ขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์เรื่องเพื่อ เผยแพร่ (เพื่อให้กำลังใจทุกคน)
ต้นเรื่องจาก
https://www.dailynews.co.th/article/366540
ร่างกายตอนนั้น ขยับอะไรไม่ได้เลย เวลาจะสื่อสารกับใครก็ต้องใช้วิธีเขียน และกะพริบตาเพื่อสื่อความหมายแทน หลังจากรักษาตัวอยู่ระยะหนึ่ง อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ โดยสามารถขยับแขน มือ และร่างกายบางส่วนได้
อาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2558 เวลา 05.29 น.
“แม้เราจะพิการ เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถวีลแชร์ แต่เราใช้ชีวิตปกติได้ และทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้เหมือนคนปกติ ที่สำคัญ เราก็มีสิทธิที่จะทำ...ให้ฝันของเราเป็นจริง ได้เหมือนคนทั่วไป” ...เป็นเสียงจากความรู้สึกของ “ชมพู่-ภัทราวรรณ พานิชชา” สาวสวยเจ้าของรางวัล “Miss Wheelchair Thailand” ปี ค.ศ. 2012 ที่ไม่ยอมปล่อยให้ความพิการฉุดรั้ง “ชีวิตคิดบวก” ของเธอไว้ ซึ่งล่าสุด สาวสวยคนนี้เพิ่งเป็นบัณฑิตป้ายแดงหมาด ๆ โดยเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตร หลังเรียนจบคณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งวันนี้ทีม “วิถีชีวิต” มีเรื่องราวชีวิตของเธอคนนี้มานำเสนอ...
ชมพู่-ภัทราวรรณ ในวัย 24 ปี เล่าว่า เธอเป็นคน อ.พล จ.ขอนแก่น สำหรับความพิการนี้ ไม่ได้เป็นตั้งแต่กำเนิด แต่มาพิการหลังประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน ซึ่งเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาลนั้น นึกถึงกี่ครั้งก็ยังจำได้ไม่มีวันลืม โดยเธอเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ตอนนั้นอายุ 16 ย่างเข้า 17 ปี เพิ่งเรียนจบชั้น ม.4 กำลังจะขึ้นชั้น ม.5 ช่วงนั้นโรงเรียนปิดเทอมแล้ว แต่เธอมีนัดกับเพื่อนเพื่อไปสอบซ่อมบางวิชาที่ค้างอยู่ โดยตอนเช้าเพื่อนได้ขับรถมอเตอร์ไซค์มารับเธอที่บ้าน หลังจากทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ตอนจะกลับบ้านได้เจอเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนรอพ่อมารับกลับบ้าน จึงเข้าไปคุยและยืนรอเป็นเพื่อน แต่รออยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง พ่อของเพื่อนคนนั้นก็ยังไม่มารับ เธอจึงชวนเพื่อน ๆ กลับด้วยกัน โดยนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน 3 คน
“ถนนต่างจังหวัดจะเป็นถนนสองเลนที่รถวิ่งสวนกัน วันนั้นรถเราวิ่งไปตามไหล่ทาง และยืนยันว่าไม่ได้ขับเร็วด้วย ช่วงเกิดเหตุมีรถสิบล้อคันหนึ่งขับไล่หลังเรามาด้วยความเร็วมาก และทางข้างหน้ามีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่ ตอนนั้นลังเลใจว่าจะยังไงดี จะแซงรถสิบล้อแล้วเบี่ยงออกเพื่อหลบรถยนต์ หรือเลือกขับอยู่ตรงกลางทางระหว่าง 2 เลนดี ซึ่งความลังเลนี้เอง ทำให้รถที่เราขี่หลบไม่พ้นรถยนต์คันนั้น แล้วที่สุดรถสิบล้อก็ชนเข้าด้านหลังรถมอเตอร์ไซค์เต็มแรง และเราเป็นคนที่เจ็บหนักที่สุด เพราะนั่งอยู่ในตำแหน่งสุดท้าย” ...ชมพู่ เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...ที่เปลี่ยนชีวิตของเธอ
พลิกชีวิตเด็กสาวคนนี้ให้ไม่เหมือนเดิม
เธอเล่าต่อไปว่า... หลังประสบอุบัติเหตุก็ถูกนำตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ จากนั้นได้ถูกส่งตัวต่อไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เนื่องจากร่างกายบอบช้ำจากอุบัติเหตุมาก กับสภาพตอนนั้น ชมพู่เล่าว่า... เธอมีอาการไหปลาร้า ซี่โครง และกระดูกสันหลังหัก โดยซี่โครงที่หักนั้นไปทิ่มปอดจนทะลุ ขณะที่กระดูกสันหลังที่หักยังไปกดทับเส้นประสาทอีกด้วย ซึ่งเธอต้องรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูนานถึง 7 วัน
“ร่างกายตอนนั้น ขยับอะไรไม่ได้เลย เวลาจะสื่อสารกับใครก็ต้องใช้วิธีเขียน และกะพริบตาเพื่อสื่อความหมายแทน หลังจากรักษาตัวอยู่ระยะหนึ่ง อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ โดยสามารถขยับแขน มือ และร่างกายบางส่วนได้ แต่ส่วนล่าง โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้างนั้น กลับขยับเขยื้อนไม่ได้เลย ตอนนั้นเริ่ม ๆ รู้แล้วว่า เราจะไม่เหมือนเดิม แต่ก็ยังไม่หมดหวังเสียทีเดียวนะ” ...เป็นความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้น ที่เธอได้เล่าให้ทีม “วิถีชีวิต” รับฟัง
ช่วงที่ถูกย้ายมารักษาอาการที่ห้องพิเศษ เธอบอกว่าเหมือนกลับไปเป็นเด็กทารกอีกครั้ง เพราะต้องฝึกนั่ง หัดทรงตัว เหมือนเด็กเล็ก ๆ ฝึกใหม่หมด โดยคุณหมอบอกว่าต้องทำกายภาพบำบัดเป็นประจำทุกวัน ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึงจะรู้ว่าร่างกายของเธอนั้นจะฟื้นตัวได้ดีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ถึงกับหมดหวัง ยังพอมีความหวังที่จะรักษาตัวให้หาย เพื่อกลับมาเป็นคนเดิมอยู่ จนเวลาผ่านไป 6 เดือน คุณหมอจึงบอกให้ครอบครัวรับตัวเธอกลับไปรักษาต่อที่บ้าน
“ตอนนี้เองที่เหมือนฟ้าถล่ม เพราะคุณหมอได้แจ้งอาการด้วยประโยคสั้น ๆ ว่าการรักษาทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว และร่างกายของเราก็คงฟื้นฟูได้แค่นี้ เราคงไม่สามารถกลับมาเดินได้อีกต่อไป ได้ยินแค่นั้นแหละ ร้องไห้ออกมาเลย ร้องหนักมาก ร้องทั้งวันทั้งคืน ยอมรับว่าไม่เคยเสียใจอะไรเท่านี้มาก่อนในชีวิต เพราะตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา เราอยู่ด้วยความหวังมาตลอดว่าเราจะหาย” ...เป็นความรู้สึกตอนนั้น ที่เธอบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากจะหาคำพูดใด ๆ มาอธิบายอารมณ์ ณ วินาทีนั้น
อย่างไรก็ดี สาวสวยดีกรี “มิสวีลแชร์ ปี 2012” อย่าง ชมพู่ บอกว่า...สิ่งที่ทำให้กลับมามีแรงฮึดสู้อีกครั้ง คือ เมื่อร้องไห้หนักจนถึงจุดหนึ่ง จึงหันกลับมามองว่า ต่อให้ร้องไห้จนน้ำตาหมดก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี ซึ่งมีอยู่ประโยคหนึ่ง ที่แว่บเข้ามาในหัว คือ เราจะเป็นอะไร จะเสียใจแค่ไหน แต่โลกก็ยังคงหมุนต่อไป แล้วจะมัวมานั่งเสียใจทำไม เพราะยังมีคนที่รักและพร้อมช่วยเธออีกมากมาย ซึ่งถ้าตัวเธอท้อ คนเหล่านั้นก็คงหมดกำลังใจที่จะร่วมสู้ไปกับเธอด้วยเช่นกัน
“เมื่อคิดได้ จึงพยายามปรับใจให้ยอมรับ หลังประสบอุบัติเหตุต้องหยุดเรียนไป 1 ปี เพื่อรักษาตัว พอหายดีจึงกลับมาเรียนต่อจนจบชั้น ม.ปลาย ใช้เวลาเรียน 2 ปี จากนั้นก็สอบเข้าเรียนปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่ตอนนั้นมีปัญหา เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยให้คนพิการ จึงสละสิทธิไป ยอมรับว่าเคว้งมาก แต่พยายามหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต จนพบว่า ที่ธรรมศาสตร์รับนักศึกษาพิเศษด้านต่าง ๆ จึงสมัครสอบตรงในโควตานักศึกษาพิการ แต่สอบไม่ติด เพราะเลือกคณะเข้ายากเกินไป แต่ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ สุดท้ายจึงลองสอบแอดมิชชั่นอีกครั้ง ครั้งนี้สอบติด และได้เข้าเรียนสมใจ”
“ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย” สาวชมพู่ เล่าว่า ตลอด 4 ปี เธอใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาปกติทุกอย่าง ทั้งเรียน และร่วมทำกิจกรรมเสมอ แต่สิ่งที่ประทับใจ คือ ที่ธรรมศาสตร์มีทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้พิการ อาทิ รถเข็นไฟฟ้า สภาพของอาคาร ซึ่งช่วยทำให้คนพิการสามารถใช้ชีวิตเป็นปกติได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนอื่นมากนัก ซึ่งตอนที่เรียนที่นี่ เธอต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ตั้งแต่ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้าเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่ที่ขอนแก่น เธอแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีคนคอยช่วยทุกอย่าง ซึ่งสำหรับเธอแล้ว การที่ได้ออกมาเผชิญโลกกว้างแบบนี้ ช่วยทำให้เธอแข็งแกร่งมากขึ้น
“ก็มีบ้างที่คนจะมองเราด้วยหางตา หรือมองด้วยสายตาเชิงดูถูก แต่ก็ไม่เคยเก็บมาคิดใส่ใจ เพราะคนที่คิดดี ปรารถนาดีกับเรานั้นมีมากกว่า และคนที่ชื่นชมและยังให้กำลังใจเรา ก็ยังมีอีกมากมาย” ...สาวชมพู่ กล่าว
สวย-เก่ง แถมมีดีกรี “ดาวมหาวิทยาลัย+มิสวีลแชร์” เราอดไม่ได้ที่จะถามถึง “มุมความรัก” ชมพู่ ยิ้ม ก่อนตอบว่า... “มีแฟนแล้ว และแฟนก็รับได้ในสิ่งที่เราเป็น” พร้อมทั้งบอกว่า เธอเองก็เหมือนกับคนทั่วไป คือต้องการแค่ใครสักคนที่รับเธอได้ในสิ่งที่เป็น อย่างไรก็ดี ความรักไม่จำเป็นต้องมีแต่เรื่องชู้สาว เพราะความรักนั้นยังมีรูปแบบอื่น ๆ อีกตั้งมากมาย ส่วนในเรื่องของ “ความสวยความงาม” นั้น ก็ต้องมีบ้างนิดนึง ตามประสาผู้หญิง และเธอก็เป็นคนชอบแต่งหน้าแต่งตัว ซึ่งแรงบันดาลใจนี้ มาจากช่วงที่กระแสบิวตี้บล็อกเกอร์มาแรง ทำให้สนใจเรียนรู้วิธีและเทคนิคการแต่งหน้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง
ในฐานะ “ตัวแทนของผู้พิการ” คนหนึ่ง เธอบอกว่า ผู้พิการไม่ใช่คนไร้ความสามารถ ดังนั้น อย่าตัดสินเพียงแค่เห็นว่าพวกเธอเป็นผู้พิการ เพราะจริง ๆ แล้วในสังคมมีผู้พิการที่เก่ง และมีความสามารถอยู่มากมาย ซึ่งสิ่งที่ผู้พิการต้องการจริง ๆ ไม่ใช่ความเห็นใจ ไม่ใช่ความสงสาร แต่อยากได้รับโอกาสจากสังคม ให้ผู้พิการได้พิสูจน์ความสามารถ แสดงศักยภาพ มากกว่า
“พวกเราต้องการแค่นี้จริง ๆ” ...เธอย้ำ
ด้วยความที่เป็น “สาวคิดบวก” ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ก็ทำให้เธอคนนี้เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คน และถูกยกย่องเป็น “เน็ตไอดอลสู้ชีวิต” โดย ชมพู่ เล่าว่า มีคนเข้ามาขอคำแนะนำ คำปรึกษา ทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิต เป็นประจำ นอกจากนั้น ก็ยังมีหลายคนที่เข้ามาถามเกี่ยวกับการแต่งหน้าแต่งตัวด้วย
“มีเข้ามาถามประจำค่ะ เรื่องการสร้างกำลังใจ การใช้ชีวิต บางคนก็ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการแต่งหน้า แต่งตัว (หัวเราะ) แต่ที่ดีใจและปลื้มใจที่สุดคือ มีคนบอกว่าเรื่องราวของเราทำให้เขาฮึด และมีพลังที่จะลุกขึ้นมาสู้ชีวิตอีกครั้ง” ...เป็นเรื่องราวผ่านคำบอกเล่าจาก “สาวสวย+เก่ง...แถมสู้ชีวิต” คนนี้...
“ชมพู่-ภัทราวรรณ พานิชชา”.
สุรางค์รัตน์ เจนการ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ
เรื่องดีๆที่ให้กำลังใจ
- http://teetwo.blogspot.com/2008/05/blog-post.html
- http://teetwo.blogspot.com/2009/09/blog-post_27.html
- http://teetwo.blogspot.com/2014/01/blog-post_21.html