Jul 29, 2009
ตายอย่างมีศักดิ์ศรี
นูโว : NUVO
Related : Joe+J
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
- http://www.myspace.com/nuvojoe
- http://teetwo.blogspot.com/2012/12/nuvo.html
- http://teetwo.blogspot.com/2019/10/nuvo-now-or-never-2019-concert.html
- http://teetwo.blogspot.com/2011/04/nuvo-show-guests.html
นูโวเป็นวงดนตรีเล่นตามดิสโก้คลับโดยการรวมตัวของ
โจ จิรายุส และ ก้อง สหรัถมารู้จักกับ จอห์น รัตนเวโรจน์
เต๋อ สุ และ ใหม่ ได้ตั้งวงขึ้น ใช้ชื่อว่า วงไฮสกูล
เมื่อมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วได้เข้ามา
ที่บริษัทแกรมมี่เมื่อปี 2531
ชุดแรก เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เกิดเลย (2531)
ชุดต่อมา
บุญคุณปูดำ (2533)
สุด สุดไปเลย...ซิ (2534)
ออกซิเจน (O2) (2535)
Nouveau (2547)
และ Now 2.0 (2551)
โดยอัลบั้มชุดล่าสุดได้มาสังกัดค่าย โซนี่ บีเอ็มจี
ถ้าไม่นับอัลบั้มที่ออกในนามนูโวศิลปินในวง
ยังมีผลงานอื่นๆที่แยกตัวออกมาอีกมากมาย
- จอห์น นูโว เคยร้องเพลงประกอบละคร
เรื่องสนทนาประสาจน
เพลงชื่อรอหน่อยแล้วกัน
- โจ นูโว เคยร้องเพลงประกอบละครเรื่อง
รักหลอกๆ อย่าบอกใคร
- จอห์น รัตนเวโรจน์ อัลบั้ม solo
- จอห์น รัตนเวโรจน์ อัลบั้ม คน หุ่นยนต์ ต้นข้าว
- จิรายุส วรรธนะสิน เพลงประกอบละคร "แก้ว"
แสดงนำด้วยออกอากาศทางไอทีวี
- โจ ก้อง รวมกันเฉพาะกิจ ยังคงอยู่กับแกรมมี่
- โจ ก้อง Happening ถ้าจำไม่ผิดอยู่สังกัด ฟีลฮาร์โมนิค
- โจ ก้อง สดุดี กลับมาอยู่แกรมมี่ภายใต้สังกัด มอร์มิวสิค
- สหรัถ สังคปรีชา LOVE SCENES LOVE SONGS
รวมเพลงละครที่ก้องร้องเอาไว้
- ก้อง นูโว ได้ร้องเพลงละคร ช่อง 3 เสือ เจ้าสาวที่กลัวฝน
ผลงานของเต๋อ เรวัติ ก็ว่าจะไม่รัก
ในเพลงไกลรักของสุชาติ ชวางกูร
และละอองดาว ช่อง 5 นอกจากนั้นยังร้องเพลง
ทำดีได้ดีของวสันต์-อัสนีในอัลบั้ม
ลงเอยพี่น้องร้องเพลงอัสนี-วสันต์
สมาชิก
- จิรายุส วรรธนะสิน (โจ)กีต้าร์ / ร้องนำ
- สหรัถ สังคปรีชา (ก้อง) กีต้าร์ / ร้องนำ
- นรศักดิ์ รัตนเวโรจน์ (จอห์น) คีย์บอร์ด,ซินทิไซเซอร์ / ร้องนำ
- ปีเตอร์ แอนโทนี่ แฮมมอนด์ (เต๋อ) คีย์บอร์ด
- สุรชัย สุนทรธาดากุล (สุ) เบส
- ชยุต บุรกรรมโกวิท (ใหม่) กลอง
Jul 28, 2009
น้ำตาล คือพิษที่ร้ายแรงอันดับสี่ของมนุษยชาติ
โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
มติชน
วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ผู้เขียนมักเริ่มการสอนวิชาการเมืองการปกครอง
สหรัฐอเมริกาด้วยการพูดว่า
" มีคำกล่าวที่น่าเชื่อถือว่านอกจากยาเสพติด, แอลกอฮอล์
และยาสูบแล้ว น้ำตาลเป็นสารที่มนุษย์โหยหามากเป็น
อันดับสี่อันจัดเป็นอันตรายต่อร่างกาย
อย่างร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง"
น้ำตาลเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับ มนุษย์ในเชิง
โภชนาการแม้แต่น้อย แบบว่าไม่กินน้ำตาลเลยตลอดชีวิต
ก็ไม่เป็นไร เนื่องจากน้ำตาลไม่มีอะไรเลย
นอกจากคาร์โบไฮเดรต (แป้ง) เท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วการกินน้ำตาลเข้าไปมาก
ก็จะทำให้คนกินฟันผุและอ้วนตุ๊ต๊ะ
และก็จะเป็นโรคภัยนานาชนิด อาทิ เบาหวาน
ซึ่งก็จะก่อให้เกิดต้อนานาชนิดที่ดวงตาและไตวายในที่สุด
ประวัติ ศาสตร์ของน้ำตาลนี่จริงๆ นะ เป็นเรื่องราวที่เป็นโศกนาฏกรรม
ของประวัติศาสตร์โลกแท้ๆ พอจะพูดได้ว่าหากไม่มีความต้องการน้ำตาลแล้ว
โลกมนุษย์ใบนี้ก็จะเป็นโลกที่น่าอยู่อย่างมากเลยทีเดียว
เริ่มแรกที เดียวอ้อยที่ใช้ทำน้ำตาลนั้นมีต้นตออยู่ที่บริเวณหมู่เกาะในประเทศ
อินโดนีเซียปัจจุบัน และมีการทำน้ำตาลบริโภคกันบ้างแล้ว
ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาลโน่นและได้แพร่ไป ที่อินเดียในราว 510 ปี
ก่อนคริสตกาลจักรพรรดิ แดเรียสแห่งเปอร์เซียได้รุก
เข้าไปในอินเดียและได้มีบันทึกว่า
"มีต้นอ้อยชนิดหนึ่งที่ให้น้ำผึ้งโดยไม่มีตัวผึ้งอยู่"
อ้อยเป็นพืชเมืองร้อนนะ
กว่าชาวยุโรปจะได้รู้จักและลิ้มรสน้ำตาลจาก
อ้อยก็ตกเข้าไปในคริสต์ศตวรรษที่ 11
และหลักฐานบันทึกถึงน้ำตาลจากอ้อยในเกาะอังกฤษคือ
เมื่อ ค.ศ.1099 และหลังจากนั้นการค้าระหว่างประเทศ
ในยุโรปตะวันตกกับทวีปเอเชียก็ขยาย ตัวอย่างรวดเร็ว
มีหลักฐานบันทึกว่าในตลาดกรุงลอนดอนมีน้ำตาลขายในราคา 2 ชิลลิ่ง
ต่อน้ำตาล 1 ปอนด์ เมื่อ ค.ศ.1319 ซึ่งเป็นสินค้า
ที่ราคาแพงมากเหลือเกินในสมัยนั้น
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีโรงงานน้ำตาลที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี
ซึ่งผลิตได้ปริมาณที่น้อยมาก และใน ค.ศ.1493 นี้ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส
ได้นำเอาต้นอ้อยไปทดลองปลูกในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกของทวีปอเมริกาที่เขา
เพิ่งค้นพบ ปรากฏว่าอ้อยเจริญเติบโตเป็นอย่างดี
และอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ทำจากอ้อยของโลก
ใหม่ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้แหละที่เกิดปัญหาที่เป็นโศก นาฏกรรมอันยิ่งใหญ่
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เพราะว่าการทำไร่อ้อย ตั้งแต่การปลูก การดูแลการตัดอ้อย
และขนส่งอ้อยเข้าสู่โรงงาน และกระบวนการทำน้ำตาล
จากน้ำอ้อยนั้นล้วนแล้วแต่ต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก
และเป็นงานที่หนักและเป็นอันตรายมากเช่นกัน
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการค้าทาสมาเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมน้ำตาล
ในหมู่เกาะในทะเล แคริบเบียนนี้ และท่านผู้อ่านเชื่อไหมว่า
มีการขนส่งทาสผิวสีจากทวีปแอฟริกามายัง
ทวีปอเมริกาอย่างน้อย 10 ล้านคนในช่วง ค.ศ.1550-1835
เนื่องจากน้ำตาลเป็นสินค้าที่มีราคาสูงสร้างความมั่งคั่งให้แก่รัฐบาลและคน
ยุโรปและชาวอเมริกันผิวขาวอย่างมหาศาล
บนความทุกข์ระทมของทาสผิวสีนับล้านๆ คน
(ในประเทศไทยเราเองนี้ในช่วงต้นของทศวรรษกึ่งพุทธกาลก็มีไร่นรกหลายแห่งที่
ปลูกอ้อยทำน้ำตาลแถวจังหวัดชลบุรีจับคนไปเป็นทาสในไร่อ้อยมาแล้วเหมือนกัน)
ชาวอเมริกันที่ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษก็เนื่องจากความขัดแย้ง
ในเรื่องการค้าน้ำตาลและค้าทาสนี่แหละ
เสรีภาพ ที่พวกอเมริกันอ้างถึงคือเสรีภาพในการค้าทาสและค้าน้ำตาล
โดยไม่ต้องเสียภาษี ให้กับรัฐบาลอังกฤษต่างหาก
หลักฐานก็ดูจากภาษีน้ำตาลที่รัฐบาลอังกฤษเก็บได้ใน ค.ศ.1781
(หลังจากที่สหรัฐอเมริกาประกาศเอกราชจากอังกฤษแล้ว 5 ปี)
เป็นเงิน 326,000 ปอนด์สเตอร์ลิง และเพิ่มขึ้นใน ค.ศ.1815
เป็นถึงสามล้านปอนด์สเตอร์ลิง ซึ่งเป็นเงินมหาศาลเมื่อ 200 ปีมาแล้ว
แรงบันดาลใจให้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเนื่องจากได้อ่านข่าว 2 ข่าว
โดย ข่าวแรกจากศูนย์ควบคุมโลกแห่งชาติ สหรัฐอเมริการายงาน
การศึกษาผู้ป่วยจากเชื้อหวัดชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ที่เราเรียกว่าหวัด 2009
นั่นแหละ ที่มีภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจอย่างรุนแรง
ในโรงพยาบาลมิชิแกน 10 รายพบว่าผู้ป่วย 9 ราย เป็นโรคอ้วน
ซึ่งเช่นเดียวกับผู้ป่วยจากหวัด 2009 ของไทยที่มีผู้เสียชีวิต 5 ราย
จาก 26 ราย มีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัม
ซึ่งโรคอ้วนนั้นเกิดจากการกินน้ำตาลมากเกินไป
เลิกกินน้ำตาลเสียได้ ก็จะดี
นอกจากนี้ยังสลดใจเมื่ออ่านข่าว พบว่าประเทศไทยเรานั้นเป็น
แหล่งผ่านแหล่งใหญ่ของการค้ามนุษย์ในยุคปัจจุบัน
ซึ่งน่าอาจจริงๆ นะ
หน้า 6
''ตั้งใจ และจริงใจ จึงมีวันนี้'' ของ คีรี กาญจนพาสน์
ฐานเศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551
หลังพายุสงบ ท้องฟ้าก็จะสดใส
คำเปรียบเทียบนี้
ถือว่าเหมาะสมกับเส้นทางชีวิต
ที่พลิกผันของ คีรี กาญจนพาสน์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท
ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)
หรือ บีทีเอส และประธานกรรมการบริหาร
บริษัท ธนายง จำกัด(มหาชน)
ที่แบกภาระหนี้จากธุรกิจทั้งสองบริษัท
รวมกันกว่า 1.4 แสนล้านบาท
ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2540 มาถึงวันนี้
เขากำลังนำพาธุรกิจก้าวพ้นวิกฤตและ
พร้อมที่จะเดินต่อไปด้วยความมั่นใจที่
มากกว่าเดิมอีกครั้ง
กิจการรถไฟฟ้า บีทีเอส
ที่ทำให้เขาตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน
จากภาระหนี้มูลค่ากว่า 7 หมื่นล้านบาท
มานานถึง 8 ปีเต็ม
โดยไม่เคยคิดท้อแท้ หรือคิดที่จะทิ้งภาระ
และยังพยายามทำอย่างดีที่สุดจนทำให้วันนี้ได้เห็น
รอยยิ้มบนใบหน้าของคีรีจาก
ความสำเร็จอย่างน้อย 3 สิ่งที่เกิดขึ้น
หนึ่งทำให้คนไทยตื่นตัวว่า รถไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็น
ดูจากตัวเลขผู้โดยสารใช้บริการเฉลี่ยวันละกว่า
4 แสนคน ชี้ให้เห็นแล้วว่า
สิ่งที่เขาต่อสู้มาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว
อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ได้ผิด
และสอง บีทีเอส สามารถให้บริการกับสังคมได้จุดหนึ่ง
ด้วยมาตรฐานต่างๆ
เพียงแต่นึกเสียดายที่ 8 ปีมาแล้ว
ยังไม่สามารถเพิ่มเครือข่ายบริการได้เท่าที่ควร
และสาม สามารถสร้างองค์กรที่มี
ความรัก สามัคคี และตั้งใจให้บริการกับประชาชน
เขาจึงรู้สึก ผูกพันและยอมรับว่า
นับตั้งแต่เริ่มทำงานมาตั้งแต่เด็ก
มีบริษัทนี้เท่านั้นที่เขารู้สึกภูมิใจ
และดีใจกับการให้ความร่วมมือและสามัคคีของพนักงาน
ที่มีอยู่กว่า 1,200 คน ผมถือว่าความสำเร็จนี้มีมูลค่ามหาศาล
สามารถผลิตบุคลากรออกมา
ขยายกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ซึ่งสิ่งที่ผมต้องทำต่อไปคือ
ขยายงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานเหล่านี้
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นผลที่เกิดขึ้น จากการที่เขาตัดสินใจเข้ามา
ทำระบบขนส่งมวลชนด้วยเหตุผลที่เขาย้อนอดีตให้ฟังว่า
ตอนนี้นมองเห็นถึงความต้องการ
และต้องการทำเพื่อเสริมโครงการอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งพูดง่ายแต่ทำยาก แต่เมื่อถามว่าทำไมถึงกล้าทำ
ในชีวิตผมค่อนข้างที่จะกล้าลงทุน
เพราะมีความมั่นใจเกินตัว เลยมองอะไรง่ายไปหน่อย
ผมกล้าบอกได้เลยว่าในตระกูลกาญจนพาสน์
ไม่ใช่ตระกูลที่กล้าทำอย่างนี้
มีแต่ผมที่กล้าจะทำ
จากวันนั้นถึงวันนี้ คีรีเชื่อว่า ทั้งตัวเขาและองค์กรบีทีเอส
มีความพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจกว่าเดิม
จากประสบการณ์ 8 ปีเต็มและแรงกดดันที่เชื่อว่า
ไม่เคยมีใครเจอมาก่อนเหมือนเขาอีกแล้ว
ย้อนไปดูเส้นทางก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในธุรกิจของคีรี
ที่คิดและทำไม่เหมือนใครหากเทียบกับ
คนในตระกูล กาญจนพาสน์ ด้วยกัน
คีรี เกิดเมื่อ 18 ตุลาคม 2493 มีชื่อภาษาจีนว่า
หว่อง ซง ซาน เริ่มเรียนประถมที่โรงเรียนกรุงเทพฯคริสเตียน
แต่ไปจบระดับมัธยมปลายที่ฮ่องกง
ตอนเด็กค่อนข้างจะเกเร เข้าสู่ชีวิตการทำงานด้วยการเป็น
พนักงานบริษัทของพ่อในฮ่องกง
เริ่มต้นทำงานจริงจังตอน 19 ปี และกลายเป็นคนมีชื่อเสียง
ตอนเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอลที่มีคนดูมากที่สุด
หนังสือพิมพ์กล่าวถึงมากที่สุด
คนฮ่องกงเรียกเขาว่า ฟี ซาน แปลว่าเด็กอ้วน
และลูกทีมฟุตบอล
เรียกเขาว่าลูกพี่ซาน(ซานก่อ)
ทีมฟุตบอลมีชื่อว่า ทีมไซโก้
เพราะสมัยนั้นพ่อของคีรีเป็น
ตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาแบรนด์ดัง
ในเอเชียแปซิฟิกรวมถึงไซโก้ด้วย
เขากลับมาทำธุรกิจในไทยยุคเศรษฐกิจรุ่งเรืองพร้อมกับพี่ชาย
อนันต์ กาจนพาสน์ และนายมงคล ผู้พ่อ
โดยขยายอาณาจักรธุรกิจครอบคลุมทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ จากการตั้งบริษัท ธนายง จำกัด
เปิดโครงการยักษ์ ธนาซิตี้ ถนนบางนา-ตราด
และขยายมาประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสกายเทรน
หรือ บีทีเอส
ครอบครัวกาญจนพาสน์ ขยายเครือข่ายอาณาจักรธุรกิจ
สร้างชื่อเสียงโด่งดัง และร่ำรวย จนติด 400
ลำดับอภิมหาเศรษฐีโลก
จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์จูนในปี 2534
คีรี กล่าวว่าสมัยเริ่มทำโครงการ บีทีเอส ว่า
ต้องเจอกับแรงกดดันจากกระแสต่อต้านทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เครียดมาก ใครไม่เครียดก็บ้าแล้ว
ก็ได้กำลังใจจากครอบครัว และก็มีเจ้าหนี้คอยเตือนทุกวันว่า
ฆ่าตัวตายจะเจอบาปหนัก รวมทั้งได้ข้อคิดที่ว่า
ภาระที่มีไม่ใช่สิ่งที่ทิ้งไปแล้วจะหมดภาระ บวกกับพลังจากทีมงาน
จนสามารถดำเนินงานมาได้ด้วยดี
มีคนเคยบอกผมหลายครั้งให้เลิกทำเสียดีกว่า
แต่ผมไม่คิดเลิก และยิ่งทำก็ยิ่งมีความรู้สึกว่า
กูไม่ยอมแพ้มึงหรอก
และก็สู้ตายจริงๆ กว่าจะพ้นมาถึงวันนี้ได้
เขายังเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ความผิดพลาด
แต่เป็นเรื่องที่ใครก็คาดการณ์ไม่ได้ และถ้าพูดใหม่ในวันนี้
ยังไงก็ต้องลงทุนเพราะไม่มีใครรู้อนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
แต่การลงทุนทำวันนี้ ต้นทุนจะสูงกว่ากันมาก
นอกจากความคิดที่ไม่ เปลี่ยนแปลงแล้ว
บุคลิกของเขาที่เป็นคนใจร้อน เสียงดังก็ยังไม่เปลี่ยนเช่นกัน
ความจริงผมเสียงดังไปอย่างนั้นเอง และไม่มีใครกลัวผมด้วย
เพราะถ้าเขาเสียงดังกลับมาผมก็เงียบ
ยิ่งที่บ้านผมกลัวเขาหมด แม้กระทั่งหลาน
คีรีย้ำว่า ไม่คิดจะเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น
แต่จะเดินหน้าทุ่มเทให้กับบีทีเอสต่อไป
หลังจากหาเงิน 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาคืนหนี้แล้ว
เขาเตรียมสร้างบีทีเอส ก้าวไปสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่
ด้วยความมั่นใจว่า เมื่อออกจากแผนฟื้นฟู
ในอีกสองเดือนข้างหน้าแล้ว
องค์กรบีทีเอสจะแข็งแรง และ
บุคลากรก็มีความพร้อมที่สามารถจะเดินหน้าต่อ
ทั้งแผนขยายบริการเสริมให้กับโครงข่ายบีทีเอสในไทย
และการขยายออกไปทำในต่าง ประเทศ
ซึ่งมีหลายประเทศเชิญชวนและให้เงื่อนไขที่ดี
ตอนนี้ยิ่งมี ความมั่นใจมากขึ้น และความกล้ายังมีพร้อม
อีกทั้งการได้ผ่านสิ่งต่างๆมา ทำให้ความคิดสุขุมขึ้น
และมองอะไรค่อนข้างที่จะทะลุกว่าที่ผ่านมา
เมื่อก่อนอาจจะมั่นใจในแบบว่า ชนะอยู่เสมอไม่เคยแพ้สักครั้ง
แต่ครั้งนี้เหมือนขึ้นไปตึก 3-4 ชั้นตกลงมาเจ็บเป็นบ้าเลย
โดยเฉพาะ องค์กรบีทีเอส ที่คีรีกล่าวว่าภูมิใจมากเพราะ
สามารถสร้างองค์กรบีทีเอส ก้าวมาถึงวันนี้ได้
น่าจะเป็นเพราะนิสัยที่ได้มาสมัยเป็นผู้จัดการทีมฟุตบอล
ที่เน้นในเรื่องความสามัคคี ทีมเวิร์ค
และตัวเขาเองให้ความจริงใจและตั้งใจ
กับการสร้างองค์กร และพนักงานเองก็จริงใจกับบริษัท
ซึ่งผมถือเป็น asset ที่มีค่ามหาศาล
ซึ่งความคิดสร้างองค์กรนี้คีรี เชื่อว่าเขาได้แบบมาจากพ่อ
ซึ่งไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง และ
เมื่อถามถึงข้อคิดฝากให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่
คีรี ย้ำเพียง2 คำ ความตั้งใจ และจริงใจ กับงานที่ทำอยู่
เมื่อเคารพในงานที่ทำ จะทำให้รู้ได้เองว่าต้องทำอย่างไร
แต่ถ้าหลอกตัวเอง หรือสร้างภาพขึ้นมาเพื่อจะกู้เงิน
ก็มีแต่ตายอย่างเดียว
Jul 26, 2009
ประวัติอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร
ดร.สนอง วรอุไร
พ.ศ.๒๕๐๕ จบปริญญาตรีเกษตรศาสตร์บัณฑิต
จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาโรคพืช
พ.ศ.๒๕๑๕ จบปริญญาโท เกษตรศาสตร์มหาบัณฑิตจาก
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์สาขาเชื้อรา
พ.ศ.๒๕๑๘ จบปริญญาเอก สาขาไวรัสวิทยา
จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ
พ.ศ.๒๕๑๘ อุปสมบทและเรียนวิปัสสนากรรมฐาน
กับท่านเจ้าคุณโชดก
(พระเทพสิทธิมุนี ป.ธ.๙)
ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ
เวลา ๑ เดือนกับ ๑๓ วัน ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างมอบกายถวายชีวิต
ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องยอมศิโรราบต่อปัญญาของพระพุทธะ
ซึ่งได้พิสูจน์และรู้เห็นด้วยตนเองในอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์วิเศษ
แห่งธรรมและ กฎแห่งกรรม
เพราะท่านได้ญาณอภิญญาต่าง ๆ
ในเวลาอันสั้น
ท่านอาจารย์จึงเปลี่ยนวิถีชีวิตอุทิศ
เพื่อทดแทนคุณของพระศาสนา
เผยแผ่พระธรรมแก่ทั้งฆราวาส
และพระสงฆ์
ปัจจุบันมีคณะศิษย์เผยแผ่ผลงานของท่าน
โดยก่อตั้งเป็นชมรมกัลยาณธรรมและ
เว็บไซต์กัลยาณธรรมทั้งภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษ,
โดยยึดถือปฏิปทาของท่านเป็นหลักธรรม
ในการทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง
Subscribe to:
Posts (Atom)