกับซิงเกิ้ลพิเศษ ก็จะตัดออกมาเรื่อยๆ
ซึ่งเพลงเหล่านั้นจะไม่ซ้ำกับเพลงในอัลบั้มอย่างที่เจ้าตัวบอก...
พลังของพระเจ้านอกจากจะทำให้คนๆ หนึ่ง
ได้ค้นพบหนทางของตัวเองแล้ว
ครั้งนี้มันยังทำให้หัวใจของใครหลายๆ
คนเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความสุข...
หลายคนคงจะเอ่ยคำขอบคุณพระเจ้าออกมาอย่าง
แน่น อนหลังจากที่ได้เสพงานเพลงคุณภาพของผู้ชายคนนี้
ผู้ชายที่ชื่อ "บอย โกสิยพงษ์ "