Custom Search

Apr 3, 2008

อภินิหารพระดิน บทส่งท้าย : PRAPAS.COM

ประภาส ชลศรานนท์
3 ต.ค. 2547
http://www.prapas.com/

หลวงพี่แก้วกำลังนั่งขัดสมาธิราบอยู่กลางโบสถ์แต่เพียงลำพัง
ยามนี้แม้แต่ลม ก็ไม่ได้พัดเข้ามากวนใจหลวงพี่ของเรา

ควันจากธูปที่ลุงไม้มาจุดบูชาพระไว้แต่เช้าจึงลอยอ้อยอิ่งเป็นสายเล็กๆ ขึ้นสู่เพดานโบสถ์
นกกระจอกฝูงใหญ่ที่เข้ามาทำรังอยู่บนคานหลังคาก็ออกหากินตั้งแต่เช้ายังไม่กลับรัง
เหมือนจะปล่อยให้หลวงพี่แก้วได้เข้าพบองค์พระดินเป็นการส่วนตัว

หลังจากที่หลวงพี่วิ่งหนีหลวงพ่อดินมาตลอดสามสิบปี
ถึงตอนนี้แล้วหลวงพี่แก้วจึงนั่งนิ่งจ้องมองพระดินอย่างไม่วางตา หลวงพ่อดินที่อยู่เบื้องหน้าวันนี้แทบจะไม่เหลือเค้าของพระดินองค์เก่าที่หลวงพี่เคยเห็นเมื่อครั้งกระโน้น

ทองคำเปลวที่ชาวบ้านนำมาปิดไว้ตั้งแต่บาทจนถึงเศียรของหลวงพ่อพอกหนาจนแทบจะมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาเดิมๆ ขององค์พระ แต่ถึงอย่างนั้นหลวงพี่แก้วของเราก็ยังใจสั่น และต่อให้หลวงพี่อ้างว่าตัวเองมักคุ้นกับภาพของพระดินที่ลอยอยู่ในมโนจิตแค่ไหนก็ตาม

ความตื่นใจของหลวงพี่ก็ไม่อาจเพลาลงได้ ด้วยความรู้สึกที่ว่ามีผู้กำชะตาชีวิตของตัวเองประทับอยู่ด้านหน้า

"หลวงพ่อครับ ผมมีคำถามอยากจะถามหลวงพ่อเยอะแยะเลยครับ"
หลวงพี่แก้วยังคงจ้องมองนิ่ง ไม่รู้ว่าจะเป็นอุปาทานของหลวงพี่แก้วหรือเปล่า ที่จู่ๆ หลวงพี่ก็รู้สึกว่ามีลมพัดเข้ามาในโบสถ์วูบใหญ่ ควันธูปที่ลอยเป็นสายแต่แรกจึงกระจายแตกฟุ้งไป

"หลวงพ่อ..." พระแก้วหลับตาลง
"หลวงพ่อกำลังจะแสดงปาฏิหาริย์อะไรอีกหรือเปล่า"
ลมยังคงพัดต่อเนื่องเข้ามากระทบตัวหลวงพี่แก้วจนจีวรสะบัดไหวๆ กระดิ่งใบเล็กๆ ที่แขวนไว้ที่ชายคาโบสถ์สั่นตามแรงลมส่งเสียงเข้ามาทำลายความเงียบ

"อะไรคือปาฏิหาริย์ครับหลวงพ่อ" เสียงในอกของหลวงพี่ดังแข่งกับเสียงกระดิ่งที่ดังรัวตามแรงของลม
"ผมถามตัวเองมาตลอดว่าผมบวชเรียนเพื่ออะไร แล้วผมก็ตอบตัวเองมาตลอดว่าผมบวชเพื่ออยากพบความสงบ" ลมสงบลง เสียงกระดิ่งนอกวัดเงียบไป
"แต่ถึงจะตอบตัวเองอย่างนั้น ใจผมก็ยังขุ่นทุกครั้งที่ภาพของหลวงพ่อลอยขึ้นมา"
"แม้ว่าวันที่โยมพ่อของผมสิ้น และถึงผมจะมาทันก่อนท่านหมดลมก็ตาม แต่จิตผมก็รู้สึกขุ่นอยู่ตลอดเวลาที่ผมนึกถึงปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อ"

หลวงพี่แก้วกำลังหวนนึกไปถึงตอนที่เพิ่งบวชเป็นพระใหม่ๆ แล้วได้รับข่าวโยมพ่อล้มป่วย
หลวงพี่ยังจำโทสะของตัวเองครั้งนั้นที่มีต่อพระพุทธรูปดินองค์นี้ได้ ภาพของพระใหม่รูปหนึ่งออกมาเหวี่ยงไม้ด้วยความโกรธไปรอบๆ วัดตอนกลางดึกลอยขึ้นมาชัดเจนมากในคลองจิต
จนถึงตอนนี้แม้ว่าหลวงพี่แก้วของเราจะเป็นพระสงฆ์ที่จัดได้ว่าเป็นพระดีรูปหนึ่งที่สามารถกำหนดความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในสัมปชัญญะได้ตลอดก็จริง แต่เจ้าตัวมิจฉาสังกัปปะที่ออกมาอาละวาดครั้งนั้นน่ะสิ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะแข็งแรงอะไรขนาดนั้น

หลวงพี่แก้วบำเพ็ญภาวนาข่มมันอยู่แทบทุกวัน มันก็ยังคงฝังตัวแอบอยู่ในนาจิตนาใจมาตลอด และคราวใดที่ฌานอ่อน เจ้าตัวร้ายตัวนี้ก็จะออกมาป่วนวิปัสสนาให้กระเจิงไปแทบทุกที ลมข้างนอกพัดเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้เริ่มเป็นลมที่แรงกว่าเก่า เสียงลุงไม้ตะโกนบอกให้เด็กวัดเตรียมผ้าใบไว้ ฟ้าทางฝั่งดอนเริ่มมืดด้วยเมฆฝน

"หลวงพ่อครับ คนเราจะบวชจะเรียนเพื่ออะไร นอกจากความเลื่อมใสแล้วก็เห็นจะมีอีกสิ่งเดียวนั่นก็คือต้องการมุ่งความบริสุทธิ์แห่งตน ผมรู้ตัวเองมาตลอดว่าใจของผมนั้นยังไม่บริสุทธิ์กับหลวงพ่อ จริงอยู่ละครับว่าผมสงบใจได้มากขึ้นกว่าตอนก่อนบวช แต่ผมก็ยังรู้สึกร้อนใจทุกครั้งที่พยายามหาคำตอบเรื่องอภินิหารของหลวงพ่อ" เสียงกระดิ่งสั่นรัวตามแรงลม

"หลวงพ่อว่าอภินิหารไม่มีจริงหรือครับ" แสงสว่างบนฟ้าทางฝั่งดอนสว่างขึ้นแว่บหนึ่ง
"หลวงพ่อจำวันที่เจ้าพวกขโมยหลวงพ่ออย่างที่ผู้คนเขาโจษกันเลย หลวงพ่อก็รู้ว่าผมต่างหากที่เป็นคนทำ" เสียงฟ้าลั่นครืนมาแต่ไกลๆ

"หลวงพ่อกำลังจะถามผมใช่ไหมว่าผมกลับมาที่เพิงพระในตอนนั้นทำไม ผมโกรธหลวงพ่อครับผมยอมรับ ผมจะมาเผาหลวงพ่อ... ผมยอมรับ"

ข้างนอกวัด ลุงไม้กำลังสาละวนกับเด็กวัดเอาผ้าใบเตรียมคลุมแผงขายดอกไม้ธูปเทียนของวัด เมฆก้อนใหญ่ๆ ลอยมาคลุมท้องฟ้าตรงบริเวณวัดจนทั้งวัดเริ่มมืดราวกับถึงเวลาพลบ เสียงฟ้าร้องยังคงดังเป็นช่วงๆ ห่างๆ กัน แต่ในใจของหลวงพี่แก้วนั้นฟ้าร้องฟ้าลั่นอึงคะนึงไปหมดแล้ว

"หรือว่านั่นแหละคืออภินิหารที่หลวงพ่อทำ" ฝนเริ่มลงเม็ด
"หลวงพ่อดลใจให้ผมมาหรือ หลวงพ่อดลใจให้ผมเดินผ่านมามองเห็นเพิงพระไฟไหม้แล้วดลใจให้ผมดับไฟหรือ หลวงพ่อมาตู่เอาง่ายๆ อย่างนี้ไม่ได้นะครับ" ฟ้าผ่าลงมาอีกครั้ง

เสียงของมันดังสนั่นราวกับว่ามันผ่าอยู่ข้างๆ วัดนี้เอง เถ้าธูปที่ค้างอยู่บนก้านหล่นลงมาที่กระถางด้วยแรงสะเทือนของฟ้าร้อง ฝนลงเม็ดหนักขึ้น

"หรือหลวงพ่อจะบอกว่าหลวงพ่อนั่นแหละเป็นคนทำให้ฟ้าผ่าลงมาด้วย"
"แล้วก็ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ทำให้ผมโกรธหลวงพ่อถึงขนาดจะย้อนมาเผาหลวงพ่อเพื่อจะได้เจอเจ้าพวกขโมยพวกนั้น รวมไปถึงทำให้ผมกลับมาถามหลวงพ่อวันนี้ด้วย"
ลมฝนกระโชกแรงเข้ามาในโบสถ์ แรงลมนั้นแรงจนดอกไม้เงินดอกไม้ทองที่ปักไว้ในแจกันแกว่งกระทบกันไปมา เสียงกระดิ่งนอกวัดก็รัวลั่นจนฟังไม่เป็นเสียงกระดิ่งเสียแล้ว

"พูดเป็นเล่นไป ทุกอย่างคืออภินิหารของหลวงพ่ออย่างนั้นหรือ"
"ตั้งแต่ผมเกิดแล้ว?"
"การเกิดของผมก็เป็นปาฏิหาริย์"
ฝนที่ตกอย่างหนักผสมเข้ากับลมที่พัดราวกับพายุเริ่มพาเอาละอองฝนสาดเข้ามาทางหน้าต่างโบสถ์ เสียงลุงไม้กับเด็กวัดตะโกนโหวกเหวกช่วยกันเก็บข้าวเก็บของที่ตั้งไว้ตามระเบียงคต

"แล้วตอนที่ผมเจ็บจากการถูกพ่อตีเล่า ขาข้างที่เจ็บของผมที่เวลาเดินแล้ว มันเจ็บแปลบเข้าไปถึงกระดูกนั่นด้วยหรือ หลวงพ่อกำลังจะเหมาเอาความชราที่เข้ามาเยือนสังขารผมอยู่ทุกวันนี้ด้วยใช่ไหมว่ามันก็ล้วนคือปาฏิหาริย์"

ฟ้าร้องขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้แรงสะเทือนทำเอาโต๊ะหมู่บูชาด้านหน้าหลวงพ่อดินสั่นจนกระทบกันดังกึกๆ แล้วฝนก็ซาเม็ดลง "ทำไมปาฏิหาริย์มันเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นเล่า"

"ความตายของโยมพ่อก็คงเป็นปาฏิหาริย์เหมือนกัน" เสียงฟ้าเงียบลงแล้ว เถ้าของธูปแท่งสุดท้ายที่คาอยู่ที่ก้านหล่นลงบนโต๊ะ "ถ้าวันนั้นผมไม่เข้าไปดับไฟหลวงพ่อ
หลวงพ่อก็คงมอดไฟไปหมด โบสถ์ใหญ่ๆ หลังนี้ก็คงไม่มี หลวงพ่อที่ปิดทองเหลืองอร่ามอย่างตอนนี้ก็คงไม่มี"
"เพราะมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้วหรือ"
"ปาฏิหาริย์มันมีจริงและก็ไม่มีจริงไปพร้อมๆ กันอย่างนั้นหรือ" ...................... หลวงพี่แก้วลืมตาขึ้น

เสียงลุงไม้วิ่งขึ้นมาบนโบสถ์เพื่อจะมาปิดหน้าต่างพลันที่ลุงไม้มองเห็นหลวงพี่แก้ว
ลุงไม้ก็รีบลงนั่งยองๆ โดยไม่กล้าส่งเสียงรบกวนสมาธิใดๆ จู่ๆ ลมก็สงบนิ่งเหมือนกับว่านอกวัดมีพัดลมตั้งอยู่และถูกปิดไปในทันที

หลวงพี่แก้วค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ภาพข้างหน้าของหลวงพี่ก็ยังคงเป็นองค์พระดินที่ปิดทองเต็มไปทั้งองค์อย่างเดิม แต่หลวงพี่แก้วกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ความฉ่ำเย็นปกคลุมไปทั่วทั้งโบสถ์ หลวงพี่ไม่เคยรู้สึกอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย

ความรู้สึกที่ว่าไม่รู้สึกอันใด ไม่โกรธแค้น ไม่ถวิลหา และไม่สงสัย
หลวงพี่แก้วก้มลงกราบหลวงพ่อพระดินสามครั้งแล้วก็ลุกขึ้นเดินผ่านหน้าลุงไม้ไป ฝนเริ่มลงเม็ดมาอีกครั้งพร้อมๆ กับเสียงฟ้าผ่าที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ แถวนี้ หลวงพี่แก้วยังคงเดินมุ่งไปยังที่ปักกลดของตน หลวงพี่ของเราไม่รู้สึกอะไรเลยจริงๆ ทุกอย่างที่จะเกิดต่อไปนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งธรรมดาและปาฏิหาริย์ในคราวเดียวกัน