Custom Search

Apr 2, 2008

งมงาย? : PRAPAS.COM

คอลัมน์ คุยกับประภาส
ประภาส ชลศรานนท์
มติชน
วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ.2548 หน้า 17

สวัสดีค่ะคุณประภาส
แปลกใจว่าศาสนาของคนตะวันตก
เขาพูดถึงพระเจ้า พูดถึงการสร้างโลก สร้างมนุษย์
จนบางครั้งดิฉันก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อได้
ฟังดูแล้วเหมือนงมงาย แต่คนตะวันตกเขากลับไม่งมงายเท่าคนไทย
ศาสนาพุทธของไทยเราสอนให้รู้จักเหตุและผล
สอนให้รู้จักอนัตตา ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า ไม่มีเทพเจ้า สอนแต่ปรัชญาชีวิต
แต่ทำไมชาวพุทธในบ้านเรากลับงมงายกว่า
ทั้งเรื่องแทงหวยจากวันมรณภาพของพระสงฆ์
เดินสายตามศาลต่างๆ เพื่อขอโชคลาภ ทรงเจ้า หมอผี
เต็มไปหมดในสังคมไทยเราคุณประภาสว่าคนตะวันตก
เขาเชื่อในศาสนาของเขาจริงๆ หรือเปล่า
เหมือนกับคนไทยเรามีศาสนาพุทธไว้โก้ๆ
ว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เพราะดูๆ ไป
คนไทยเราก็ทำเหมือนกับว่าไม่เชื่อในคำสั่งสอน
ของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ฝรั่งเขาเชื่อจริงๆ
หรือว่ามีพระเจ้า มีเรือโนอาห์จริง ?
อารยา
_____________________
หมู่นี้ได้ยินคำว่า "อนัตตา" บ่อยเหลือเกินครับบ่อย
จนดูราวกับว่าผู้คนในยุคนี้เต็มไปด้วย
"อัตตา" กันเต็มกำลัง หรือไม่ก็มีกันจนล้น
และอยากจะสลายให้กลายเป็น "สุญตา" กันเสียให้หมด
วันก่อนได้ยินชาวพุทธสายวิปัสสนาสองท่านนั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องอนัตตา
ท่านหนึ่งตั้งปุจฉากับอีกท่านหนึ่งว่า
การนั่งวิปัสสนาเพื่อพิจารณาโลกและตัวเองเพื่อ
ปรารถนา "อนัตตา" นั้นเป็นกิเลสไหม
อีกท่านหนึ่งตอบว่า ความปรารถนานั้นแม้แต่ "ความว่าง"
ก็เป็นกิเลสสูงที่สุดแล้วแม้แต่ "พระนิพพาน"
ก็ต้องไม่ปรารถนา
ท่านว่าอย่างนั้นศาสนาของเราเป็นอย่างนี้ละครับ
ในความเห็นของผม ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของการถกเถียง
เป็นเรื่องของการพินิจพิเคราะห์ ฯลฯ ลองนึกภาพตามผม
ย้อนกลับไปสมัยพุทธกาลตอนที่ศาสนาพุทธจะก่อกำเนิดดูก็ได้
เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช
แล้วก็เสาะหาอาจารย์และลัทธิต่างๆ อยู่ตั้งหลายท่าน
กว่าที่พระองค์จะนั่งลงแล้วใช้ "ทางสายกลาง"
ค้นพบศาสนาด้วยพระองค์เอง
พระองค์ต้องผ่าน "การพิจารณา" ผู้คนและตัวเอง
ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรจากนั้นพระองค์ก็เสด็จออกโปรดสัตว์
สั่งสอนผู้คนให้ค้นพบความจริงด้วยตัวของตัวเองจริงๆ นะครับ
พระองค์สอนให้ค้นพบเอง ไม่ให้เชื่อใคร
แม้แต่ตัวพระองค์ผู้เป็นครู อย่างนี้จะไม่ให้เรียกว่าเป็น
"ศาสนาแห่งการพิจารณา" ได้อย่างไร
จริงไหมครับที่ใดก็ตามเมื่อมีการพิจารณา
ที่นั่นก็ต้องมีการ "ถกเถียง" ตามมาเป็นธรรมดา
เราจึงได้เห็นตำนานของ ปุจฉาและวิสัชนา
เต็มไปหมดในศาสนาพุทธ
ไม่ว่าจะเป็นสาขานิกายใด
ผมพูดอย่างนี้เหมือนจะบอกว่าแล้ว
ศาสนาของคนตะวันตกเป็นอีกอย่างผมเห็นเป็นอย่างนี้ครับ
ผมเห็นว่าศาสนาของชาวตะวันตกเป็น
ศาสนาแห่งการ "ศรัทธา" มากกว่า "การพิจารณา"
ชาวคริสต์ไม่นิยมมาตั้งคำถามกันว่า พระเจ้ามีจริงไหม
ไม่เคยพยายามใช้วิทยาศาสตร์ที่ตัวเองถนัด
พิสูจน์ข้อความในคำสอนของพระคริสต์
ชาวตะวันตกศรัทธาพระเจ้า ก็ด้วย "ศรัทธา" ตัวเดียวเท่านั้น
ไม่เกี่ยวกับการ "พิจารณา"
แต่ "ศรัทธา" ตัวเดียวนี่แหละครับแข็งแรงดีนักนึกตามผม
กลับไปในประวัติศาสตร์ของพวกฝรั่งดูก็ได้ครับ
ต่อให้ฉลาดหลักแหลมอย่างกาลิเลโอ
ที่เที่ยวสงสัยอะไรเต็มไปหมดที่ปราชญ์ในอดีตเคยกล่าว ไว้
จากนั้นก็ทำการพิสูจน์มันเสียจนผู้มีอำนาจในยุคนั้น
เกิดการไม่พอใจแต่เชื่อไหมครับว่ากาลิเลโอกลับเป็นชาวคริสต์ที่ดี
ไปโบสถ์ทุกสัปดาห์ และไม่เคยตั้งคำถามว่า
พระเจ้ามีจริงไหม หรือทำไมเราต้องเชื่อพระเจ้า
สิ่งเดียวที่เขาแตะต้องศาสนาก็คือ
เขากล่าวบางประโยคทางวิทยาศาสตร์ที่ขัดต่อข้อความ
ในพระคัมภีร์แต่ถึงกระนั้นผมก็เชื่อว่า เขา "ศรัทธา"
ในพระเจ้าและที่น่าสนใจก็คือ
มันเป็นการศรัทธาโดยไม่ต้องการ "การพิจารณา"
ไม่ต้องการ "ข้อสมมติฐาน"
และไม่ต้องการ "การพิสูจน์" ใดๆ
ในแนวทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเป็นผู้บุกเบิก
ยิ่งกว่านั้นกาลิเลโอยังเคยกล่าวไว้เลยว่าวิทยาศาสตร ์
คือของขวัญที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ผมมองเห็น
คนตะวันตกเขานับถือศาสนาของเขาอย่างนี้
ศรัทธาใน "สิ่งเดียว" นั่นคือพระเจ้า และไม่งมงายในเรื่องอื่นๆเลย
ศาสนาของคนตะวันตกเป็นศาสนาที่เกิดในทะเลทราย
ซึ่งอันนี้ต่างจากศาสนาของคนตะวันออกที่เกิดในดินแดน กสิกรรม
ชนเผ่าในทะเลทรายดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์เร่ร่อน
นึกภาพออกนะครับว่าทะเลทรายนั้นเป็นดินแดนที่กันดารเพียงใด
การเดินทางผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงการเดินทางสู่ความตายได้
ศาสนาที่เกิดขึ้นที่นั่นไม่ว่าจะเป็นศาสนายิว ศาสนาคริสต์ และศาสนอิสลาม
จึงต้องการ "พระเจ้าเพียงองค์เดียว"
ที่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
เพื่อให้คนในศาสนิกชนทุกคนปฏิบัติตามได้อย่างเคร่งครัด"ปัจเจกนิยม"
จึงเกิดขึ้นกับผู้คนในศาสนาของพวกเขา
พวกเขาต้องการ "ผู้ชี้นำ" ที่ยิ่งใหญ่
นำพาผู้คนให้พ้นภัยฟังดูยากๆ นะครับรื่องศาสนานี่
แต่คิดดูแล้วน่าคิดต่อไปเรื่อยๆ
ว่าหรือเป็นด้วยเหตุนี้ที่ทำให้พวกฝรั่ง
มีความเป็นปัจเจกบุคคลมาถึงทุกวันนี้
ไม่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฝรั่งให้ความสำคัญกับ "ผู้ยิ่งใหญ่" อย่างมาก
และก็มีความมุ่งมาดในชีวิตที่จะเป็น "ผู้ยิ่งใหญ่"
ให้จงได้และความทะเยอทะยานอันนี้นี่แหละ
ทำให้ฝรั่งครองโลกมาหลายร้อยปีแล้วถ้าคนตะวันตก
ให้ความสำคัญกับผู้ชี้นำผู้ยิ่งใหญ่ แล้ว
คนตะวันออกคิดอย่างไรผมมองว่าพวกเราอยู่กับธรรมชาติ
ที่ค่อนข้างเป็นใจ ไม่ต้องต่อสู้กับความแร้นแค้นมากนัก
ทุกปีเพียงแค่ขอพรจากเทพประจำฤดูก็เพียงพอแล้ว
ลองนึกไปถึงผู้คนในภูมิภาคนี้ก็คงจะนึกออก
ผมว่าพวกเรามีเทพเจ้ามากมาย
และเกือบทั้งหมดเป็นเทพเจ้าจากธรรมชาติแทบทั้งสิ้น
เจ้าป่าเจ้าเขา พระแม่โพสพ แม่คงคา พระพิรุณ พระอัคคี ฯลฯ
หรือเป็นเพราะคนตะวันออกอยู่กับธรรมชาติที่ค่อนข้างอุดม
จึงนึกถึง "บุญคุณ" แห่งธรรมชาติตลอดเวลา
ที่ผมต้องกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะอยากให้คุณอารยาลองนึกดูว่า
ก่อนที่ศาสนาพุทธจะเข้ามาที่ดินแดนแห่งนี้ เรานับถืออะไรกันอยู่
แม้แต่ในอินเดีย ดินแดนที่ก่อกำเนิดศาสนาพุทธนั้น
ความเชื่อส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไรฮินดูและลัทธิไหว้เจ้าของจีนนั้น
หากรวมกันก็นับได้ว่ามีเทพเจ้านับล้านองค์
และเทพเจ้านับล้านองค์ที่ว่าก็ล้วนคือทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติ
ความเชื่อทางฮินดูนั้นฝังรากอยู่ในไทยเราไม่น้อย
เพราะพิธีพราหมณ์เป็นพิธีคู่บ้านคู่เมือง
และคู่พระมหากษัตริย์มาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีแล้ว
ความเชื่อเหล่านี้อยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิ
ก่อนศาสนาพุทธจะเข้ามาเสียอีกระยะเวลา
เพียงเจ็ดแปดร้อยปีเท่านั้นที่แนวคิดของพระพุทธเจ้า
ปักหลักปักฐานอยู่ในอาณาจักรนี้ มีการผสมผสานของพุทธ, ฮินดู
และการไหว้ผีสางแบบคนพื้นถิ่นจนกลายเป็นศาสนาพุทธแบบ ไทยๆ
ที่คุณอารยาเห็นอยู่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ที่คุณอารยามองว่า
สังคมพุทธเราทำไมถึงให้ความสำคัญกับปาฏิหาริย์
ทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธก็ไม่เคยพูดถึงพระเจ้า
แต่ในความเป็นจริงแล้วเรามีพระเจ้านับล้านๆองค์
อยู่ในความเชื่อมาช้านานน่าคิดต่อนะครับ
เรามีศาสนาประจำชาติที่มี
แนวความคิดเรื่อง "การพิจารณา" เป็นแก่น
แต่เราก็มีความเชื่อในเรื่องบุญคุณแห่งธรรมชาติ
เทพเจ้าแห่งธรรมชาติ ที่ฝังลึกไม่แพ้กัน
แล้วผมก็เชื่อว่าตัวคุณอารยาเองก็คงต้องเคยยกมือไหว้
เจ้าป่าเจ้าเขา พระพิฆเนศวร
หรืออย่างน้อยสุดก็คงต้องเคยลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคา
ถามว่าสิ่งเหล่านี้คือความงมงายไหม?
คนเรามองเรื่องนี้ที่เจตนาว่าไหมครับ
ถ้าหากมีหญิงชราคนหนึ่งยกมือไหว้ศาลหลักเมือง
แล้วก็พึมพำอธิษฐานขอให้ถูกหวยสักงวดเพื่อจะได้ปลดหนี้สินเสียที
กับหญิงชราอีกคนหนึ่งยกมือไหว้ท้องฟ้าขณะที่บ้านเมืองกำลังเกิดวิกฤต
แล้วก็พึมพำอธิษฐานว่าขอพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศชาติด้วย
คุณอารยาจะมองหญิงชราสองคนนั้นอย่างไร?
คนแรกงมงายหรืองมงายทั้งสองคนหรือไม่มีใครงมงายเลย