Custom Search

Apr 21, 2008

คุยสั้นๆ กับ "เป็นเอก รัตนเรือง"

ที่มา :http://www.sudsapda.com/SudSapDa2007/outstanding.aspx?id=80

ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับรสจัด ที่คุยมันที่สุดคนหนึ่ง
บทสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ของเขาจึงค่อนข้างยาว (และแรง)
วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศมาฟังเป็นเอกคุยสั้นๆกันบ้าง ลองดูว่าจะเป็นอย่างไร
1.สิ่งที่คนไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับ “เป็นเอก”
ตอนอายุ 10 ขวบผมเคยหัดต่อยมวย เพราะปู่ของเพื่อนสนิทเป็นเจ้าของค่ายมวย
เวลาโรงเรียนปิดเทอมก็ไปซ้อมที่ค่ายเขา หัดอยู่ประมาณ 2-3 ปี
แต่ไม่เคยขึ้นเวทีต่อยเอาตังค์ เพราะกลัว
2. สิ่งที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับคุณ
คือคิดว่าไอ้หมอนี่เป็นนักดูหนังตัวยง ภาพยนตร์ต้องสำคัญกับไอ้พี่คนนี้มาก
ชีวิตมันมีแต่หนังๆๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะนานๆ ผมถึงทำหนังที
ปีสองปีทำเรื่อง ปกติถ้าจะคุยเรื่องหนัง ผมชอบคุยเรื่องหนังคนอื่นมากกว่าหนังตัวเอง
3. ใครคือคนที่เป็นเอกเห็นแล้ว “กรี๊ด”
อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร ผมเจอเขาในงานเสวนาครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2549
ก่อนนี้ผมเคยอ่านบทความบางชิ้นที่เขาเขียน ผมว่าจี้ดี ยิ่งมารู้จักเขาจากกรณีฉีกบัตรเลือกตั้ง
ยิ่งชอบ เป็นคนที่ผมใช้คำว่าอยากกราบตีนจริงๆ
นอกจากมีความรู้แล้วยังตลกอีก ตลกแบบจี้เส้นด้วย ผมชอบ
4. เป็นเอกเคย “กลัว” อะไรบ้างไหม
ผมกลัวการโดนถ่ายรูปเวลาให้สัมภาษณ์นิตยสาร อันนี้เหมือนไปหาหมอฟันเลยฮะ
ทุกครั้งจะมีความเจ็บปวด เวลาอยู่หน้ากล้องผมทำหน้าไม่ค่อยถูก
นี่ทำมาสิบปีแล้วยังไม่ชินเลย แต่พอเสร็จปุ๊บ โอ้โห ดีใจ-บหาย
5. แล้ว “หงุดหงิดใจ” เรื่องอะไรมากที่สุด
เวลาผมดูทีวี เห็นตัวละครเอาบุหรี่ใส่ปากแล้วโดนเซ็นเซอร์
แต่เวลาเอาออกจากปากไม่เซ็นเซอร์ โอ้โฮ นี่คือสุดยอดของความอนุมานแล้วฮะ
หรือแม้แต่การล็อคตู้เบียร์ในซูเปอร์มาร์เก็ตตอนบ่าย 2 แล้วพอ 5 โมงค่อยปลดล็อค
นี่ผมโตเป็นควายแล้วจะกินเบียร์ตอนไหนมันหนักหัวใครเหรอ
6. ช่วยเล่าวีรกรรมล่าสุดของคุณให้ฟังหน่อย
วันก่อนถ่ายหนังในปั๊มน้ำมันก็เพิ่งไปเตะกรวยเขา (หัวเราะ) กรวยยางส้มๆ
ที่วางอยู่ในปั๊ม...คือมันมีคนเรื่องมากคนหนึ่ง ซึ่งเราต้องไปดีลด้วย แล้วพูดกันไม่รู้เรื่อง
ที่สำคัญเขามีอำนาจอยู่ในมือ ผมเลยบอกทีมงาน
“เดี๋ยวกูจะทำอะไรอย่างนึง มึงอย่าตกใจนะ กูต้องขอทำ เพราะไม่งั้นทำงานต่อไม่ได้”
พูดจบปุ๊บ ผมวิ่งไปเตะกรวยลอยไปโน่นเลย
7. คำถามแปลกสุดที่เคยเจอ
สมัยทำเรื่อง “ตลก 69” เคยมีคนถาม “เวลาพี่เขียนบท พี่เขียนด้วยดินสอ หรือปากกา
หรือดินสอสี หรือดินสอดำ” ผมบอกไม่รู้ อะไรใกล้มือผมก็ใช้ไอ้นั่นมั้ง
ทำไมเหรอ มันมีอะไรพิเศษเหรอ แล้วเขาก็มีคำถามประหลาดๆ
เต็มไปหมดเลยนะ ผมคิดในใจ “อะไรวะเนี่ย”...แต่พอวันหนึ่งเขาส่งหนังสือมาให้
โห เขียนดี-บหาย เหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในหัวผมเลย ผมก็เออเฮ้ย เอากับเขาสิวะ
ก็เซอร์ไพรส์เราเหมือนกัน
8. คำถามงี่เง่าสุดที่เคยถูกถาม
ไม่ค่อยมีหรอก ส่วนใหญ่คำถามงี่เง่าจะไปตกอยู่กับดารามากกว่า
(ขอบคุณที่เขาไม่ตอบว่า “คำถามแบบนี้ไง”)
9. หลังจากถ่ายหนังอย่างหามรุ่งหามค่ำ เป็นเอกมัก “แวะ” ที่ไหนก่อนกลับบ้าน
สมมติถ่ายหนังน็อครอบตั้งแต่ทุ่มนึงถึงตีห้า ขณะขับรถกลับบ้าน
ผมมักคิดในใจ...หิว-บหายถ่ายมาทั้งคืนยังไม่ได้แ-กอะไร
แล้วที่บ้านมีอะไรกินเปล่าวะ ไอ้_าไม่มี เดี๋ยวต้องแวะซื้อโจ๊กกลับไปกิน
อ้าวไอ้เ_ ย ตีห้าครึ่งร้านโจ๊กยังไม่เปิด...ก็มีผมนี่แหละขับรถพล่านไปทั่ว
10. คุยเรื่องหนังบ้าง คิดอย่างไรกับกรณี “แสงศตวรรษ”
ผมเห็นใจกองเซ็นเซอร์เหมือนกันนะ เพราะเขาไม่มีทางออก หน้าที่มันบังคับ
ให้เขาต้องใช้วิจารณญาณ ในขณะที่ประเทศนี้มีคนทำหนังแบบเจ้ย แบบวิศิษฏ์
หรือแบบผมแล้ว แต่เขายังใช้กฎหมายสมัยโบราณกันอยู่ มันก็เหมือนคนทำเพลงฮิพฮ็อพ
แต่ให้ไปใส่ชุดไทย ตลกตายห่า มันก็ไม่เข้าท่า ใช่ไหม
11. สมมติหนังของคุณมีตัวละครเป็นคนในกองเซ็นเซอร์ เขาจะมีบุคลิกประมาณไหน
ผมคงทำให้เขาเลิศเลยฮะ มีทั้งวิจารณญาณ ปัญญา ศักดิ์ศรี ความเที่ยงตรง
และทุกอย่างที่ผมคิดว่าพื้นฐานมนุษย์ควรมี
12. ถ้ามีโอกาสทำหนังเกี่ยวกับนักการเมือง อยากทำเรื่องของใคร
คงเป็นคุณปรีดี พนมยงค์ นักการเมืองที่ผมชื่นชม แล้วบรรยากาศยุคนั้นมันคลาสสิก
ผู้คนแต่งตัวดีมีรสนิยม ไม่เหมือนนักการเมืองสมัยนี้
วลาไปหาเสียงต่างจังหวัดทีก็ใส่เสื้อวอร์มผ้าร่มที่มีโลโก้อะไรไม่รู้เต็มไปหมด
นี่สรุปคุณเป็นนักการเมืองหรือบิลบอร์ดโฆษณา แถมบางครั้งก็ทำเป็นคาดผ้าขาวม้ากันใหญ่
ทั้งที่ปกติเวลานั่งเบนซ์ผ่านหน้าบ้านกู ไม่เห็นมึงจะผ้าขาวม้าห่าอะไรเลย
นี่คือความ bullshit ล้วนๆ
13. จะมีวันได้เห็นเป็นเอกทำหนังตลกแนว “วิ่งหนีผี” ไหม
ปัญหาสำหรับผมคือ หนังพวกนั้นไม่ตลกไงฮะ สังเกตไหมว่าอะไรที่ตลกมากๆ
มักจะเกิดจากความซีเรียส อย่างไอ้สนามบินที่เครื่องบินลง 4 ครั้งแล้วเจ๊ง
แค่นี้คุณก็ทำเป็นหนังคอเมดี้ระดับโลกได้แล้ว พล็อตเรื่องอย่างนี้ฝรั่งคิดไม่ได้หรอกฮะ
14. ใครคือนักแสดงตลกในดวงใจ
คุณหม่ำ จ๊กมก กับจาตุรงค์ มกจ๊ก จังหวะปล่อยมุกเขาดีมาก เป็นจังหวะที่เราไม่คาด
เลยกลายเป็นความตลกเฉพาะตัว ซึ่งผมคิดว่าในทุกๆ วงการจะมีคนอยู่จำนวนหนึ่ง
ที่เหมือนเกิดมาพร้อมของขวัญจากพระเจ้า ประมาณว่ามีแบบฟอร์มให้กรอกก่อนเกิด
ครอยากได้แบบไหนก็ติ๊กช่องนั้น
15. แล้วเป็นเอกเกิดมาพร้อมคุณสมบัติแบบไหน
ปากหมาฮะ เป็นช่องที่คนอื่นไม่ได้ติ๊ก (หัวเราะ)
ตอนนั้นผมคงไม่รู้คำแปลของมันด้วย
ติ๊กไปอย่างนั้นแหละ ก็ซวยไป
16. หากเปรียบชีวิตคุณเป็นหนัง มันคือหนังแนวไหน
ท่าทางจะตลกเศร้าๆ
17. สุดท้าย อะไรคือความคล้ายกันระหว่าง “การทำหนัง” กับ “การเมค เลิฟ”
ทั้งสองอย่างมีความลุ้น ความตื่นเต้น และสิ่งที่คาดไม่ถึง อย่างตอนถ่ายหนัง
สมมตินักแสดงพูดประโยคหนึ่ง บังเอิญน้ำลายติดคอ เสียงที่ออกมาก็สั่นแปลกๆ
แล้วเรารู้สึก “โอ ใช่เลยว่ะ” นั่นคือความมหัศจรรย์สำหรับผม
ถ้าเปรียบกับการเมคเลิฟ ไอ้ความ “จี๊ด” ตรงนั้น บางทีไม่ได้มาจากการร่วมเพศหรอกฮะ
มันอาจเป็นแค่ตอนที่คุณได้ล้วงเข้าไปในกางเกงในผู้หญิง
ครั้งแรกที่คุณได้ทำอย่างนั้น มันอาจมีความสุขกว่าตอนถึงจุดสุดยอดอีกนะ ผมว่า