หัวหน้าพรรคคนที่ 4 ของพรรคประชาธิปัตย์
มหาบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ1 จากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด
สภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2551
ลงมติด้วยคะแนนเสียง 235 ต่อ 198(งดออกเสียง 3) เลือก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27
และเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งประกอบไปด้วย นายควง อภัยวงศ์(4 สมัย)
ม.ร.ว.สเนีย์ ปราโมช (4 สมัย) นายชวน หลีกภัย (2 สมัย)
สำหรับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีมี
พ.อ.ถนัด คอมันตร์ นายพิชัย รัตตกุล นายบัญญัติ บรรทัดฐาน
นายอภิสิทธิ์ มีประวัติดังต่อไปนี้
เกิด วันที่ 3 สิงหาคม 2507 ที่เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ
บุตร ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกราชบัณฑิตยสถาน-ศ.พ.ญ.สดใส เวชชาชีวะ
สมรส ดร. พิมพ์เพ็ญ (ศกุนตาภัย) เวชชาชีวะ อาจารย์ประจำ ภาควิชาคณิตศาสตร์
คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บุตร - ธิดา 2 คน คือ ด.ญ.ปราง เวชชาชีวะ ด.ช.ปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ
การศึกษา ปริญญาตรีด้านปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมอันดับ 1)
มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ประวัติการทำงาน
อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ
อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์
กรุงเทพมหานคร มี.ค. 2535 , ก.ย.2535 , 2538
และ 2539 ,2544,2550
ปี 2535-2537 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปี 2537 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
(รองนายกรัฐมนตรี นายศุภชัย พานิชภักดิ์)
ปี 2538-2539 ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษาสภาผู้แทนราษฎร
ปี 2538-2540 โฆษกพรรคประชาธิปัตย์
ปี 2540-2544 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปี 2542 รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ปี 2548 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
เด็กชายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือมาร์ค เกิดที่เมืองนิวคาสเซิล
ประเทศอังกฤษเป็นลูกชายคนเดียวและคนสุดท้องในจำนวน 3 คน
ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ และ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ
เมื่อมีอายุไม่ถึงหนึ่งปี ครอบครัวเวชชาชีวะก็เดินทางกลับเมืองไทย
เด็กชายอภิสิทธิ์เข้าเรียน ชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลยุคลธร
และต่อมาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
หลังจากนั้นก็เดินทางไป เรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ที่โรงเรียนสเกทคลิฟ
และที่โรงเรียนอีตัน นับเป็นช่วงที่อภิสิทธิ์ใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนประจำ
เป็นเวลาหลายปี
นอกจากหลักสูตรการเรียนที่ท้าทาย กฎระเบียบด้านวินัยที่เข้มงวดแล้ว
โรงเรียนที่อังกฤษยังกำหนดให้ นักเรียนทุกคนต้องออกกำลังกายอีกด้วย
จึงทำให้อภิสิทธิ์ได้หัดเล่นกีฬาหลายประเภท และที่ถนัดมากที่สุดคือ ฟุตบอล
ซึ่งได้กลายเป็นกีฬาที่โปรดปราน ของอภิสิทธิ์มาจนถึงทุกวันนี้
อภิสิทธิ์เป็นผู้ที่ติดตามการแข่งขันฟุตบอล ของสโมสรต่าง ๆ ในอังกฤษ
(เป็นแฟนที่เหนียวแน่น ของสโมสรนิวคาสเซิล)
และการแข่งขันระดับโลกสำคัญ ๆ มาตลอด
(เป็นผู้ที่สามารถวิจารณ์ผู้เล่น ครูฝึกสอน และผู้จัดการของทีมฟุตบอลต่าง ๆ
ได้คมชัดอย่างที่ไม่มีใครนึกถึง)
ในช่วงเวลาที่ว่างจากการเรียน และการเล่นกีฬา
อภิสิทธิ์ก็ผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรีแนวร็อค ตั้งแต่ป๊อปร็อคไปจนถึงเฮฟวี่เมทัล
โดยมีวงดนตรีที่โปรดปรานหลายวง เช่น อาร์อีเอ็ม อีเกิ้ลล์ และโอเอซิส
เมื่อจะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
อภิสิทธิ์ได้เลือกเรียนในสาขาปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด
ในช่วงที่อยู่ที่อ๊อกซฟอร์ด การใช้ชีวิตของอภิสิทธิ์ก็ต้องปรับเปลี่ยนอีกครั้ง
จากเดิมที่ต้องอยู่ภายในกฎ ระเบียบของโรงเรียนประจำ ได้รับอิสระเสรีภาพมาก
สามารถใช้เวลาว่าง ได้ตามใจมากขึ้น
ซึ่งอภิสิทธิ์ก็ได้ใช้เวลาเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
ในสภานักศึกษา อภิสิทธิ์ใช้เวลาเรียนที่อ็อกซฟอร์ด 3 ปี
จนจบและได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
นับเป็นคนไทยคนที่สองในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย
ที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับนี้ และในระหว่างนี้ได้ศึกษาต่อ
ในคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วย
หลังจากจบปริญญาตรี อภิสิทธิ์ก็เดินทางกลับประเทศไทย
และเข้ารับราชการทหารโดยสอนหนังสือ ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. ที่เขาชะโงก
จังหวัดนครนายก ก่อนที่จะกลับไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ที่อ๊อกซฟอร์ด
ในสาขาเศรษฐศาสตร์
ในช่วงก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อปริญญาโท
อภิสิทธิ์ได้แต่งงานกับ น.ส.พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย ปัจจุบันทั้งคู่มีลูกสาวหนึ่งคน
และลูกชายหนึ่งคน (ปราง และ ปัณณสิทธิ์)
เมื่อจบปริญญาโท อภิสิทธิ์ได้กลับมาสอนหนังสืออีกครั้ง
ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเข้ามา "ทำงาน" การเมืองตั้งแต่เด็ก
การตัดสินใจของอภิสิทธิ์จึงมีแนวทางที่ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสาขาที่จะเรียน การทำกิจกรรม
หรือการพยายามติดตามข่าวสารบ้านเมืองแม้ว่าจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม
ข้อมูลเพิ่มเติม: http://blog.spu.ac.th/golfseven/2008/07/22/entry-2
คำแถลงการณ์ของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27
ณ พรรคประชาธิปัตย์
17 ธันวาคม 2551พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ
ผมรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้
ผมเป็นนายกรัฐมนตรี
ผมสำนึกเสมอครับว่าผมเกิดมาเป็นข้าของแผ่นดิน
ต้องสนองคุณแผ่นดินและผมสำนึกมาตลอดว่า
แผ่นดินไทยของเรานั้นร่มเย็นเป็นสุข
ตลอดมาก็ด้วยพระบารมี
วันนี้ผมยืนตรงนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ผมขอยืนยันว่ารัฐบาลที่ผมเป็นผู้นำนั้น
จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
และจะเทิดทูนสถาบันนี้ไม่ให้ผู้ใดทำให้สถาบันนี้
ไม่อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมืองด้วยประการทั้งปวง
ผมขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และพี่น้องประชาชนทุกท่าน
ที่ได้ให้การ สนับสนุน และ
ได้ให้กำลังใจให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้
ผมทราบดีครับว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ไม่ปกติ
เป็นสถานการณ์ที่วิกฤตและ
พี่น้องประชาชนคนไทยมีความทุกข์
แต่ผมถือว่าผมเป็นนักการเมืองในวิถีทางประชาธิปไตย
ผมเป็นอาสามัครและผมไม่มีสิทธิ์ที่จะ
หนีปัญหาหรือปฏิเสธความรับผิดชอบ
เมื่อเสียงข้างมากซึ่งเป็นเสียงข้างมากเดิม
ในสภาผู้แทนราษฎรมีปัญหา
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจ
สนับสนุนผมขึ้นมาตามวิถีทาง ของประชาธิปไตย
และวิถีทางของกระบวนการของรัฐสภาของเรา
หน้าที่เบื้องต้นของผมคือการยุติการเมืองที่ล้มเหลว
การเมืองที่ล้มเหลวคือต้นเหตุของความขัดแย้ง
การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแบ่งภาคแบ่งสี
ที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศของเราในขณะนี้
ผมจะขจัดการเมืองที่ล้มเหลวออกไป
และจะนำความสมัครสมานสามัคคี
กลับคืนมาโดยอาศัยความยุติธรรม
เป็นกระบวนการนำหน้า
รัฐบาลภายใต้การนำของผมจะยึดหลักนิติธรรมนิติรัฐ
จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและจะเคารพ
ในกระบวนการและเจตนารมณ์ของ
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย
วันนี้ประเทศของเราต้องมีความสามัคคี
ผมขอยืนยันว่าผมจะทำงานให้กับคนไทยทุกคน
ไม่ว่าจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม
ไม่ว่าจะสนับสนุนผมหรือแม้แต่ต่อต้านผม
ท่านจะเป็นใครก็ตาม
หากท่านไม่คิดร้ายต่อบ้านเมืองท่านไม่ใช่ศัตรูของผม
และท่านเป็นอีกคนหนึ่ง
ที่ผมจะต้องรับใช้อย่างเต็มความสามารถ
งานใดที่เป็นประโยชน์แม้จะเป็นของรัฐบาลก่อน
ผมขอยืนยันว่าผมจะไม่ทิ้งจะสานต่อ
จะปรับปรุงให้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นโครงการรักษาฟรี
ไม่ว่าจะเป็นบรรดากองทุนทั้งหลายที่ลงไปอยู่ในชุมชนต่างๆ
และผมทราบดีครับว่าปัญหาเร่งด่วนที่สุดในใจพี่น้องประชาชน
ในขณะนี้คือปัญหา เศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
จึงเป็นงานสำคัญอันดับแรกของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการต่อไป