Custom Search

Apr 10, 2008

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส




ด้วยสำนึกแห่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี
ตลอดชีวิตการทำงานของเขา
จึงเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระบน
ถนนของคนจริงอย่างน่าภาคภูมิ


***
ความกล้าหาญที่บ่มเพาะจากวัยเด็กมีพี่น้อง ๖ คน
ผมเป็นคนโต นอกจากดูแลตัวเอง ก็ต้องดูแลน้องๆ ด้วย
ทำให้ฝึกความเป็นผู้นำ รู้จักเสียสละตั้งแต่เด็ก
ช่วงวัยเรียน ได้รับคัดเลือกให้เป็น
"นักเรียนปกครอง" มีหน้าที่ดูแลและปกครอง นรต.รุ่นน้อง
ซึ่งพยายามทำสิ่งที่ถูกต้องเป็นหลัก ความหมายของผม
ความถูกต้องคือ ความเป็นธรรม


สมัยเป็นวัยรุ่น บ้านผมอยู่แถวหลังโรงพัก บางยี่เรือ ตรงนั้นมีสนามแบดมินตัน

วันหนึ่งขณะที่ผมตีแบดกับเพื่อน จู่ๆ ลูกชายสารวัตร ก็เตะลูกบอล

เข้ามาในสนามแบดเพื่อรบกวน ผมจับลูกบอลเตะออกไปให้พ้นๆ

ลูกชายสารวัตรก็วิ่งกลับไปฟ้องแม่ คุณนายสารวัตรมาถึงก็ตรงเข้ามาจะตบผมท่าเดียว

เราไม่ผิดอยู่ดีๆ จะมาตบ เราก็ไม่ยอมเพราะเป็นความไม่ถูกต้อง

กรณีนี้ถึงกับต้องไปแก้ปัญหากันบนโรงพัก ผมก็คิดอยากเป็นตำรวจกับเขาบ้าง

หลังจากนั้นพอมารับราชการ ก็มีปัญหาของชาติบ้านเมืองบวกกับประสบการณ์ต่างๆ

เข้ามาให้เราต่อสู้ เมื่อมีประสบการณ์สูงขึ้น ก็เลยกลายเป็นคนกล้าไป

***

เกียรติตำรวจของไทย

เกียรติวินัยกล้าหาญมั่นคงตั้งแต่เรียนนายร้อยตำรวจ

เขาจะให้สวดมนต์ไหว้พระกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ

เคารพธงชาติ ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี

เพื่อเป็นการปลุกจิตสำนึกความรับผิดชอบให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
สำหรับผมแล้วถือว่าเรื่องส่วนรวม เรื่องประเทศชาติเป็นเรื่องสำคัญกว่าตัวเรา
โดยเราจะเป็นอะไรก็ได้แต่ประเทศชาติต้องอยู่
ช่วงที่ทำงาน มีประสบการณ์เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นผมอยู่ในเมือง มีผู้แจ้งข่าวว่า
ผู้กองวิลาศ เจริญศรี ซึ่งเป็นลูกพี่ผม ขับรถออกไปแล้ว ถูกกับระเบิด ผกค.
เสียชีวิต ผมไปช่วย ได้แต่เก็บชิ้นส่วนต่างๆ คืนญาติพี่น้อง
ได้เห็นภาพที่ภรรยาขาดสามี ลูกขาดพ่อ
ผมเกิดความคิดว่า พื้นที่มีปัญหา ทำไมเขาส่งคนที่ไม่มีความพร้อม เข้าไป
ส่งคนที่มีครอบครัว มีพันธะ มีภาระ จะให้เขาทำงานทุ่มเทเต็มที่
เขาก็คงทำไม่ได้ ไหนจะต้องห่วงลูก ห่วงเมียห่วงครอบครัวเดี๋ยวต้องไปเยี่ยมไปดูแล
ก็สงสัยว่า ทำไมผู้ใหญ่ บริหารงานกันแบบนั้น ไม่เพียงแค่นี้
พื้นที่มีปัญหาก็มักเอาข้าราชการที่กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ไม่สนใจหน้าที่การงาน
เหมือนกับเนรเทศไป ส่งไปลงโทษ
คนพวกนี้ก็ไม่ทำงานและสร้างปัญหา ทำให้บ้านเมืองเกิดความเสียหาย
ผมมาคิดว่า ทำไมตัวเราคนเดียว เป็นโสดไม่มีภาระพันธะ ไม่มีครอบครัว
อยู่ในเมืองอย่างสบาย แต่เราก็ไม่มีอำนาจอะไร ทำได้ก็แค่ย้ายตัวเองออกไป
เพื่อทำงานตรงนั้น อย่างน้อยก็ได้ไปแทนคนที่มีภาระครอบครัวหนึ่ง
เขาจะได้กลับไปดูแล ครอบครัวของเขา ถ้าตำรวจหนุ่มๆเหมือนเรา
คิดเหมือนเรากันหมด บ้านเมืองก็คงเจริญ
แต่เราทำหรือคิดแทนคนอื่นไม่ได้ เราทำได้แต่ที่ตัวเรา ตอนนั้นผมตัดสินใจ
อาสาสมัครไปเป็น หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่อำเภอนาแก
จังหวัดนครพนม ไปทำงานด้วยใจ มันก็ได้ผล ถึงแม้จะต้องใช้ชีวิตเข้าเสี่ยง
เข้าแลก ต่อสู้อะไรต่างๆ มากมายก็ตาม
***
สมญาวีรษุรุษนาแกผมทำงานสำเร็จก็ด้วยการสร้างคน
ถือคติว่าสร้างคนก่อนสร้างงาน เราสร้างคนให้มีความพร้อมที่จะทำงาน
ขาดเหลืออะไรผู้บังคับบัญชาดูแลสร้างขวัญกำลังใจ สวัสดิการ ทำทั้งระบบ
ผมเป็นผู้กำกับจังหวัดตอนนั้น ผู้ว่าฯ ถามว่าทำไม
เสรีไม่จับผู้ร้าย คือคิดว่าตำรวจต้องจับผู้ร้าย อย่างเดียว แต่ผมใช้หลักบริหารจัดการต่างๆ
ผมจะคัดเลือกคนดีที่สุดออกไปเป็นสารวัตรใหญ่อำเภอ สารวัตรอำเภอ
สารวัตรกิ่งอำเภอ หรือ หัวหน้าตำรวจ
ผมจะคัดคนดีที่สุดในแต่ละระดับ ลงไปทำงานแทนผม
เป็นหูเป็นตาคอยรับนโยบาย ไม่ใช่เอาคนดีๆ ไว้ เอาคนเลวๆ ออกไป
เพราะฉะนั้น ในพื้นที่ที่ผมทำงาน จะมีลูกน้องเป็นหัวหน้าหน่วยดีๆ
เป็นผู้นำที่ดีในทุกระดับ เราก็เบาภาระ มีเวลาที่จะพัฒนางานไปข้างหน้า
ลูกน้องขาดแคลนอะไร ผมตั้งร้านค้า ทำมูลนิธิ เลี้ยงลูกให้ ฝึกอาชีพให้
หางานให้ลูกเมียตำรวจทำ ตำรวจไม่ต้องไปคุมบ่อนคุมหวย ทำสิ่งผิดกฎหมาย
การทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็สามารถที่จะทำได้ ผู้บังคับบัญชาไม่เข้าใจว่ามาทำอะไร
นั่นเป็นระบบตำรวจเก่า พอทำอย่างผม หน้าเมืองสงบหมด เพราะลูกน้องผมพร้อมทำงาน
เราสนับสนุนใครทำดีก็ได้ดี ใครทำชั่วก็ถูกลงโทษ ใช้หลักง่ายๆ ที่
ในหลวงให้ยกย่องคนดีสนับสนุนคนดี ควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ
ส่งเสริมให้ขวัญกำลังใจ คนดีเต็มที่ คนไม่ดีล่อให้เต็มที่
ผมอยู่นาแกขังตำรวจไป ๘๐ กว่าคนนำเงินเดือน ๘๐ คนที่ไม่ได้ขึ้น
ไปให้อีกพวกที่เขาทำดี แต่โควต้าไม่ถึง เป็นภาพที่เห็นชัดเจน
ทำดีได้ดี ทำชั่วต้องถูกลงโทษ มีกฎหมายภัยสังคม
ผมไล่ตำรวจ ๑๒ คนออก ผมไม่กลัวเขาจะกลับมาแอบยิงผม พวกนี้สู้ผม ไม่ได้หรอก
เพราะเรามีความพร้อม เมื่อตำรวจได้เห็นการทำดีได้ดี ทำไม่ดีถูกลงโทษ
เขาก็ทำดีกัน ก็แค่นั้น
การปกครองง่ายๆ ด้วยหลักง่ายๆ ตามที่ในหลวงทรงสอน
แต่ทุกวันนี้ที่ทำไม่สำเร็จ เพราะคนชั่วมักได้ดี แต่คนดี กลับไม่ได้ดี

***
ช่วงชีวิตแห่งความภาคภูมิตอนอยู่นาแก ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้เป็นตำรวจที่ดี
จากตำรวจเกเร กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เป็นหนี้เป็นสิน
ผมฝึกอบรมสร้างความเข้าใจ จัดสวัสดิการ
สร้างความมั่นใจให้เขาทำงานได้อย่างท่านนายกฯบอกว่า
ถ้าใครจนมาลงทะเบียนไว้เลย จะแก้ไขปัญหา ผมก็สำรวจ มาแล้ว เมื่อ ๓๐ ปีก่อน
ตำรวจคนไหนเป็นหนี้บอกมา ไปกู้ใครร้อยละเท่าไหร่ ผมแก้ไขปัญหามาแล้ว
ไม่งั้นพอสิ้นเดือนไม่มีเงินเหลือ คือเราสนใจผู้ใต้บังคับ-บัญชา เดินไปโรงพัก
พบคุณป้า มาเรื่องอะไร ป้าบอกไม่ได้มาแจ้งความ มาทวงหนี้ตำรวจ คุณลุงล่ะ
ลุงก็มาทวงหนี้ ไปๆ มาๆ ตำรวจไม่ขึ้นโรงพัก หนีหมดกลัวโดนทวงหนี้
บางคนรับเงินเดือนแล้วเหลือ ๔ บาท ก็เลยไปรีดไถคนอื่น
เราเป็นผู้บังคับบัญชาเขา เราต้องแก้ไข ถ้าพวกคุณเป็นหนี้ ประชาชนก็เดือดร้อน
ผมจัดระบบ สวัสดิการต่างๆ ให้ เอาเงินกำไรมาตั้งเป็นกองทุนให้กู้
เอาเงินกู้ดอกเบี้ยถูกไปใช้ดอกเบี้ยแพง
ชีวิตก็ดีขึ้น มีความสุขขึ้น เมื่อครอบครัวมีความสุข
ก็มีความมั่นใจในการทำงาน เป็นเรื่องที่ผม เคยทำมาแล้ว

***
สร้างประสิทธิภาพตำรวจไทยในหลวงทรงสอนไว้หมดแล้ว
ผู้ที่เป็นตำรวจ จำเป็นต้องอบรมฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งเสมอ
ทั้งกำลังความคิดจิตใจ ต้องให้มากพอจนเป็น อุดมคติ
จึงจะสามารถทำงานให้เกิดประสิทธิภาพได้ ต้องทำให้มาก
ไม่ใช่ทำเล่นๆ ถามว่าเรื่องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี
สนง. ตำรวจแห่งชาติ ให้ตำรวจออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า
ไม่มี เรื่องความคิด คือต้องให้ตำรวจ มีความรู้ สนง. ตำรวจแห่งชาติ
ช่วยเหลือสนับสนุนให้ตำรวจมีความรู้ เพื่อให้เกิดความคิด
หรือไม่ ....ไม่มี
มีแต่การอบรมเป็นปกติ เรื่องจิตใจทำยังไงให้ตำรวจมีคุณธรรมจริยธรรม
ซื่อสัตย์เสียสละ ไม่มีกิจกรรม อะไรสักอย่าง เราไม่ได้ปฏิบัติกันเลย
แต่ผมทำมาหมดแล้ว ผมอยู่ที่ไหน จะให้ตำรวจ ออกกำลังกาย
ไม่บังคับด้วย วิธีบังคับไม่ได้ประโยชน์ และไม่เกิดอะไรขึ้น
แต่วิธีออกกำลังกาย คุณชอบอะไรก็ทำไป
แต่ถึงเวลาผมจะทดสอบคุณ เอามาตรฐานคนอายุเท่านี้
ต้องวิ่งระยะทางเท่านี้ ในเวลาเท่านี้ ต้องวิดพื้นได้เท่านี้
ใครไม่ผ่าน ก็ไม่มีสิทธิ์ได้ ๒ ขั้นนะ ถือว่าไม่มีความพร้อม ในการทำงาน
ส่วนเรื่องความรู้ ตั้งแต่ผมเป็นสารวัตร ผมให้เรียนฟรีหมด
สมัยก่อนมีรามคำแหง ถึงเวลาสอบหน่วยกิตผ่าน
ผมก็แจกทุนการศึกษาให้ ผมสร้างระบบสวัสดิการ
โดยไม่ต้องควักเงินตัวเอง ตำรวจของผม
จบปริญญาจบเนติฯ ไปสอบเป็นจ่าเป็นนายร้อยได้ที่ ๑ ของประเทศ
ขนาดบ้านนอกอย่างนั้น

ส่วนเรื่องของจิตใจ ผมมีกิจกรรมให้ลูกน้องผม
ซื่อสัตย์ เสียสละ เช่น เราจะบริจาคโลหิตกัน
ผมบริจาค เป็นตัวอย่างมาแล้ว ๑๕๐ ครั้ง บริจาคเช้า เย็นวิ่ง สุขภาพแข็งแรง
ลูกน้องก็เชื่อ ทำตาม ขนาดเลือดเนื้อ ยังสละได้
ทำไมต้องทุจริต คดโกง เอาเปรียบผู้อื่น หรือเสื้อผ้าเครื่องใช้ต่างๆ ที่ไม่ใช้แล้ว
เก็บไว้ทำไม รกบ้าน สู้นำมาบริจาคคนยากไร้ดีกว่า ฝึกให้เขาเสียสละ
พอใหญ่โตมา ก็มีพรรคพวก เพื่อนฝูงมากขึ้น มีโรงงานนี้โรงงานนั้นมาแล้ว
สินค้ามีตำหนิ ปลากระป๋องบุบหน่อย เขาไม่เอา เราก็นำมาขายถูกหน่อยให้ตำรวจ
แทนที่จะไปซื้อกระป๋องใหม่ๆ ๒๐ กว่า ก็ซื้อเพียง ๕ บาท เพราะเราได้มาฟรี
เงินที่ได้นำไปเป็นกองทุนสวัสดิการ
พอตำรวจสุขภาพแข็งแรง ความรู้ดี สวัสดิการดี เขาก็ทำงานทำการกันดี
แต่จะสำเร็จต้องทำเป็นระบบต่อเนื่อง
ผมทำทุกอย่าง ทุกขั้นตอน ทุกตำแหน่งหน้าที่ที่มีโอกาส
เพียงแต่ระบบราชการไม่อำนวย ถ้าเราเป็น เจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง
เราเป็นประธาน ก็คงทำมันจนตายเลย
แต่ในระบบราชการทำ ๒ ปีย้าย ๑ ปีย้าย
มันไม่จบ ถ้าคนใหม่มาไม่สานต่อ เพราะฉะนั้น
การจะทำอะไรให้สังคมส่วนรวม ต้องเสียสละ
แต่ถ้าได้คนที่จะเอาประโยชน์ ก็ไม่มีทางสำเร็จ ระบบราชการ
เราก็รู้ๆ กันอยู่ การแต่งตั้งโยกย้าย มันยังไม่มีระบบ
ที่มีประสิทธิภาพดีพอ ทำให้ไม่ได้คนที่เหมาะสมมาทำงาน
นี่คือปัญหาของ บ้านเมืองเรา
***
ความรู้สึกท้อแท้ใจถ้าย้อนกลับไปมอง ผมยังเคยคิดลาออกจากราชการ
ตอนอยู่นาแก พอย้ายจากนาแกไป มองกลับมา ก็เข้าอีหรอบเดิม
ถึงแม้ตรงนั้นจะสร้างไว้หนาแน่นแล้วก็ตาม มันก็ค่อยๆ คลายไปทีละนิดๆ
อาจจะหลายปีหน่อย เมื่อไปอยู่มุกดาหาร พอย้ายมาชลบุรี หันไปมองมุกดาหาร
ก็ค่อยๆ คลายไปอีก จากชลบุรี ย้ายขึ้นมาตึกใกล้ๆ เป็นรองผู้การ
คนละตึกกับกองกำกับ ผู้กำกับใหม่เขาก็ไม่เอาแล้ว นโยบายเดิม มันก็เปลี่ยนไปอีก
เหมือนกับบ่อน้ำที่มีจอกแหน เราขว้างก้อนหินลงไป แหนก็กระจาย
พอก้อนหินจมไป แหนก็กลับมาเหมือนเดิม เพราะเราไม่ได้ทำอย่างต่อเนื่อง

ตอนนั้น ผมอายุไม่ถึง ๔๐ ก็มองว่า อายุราชการอีก ๒๐ ปีข้างหน้า จะเสียเวลาเปล่าไหม
ทั้งที่ทุ่มเทให้มัน ก็ไม่เห็นได้อะไร ขึ้นมา เกือบจะลาออก แต่ถูกครอบครัวยับยั้งไว้
เลยอยู่มาถึงทุกวันนี้ จนวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนี้
ในสังคมตำรวจ หรือสังคมข้าราชการทั้งหมด ทำอะไรได้ไม่มากเลย
ระบบการแต่งตั้ง หรือการบริหารบุคคล สมัยก่อนเป็นอย่างไร
เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเมื่อตัดสินใจไม่ลาออก ก็ทำไป อยู่ที่ว่าจังหวะไหนมีโอกาส
ในระบบของข้าราชการตำรวจ จังหวะที่มีโอกาสทำงาน คือเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจ
หัวหน้าตำรวจจังหวัด ผู้บัญชาการ หรือ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ถ้าเป็นรอง
เป็นผู้ช่วยเหมือนอย่างปัจจุบัน แทบไม่มีความหมาย เสียเวลามาก เสียโอกาสทำงาน
ไม่มีประโยชน์ อยากคิดอยากทำอะไรก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่
เขามอบให้เราทำ ก็ต้องทำ ทำตามระบบ จะไปเกินกรอบไม่ได้
ประชาชนไม่เข้าใจคิดว่า ตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ประชาชนเดือดร้อน คงจะแก้ไขปัญหาได้ ไม่ใช่ เขาให้เราทำอยู่แค่นี้
ขณะนี้ผมดูแลรับผิดชอบเรื่องการเงินกับการศึกษา

***
คนส่วนใหญ่ไม่กล้าท้าชนหนังสือพิมพ์มีคนเคยถามว่า ทำไม ส.ส.
หรือนักการเมืองบ้านเราเป็นอย่างนี้ ข้อสรุปก็คือ ส.ส.เป็นอย่างไร คนในจังหวัดนั้น
ก็เป็นอย่างนั้น เขาต้องเลือกคนที่เหมือนเขา ตำรวจไทยเป็นอย่างไร ประชาชนไทย
ก็เป็นอย่างนั้น ประชาชนไทยเป็นอย่างไร หนังสือพิมพ์สื่อมวลชนก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ตำรวจไทย บางคน อาจแสวงหาผลประโยชน์กอบโกย สื่อหนังสือพิมพ์บางฉบับก็เช่นกัน
อะไรที่จะเหยียบคนอื่น ขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ ในทางการค้าของตนก็เอาแล้ว
สร้างเรื่องเท็จ เขียนข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง เพื่อให้หนังสือพิมพ์ขายได้ จะป้ายสีใครก็ได้
เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่ติดคุก อย่างดีก็แค่รอลงอาญา อย่างคดีผมฟ้อง ๓๔ คดี
ถ้าเป็นต่างประเทศติดคุกไปแล้วพวกนี้ มีที่ไหนไปหมิ่นคนอื่น ให้เขาฟ้อง
จนศาลพิพากษา ๓๐ กว่าคดี แล้วก็ยังรอลงอาญา อยู่อย่างนั้นแหละ
ชีวิตผมผ่านความเป็นความตายมาเยอะแยะแล้ว มันจะมีอะไรเหนือกว่านั้นอีก
อิทธิพลทุกรูปแบบ ผมก็จับมาเยอะแล้ว นักการเมือง รัฐมนตรีที่ทำผิดผมก็จับ
แล้วสื่อมวลชนมีอะไรดีกว่าผม คนเราจะเคารพนับถือกัน ต้องเคารพด้วยความดี เลว
แล้วจะมาให้ผมเคารพ ไม่มีทางหรอก คุณจะเป็นอะไรก็แล้วแต่
จะมีเงินมากหรือแม้กระทั่งเอาเงินของประชาชน มาต่อสู้คดีกับผม ผมก็สู้
เพราะคุณเป็นบริษัทมหาชน คุณใช้เงินของประชาชนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
แต่ถึงผมต้องใช้เงิน ในกระเป๋าผมสู้คุณ ผมก็สู้ มันไม่ใช่การแก้แค้น
แต่ถ้าผมปราบสื่อชั่วๆ
ให้อยู่ในกรอบได้ ต่อไปพวกนี้ ก็จะไม่กล้า ไปรังแกคนอื่น
ทำไมประชาชนไม่คิดอย่างนี้บ้าง อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล ต้องเข้าใจ
ธรรมชาติอย่างนี้ ถ้าคนมีแผลเยอะ ทำผิดไว้เยอะ เสียงมันไม่ดัง
ไม่กล้าแสดงออกมาหรอก
แต่ถ้าคนมือสะอาด ไม่มีอะไร จะกล้าสู้

***
ของนอกตัวคือมายาทุกอย่างอยู่ที่ใจเรา ไม่มีปัญหาอะไร
เราก็คือตัวเรา ตำแหน่งหน้าที่ ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือคนรอบข้าง
มันของปลอมทั้งนั้น คุณจะรักผมก็รัก คุณไม่รักก็ไม่รัก ใครจะมารู้ดีเท่าตัวผม
มาตรฐานเป็นยังไง เอาอะไรมาวัด
บางคนบอกทำไมผมไม่พยายามเดินสายกลางหน่อย
ถามว่า ถ้าเอาไม้บรรทัดมาวาง แล้วบอกว่า ตรงนี้ ๑๒ นิ้ว ตรงกลางก็คือ ๖ นิ้ว
มันวัดกันง่าย แต่ในสังคมทางสายกลาง อยู่ตรงไหน ผมรักษากฎหมาย
จับผู้มีอิทธิพล จับนักการเมือง บอกไม่เดินสายกลาง ให้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ใช้ได้เหรอ คุณเอาอะไรเป็นมาตรฐาน ตรงกลางมันอยู่ตรงไหน
ก็เรารักษาผลประโยชน์ ให้ชาติบ้านเมือง เราทำตามหน้าที่

***
วิกฤตสำคัญในชีวิตผมผ่านมาเยอะ ปราบคอมมิวนิสต์มา ๑๐๐ กว่าครั้ง
เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ยิงกันหูดับไฟแลบ ก็สามารถ ผ่านวิกฤตต่างๆ มาได้ตลอด
ช่วงหลังโตขึ้นด้วยยึดหลักความถูกต้อง บางทีก็ต้อง เผชิญกับปัญหา ยิ่งสูงยิ่งหนาว
ถ้าเราเป็นนายตำรวจใหม่ๆ ปัญหาก็อยู่ในระดับต่ำๆ ไม่ค่อยมีอิทธิพล
อิทธิฤทธิ์เท่าไหร่ แต่ยิ่งอยู่สูง ก็ต้องต่อสู้กับผู้ที่เหนือกว่า หรือคนมีอำนาจ
มีอิทธิพล เกือบจะถูกปลดตั้งหลายครั้ง ความที่เราไม่ยอมเขานั่นเอง
ตอนเป็นผู้การกองปราบ เขาให้คุมคดีลอบสังหาร พอดีคณะรสช.
ให้ทำคดีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ยึดอำนาจกัน และก็ทำสำเร็จ
เพราะคดีนี้หลอกประชาชนว่าจะมีการลอบปลงพระชนม์ เราดูแล้วไม่มี
ก็แถลงว่าไม่มี ผมก็จะโดนปลดครั้งที่ ๑ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
จะปลดออก ย้ายภายใน ๒๔ ชั่วโมง ห้ามเข้ากรุงเทพฯ ผมก็ว่าจะห้ามได้ยังไง
ประเทศไทยของผม ถึงเวลาก็เดินทางกลับ ตำรวจมาโบกมือ มีคำสั่งห้าม
ผมบอกไปว่า ใครจะห้ามกูไม่ให้กลับกรุงเทพฯ ให้โผล่หน้ามาซิ ก็ไม่เห็นมีอะไร
ในที่สุด รสช.ก็ออกไปเอง ผมไม่ต้องไปทำอะไร
ความไม่เป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย
ยังมีอีกมาก การแต่งตั้งครั้งหนึ่ง ผมถูกข้ามไป ๒๘ คน ไม่ใช่ข้ามผมไปทีละ ๓-๔ คน
แต่ข้ามไป ๒๘ คนเลย ผมก็ไม่ยอม เขาจึงตั้ง คณะกรรมการ จะปลดผมอีก
ผมก็ขอดำเนินคดีอาญากับอดีตอธิบดีตำรวจสมัยนั้น ข้อหาปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ
ก็เลยยุติเรื่องรอมชอมกัน
ต่อมาศูนย์เศรษฐศาสตร์จุฬาฯ เชิญผมไปบรรยายพิเศษเรื่องเศรษฐกิจนอกระบบ
เรื่องน้ำมันเถื่อน บ่อนการพนัน โสเภณี เงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ของหนีภาษี
ผมพยายามให้ความจริงกับสังคม หนังสือพิมพ์เอาไปเขียนต่อ อธิบดีก็ตั้งคณะกรรมการ
จะสอบสวนผมอีก แต่ผมไม่กลัว ผมคำนวณดูแล้ว นี่มันธันวาคม
จะมาตั้งคณะกรรมการสอบสวนผม คุณเหลืออีก ๑๐ เดือน จะเกษียณแล้ว
ผมสู้คุณได้ ตั้งได้ตั้งไป แต่ไปๆ มาๆ อธิบดีก็ถูกปลดไปอีกคน ไม่ทันได้เซ็นคำสั่ง
ตั้งกรรมการสอบผม มันก็แปลก ใครจะปลดผม กลับถูกปลดทุกคนเลย ผมก็อยู่มา
ถึงแม้มีปัญหา มีอุปสรรค
***
บนถนนของคนจริงคนเราอย่าไปติดยึด ตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ มันหัวโขน
เกษียณออกไป พลเอกกับสิบเอก ก็เหมือนกัน ยิ่งถ้าไม่เคารพนับถือกัน ก็เดินชนกันได้
ถึงเวลามันก็ต้องไป เพราะฉะนั้น อย่าไปติดยึด ทั้งหมด อยู่ที่ตัวเรา
ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความจริง เป็นธรรมชาติ พูดง่ายๆ คือคนเราเกิดมาก็ต้องแก่
ต้องเจ็บต้องตาย จะห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำไว้ต่างหาก
ควรทำเลวหรือทำดี ถ้าทำดี ชีวิตเราก็ดี ทำชั่วไปก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร
นอกจากให้คนอื่นด่า เราเดินถนนหนทาง ให้คนเขา ยกย่องเคารพนับถือดีกว่า
ไอ้นี่ชั่วอย่างนี้ เลวอย่างนี้ หรืออย่างที่ถามว่า ตอนนี้ภาพพจน์ไม่ดี ก็ตอบแทนกันไม่ได้
เพราะว่าเจ้าคุณนรฯ เคยสอนว่า คนเราถึงจะดีแสนดีอย่างไร คนก็ติ ชั่วแสนชั่วอย่างไร
เขาก็ชม นี่เป็นเรื่องธรรมดา เขาไม่รู้เท่าเรา เขาก็ด่าเรา เขาไม่รู้เท่าเรา เขาก็ชมเรา
แต่สิ่งที่เราพูด เราคิดเราทำ ต้องพิสูจน์ได้ และกล้าท้าพิสูจน์ เชื่อเรื่องทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คิดดีทำดีแล้ว ต้องได้ดีเสมอ มันก็ไม่ใช่
บางทีเราทำดี แต่ไปเจอ ผู้บังคับบัญชาเลว ที่มุ่งแต่หาผลประโยชน์
เราก็ไม่มีทางได้ดีหรอกแต่ถ้าเราทำเลว แล้วไปเจอผู้บังคับบัญชา ที่แสวงหาผลประโยชน์
กลับได้ดีซะอีก เราจะเลือกเอาอย่างไร ถ้าเราทำเลว เจอผู้บังคับบัญชาเลวเราก็ได้ดีไป
เดี๋ยวเราก็ทำเลวจนเคยตัว พอไปเจอผู้บังคับบัญชาดี เราก็ตาย เพราะฉะนั้น
เราทำดีของเราไป เจอผู้บังคับบัญชาเลวก็ช่างมัน เหมือนตอนผมอยู่อีสาน
ผมเจริญเติบโต ในหน้าที่การงานมาตลอด จนกระทั่งอธิบดีตำรวจสมัยโน้น
เอาตัวผมมาชลบุรี มาปราบอิทธิพล ปรากฏว่าผมซึ่งมีประวัติกล้าหาญ เป็นคนไทยตัวอย่าง
เป็นบุคคลดีเด่น ของประเทศ ประวัติการทำงานที่ได้รับการยอมรับจากสังคมขนาดนี้
พอย้ายไปชลบุรี แม้ ๒ ขั้น ก็ไม่ได้ ถ้าเราคิดจะมาเอาความดีตอบแทน
จากผู้บังคับบัญชาเลวๆ อย่างนี้ เราต้องเครียดแน่ ในที่สุด แกก็หัวใจวายตาย
คือมันไปกันไม่ได้ ไม่ให้ ๒ ขั้นเราก็ไม่เอา

***
หยุดคิวบู๊ผมแต่งงานตอนเป็นผู้กำกับจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๗ อายุ ๓๖ ปีแล้ว
ถ้าแต่งงานก่อนหน้านั้น คงบู๊ไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอก มีลูก ๓ คน อายุ ๑๘,๑๖,๑๓
หญิงหัวท้าย ผู้ชายตรงกลาง พวกเขาอยู่กับผมจนชินแล้ว
กับการที่ต้องใช้ชีวิตเข้าเสี่ยงเข้าแลก ถูกปลดไม่ถูกปลด หลังจากมีครอบครัว
ผมไม่ค่อยมีเรื่องเสี่ยงอะไร ไม่ได้รบทัพจับศึกกับใคร

***
ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เราต้องทำงานตรงไปตรงมา อย่าไปกลั่นแกล้งเขา
ผมไม่เคยแกล้งใคร ว่ากันตามพยานหลักฐาน ปกติใครอยู่เมืองชล
ที่ว่าแน่ๆ ก็แพ้เงินทั้งนั้นแหละ จริงๆ แล้วไม่มีอะไรยาก จะปราบโจรผู้ร้าย
ปราบผู้มีอิทธิพล ขอให้ทำหน้าที่ตรงไปตรงมา และเราลูกผู้ชายนะ
เมื่อเราพ้นหน้าที่แล้วก็ไม่ยุ่ง ไม่ใช่พ้นแล้วก็ยังไปตามราวี
เมื่อสอบสวนคดีเสร็จก็คือจบ ว่ากันไปตามหลักฐาน ไม่มีอะไรติดค้าง
เจอหน้าก็ยังไหว้ทักทายกัน

***
คดีนายชูวิทย์กับภาพพจน์ตำรวจส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง
แม้บางเรื่องจะเกินจริงบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่เราจะเปิดใจกว้างไหม
เฮ้อ! มันพูดมากไปหรือ เออ...มีมูลความจริงบ้างไหม เขาพูด ๑๐๐
อาจมีมูล ๒๐ ก็ถือว่ามีมูลแล้ว นำส่วน ๒๐ มาคิดแก้ไขปัญหาความบกพร่องของเรา
ถ้าเราบริหารงานบุคคลดี จัดการดีแล้ว สิ่งต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น
แต่ทีนี้มันไม่ใช่ ผมถึงบอกว่า การบริหารงานบุคคลเดี๋ยวนี้ มันแย่กว่าสมัยก่อน
แบ่งพรรค แบ่งพวก แบ่งรุ่น แบ่งเหล่า แบ่งสถาบันกัน ถ้าเห็นทุกคนเหมือนญาติพี่น้อง
ทุกคนพร้อมที่จะทำงาน เราให้ความรักเขา เขาให้ความรักเรา
ทำงานให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่การงาน ความรู้ความสามารถ
ใครดีก็ยกย่อง สนับสนุน ใครไม่ดีก็ลงโทษ อย่างนี้ก็จะพัฒนาไปได้

***
ถ้าวันนี้มีอำนาจในมือ ท่านคิดจะทำอะไรผมจะทำให้ตำรวจทุกคนมีสุขภาพ
และร่างกายที่ดี สามารถแก้ไขปัญหาและตัดสินใจอะไร ต่างๆ ได้ทันที
อย่างกรณีโจรปล้นธนาคารเอาผู้หญิงเป็นตัวประกัน มีทั้งปืน ทั้งระเบิด เขาระดม
นักแม่นปืน
ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงยิงแม่น แต่โจรตายระเบิดหลุด ผู้หญิงก็ตาย
บรรดานักแม่นปืน ไม่กล้าทำอะไร แต่ประสบการณ์ของเรา ที่ผ่านชีวิตการต่อสู้มามาก
ในป่าในเขา ผมจัดการโดย หาทางเข้าประชิดตัว
โดยที่โจรไม่รู้ตัว ก็สามารถช่วยตัวประกันได้ปลอดภัยตำรวจอยู่กับสังคม
อยู่กับปัญหา ไม่รู้หรอกว่าปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เมื่อเกิดขึ้น
ถ้าร่างกายไม่พร้อม จะทำอะไร ผมเดินไปสยาม เกิดเหตุต่อหน้าต่อตา
ถึงไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เราเป็นตำรวจ ก็ต้องแก้ไข แต่ถ้าร่างกายเราไม่พร้อม
ไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้น ตำรวจทุกคน จะต้องพร้อมในเรื่องสุขภาพร่างกาย
ผมอยู่นาแก มีลูกน้องเป็นนักวิ่งทีมชาติ วันนั้นไปจับ พวกยาเสพย์ติด พวกนี้วิ่งหนี
ลูกน้องผมก็วิ่งตาม วิ่งไปวิ่งมา ไอ้นั่นหมดแรง ยกมือไหว้ ยอมให้จับ
ผมจึงต้องการทำให้ตำรวจทุกคน มีสุขภาพร่างกายดีก่อน
ประการต่อมา ผมต้องสนับสนุนเขาให้เรียนมากที่สุด ต้องตรวจสอบคุณวุฒิ
ความรู้ ความสามารถ ในขณะที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไม่ได้ไปส่งเสริมสนับสนุนพวกเขา ควรอยู่ตรงไหน ควรให้ อนาคตเขา
อย่างไร ควรทำเพื่อเขา ไม่ใช่เพื่อตัวเอง เช่น ตำแหน่งตำรวจว่าง
ก็ไปเอาแต่ ลูกท่าน หลานเธอ ลูกนายทหาร ลูกนายตำรวจ ลูกพรรคพวก ลูกเสี่ย
เข้าเป็นตำรวจกันหมด ตำรวจผู้น้อย อุตส่าห์ไปขวนขวายเรียนมา
ไม่มีโอกาสเจริญเติบโตในหน้าที่ ถูกพวกนี้แย่งโควต้า แย่งตำแหน่ง กันหมด

บางทีเกรดยังไม่ผ่านเลย ก็รับเข้ามา ตำรวจที่มีความรู้ความสามารถก็หงอย
ประการสุดท้าย ผมจะสร้างกิจกรรมต่างๆ เพื่อปลูกฝังให้ตำรวจเป็นคนดีมีศีลธรรม
ซื่อสัตย์ เสียสละ และนั่นแหละ ต้องมาสร้างระบบสวัสดิการให้เขา
และเดี๋ยวเขาก็จะทำงานกันเต็มที่ ผมต้องเอาตำรวจ ๒ แสนกว่าคนมาทำงาน
ไม่ใช่เอาตำรวจกลุ่มเดียวมาทำงาน
และนั่นก็เป็น ความต้องการ ของประชาชนด้วย เหมือนกับถ้าเป็นรัฐบาล
ก็ต้องทำให้คนไทย สุขภาพร่างกายดี ทำให้คนไทย มีความรู้ความสามารถพึ่งตนเองได้
ทำให้คนไทยมีคุณธรรม มีจริยธรรม นี่คือหลักการ และ สังคมก็จะดีขึ้น
คนผิดชอบชั่วดีมากขึ้น

***
แบ่งเวลาสำหรับตัวเองพอถึงเวลาประมาณ ๕ โมงกว่า ผมออกวิ่งเลย
ถ้าผมมีงานก็จะวางก่อน ทิ้งงาน หยุดก่อน วิ่งเสร็จ ค่อยขึ้นมาอาบน้ำ
และค่อยทำงานต่อ ไม่ใช่ว่าทำงานจนไม่ได้ออกกำลังกาย เช่นวันนี้ ผมทำงาน
ใกล้สวนลุม ก็วิ่งที่สวนลุม
ทีมวิ่งผมเยอะ เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อย ไปอยู่ไหน พกรองเท้าวิ่งตลอด

***
จากเสรี เตมียเวส สู่ เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
ภรรยาผมเจ็บออดๆ แอดๆ
แล้วไปฟังคนที่เคารพนับถือมาว่า ชื่อไม่ถูกโฉลก แต่ถ้าจะเปลี่ยน
ต้องให้สามีเปลี่ยนด้วย ก็มาปรึกษาผม
ผมคิดว่าสิ่งไหนเราเสียสละให้ครอบครัวได้ก็ให้ ความจริง
ผมรักชื่อผมนะ ก็ขออย่างเดียว อย่าเปลี่ยนหมดได้ไหม
ขอให้มีชื่อเดิมเอาไว้ ก็ให้เขาไปคิดกัน
และเขาก็ให้ผม เปลี่ยนชื่อมาอย่างนี้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
เกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2491 ที่จังหวัดธนบุรี
เป็นบุตร นายชื้น และ นางอรุณ เตมียเวส มีชื่อเล่นว่า 'ตู่'
สมรสกับ นางพัสวีศิริ เตมียาเวส (สกุลเดิม เทพชาตรี)
มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ น.ส.ศศิภาพิมพ์ เตมียาเวส,
นายทรรศน์พนธ์ เตมียาเวส
และ น.ส.ทัศนาวัลย์ เตมียาเวส
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ จบศึกษาระดับมัธยมต้นจากโรงเรียนทวีธาภิเศก
จากนั้นจึงได้ศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 8
โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 24
เคยรับราชการอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อสู้
กับฝ่ายคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น ที่จังหวัดนครพนม
ช่วง พ.ศ. 2520 จนได้รับการยกย่องว่าเป็น 'วีรบุรุษนาแก'
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีชื่อเสียงและได้รับฉายาจากสื่อมวลชนว่า "วีรบุรุษนาแก"
เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผกก.ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนมจับกุมข้าราชการระดับ
สูงในจังหวัดที่ลงไปเล่นการพนันในเรือกลางลำน้ำโขง
ทั้งยังมีผลงานปราบปรามคอมมิวนิสต์
อย่างต่อเนื่องและเมื่อสมัยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม
ก็ถูกวางระเบิดถึงห้องทำงานจากผลของการปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา
นอกจากนี้ เมื่อดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ
(ทำหน้าที่ผู้ช่วยหัวหน้าตำรวจภาค 2)
ได้จับกุมและดำเนินคดีกับนายสมชาย คุณปลื้ม
หรือกำนันเป๊าะ ผู้กว้างของของจ.ชลบุรี และภาคตะวันออก

ในคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะที่เข้าไม้แก้วจนศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกกำนันเป๊าะ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เคยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปราม เป็นระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อ พ.ศ. 2533-2534 ขณะ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี
และต้องพ้นจากตำแหน่ง ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2534
เนื่องจากสนิทสนมกับ พลตรี มนูญกฤต รูปขจรภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็น เสรีพิศุทธ์ นัยว่า
เพื่อแก้เคล็ด เนื่องจากชื่อไม่ถูกโฉลก
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีภาพลักษณ์เป็นนายตำรวจมือปราบที่ซื่อตรง ได้ฉายาว่า
'มือปราบตงฉิน'ผู้มีอำนาจในหลายรัฐบาลมักเลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์
ให้เข้ามาจับคดีอื้อฉาวที่สังคมและสื่อตั้งข้อสงสัย
แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการเมืองบ่อยครั้ง โดยมักถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่ง
ที่ไม่ได้ควบคุมกำลังเช่นที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ หรือประจำกรมตำรวจ เป็นต้น
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา สบ.10 ก่อนจะมารักษาการใน
ตำแหน่งรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
แทน พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ที่ได้รับคำสั่งไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2550


เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2550 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.)
ได้มีหนังสือประกาศ ฉบับที่ 1 เรื่องแต่งตั้งสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
โดยให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรก.ผบ.ตร.)
ในขณะนั้น เป็นสมาชิกมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ

วันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
ได้ลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ไปช่วยราชการประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
โดยให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รักษาราชการแทน
ซึ่งต่อมา ในวันที่ 9 เมษายน ในปีเดียวกันนั้น ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งที่ 73/2551
เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน
โดยระบุว่าด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส
ข้าราชการตำรวจประจำการ ตำแหน่ง
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรับเงินเดือนระดับ ส.9 ขั้น 10 (66,480 บาท).