Custom Search

Apr 27, 2008

ส่อง ''เพชร'' อารมณ์ดี''เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา''




วัน เสาร์ ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2550
เอ่ยชื่อ หม่ำ จ๊กมก เชื่อว่าคงทำเอาหลายคนถึงกับท้องคัดท้องแข็งกันได้
แค่เพียงนึกถึงหน้าตาเหลี่ยมๆ และมุกหน้าตายของหนุ่มที่ราบสูง ผู้เจนเวทีคาเฟ่
และเป็นโลโก้ของบริษัท เวิร์คพอยท์ อยู่ในขณะนี้
แต่ หม่ำ หรือในชื่อจริงว่า เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา ไม่ได้มีดีแค่สร้างเสียงหัวเราะ
ให้ประชาชนเท่านั้น แต่เขายังแสดงให้เห็น
ว่าเด็กผู้ชายที่หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16-17 ปี
แถมเรียนไม่จบ ม.6 แต่กลับสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต
ในทุกๆ เรื่องที่เขาหยิบจับเลยก็ว่าได้ รวมถึงการผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับหนัง
บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม และ แหยม ยโสธร ก็สามารถทำรายได้ลอยลำร้อยล้านได้สบายๆ
และเวลานี้ เขานำ บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ภาค 2
กลับมาเรียกเสียงหัวเราะจากแฟนๆอีกครั้งผู้กำกับหน้าเป็น

-บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม ภาค 2 ทำไมใช้ทุนสร้างถึงร้อยล้าน
มันเริ่มมาจากไอเดียก่อน มันเป็นโจทย์เป็นตั้ง ตั้งมาจากภาคแรก
คือเรามองดูแล้วว่าภาคแรกแอ็คชั่นมันอาจจะน้อยไป ภาคแรกขาดอะไรไปบ้าง
ภาคนี้มันก็น่าจะทำให้ได้ดีกว่าเดิม โปรดักชั่นใหญ่ขึ้นมโหฬารขึ้น
ดูดีเป็นสากลขึ้น ก็เลยลองเอาโปรเจคท์นี้ไปคุยกับเสี่ย เล่าให้เสี่ยฟัง
ว่าประมาณนี้นะเสี่ย เสี่ยหันหน้ามาถามว่า เท่าไร ผมบอก 100 นึง
เสี่ยเบิกตาโพลง แล้วก็บอกว่า แล้วแต่มึง...ไปทำมาไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร
เสี่ยบอกให้ทำก็ทำเลย

-อย่างไรที่ว่าเป็นสากลมากขึ้น
ภาพรวมทั้งหมดแหละ อย่างแอ็คชั่น มันก็ต้องดูดีกว่าเดิม จะมาเหยาะแหยะไม่ได้แล้ว
มุกตลกมันก็ต้องทำให้คนหมู่กว้างเข้าใจได้ด้วย ฝรั่งขึ้นหน่อย ยุโรปนิดๆ
อเมริกันหน่อยๆ เอเชียอย่างมากมาย งงไหม (หัวเราะ) คือมันต้องคิดให้หนัก
หนังเรื่องนี้ผมคิดไว้แค่ให้คนแถบเอเชียดูแล้วเข้าใจ ก็โอเคแล้ว
ประเทศเพื่อนบ้านเราใกล้ๆ ต้องดูรู้เรื่อง แต่ภาคต่อไป
ผมอาจจะมีมุกแบบที่ทุกคนดูได้ทั่วไป กว้างกว่านี้ก็ได้...ไม่แน่

-การทำงานภาคนี้พิเศษกว่าภาคแรกขนาดไหน
เราคิดก่อนว่าภาคนี้ต้องดูแล้วรู้สึกดีกว่าภาคที่หนึ่ง พอเราได้ตรงนี้แล้ว
เราก็ดูภาคหนึ่ง ว่าอันไหนที่มันขาดหายไป ก็ต้องเอามาใส่ในภาคนี้
อย่างภาค 2 เนี่ย เรารู้อยู่แล้ว ว่าความยิ่งใหญ่มันอยู่ที่ตรงไหน เราก็รู้แล้ว
ว่างบมันต้องสูงตามมาแน่นอน แต่การทำให้หนังมันดูอลังการมากขึ้น
มันจะทำให้หนังน่าเชื่อถือขึ้นด้วย หน้าหนังมันก็แรงขึ้น แล้วได้ฮาด้วย
มันก็ยิ่งเป็นบวกเข้าไปใหญ่ นั่นเป็นวิธีคิดของผม
ถ้าคนอยากจะทำหนังที่ทำให้คนดูมีความสุขความบันเทิงก็สามารถคิดทำได้
แล้วก็ทำได้ง่ายด้วย แต่ต้องรู้จักที่จะทำให้คนดูรู้สึกสนุกสนานกับหนังของคุณด้วย
ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ไม่เคยถามคนดูว่าอยากดูหนังอะไร
ทุกวันคนดูก็เครียดอยู่แล้ว
ยังให้ไปดูหนังแล้วเครียดอีก
หนักกว่าเดิม


-การศึกษา-ตัวชี้วัด? การเรียนตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว
ตอนนี้ผมสอบ กศน.จะจบชั้น ม.6 แล้ว และกำลังจะต่อปริญญาตรี
คาดว่าอาจจะเรียนต่อด้านนิติศาสตร์ เพราะผมอยากรู้เรื่องกฎหมาย
ที่อยากเรียนด้านนี้ คงเป็นเพราะพื้นฐานตัวเองเป็นคนชอบเรียนรู้
ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง

-มองการศึกษาจำเป็นแค่ไหน เพราะคนอาจจะมองว่าก่อนหน้านี้ หม่ำ
ไม่จำเป็นต้องเรียนสูง ก็ประสบความสำเร็จได้
หน้าที่การงานกับการเรียน มันคนละอย่างกันนะ
มันไม่มีใครจะประสบความสำเร็จไปทุกสิ่งหรอก
ผมเองก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไร แต่ที่ผมไปเรียน
เพราะเป็นคนที่อยู่ว่างๆ ไม่ได้ ถ้ามีเวลาก็รู้สึกว่าน่าจะใช้ให้มันเกิดประโยชน์
ให้รางวัลกับตัวเอง ถึงวันนี้ได้วุฒิมา ผมก็ยังตอบไม่ได้นะ
ว่าผมจะเอาวุฒิไปทำไม แต่แค่อยากจะหาสิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเอง

-วันนี้มองว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยัง
มันก็เป็นเรื่องของการทำงานทุกวันมากกว่า มันไม่ใช่เรื่องอมตะ
ผมรู้แต่ว่าผมเป็นคนทำงานแล้วให้ความเอาใจใส่กับการทำงาน
รักอาชีพตัวเอง ไม่ดูถูกอาชีพของตัวเอง ผมไม่ได้ถ่อมตัวเองนะ
ทุกคนคิดไม่เหมือนกัน ผมเป็นคนที่ต้องทำงานให้ดีที่สุด
ให้เวิร์คพอยท์ไว้ใจเรา
ให้สหมงคลฟิล์มไว้ใจเรา
บางคนถามว่าผมเป็นลูกรักของ 2 บริษัทนี้ไหม
จริงๆ ไม่ใช่ แต่ผมแค่ทำงานให้เขาอย่างเต็มที่
เมื่อเขาเห็น เขาก็ให้ความเอ็นดู

-ถ้ามีคนอยากจะเลียนแบบ หม่ำ จ๊กมก ต้องทำอย่างไร
โอ้ย...เลียนแบบไม่ได้หรอก มันต้องมองตัวเองก่อน
อย่างที่บอก หลายคนว่าผมวาสนาดี ถึงมาได้ขนาดนี้
แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเพราะผมทำงานให้โชควาสนาเห็นมากกว่า
ถ้าเราไม่เคยทำ แล้วจะเอา เอาอย่างเดียว มันเอาเปรียบกันเกินไปหรือเปล่า
แต่นี่ผมทำให้เขาเห็น เขาก็เอ็นดู ฉะนั้นคุณต้องเป็นตัวของตัวเอง
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการต่อสู้ ฝ่าฟัน ขยันหมั่นเพียร
เรามีความมุมานะแค่ไหน ผมอยู่วงดนตรีลูกทุ่ง
จนกระทั่งมาเป็นตลกคาเฟ่ได้ ก็ 20 ปี เหมือนมวยที่ต่อยไม่หยุด
มันก็เลยเก๋า

-ตลกแถวหน้าต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
นักแสดงตลกมีเยอะนะ แต่คนที่จะเป็นตลกจริงๆ มันมีน้อย คนที่เป็นตลกจริงๆ
ต้องมีจิตวิญญาณ สามารถปรับสภาพได้ทุกที่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ต้องสามารถปรับเปลี่ยนสีตัวเอง และพยายามเล่นวันพรุ่งนี้เสมอ
มุกต้องใหม่ทุกวัน บางทีผมเล่นมุกล้ำหน้าไป 2-3 เดือนเลยนะ
ที่สำคัญต้องรักอาชีพของตัวเอง และพัฒนามุกตลอด ต้องมีพรสวรรค์
จิตวิญญาณ พรแสวง โชค วาสนาด้วย

-พูดถึงการทำหน้าที่ตลกในรายการของเวิร์คพอยท์
กับเวิร์คพอยท์ ผมอยู่มาจนเป็นพี่เป็นน้องแล้ว อยู่มา 20 ปี ไว้ใจกัน
ถามว่าเวิร์คพอยท์ประสบความสำเร็จเพราะผมไหม มันก็คงจะรวมๆ กัน
ถ้าไม่มีเวิร์คพอยท์ก็ไม่มีผม มันเหมือนถูกประทับตราร่วมกัน มันบอกลำบาก
ทำงานด้วยกันนานๆ มันเป็นเรื่องของจิตใจ

-มีหุ้นใหญ่อยู่ในเวิร์คพอยท์จริงไหม
ก็มีทุกคนแหละ ทั้งเท่ง โหน่ง แต่ผมเป็นพี่ใหญ่
คนก็มองว่าผมต้องมีหุ้นใหญ่กว่าเพื่อน
มันก็แหง คนอยู่มาขนาดนี้ บริษัทก็เข้ามหาชนแล้ว

-จะอิ่มตัวกับงานที่เวิร์คพอยท์เมื่อไร
ก็คงวันที่ลูกผมเรียนจบนั่นแหละ ผมบอกลูกสาว เรียนจบให้ส่งน้องด้วย
เขาก็รับปาก ไม่ใช่ว่าผมเกรงใจพี่ตา ถ้าหากว่าผมรู้สึกว่าสุขภาพไม่ไหว
มันก็ต้องพัก ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ แต่ผมยังสนุกกับงานอยู่

-หม่ำแฟมิลี่ เคยเหลิงกับความดังของตัวเองไหม
เค้ย...(เสียงสูง) เคยมีช่วงหนึ่ง ตอนนั้นผมยังเล่นตลกอยู่คณะของพี่เทพ โพธิ์งาม
แล้วก็กำลังดัง ก็ติดแทงสนุกเกอร์ เสียเงินวันละ 4-5 หมื่นบาท อยู่ประมาณ 2-3 ปี
แต่ดีที่ลูกของผมเป็นตัวช่วยให้พลิกผันได้เหมือนกันนะ
ตอนนั้นลูกคนโตกำลังจะขึ้น ป.1 ผมก็กลัวว่าลูกจะโตมาลำบากเหมือนกัน
ต้องไปแบกของ ก็เลยเลิกเลย ถ้าไม่มีลูกให้ผมได้คิด ก็คงจะเสียคนไปแล้ว
จากนั้นผมก็เริ่มเก็บตังค์

-มีผู้หญิงเข้าหาบ้างหรือเปล่า
มี แต่เราก็รู้สึกว่าเขาเป็นน้อง คือมันเป็นสิทธิของเขาที่เขาจะคิดอะไรกับเรา
แต่เราก็ต้องมองว่าเขาเป็นน้อง เรื่องนอกลู่นอกทาง ผมเลิกไปนานแล้ว
เพราะถ้าพลาดมามันไม่ดี ลูกเราก็โตเป็นสาวแล้ว เวลามีผู้หญิงมาทักทาย
มาขอจับมือ ขอหอม ผมจะกลัวมากเลยนะ กลัวโดนปาปาราซซี
ตอบคำถามเมียไม่เท่าไร
แต่กลัวต้องตอบคำถามลูกสาว เราก็ต้องระวังตัว

-ดูเป็นคนรักลูก รักภรรยานะ
เราได้เขามาเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจิตใจเราแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบเขา
มันเหนือคำว่าหน้าที่ เหนือคำว่าเป็นห่วง มันบอกเป็นคำไม่ได้
แต่ผมก็ค่อนข้างแคร์กับครอบครัวมาก อาจจะเพราะช่วงเหลิงนั่นแหละ
ที่บอกให้ทำแบบนี้ ว่าเรายังมีคนรออยู่ข้างหลัง
เขารออะไรบางอย่างที่เป็นความสุขกับครอบครัว เราไม่ใช่ชายโสดแล้ว
ตอนช่วงที่ผมระเริงไป ทำอะไรไม่ได้คิด มันมีสิ่งที่ทำให้รู้สึกผิดมากกับตัวเอง
วันนี้ก็เลยต้องให้ผิดน้อยที่สุด เรื่องนอกใจ ถ้าจะมีก็แค่มอง แต่ก็แค่นั้น
เพราะถ้าทำแล้วมีปัญหา จะทำไปทำไม เต็มที่ก็แค่แทะโลมทางสายตา

-ลูกสาวคนโตที่ไปเรียนเมืองนอกเป็นอย่างไรบ้าง
อีก 3 ปีเขาก็เรียนจบแล้ว เขาไปเรียนที่โตรอนโต ด้านภาพยนตร์
ส่วนว่ากลับมาจะมาช่วยผมทำหนังไหม อันนี้อยู่ที่เขา ผมไม่บังคับ
การศึกษาเหมือนเป็นแค่การชี้แนะมากกว่า เพราะบางคนเรียนจบมาก็ไม่ได้ทำงาน
ตามสายที่ตัวเองเรียน ผมก็แล้วแต่เขา

-ส่งลูกไปเรียนนอก เพราะอยากให้เรียนรู้ชีวิต
เขาอยากไปเอง เป็นคนหาที่เรียน หาวีซ่าไปเอง พอผมรู้ว่าเขาจะไป
น้ำตาร่วงเลย เป็นห่วง แต่ไม่กล้าพูด พูดแล้วมันเหมือนเป็นการปิดกั้น
แค่เขาไปเดือนเดียว ก็เหมือนใจมันจะขาด
ส่วนลูกคนเล็กตอนนี้ก็เรียนที่โรงเรียนนานาชาติ แถวพัทยา
ที่พี่สาวเขาเป็นคนแนะนำให้นั่นแหละ

-หม่ำมีวิธีเลี้ยงลูกแบบไหน
ผมเลี้ยงลูกแบบเพื่อน แบบพี่ แต่ถ้านอกลู่นอกทางเมื่อไร
ผมก็จะดุเป็นทหารเลย

-ถึงวันนี้มีอะไรที่ยังอยากทำบ้าง
ผมอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝา ลูกมีงานทำเมื่อไร ผมก็คงเลิกทำงานแล้ว
อยากให้ลูกมีผู้ชายดีๆ มาชอบ มารัก ผมไม่หวงหรอก มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
แต่ก็บอกเขาว่าให้เรียนจบก่อนนะ ค่อยมาบอกพ่อ

-เรื่องที่ภูมิใจที่สุดของหม่ำ
ก็คงจะเป็นลูกทั้งสองคนของผมนี่แหละ ภูมิใจที่เขาเกิดมาเป็นลูกผม
แล้วก็ภูมิใจในภรรยาของผมด้วย

-เรื่องที่เสียใจที่สุดล่ะ
เสียใจที่พ่อกับแม่ผมไม่ได้มีโอกาสเห็นผมในทุกวันนี้
เมื่อก่อนญาติพี่น้องผมมองว่าผมเป็นตัวปัญหาของครอบครัว
เลยเป็นสาเหตุให้ผมหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 17
ซึ่งพ่อผมได้มีโอกาสเห็นความสำเร็จของผมรางๆ ตอนที่ผมเป็นตลกดาวรุ่งอยู่
เพิ่งได้ออกรายการ ก็เสียใจที่ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณเขา

นี่คงพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าโชคชะตาของคนเราพลิกได้เสมอ
ถ้าเพียงแต่เรามีความมุ่งมั่น เพียรพยายาม
วันหนึ่ง ดิน อย่างคุณอาจจะได้เป็น เพชร เหมือน เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา ก็ได้ ใครจะรู้...