Custom Search

Apr 3, 2008

อภินิหารพระดิน ตอนที่ 1 : PRAPAS.COM

ประภาส ชลศรานนท์
29 ส.ค. 2547
www.Prapas.com

คืนนั้น ฟ้าแรงเสียจนเหมือนกับว่าโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง
แต่ถึงฟ้าจะแรงอย่างนั้น ฝนกลับตกเหยาะแหยะ เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดไม่สมกับที่ชาวบ้านเฝ้าคอยฝนแรกของฤดู ชาวบ้านร้านช่องปิดบ้านกันแต่หัวค่ำ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกสักเท่าไร ค่าที่เสียงฟ้ามันดังจนหูแทบแตก ที่มาพร้อมลำแสงหยักๆ
บนท้องฟ้าที่ผ่าไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างน่าเสียวไส้ เห็นก็แต่เจ้าแก้วขี้เมาประจำบางคนเดียว ที่ยังหนีบขวดเหล้าขาวไว้ใต้รักแร้เดินตุปัดตุเป๋มาตามเส้นทางหลักของหมู่บ้านอย่างไม่อินังขังขอบ ฝนตกลงมาอีกห่าหนึ่ง

ขณะที่เจ้าแก้วหยุดยืนอยู่ตรงหัวโค้งดงกระถิน มันมองเข้าไปที่เพิงพระที่อยู่ตรงหัวโค้ง ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อดิน ถูกนิมนต์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เจ้าแก้วเองเกิดมาแต่อ้อนแต่ออก มันก็เห็นแล้วว่ามีพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยดินหยาบๆ องค์นี้ตั้งอยู่ตรงหัวโค้ง แล้วมันก็จำได้ว่าพอมันมาเป็นเด็กวัดเดินตามหลวงพ่อได้สักพัก ชาวบ้านก็ช่วยกันเปลี่ยนเพิงหลังคาแฝกให้เป็นเพิงหลังคากระเบื้องอย่างที่เห็นๆ อยู่ กระถางธูปที่อยู่ข้างหน้าหลวงพ่อดิน มีก้านธูปปักอยู่ไม่ถึงสิบก้าน หนำซ้ำยังถูกวางไว้เอียงกระเท่เร่ แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจของผู้คนในหมู่บ้านนี้นัก

"หลวงพ่อทำไมขี้เหร่เหลือเกิน" เจ้าแก้วเดินเข้ามามององค์พระใกล้ๆ
" จมูกก็เบี้ยว ตาสองข้างก็ไม่เท่ากัน" เจ้าแก้ววางขวดเหล้าไว้ข้างๆ แจกันบิ่นๆ ที่มีดอกไม้เหี่ยวๆ ปักอยู่ พอวางเสร็จตัวเจ้าแก้วเองก็เอียงเซไปทางซ้ายทีหนึ่งด้วยความเมา
แต่มันก็คว้าเอาขอบโต๊ะเก่าๆ ที่อยู่ข้างหน้าไว้ทัน จากนั้นมันก็ค่อยๆ เกาะขอบโต๊ะเดินเข้าไปหากระถางธูป เพื่อจะจับให้ตั้งตรงตามเดิม

"ขี้เหร่อย่างนี้ใครเขาจะนับถือ" เจ้าแก้วบ่นถึงพระพุทธรูปดินอีกครั้ง
และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะพูดอะไรต่อ แสงแปลบก็สว่างโร่ขึ้นแถวๆ ดงกระถิน ตามด้วยเสียงตูมดังลั่นแทบแก้วหูระเบิด ฟ้าผ่าลงกลางดงกระถินข้างๆ เพิงพระนี่เอง เจ้าแก้วค่อยๆ คลายมือที่ปิดหูทั้งสองข้างออก พลางหันไปทางที่มาของแสงจ้าและเสียงลั่น ต้นกระถินต้นใหญ่ที่สุดในดงกำลังติดไฟอยู่ ขี้เมาตัวกลั่นหายเมาเป็นปลิดทิ้ง ไฟค่อยๆ ลามจากกิ่งเล็กๆ
จนลุกโชนไปทั้งต้น และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะคิดอ่านอะไรออก กิ่งใหญ่ที่ติดไฟอยู่ก็หักหล่นใส่หลังคาของเพิงพระ แล้วก็กลิ้งหลุนๆ เหมือนคบไฟหล่นลงมาที่พื้นข้างเสาไม้ ฝนที่เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดก็ดันมาหยุดเอาเสียเฉยๆ เจ้าแก้วยืนตัวแข็งมองดูไฟที่ค่อยๆ ลามลุกขึ้นจากโคนเสาติดไปถึงยอดเสาและก็เริ่มลามติดคานไม้

" ชิบหายแล้วสิ" ขี้เมาประจำหมู่บ้านตาสว่างทันทีทันใด มันมองหากระป๋องหรืออะไรสักอย่างแถวๆ นั้นเพื่อจะได้เอาไปตักน้ำที่บ่อน้ำหลังเพิงพระ ไม่มีอะไรเลย นอกจากเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่งที่ปูไว้ให้ผู้คนกราบพระ ไฟลามเร็วจนติดจากคานไปยังขื่อ และก็จันทันโครงหลังคา กระเบื้องสามสี่แผ่นเริ่มร่วงลงมา

"กระป๋องสักใบก็ไม่มี ทำไมมันซวยอย่างนี้" สิ้นคำสบถ ฟ้าก็สว่างจ้าพร้อมกับเสียงลั่นครืนใหญ่อีกครั้ง เจ้าแก้วก้มลงหมอบกับพื้น จะว่ากลัวฟ้าก็กลัว จะว่ากลัวไฟไหม้เพิงพระก็กลัว

"แล้วคนมันไปไหนกันหมดโว้ยนี่" หางเสียงฟ้าร้องยังลั่นครืนตามมาอีกระลอก เสาทั้งสี่ต้นติดไฟหมดแล้ว กระเบื้องหลังคาร่วงลงมาอีกสิบกว่าแผ่น เจ้าแก้วเริ่มมือสั่น เสาต้นแรกที่ไฟติดลั่นเปรี๊ยะเกิดสะเก็ดไฟขึ้นมา กระเด็นไปติดโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าองค์พระ

"กระถางธูป !" ขี้เมาของเราฉลาดไม่ใช่เล่น เจ้าแก้วหันไปเห็นกระถางธูปที่วางเอียงกระเท่เร่อยู่ มันยกกระถางคว่ำปากลงเพื่อให้ดินที่ใช้ปักธูปไหลออกมาจนหมด

แล้วเจ้าแก้วก็อุ้มกระถางวิ่งไปที่บ่อน้ำทันที แม้จะได้น้ำมาไม่มากนัก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักของบ่อน้ำทำให้เจ้าแก้ววิ่งตักน้ำมาสาดโต๊ะไม้ที่กำลังติดไฟอยู่ดับลงไปได้
หลังคาติดไฟหมดแล้ว เจ้าแก้วยังไม่สิ้นหวัง มันยังคงอุ้มกระถางธูปใส่น้ำวิ่งไปมาระหว่างบ่อน้ำกับเพิงพระ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หลังคาเพิงพระสว่างโร่ด้วยเปลวเพลิง แปไม้ที่ซ้อนไว้รับกระเบื้องท่อนหนึ่งตกลงที่ข้างๆ องค์พระ ไฟลุกติดที่ฐานพระอย่างรวดเร็วดังกับว่าองค์พระเป็นเชื้อเพลิงเสียอย่างนั้น

"เฮ้ย" เจ้าแก้วร้องลั่น พลันวิ่งไปที่องค์พระเพื่อจะหยิบท่อนไม้นั้นออก
ทันทีที่มือของเจ้าแก้วสัมผัสท่อนไม้ มันต้องชักมือกลับแทบไม่ทัน เพราะท่อนไม้นั้นถูกเผาจนร้อนไม่แพ้ถ่านแดงๆ เลย เจ้าแก้ววิ่งกลับไปที่บ่อน้ำพร้อมด้วยกระถางธูปอีกครั้ง

มันวิ่งไปมาสี่ห้ารอบเพื่อเร่งสาดน้ำเข้าที่องค์พระจนไฟที่องค์พระดับลง
แต่โครงหลังคาที่กำลังลุกโชนนี่สิ กำลังโค่นลงมา เสาต้นแรกที่ติดไฟหักลงก่อน โครงหลังคาทั้งหมดที่ติดไฟอยู่จึงพังพาบไปด้านเสาต้นที่โค่น เสาอีกสามต้นถูกแรงดึงจึงพังตามลงมาไปยังทิศทางเดียวกับเสาต้นแรก

เจ้าแก้วกระโดดหลบไปอีกทางหนึ่ง โชคดีที่หลังคาไม่พังทับองค์พระ ขึ้เมาคนเก่งของเรานั่งหอบมองดูเพิงพระที่พังพาบติดไฟไหม้จนค่อยๆกลายเป็นขี้เถ้า นี่ถ้าหลวงพ่อดินดันเกิดติดไฟขึ้นมาอีกที มันก็คงไม่มีเรี่ยวมีแรงวิ่งไปตักน้ำดับไฟได้อีก มันคิดได้แค่นั้น แล้วมันก็วูบหลับไป ไม่รู้จะด้วยความเหนื่อยหรือความเมา แสงเช้านั้นแยงตาเจ้าแก้วตั้งนานแล้ว แต่เจ้าแก้วมารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้น มันชันตัวขึ้นนั่ง พอสายตาปรับภาพที่มัวๆ จนชัดได้ มันก็หันไปทางเพิงพระทันที ชาวบ้านเกือบร้อยคนยืนมุงดูองค์พระอยู่ ผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยอีกสี่ห้าคนกำลังยกโครงหลังคาที่ดำเป็นถ่านเหวี่ยงไปทางดงกระถิน เสียงวิจารณ์ดังอื้ออึงอยู่ไม่ขาดสาย เจ้าแก้วลุกขึ้นเคียนผ้าขาวม้าให้ถนัดแล้วก็เดินเข้าไปสมทบ

" มันเป็นไปได้อย่างไร ไหม้แต่เพิงพระ"
"ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไหม้หมดทั้งเพิง แต่องค์พระไม่สะดุ้งสะเทือนเลย"
"เจ้าประคุ้น หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ต้องคุ้มครองหมู่บ้านเราได้ดีแน่"
" หลวงพ่อคงช่วยเป่าลมให้ไหม้แต่เพิง ไม่ลามไปถึงหมู่บ้านเรา"
" สาธู...เป็นบุญของหมู่บ้านเราเหลือเกิน"
"ดูสิ...องค์หลวงพ่อไม่มีแม้แต่รอยไหม้สักนิด" เจ้าแก้วเริ่มทำหน้าเหรอหรา มันพยายามแหวกตัวเข้าไปตรงกลางเพื่อจะบอกความจริงแก่คนอื่นๆ

"ฉันเอง... คือเมื่อคืนนี้" วีรบุรุษตัวจริงเอ่ยปากขึ้น ผู้ใหญ่บ้านหันมาทางเจ้าแก้ว
"ไอ้แก้ว กลิ่นเหล้าคลุ้งอย่างนี้ แกออกไปไกลๆ ก่อนได้ไหม คนเขาจะทำความสะอาดกัน" เจ้าแก้วพูดต่อ

"คือเมื่อคืนนี้ ฉันผ่านมาทางนี้พอดี..."
ไม่ทันจะพูดจบดี เจ้าไม้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ผลักอกเจ้าแก้วให้ออกจากวงสนทนาไป

" ออกไปก่อนไอ้แก้ว ถ้าอยากจะช่วยงาน ไปล้างหูล้างตาก่อนไป เนื้อตัวมอมแมมดูไม่ได้เลย"
เจ้าแก้วถูกผลักกระเด็นจนล้มลง สภาพของเจ้าแก้วทำให้ชาวบ้านสี่ห้าคนหัวเราะขัน

"เดี๋ยวฉันจะไปนิมนต์ ท่านเจ้าอาวาสมาดู" ผู้ใหญ่บ้านประกาศ
"หมู่บ้านเรามีพระศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ เราน่าจะสร้างศาลาใหม่ให้ท่าน หรือถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้จะสร้างโบสถ์ไว้ที่นี่เลย ไม่รู้ท่านเจ้าอาวาสท่านจะว่าอย่างไร"
เจ้าแก้วได้แต่นั่งทำตาปริบๆ