Custom Search

Dec 24, 2008

นายกรัฐมนตรีที่ “ไม่มีเรื่องเล่า”



นิติภูมิ นวรัตน์
ไทยรัฐ
25 ธ.ค. 51
ฐานะศิษย์เก่าออสเตรเลียเข้าเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนมัธยมเซ็นเออร์นาด รัฐวิกตอเรีย
นิติภูมิได้รับเชิญจากสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทยให้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง “ออสเตรเลีย” หรือ Australia ที่ชั้นโรงหนังบนชั้นสูงสุดของห้างสยามพารากอน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในประเทศออสเตรเลีย คือ 197 ล้านดอลลาร์
ฉายเปิดตัววันแรกก็ทำรายได้มากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์
ผู้อ่านท่านที่เคารพ นิติภูมิไม่ได้บ้างานของผู้กำกับแถวหน้าอย่าง บาซ เลอห์มาน

หรือไม่ได้หลงใหลในผู้แสดงสุดฮอตของฮอลลีวูดอย่าง นิโคล คิดแมน และฮิวจ์ แจ็กแมน
แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงประเทศไทยในยามชื่อเสียงตกต่ำ
ซึ่งเราน่าจะมีคนที่มีจินตนาการคิดอะไรอย่างเฉกเช่นที่มีคนสร้างภาพยนตร์เรื่องออสเตรเลีย
ที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นรอบพิเศษสำหรับบุคคลสำคัญซึ่งมีเพียง 34 ที่

ผมนอนดูหนังเรื่องนี้กับคุณแอนดรู บิ๊กส์ ผู้ที่เกิดที่เมืองบริสเบน ออสเตรเลีย
และเคยใช้ชีวิตเมื่อ พ.ศ.2522 เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนไปอเมริกา
ในห้วงช่วงปีเดียวกันนั้น ผมก็เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนจากไทยไปออสเตรเลีย
เราทั้งสองคนภายหลังมาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงด้วยกันทั้งคู่
เราจึงมี “เรื่องเล่า” ทุกครั้งที่เจอกัน
ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณแอนดรูมีเรื่องเล่ามากมายที่ฟังหลายปีก็ไม่มีวันจบและไม่มีวันเบื่อ
ภาพยนตร์เรื่องออสเตรเลียจะทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางมาเยือนออสเตรเลียมากตั้งแต่ พ.ศ.2552 เป็นต้นไป

การเดินดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ใช้พวกอะบอริจิน
ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลียเป็นตัวเอก
ต้องขอบคุณรัฐบาลออสเตรเลียในยุคของนายเควิน ไมเคิล รัดด์
เป็นนายกออสเตรเลียและหัวหน้าของสหพันธ์พรรคแรงงานออสเตรเลียครับ
ท่านเป็นคนหนุ่มเกิดเมื่อ พ.ศ.2500 แต่กล้าคิดนอกกรอบ
เหตุผลที่ชนะนายกรัฐมนตรีเก่ามาได้ เพราะนายรัดด์คิดนอกกรอบ
เช่น สัญญากับประชาชนว่า ถ้าชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล
แกจะถอนทหารจากอิรัก จะลงนามในพิธีสารเกียวโต
เพื่อลดกระแสโลกร้อน จะวางโครงสร้างบรอดแบนด์ระดับชาติ
และที่สำคัญที่สุดคือจะให้เกียรติชนเผ่าพื้นเมืองของพวกอะบอริจิน
จะสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับคนพวกนี้
ภาพยนตร์เรื่องออสเตรเลียก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการสร้าง
“ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ให้กลับคืนมาสู่ความเป็นออสเตรเลียเช่นกัน
แต่จะเป็นตอนไหนอย่างไร ผู้อ่านท่านกรุณาไปดูกันเอาเองเถิด
ผู้อ่านท่านที่เคารพ นิติภูมิเดินทางไปเยือนและพบปะสนทนากับ
นักเรียนนักศึกษาไทยในทวีปออสเตรเลียในปัจจุบันทุกวันนี้
ผมพบว่าหลายท่านเอาแต่เรียนอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงเรื่องจิตวิญญาณ
ทุกวันนี้คนไทยที่เป็นนักเรียนเก่าออสเตรเลียจำนวนมากไม่มีเรื่องเล่า
ตอนอยู่ที่ประเทศโน้นเช้ามาก็ถือหนังสือเดินจากหอพักไปยังมหาวิทยาลัย
ตอนเย็นก็เดินหอบหนังสือจากมหาวิทยาลัยไปที่หอพัก
อยู่ในประเทศออสเตรเลียห้าปีสิบปีก็มีมิติเรียนหนังสือเพียงอย่างเดียว
แต่ไม่มี “วิญญาณร่วม” กับชาวออสเตรเลียมากและลึกซึ้งเหมือนในสมัยในอดีต
ไปนครเมลเบิร์นและนครซิดนีย์ในสมัยนี้
ผมเห็นแต่นักเรียนไทยเดินกันขวักไขว่และพูดกันแต่ภาษาไทย
เห็นแล้วก็เสียดายเงินทองของพ่อแม่ที่ส่งลูกไปเรียน
พ.ศ.2548 ผมลองทดสอบถามนักเรียนไทยยุคใหม่ในนครเมลเบิร์นกลุ่มหนึ่ง
ถึงเพลงที่ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่ร้องได้อย่าง Advance Australia Fair
ปรากฏว่าไม่มีนักเรียนในกลุ่มนั้นรู้จักเลยแม้แต่คนเดียว
แม้แต่ผมจะเริ่มต้นร้องนำว่า Australia all let us rejoice, for we are young and free.. ก็ปรากฏว่าไม่มีใครในกลุ่มต่อเพลงนี้ได้
หรือแม้แต่เพลงที่นักเรียนต่างชาติที่เข้าไปเรียนในแผ่นดินออสเตรเลีย
ควรจะร้องได้อย่าง Waltzing Matilda หรือ
Kookaburra Sits on the Old Gum Tree
นักเรียนกลุ่มนั้นก็ยังร้องไม่ได้และทำท่างงๆ
เมื่อปีก่อน พ.ศ.2548 ผมไปเยือนออสเตรเลียอีก 2 ครั้ง

ได้รับเชิญให้ไปดูงานการศึกษาและการเกษตรที่รัฐออสเตรเลียตะวันตก
และรัฐออสเตรเลียใต้ และก็ได้ไปเยี่ยมนักเรียนไทยอีกหลายกลุ่ม
โดยเฉพาะกลุ่มครูอาจารย์ที่ได้รับงบประมาณจากกระทรวงศึกษาธิการไทย
ให้ไปเรียนภาษาอังกฤษที่นั่น ผมแปลกใจมากที่นักเรียนและคุณครูไทยจำนวนหนึ่ง
ไม่รู้จักเวจีไมต์ Vegemite ซึ่งเป็นอาหารโปรดของคนออสเตรเลียของแท้
ทุกผู้ทุกนาม มีสีดำคล้ายกับกะปิของเรา มีรสเค็มเหมือนกะปิ
ผลิตออกมาขายโดยบริษัทคราฟท์ ต่อมากลายเป็นอาหารประจำชาติออสเตรเลีย
เหมือนต้มยำกุ้งของไทย นักศึกษาไทยเหล่านี้
แม้รัฐบาลหรือพ่อแม่จะเสียเงินเสียทองส่งไปเรียนออสเตรเลียกันคนละ 5 ปี 10 ปี
พวกนี้มีแต่ความรู้ในตำรา ไม่มีเรื่องเล่า
ชาติบ้านเมืองอื่นจะไม่ยอมเอาคนที่ไม่มีเรื่องเล่าเหล่านี้มาใช้งานสำคัญ
ยกเว้นก็เพียงแต่ราชอาณาจักรไทย ที่กล้าเอาคนที่ดูเหมือนมีความรู้

มีปริญญาตรีโทชั้นดีจากมหาวิทยาลัยระดับโลก
แต่ไม่มีเรื่องเล่า มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประเทศไทยของเราขณะนี้

จึงเป็นประเทศขาดเรื่องเล่า และขาดเสน่ห์.