ถ้า คุณเป็นคนที่มีอีโก้สูง มั่นใจในตัวเองสุด ๆ
ไม่ต่างอะไรกับช้างป่าหรือลิงซน
ที่ไม่มีใครปราบให้อยู่หมัดได้ง่าย ๆ แล้วละก็
อยากบอกว่าชีวิตของเหมียวก็เคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน
จนกระทั่งเหตุการณ์
ในวันหนึ่งมาเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิต
วันที่มองกระจกแล้วถึงกับ
ต้องถามตัวเองว่า คนที่เห็นนั้นเป็นใคร
วันนั้นเหมียวไปซื้อนาฬิกาที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
และบอกคนขายว่า “ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ”
คนขายไม่ฟัง เพราะมัวแต่คุย
แม้จะพูดซ้ำแล้วก็ยังไม่ฟัง
เหมียวเลยขึ้นเสียงดังมาก ๆ ว่า
“ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ” คนขายมองหน้า
แล้วหยิบนาฬิกาสีเขียวมาให้ คราวนี้โกรธมาก
เพราะพูดสามครั้งไม่ฟัง
พอหยิบก็หยิบผิดสี เลยดุเขา
เสียงดังลั่นร้านด้วยความโกรธว่า
“คุณตาบอดสีหรือไง... บอกให้หยิบสีฟ้า หยิบสีเขียวมาทำไม”
วันนั้นคงเป็นวันโชคดีมาก ๆ เพราะพอทำอย่างนั้นไปแล้ว
จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตัวเองในใจว่า
แค่เขาหยิบนาฬิกามาผิดสี
ทำไมต้องว่าต้องโกรธเขาขนาดนี้ด้วย
พอคิดได้อย่างนี้จึงยกมือไหว้
เขาแล้วขอโทษ ขึ้นรถได้ก็ร้องไห้
หลังจากวันนั้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาใช้ชีวิตอย่างไรหรือ
จึงเพาะเมล็ดพันธุ์เน่า ๆ ไว้ในตัวได้มากขนาดนี้
เป็นคำถามที่แม้แต่ตัวเองก็ยังต้องควานหาคำตอบ
หากจะพูดถึงการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่
เหมียวถือว่าตัวเองโชคดี
เพราะคุณพ่อซึ่งทำงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตพระนครเหนือ
และคุณแม่เป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ให้อิสระเราอย่างเต็มที่ตั้งแต่เด็ก ๆ
เติบโตมาท่ามกลางธรรมชาติเหมือนเด็กต่างจังหวัด
เพราะบ้านอยู่ในที่ทำการการไฟฟ้า จังหวัดนนทบุรี
เหมียวเป็นพี่สาวคนโตของน้องสาวอีก 2 คน ที่ซนมาก
มี “เดอะแก๊ง” ของตัวเอง ชอบปีนป่ายต้นไม้
เล่นตี่จับ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ได้รับการสอน
ให้รู้จักค่าของเงินและมีระเบียบ วินัยตั้งแต่เด็ก
จำได้ว่าเคยรับจ้างกวาดใบไม้ เก็บลูกเทนนิส
ขายขนมครกไข่ และขายไอศกรีมที่คุณแม่ทำ
เพื่อเก็บเงินไปซื้อของที่ตัวเองอยากได้
สิ่งที่ทำตอนนั้นไม่ได้คิดว่าเป็นความยากลำบาก
กลับรู้สึกสนุกเสียด้วยซ้ำ
เหมียว เป็นคนที่ไม่ยอมทำตามกฎที่มองไม่เห็นเหตุผล
สมัยเรียนสาธิตจุฬาฯ มีกฎให้นักเรียนผูกโบสีเรียบร้อย
แต่เหมียวใช้สีรุ้ง อาจารย์เรียกแม่ไปพบ
แต่แม่กลับไม่ว่าอะไร สำหรับท่าน
ถ้าลูกไม่แรด ไม่โดดเรียน
โรงเรียนก็ไม่ต้องมายุ่งกับถุงเท้าและโบของลูกฉัน
แม่เป็นแม่ที่รู้ว่าลูกกำลังเป็นวัยรุ่น
และต้องการแสดงออกเพื่อความเป็นตัวของตัวเอง
เหมียว โตมาแบบนี้ เรื่องเรียนไม่ได้เก่งกาจเลย
แต่เป็นเด็กไฮเปอร์ ชอบทำกิจกรรม
พอเข้าเรียนคณะรัฐศาสตร์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จึงเป็นทั้งนักกีฬาฟุตบอล วอลเลย์บอล พุ่งแหลน
รวมทั้งเป็นเชียร์ลีดเดอร์ตอนเรียนปีที่ 2
ถ้ามีใครถามว่าใจจริงอยากเป็นอะไรกันแน่
เหมียวจะบอกว่าอยากเป็นวิศวกรนิวเคลียร์ฟิสิกส์
เพราะเป็นคนที่ชอบเรียนเลขกับฟิสิกส์
แต่คุณพ่อไม่แนะนำให้เรียน
ท่านบอกว่าวิศวะเป็นโลกของผู้ชาย
เขาไม่ยอมรับผู้หญิง และถ้าเราเรียนสาขานี้จริง ๆ
เวลาทำงานจะลำบาก
ถึงวันนี้เหมียวเข้าใจในสิ่งที่คุณพ่อพูดอย่างถ่องแท้
เพราะต่อให้ผู้หญิงเก่งแค่ไหน
ก็ยังมีผู้ชายบางส่วนไม่ยอมรับอยู่ดี
พอจบปริญญาตรี เหมียวเรียนต่อระดับปริญญาโท
ด้านไดเร็คท์มาร์เก็ตติ้งที่สหรัฐอเมริกา
คุณแม่ไปอยู่ด้วยก่อน 4 – 5 เดือน
เพื่อดูว่าลูกควรจะขึ้นรถเมล์สายอะไร
พักที่ไหน และลูกจะอยู่ได้ไหม
ท่านทุ่มเทเพื่อเราอย่างเต็มที่
ในช่วงที่ไปเรียนต่อเหมียวเพิ่งอกหัก
ตลอดสองปีที่เรียนอยู่ที่นั่นเสียใจตลอด แต่ก็ผ่านมาได้
หลังจากเรียนจบกลับมาทำงานเมืองไทย
เหมียวประสบความสำเร็จเร็วมาก
จนเพื่อน ๆ ต่างชื่นชมว่า
โอ้โห อายุแค่ 25 ทำงานได้เงินเดือนเป็นแสน
พออายุ 29 เหมียว มีรายได้เดือนละประมาณสามแสนบาท
และกลายเป็นนักการตลาดที่มีแต่คนชื่นชม
ช่วงที่ทำงานบริษัทมีคนเชิญไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยด้วย
ทำให้ใคร ๆ เรียกว่าอาจารย์
เหมียวจึงรู้สึกว่าความสำเร็จมาเร็วมาก
ยิ่งตอนมาทำงานและได้
ก่อตั้งแผนกไดเร็คท์มาร์เก็ตติ้งให้ลีโอเบอร์เนทท์จนเริ่มบูม
เหมียวต้องพรีเซ้นต์งานเยอะมาก
คนที่จะพรีเซ้นต์งานหรือ
ต้องออกไปยืนพูดอยู่หน้าเวทีได้ดีต้องมีอีโก้สูง
ต้องมั่นใจในตัวเองมาก
และโดยไม่รู้ตัวจึง
สะสมอีโก้เข้าไปในตัวทีละน้อย ๆ
ด้วยความที่เป็นคนขี้โมโห
และหงุดหงิดง่ายมาตั้งแต่วัยรุ่น
แต่ไม่เคยรู้ตัวเลย
แค่มีคนขับรถช้าเกะกะอยู่ข้างหน้า
หรือมีคนขับรถปาดหน้าก็หงุดหงิดแล้ว
ในแต่ละวันจึงมีเรื่อง
ให้ต้องหงุดหงิดโมโหไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
หรือเวลาแม่บ้านเอา
เสื้อผ้าตัวใหม่ไปซักแล้วสีผ้าตัวอื่นตกใส่
ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
คิดแต่ว่าแม่บ้านคนนี้ทำเสื้อเราพัง
ถ้าเป็นที่ทำงาน
ลูกน้องทำงานไม่ได้ดังใจจะโกรธเสียงดังใส่เขา
เวลาโกรธแล้วไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง
รู้แต่ว่าโกรธโทษคนนั้นคนนี้
มัวแต่ไปโฟกัสที่คนอื่นและ
สิ่งอื่นภายนอก โดยไม่มีมุมมองอื่นเลย
เป็นอย่างนี้มาเรื่อย ๆ
จนกระทั่งอายุ 30 ปี ตอนนั้นทุกคนรอบตัวที่รักเรา
ทั้งพ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อน ๆ
ต่างก็บอกว่าเหมียวโมโหแรงขึ้นทุกวัน
แต่ก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งเหตุการณ์
ในวันที่ไปซื้อนาฬิกาในห้างสรรพสินค้า
มากระตุกความคิด อย่างรุนแรง
จนต้องถามตัวเองว่า...ทำไมถึงเป็นคนอย่างนี้
แล้วคำพูดของคนที่รักเราก็
เริ่มสะท้อนเข้ามาเป็นฉาก ๆ ว่า..เออ จริง ๆ
เขาเคยบอกแล้ว เราเปลี่ยนไปจริง ๆ
ถามตัวเองในกระจกรถว่า
“มึงเป็นใคร กูไม่ใช่คนแบบนี้มึงเป็นใครมาจากไหน”
วันนั้นพอกลับถึงบ้านก็เริ่มหา
สาเหตุที่ทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนี้
เขียนลูกศรใหญ่มาก เขียนเลยว่า
ทำไมคนนี้ถึงเปลี่ยนเป็นอีนี่
พอเขียนแล้วได้คำตอบว่า เป็นเพราะเงินที่ได้เยอะขึ้น
ตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงขึ้น ชื่อเสียงที่มากขึ้น
การมีลูกน้องกว่า 200 คน และการเปิดบริษัทเอง
แต่ตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจคำว่า “อีโก้”
รู้แค่ว่าความเปลี่ยนแปลงในตัวเราเกิดเพราะสิ่งเหล่านี้
คน อื่นที่อยู่ในภาวะเดียวกับ
เหมียวอาจไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้
แต่สำหรับเหมียวถึงขั้น...หลุด
โชคดีว่ายังรู้ตัวว่า สิ่งที่ทำไปไม่ถูก
วันนั้นตัดสินใจทันทีเลยว่า “ไม่เอาแล้ว”
วันรุ่งขึ้นไปบอกเพื่อนว่าจะปิดบริษัท
แต่กว่าจะปิดได้ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาเป็นปี
จากนั้นก็เดินออกจากชีวิตคนทำงาน
กลายมาเป็นนักเดินทางแทน
เหมียวเดินทางอยู่ถึง 2 ปี เต็ม ๆ
การเดินทางให้อะไรเราหลายอย่าง
บางคนอาจจะชอบเพราะ
ได้ความสุข ความสนุก ได้ลองอาหารอร่อย ๆ
ได้เห็นสถานที่แปลก ๆ และ
ได้ภาพถ่ายมาเตือนความทรงจำ
แต่สำหรับคนที่เดินทางเพื่อหาคำตอบอะไรบางอย่าง
การเดินทางมีความหมายมากกว่านั้น
แม้ว่าเหมียวจะมีโอกาสเดินทางบ่อยตั้งแต่เด็ก ๆ
เพราะไม่ว่าจะไปไหนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
คุณพ่อคุณแม่ต้องหอบลูกทั้งสามคนไปด้วยทุกครั้ง
แต่กลับเพิ่งเริ่มรู้จักความหมายของการเดินทางจริง ๆ
ก็ช่วงที่เดินทางแบกเป้ไปเที่ยวยุโรป
เป็นการเดินทางแบบไม่คาดหวังอะไร นอนบนรถไฟ
อาบน้ำที่สถานีรถไฟ รับประทานอาหารในร้านบ้าง
ซื้อขนมปังและผลไม้ทานบ้าง
ทำให้เราได้ผจญภัย ได้เสี่ยง
และได้เรียนรู้ว่าเพื่อนร่วมเดินทางดี ๆ ที่ไม่หงุดหงิด
ไม่โกรธหรือโทษกันเมื่อตัดสินใจผิดพลาด หายากมาก
แต่โชคดีที่เพื่อนเหมียวน่ารักทุกคน
เจอปัญหาก็ช่วยกันแก้ไข
แก้ไม่ได้ก็หัวเราะกันจนน้ำตาไหล
เหมียวอาจจะเหมือนใครหลายคน
ที่ท่องเที่ยวมาแล้วแทบทั่วโลก
เห็นอะไรมากมาย ทำให้เรามีความรู้มากขึ้น
เห็นชีวิตที่มีวิถีทางต่าง ๆ กัน
เห็นผู้คนในเมืองที่เจริญในวัตถุมาก
และเห็นชีวิตผู้คนที่ยากจนแสนเข็ญ
เมื่อก่อนเหมียวเคยคิดว่าตังเองเจ๋งเรื่องเที่ยว
ไม่แพ้ใครเหมือนกัน
เมื่อได้เข้าสู่เส้นทางธรรมกลับรู้สึกจ๋อยไปเลย
เพราะที่ว่าเจ๋งแล้ว ความรู้ของเรา
ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความรู้ ความเข้าใจ
และสติปัญญาที่ได้จากการท่องเที่ยวดูตัวเอง
ไม่น่าเชื่อว่าธรรมะจะช่วยให้เหมียวตาสว่าง เลิกเหล้า
และมองความรักด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นถึงเพียงนี้
สิ่งที่เหมียวค้นพบเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของชีวิต
ที่หากว่าใครรู้และ นำไปใช้
จะทำให้ชีวิตพบกับความสุขอย่างคาดไม่ถึง...