ถ้าเป็นเมื่อ 17 ปีก่อน ลองได้เห็นหน้าและท่าทางกวนๆ บวกกับสไตล์การแต่งตัว
ด้วยเสื้อยืดตัวใหญ่ กางเกงยีนส์หลวมโคร่ง แถมด้วยรอย tattoo เต็มตัว
คงทำเอาผู้ใหญ่ไม่ชอบใจในความกล้าแบบสุดขั้วของเด็กวัยรุ่นสมัยนั้นเป็นแน่
แต่เมื่อถึงยุคที่เทคโนโลยี และวัฒนธรรมจากซีกโลกตะวันตก
หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทย ภาพลักษณ์ข้างต้นกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้
และมิใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เปิดศักราชใหม่ฉบับนี้
ขอเติมสีสันให้คอลัมน์ ด้วยซอกมุมเล็กๆเป็นเรื่องราวที่เชื่อว่า
คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่เคยรู้มาก่อนของ "สิวากร มุตตามระ"
ศิลปินนักร้องหนุ่มเพลงฮิพฮอพ ผู้รักการเล่นสเก็ตบอร์ดเป็นชีวิตจิตใจ
ทั้งยังมีส่วนผลักดันให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายในเมืองไทย
มีตำแหน่งรองแชมป์อันดับ 2 จากการแข่งขันระดับ
ประเทศการันตีความสามารถ
ปัจจุบันเขาคือเจ้าของร้าน KINKY แบรนด์ดังในกลุ่มเด็กบอร์ด
และวัยรุ่นย่านสยามแควร์ผลิตชิ้นงานแบบลิมิดเต็ต
คอลเล็กชั่นล่าสุด เคาะราคาเบาะๆเพียงแค่ 6,000 บาทเท่านั้นเอง !!!
สิวากร บุตรชายคนที่ 3 ของพลโทพิเชียร มุตตามระ
และคุณปณดี แกล้วทนง
เริ่มต้นชีวิตเป็นนักเรียนวชิราวุธ
เนื่องจากทางบ้านเห็นว่า
ที่นั่นจะทำให้เด็กรูปร่างเล็ก ผอมและขี้โรคอย่างเขาดีขึ้นได้
"ที่โรงเรียนผมจะเด่นในเรื่องศิลปะ วาดรูปการ์ตูน งานขีดเขียน
รวมไปถึงการเต้น Break Dance ร้องเพลงแร็พ
เล่นจักรยาน B.M.X.ขณะที่เพื่อนๆจะมีความชอบในแบบฉบับ
ของนักเรียนวชิราวุธ
คือ เล่นรักบี้ ฟุตบอล บาสฯ หรือไม่ก็กรีฑา
ทำให้ผมรู้สึกอยู่ตลอดว่า ความชอบของเราไม่เหมือนใคร
ผมไม่ได้พยายามแปลก แต่ดันไปชอบ เพียงแต่คนส่วนใหญ่ที่แวดล้อมอยู่
เขาไม่ได้ชอบอย่างเรา" และยิ่งชัดเจนขึ้น
เมื่อได้ลองเล่น "สเก็ตบอร์ด" เป็นครั้งแรก
จากความชอบทำให้มุ่งมั่น ฝึกฝน และศึกษากีฬาประเภทนี้อย่างจริงจัง
ทั้งจากหนังสือ skate magazine และวีดีโอจากต่างประเทศ
ซึ่งหาได้ยากมากในสมัยนั้น ขณะที่มีโอกาสได้ดูของใหม่บ้างเป็นครั้งคราว
เปิดซ้ำแล้วซ้ำอีก จากวันเป็นเดือน จากเดือนกลายเป็นปี
หลายๆอย่างที่เป็นวัฒนธรรมอเมริกัน เริ่มซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
เขาเริ่มคบหากับเพื่อนๆนักสเก็ตบอร์ดนอกโรงเรียน
ซึ่งทั้งประเทศมีไม่ถึง 20 คน
ประกอบกับข้อเท็จจริงในยุคนั้นที่ว่า "เด็กบอร์ด"
ส่วนใหญ่จะไม่เรียนหนังสือ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือ การไม่ยอมรับ
แม้ว่าเขาจะเป็นคนแรกของชาวสเก็ตบอร์ด
ที่สามารถเอ็นทรานส์ติด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร
คณะศิลปกรรม ก็มิช่วยทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆจากคนในมหาวิทยาลัย
และเด็กศิลปะเท่าใดนัก ในความโชคร้ายมักมีเทพี
แห่งความโชคดีอยู่ด้วยเสมอ
โดยก่อนจบการศึกษาสิวากรได้มีโอกาสร่วมงานกับ "โจอี้บอย"
เพื่อนชาวเสก็ตบอร์ด และเจ้าพ่อฮิพฮอพเมืองไทยด้วยกัน 2 อัลบั้ม คือ
"ฟัน ฟัน ฟัน" ซึ่งมียอดจำหน่ายสูงถึง 1 ล้านตลับ และ "บางกอกบอย"
(ก่อนจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเองชื่อ DUJADA ซึ่งทำกับโซนี่ มิวสิก)
ทำให้เด็กวัยรุ่นทั่วไปเริ่มรู้จักเขามากขึ้น แต่สิ่งที่ฝันอยากเป็นโปรสเก็ต
และเจ้าของร้านขายอุปกรณ์สเก็ตบอร์ดยังลางเลือน
เพราะใช้จ่ายแบบไม่คิด ได้มาง่ายก็ใช้ง่าย ทำให้ขาดเงินทุน
จึงเริ่มไปทำงานเป็นนักออกแบบอยู่โรงพิมพ์
ขณะทำงานไม่เคยรู้สึกเลยว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นเหมาะกับตัวเอง
ความคิดจึงวกกลับไปที่ความตั้งใจเดิม คือ
การแบรนด์เสื้อผ้าและออกแบบด้วยตัวเอง
เพราะเคยเห็นนักสเก็ตบอร์ดต่างชาติสร้างเป็นอาชีพได้
ผนวกกับแฟนสาวทำธุรกิจเสื้อผ้าอยู่ก่อนแล้ว
จึงได้ชักชวนมาทำร้านด้วยกันเมื่อปลายปี 2542 ในชื่อ KINKY (คิ้งกี้)
ออกเสียงน่ารักน่าหยิก แต่ตรงข้ามกับความหมายว่า โรคจิต อย่างสิ้นเชิง
ใช้รูป "ลิง" เป็นโลโก้แบรนด์ ร้าน KINKY มี 2 แบรนด์หลักๆ คือ KINKY APE
เป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายแนวสตรีทแวร์ และ KINKY โลโก้เป็นรูปแม่กุญแจมีปีก
เป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงแนวเรดี้ทูแวร์ เขาบอกว่า ที่ใช้ ลิง เป็นโลโก้
เพราะหลายคนบอกว่าหน้าเหมือนลิง คิงคอง หรือไม่ก็ กอริลล่า
มาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับ "เด็กบอร์ด" เวลาเล่นสเก็ต
ท่าทางจะดูคล้ายๆลิงด้วยเหมือนกัน
เขาเริ่มจากผลิตเสื้อยืดสกรีนรูปลิงตรงหน้าอก ตั้งเป้าเป็น skate brand
หรือ street wear brand ในเมืองไทย ในช่วงแรกขายได้น้อยมาก
เพราะเด็ก(skate)ไม่ค่อยมีเงินกัน ภายหลังถูกชักชวนให้ไปเปิดร้านชั่วคราว
ในพื้นที่พิเศษที่ห้างอิเซตัน ที่นี่ยอดขายขยับสูงขึ้นมาก
เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ขณะเดียวกันลูกค้าคนไทยก็เริ่มรู้สึก
ยอดขายเริ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ฝ่าย costume รายการทีวี และละคร
สำหรับดารา และพิธีกร เพราะเห็นว่าเป็นแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์
แต่ตลาดกลุ่มนักสเก็ตก็ไม่ดีขึ้น สิวากรเริ่มพัฒนา
และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้มากขึ้น
ผสมผสานกับการใช้สไตล์ของ skate fashion ผลิตภัณฑ์มีทั้งหมวก
เสื้อยืด โปโลแจ็กเก็ต เข็มขัด ยีน ตุ๊กตา
สินค้ารุ่นใหม่จะมีคุณภาพดีขึ้นทุกครั้งส่งผลให้การขายดีขึ้นตามลำดับ
ความไม่เหมือนกับแบรนด์อื่นๆทำให้ KINKY APE อยู่รอดในตลาด
แต่กระแสที่ควบคู่มาด้วยความคิดที่ว่า KINKY
เป็นงานก็อปปี้เลียนแบบแบรนด์ของต่างประเทศ
เพราะกระแสนิยมของ Keepling และ Pual Frank ที่เข้ามา
ขณะเดียวกันเริ่มมีงานเลียนแบบออกมาเกลื่อนตลาด
เขาจึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาทดแทน
ภายใต้ความคิดที่ว่า ..เมื่อสามารถสร้างแบรนด์แรกให้ประสบความสำเร็จได้
ทำไมจะทำแบรนด์ที่สอง สาม และสี่ ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้
ทั้งๆที่เป็นคนสร้างแบรนด์นั้นมากับมือ... "MS INVESDER" ซึ่ง
MS ย่อมาจาก มุตตามระ สิวากร ส่วนคำหลัง
แปลว่า ผู้รุกราน มีโลโก้เป็นรูปผึ้ง 3 ตา เป็นแบรนด์ใหม่ที่เข้าสู่ตลาด
"ครั้งนี้คงไม่มีใครบอกว่า ผมไปเอาของคนอื่นมา
และถือเป็นการพิสูจน์ตัวเองว่า ถ้าไม่ใช่ "ลิง" ผมจะยังขายได้ไหม"
ปรากฏว่าขายดีกว่าแบรนด์เดิม เพราะมี "ลิง" มากมายออกมาล้นตลาด
ปัจจุบันแบรนด์นี้อยู่ในตลาดวัยรุ่นมาได้ 4 ปีแล้ว สินค้าทุกอย่างจะผลิตแบบลิมิดเต็ต
จึงเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าเพราะไม่เหมือนใคร และขายหมดอยู่เสมอ
และผลพวงจากการเล่นสเก็ตบอร์ด จึงได้ร่วมกับเพื่อนชาวต่างชาติ
ซึ่งมีธุรกิจร้านเสื้อผ้าเหมือนกัน
ผลิตเสื้อผ้าในคอนเซ็ปต์ดับเบิ้ลแบรนด์เพื่อเอาใจลูกค้าแต่ละแบรนด์ในแต่ละประเทศ