Custom Search

Jul 18, 2009

ปริญญาสองใบ


ท่าน ว.วชิรเมธี
ผู้เขียน
ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก
คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก
เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน
ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร
เรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส
ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด
แม้กระทั้งล้างจาน
ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด
เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆเขียนไว้สามแผน แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ
แกเสนอแผนที่สอง แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม
ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ
มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง
วันหนึ่งแกพักผ่อน
หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ

บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง
ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ภรรยาพาเข้าโรงบาล
ตรวจพบมะเร็ง
พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด
แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้
แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล

แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน
บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต
แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว
แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมาก

แทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก
ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า
พ่อผมเคยบอกว่า เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง "ปริญญาวิชาชีพ"
เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น
พูดง่าย ๆ
ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง

แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่ "ปริญญาวิชาชีวิต"
ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้
แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง
ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ
แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตกเพราะอะไร เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ

มอบมันให้กับลูกและภรรยา แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา
สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้
สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย
เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย
นี่คือปริญญาวิชาชีวิต

ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ
เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้น เมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ
แต่ละวันควรจะมีให้ดูแลตัวเอง
ดูจิต ดูใจตัวเอง

ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า
แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า
พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ เพื่อที่ว่าอะไร
เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต หนึ่งปริญญาวิชาชีพ
เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่
แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ

สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง
ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี
พอดีอยู่ดีมีสุข
อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก
อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ
ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง
อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี
เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด
บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง

บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์
พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต
สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยน


บันทึกสุดท้ายของ ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร
จากนิตยสารรายเดือน จีเอ็ม
ฉบับเดือน พฤษภาคม 2549
หน้า232-233


1)ตอนที่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง
แต่คุณแม่เขียนจดหมายมาสอนผมว่า
อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น

เพราะถ้าเราไปตั้งท่ากลัวเสียก่อน
มันก็จะไม่เกิดสติปัญญาที่จะไปแก้ไขปัญหา
สู้เราทำตัวสบาย ๆ แล้วแก้ไขปัญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า


2)คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว่าเรียน ๆ ไปเถอะ
เราแยกเอาการเรียนรู้และชีวิตออกจากกัน
เชื่อแต่ว่าพอจบการศึกษาแล้วค่อยใช้ชีวิต

แต่ในต่างประเทศการเรียนรู้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง
มันเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับการใช้ชีวิต


3)คุณพ่อ-คุณแม่ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา

การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีใครขโมยไปได้
การศึกษาเป็นทรัพย์สินที่ต่อเนื่อง
คุณ พ่อ-คุณแม่จึงพยายามทุกวิถีทาง
ให้ผมมีการศึกษาที่ดี ยอมขายที่นาเพื่อให้สามารถส่งเสียผมไปเรียนได้
ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม่สนใจการเรียน
ผมจะรู้สึกเศร้าใจมาก ๆ
หากมีโอกาสได้ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก

4) การที่คนเราจะมองหาจุดมุ่งหมายของชีวิตให้เจอ มันเกิดขึ้นต่างรูปแบบกัน
ต้องถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน่

ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหาให้เจอ ไม่ช้าก็เร็ว
เราจะได้มีพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย

5) ผมคร่ำเคร่งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน
เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อท่องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา
อย่าลืมว่าผมทำงานไปด้วย
เพราะฉะนั้นผมไม่ได้พลาดโอกาส
ที่จะเรียนรู้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง
ในขณะเดียวกันผมก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตาไปท่องเที่ยว

ผมคิดว่าชีวิตผมค่อนข้างจะรอบด้าน
ได้ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู้ใช้แรงงาน


6)มองย้อนหลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง
ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงิน

เพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมายที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว

มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า
ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย
ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมายได้ไม่มากเท่าที่ควร
เราบอกว่าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปี
เพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก
ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้
เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน


7) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิต
เพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต
แต่ว่ามันไม่ใช่สรณะ
ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน
กระจายความทุ่มเทนั้นออกไป เพื่อให้สามารถทำงานได้นานมากขึ้น

และตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ

8)ความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็ก ๆ
ที่ผมอยู่กับตัวเอง


9)ผมเคยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้ภรรยา สรุปความได้ว่า
เวลาที่คนสองคนเดินไปบนชายหาด

ตอนที่เราหันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท้าเล็ก ๆ 2 คู่ เดินไปเดินมา
ทำไมเราจึงเห็นรอยเท้าเหลืออยู่แค่คู่เดียวล่ะ
อีกคนหนึ่งหายไปไหนหรือ
คำ ตอบคือไม่มีใครหายไปไหนหรอก
แต่อีกคนกำลังอุ้มอีกคนหนึ่งเอาไว้ ผมหมายถึงตัวผมอุ้มเขาอยู่
เป็นคำมั่นสัญญาว่าผมจะดูแลเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่


10)ครั้งหนึ่งที่ผมฟังดุริยมนตราซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่ประกอบไปกับดนตรี
ผมฟังแล้วผมร้องไห้มาก
แล้วบอกกับตัวเองว่าถ้าชีวิตผมจะหาไม่จริง ๆ
ด้วยอาการเจ็บป่วยนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า
ผมได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุด
ไม่ใช่แค่เลี้ยงดูสั่งสอนให้แนวทางชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู่
แต่ในยามเจ็บป่วยคุณพ่อ-คุณแม่ไม่เคยห่าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน

อยากให้ท่านได้รู้ว่าผมมีคุณพ่อ-คุณแม่
ที่ผมไม่สามารถเรียกร้องหาได้ดีกว่านี้จากที่ไหน


11)ในความเป็นพ่อ ผมให้คะแนนความพยายามมากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น
ผมคิดว่าคะแนนความพยายามของผมที่ 80 มันไม่เต็มร้อยหรอกครับ
เพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ลูก ๆ มีแกนกลางคือเขามีแม่ที่ดี
เพราะฉะนั้นลูก ๆ จะไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อ เพราะว่าแม่ทดแทนได้หมด

แม่ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว
แต่เขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในครอบครัวเรา
นี่ไม่ใช่การถ่อมตน แต่เป็นการพูดในความรู้สึกที่แท้จริง

เขาเป็นดวงใจของเราทุกคน ให้กลับกัน ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมทำได้

เพราะว่าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว่าการดูแล
ใครอยากได้อะไรผมจะหามาให้
ขอแค่ให้รู้เถอะไม่ต้องเอ่ยปากหรอกผมจะไปหามาให้

12)ชีวิตผมไม่มีอะไรนอกจากบริษัท เจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค่นี้

ผมไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว

13)การเป็นพ่อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อะไรเป็นพิเศษ
ไปมากกว่าความรักทั้งหมด ผมเคยเซ็นหนังสือให้ลูกว่า
”สำหรับ น้องเพชร ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ่อ”

ถ้าคุณรักลูก คุณก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับเขา
และตรงนี้ต่างหากที่เพิ่มเติมมาด้วยสติปัญญา

พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อ ที่จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน
เรียนรู้ถึงความต้องการและความฝันของเขา
แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้อยากอยู่กับเราเสมอไป เขาอาจจะมีธุระอื่น
ฉะนั้นความรักและความเข้าใจจะต้องมาเป็นอันดับต้น เลย
เราต้องพยายามหาหนทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขา
เข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาให้ได้


14)ผมไม่ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่น ๆ

ตอนที่ทำรายการจันทร์กะพริบใหม่ ๆ ผมจบดอกเตอร์มา มัน
ยิ่งสร้างความคาดหวังว่าจะทำอะไรดี ๆ ได้อีกเยอะ
ต้องศึกษาหาความรู้เยอะ

อ่านประวัติของแขกรับเชิญมาล่วงหน้าซึ่ง
จะทำให้เราไม่รู้สึกห่างไกลจากเขา

รายการจันทร์กะพริบเป็นงานที่ยาก ผมใช้เวลากว่า ๒ ปีจึงจะหาตัวเองพบ
ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเป็นพิธีกรมันคือการแสดง
ในเมื่อมันคือกาแสดง อะไรล่ะคือบุคลิกภาพจริง ๆของเรา
เวลาที่เราขอคำแนะนำจากใคร 10 คน เราจะได้คำตอบ 10 อย่าง
เพราะ ฉะนั้นผมเลยคิดว่าที่สุดแล้วผมเชื่อตัวเองอีกว่า
ผมไม่ใช่คนถามจาบจ้วงหรืออยากให้เฮฮากว่านี้

ผมว่าไม่ใช่ผม ผมเป็นคนที่ให้เกียรติคน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง่าย ๆ
ว่านุ่มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ่อน แต่เราต้องพัฒนาให้เป็นจุดแข็งให้ได้

เอาความอ่อนโยนมาเป็นเสน่ห์ เอาความนุ่มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถาม
ทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น


15)ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณ์ ทอดด์ ทองดี

เขาบอกว่ายูรู้ไหม ว่าการที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเวที มันมีไออุ่นของคนที่อยู่ใกล้กัน
เขาไม่รู้สึกอบอุ่นแบบนี้กับใครเท่าที่ยืนอยู่ใกล้ผม
ผมมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือการที่เราหาตัวเองเจอ
ธรรมชาติของผมคือเป็นผู้ชายที่อบอุ่นนั่นเอง


16)ทุกวันนี้ผมดูทีวีได้ไม่นาน เพราะว่าเสียงมันดังเกินไป

รายการโทรทัศน์น่าจะมีความนุ่มนวลแล้วค่อยทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต้น
แต่ ทุกวันนี้มันมีแต่ความเปรี้ยงปร้าง อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขันมันสูง
พิธีกรต้องขุดมุกมาใช้เพื่อให้ได้ชื่อว่าสามารถสร้างเสียงฮาได้ตลอดเวลา
ซึ่งผมคงสอบตกในกรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าความแพรวพราวมันมีได้หลายลักษณะ
เช่นยิงคำถามแพรวพราวก็ได้ หรือบางทีเขาตอบอะไรมา

เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรงนี้ก็ได้
ไม่จำเป็นต้องมีมุกตลอดเวลา


17)การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคน
ได้แบบเรียนชีวิตโดยไม่ต้องซื้อหามา เป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรทดแทนได้
ผม เรียนรู้ชีวิตของชีวิตของผู้อื่น ผมได้ค้นพบว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน

เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและในยามที่เรายังมีลมหายใจอยู่
เราน่าจะได้ใช้ โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ในโลกนี้
มันเป็นมรดกของมนุษยชาติอย่างหนึ่งและคนอื่น
อาจจะเรียนรู้ได้ในภายหลัง


18)การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้ห้วงชีวิตเป็นอะไรก็ได้
เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าหรือ

เราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิตที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่ง
ไปตลอดชีวิตก็ได้ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร


19) ผมไม่รู้ว่าจำนวนของคนที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้มีเท่าไหร่
แต่ผมว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นได้กับทุก ๆ คนแหละ
มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำ
จริง ๆ แล้วก็คงเหมือนกับที่เขาพูดกันว่า
ไม่ต้องเป็นคนดีเท่าไหร่หรอก ขอแค่เป็นคนเลวน้อยที่สุดก็พอแล้ว


20) ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ
คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน มันทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันได้เพราะอะไร
คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะมั่นเป็นการให้ที่แท้จริง
แต่การที่เราได้รับนั้นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา
มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อ่างไร
มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเรา
ขณะที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา
การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐเขาทำกัน


21) คนที่เป็นผู้ให้ ในชีวิตผมมีมากและผมไม่มีวันที่จะลืมได้เลย

ภรรยาผมเขาไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย เขานึกถึงแต่ว่าทำอย่างไรสามีเขาจึงจะหาย
ผมเรียนเรื่องธรรมชาติบำบัด ผมรู้สึกเอาเองว่าผมรับพลังดี ๆ
จากธรรมชาติมาเยอะ เรียนรู้ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต้นไม้ ใบหญ้า
ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดี
ความหวังดีของคนจำนวนมาก
คนเหล่านี้เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมไปจากชีวิตนี้ แล้วก็ขอเจอกันทุกชาติไป

ผมคิดว่าถ้าผมจะหาย ก็ได้ด้วยพลังรักที่เขามีต่อผม

22)ทุกวันนี้ผม มองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น
ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ

หรือถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่า
วันของเราจะต้องมาถึง เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง
ใจผมก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง เมื่อไหร่ปฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที
ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย
ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า
ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธ ที่จะตายไปกับโรคนี้


23)ผมเสียใจอยู่ตลอดมาที่มีเวลาให้กับครอบครัวน้อยเกินไป
อยากบอกลูกว่า ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อคงอยู่บ้านให้มากกว่านี้