Custom Search

Nov 5, 2008

ประธานาธิบดี บารัก โอบามา


บารัก ฮุสเซน โอบามา (Barack Hussein Obama)
เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2504 เป็นหนุ่มลูกครึ่งอเมริกันกับเคนยา
เกิดที่มลรัฐฮาวาย หลังจากที่บิดาของเขาคือ Barack Obama, Sr.
นักศึกษาต่างแดนจากเคนยาที่ทิ้งครอบครัวมาศึกษาต่อ
ในอเมริกา และมาพบรักกับ Ann Dunham นักศึกษาสาวจากแคนซัส
ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย แต่รักในวัยเรียนดำเนินไปได้ไม่นาน
เมื่อโอบามาน้อยลืมตาดูโลกได้เพียง 2 ปี พวกเขาก็แยกทางกัน
โอบามาน้อยยังคงอยู่กับมารดาในอเมริกา
ทางด้านมารดาของโอบามา แต่งงานใหม่ กับ Lolo Soetoro นักศึกษาชาวอินโดนีเซีย
และมีบุตรสาวหนึ่งคนชื่อ Maya เมื่อโอบามา อายุ 6 ปี
มารดาของเขากับครอบครัวใหม่ได้ย้ายไปอยู่ ณ เมืองจาการ์ตาในอินโดนีเซีย
ที่ที่เขาเริ่มต้นชีวิตวัยเรียนครั้งแรกในต่างแดน จนกระทั่งอายุครบ 10 ปี
เขาถูกส่งกลับมาอยู่กับตากับยายของเขาที่ฮาวาย
จนกระทั่งจบเกรด 5 บิดาผู้ให้กำเนิดโอบามาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
โอบามาเป็นหนุ่มวัย 21 ปี และอีก 13 ปีต่อมา
เขาสูญเสียมารดาที่จากไปด้วยโรคมะเร็งในรังไข่
เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาเขียนหนังสือไว้อาลัยให้กับบิดาของเขา
โดยใช้ชื่อเรื่องว่า "ความฝันจากพ่อของฉัน" หรือ "Dreams from My Father"
ซึ่งต่อมาเป็นหนังสือขายดีมาก และทำให้หลายคนชื่นชอบในตัวเขา
จากแง่คิดในหนังสือเรื่องนี้ ในหนังสือเขาบรรยายถึงความรู้สึกในวัยเด็กของเขาที่มีปมด้อย
มีความสับสนในที่มาและที่ไปของเขา เขาเติบโตท่ามกลางสองสีผิว
ดังข้อความที่เขากล่าวไว้ในหนังสือเล่มนั้นว่า
"พ่อของฉันไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ตัวฉันเลย ท่าน ตัวดำอย่างกับยางมะตอย แม่ของฉันก็ขาวอย่างกับน้ำนม" ในวัยรุ่น โอบามารู้สึกแปลกแยกมากในสังคม
เขาเปิดอกในหนังสือว่า เขาต้องหัน ไปพึ่งของมึนเมาและยาเสพติด
ไล่มาตั้งแต่ เหล้า กัญชา และโคเคน เพื่อทำให้ลืมว่าเขาเป็นใคร...
โอบามาเติบโตมาท่ามกลางความหลากหลายในความคิดเรื่องศาสนา...
จากพ่อผู้ให้กำเนิดชาวมุสลิมที่มีความเชื่อว่า พระเจ้าไม่มีอยู่จริง
จากแม่ที่มาจากครอบครัว ที่ไม่ยึดถือศาสนาใด
และพ่อเลี้ยงชาวอินโดนีเซียที่ไม่เห็นว่าศาสนามีความสำคัญมากนักในการดำเนินชีวิต...
เขาจึงต้องพยายามแสวงหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจด้วยตนเอง
จนกระทั่งเขาลงเอยที่เป็นสมาชิกของโบสถ์ Trinity สังกัด United Church of Christ
ที่ไม่ปิดกั้นการคิดเชิงวิจารณ์ (Critical Thinking)
พร้อมทั้งไม่ขัดขวางการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
และเท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจ
แม้ว่าชีวิตในวัยเยาว์ของโอบามาจะไม่เป็นสุขมากนัก
แต่เขาสามารถสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ที่มีชื่อเสียง หลังจากเรียนจบเขาเข้าร่วมงานกับองค์กรไม่แสวงหากำไร
โดยเป็นที่ปรึกษาโครงการฝึกอาชีพให้แก่โบสถ์แห่งหนึ่งในชิคาโก
เมื่อเขาอายุได้ 27 ปี เขาศึกษาต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ในปีเดียวกันนั้นเขาพบรักกับ Michelle Robinson
นิติกรสาวผิวดำจากบริษัทกฎหมาย Sidley & Austin ในชิคาโกที่เขาเคยร่วมงาน
ขณะศึกษาอยู่ได้ 2 ปี
เขาเป็นคนผิวดำคนแรกที่ได้รับเลือกเป็นประธานของ Harvard Law Review
ในรอบกว่าศตวรรษ จากนั้นเมื่อเขาสำเร็จนิติศาสตร์ ในปี 1991
เขามารับหน้าที่เป็นที่นิติกรสมทบ
ให้บริษัทที่ปรึกษากฎหมาย Miner, Barnhill & Galland ในชิคาโก
และสมรสกับ Michelle ในปีต่อมา
และมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ Malia และ Natasha
จากนั้นเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมือง Hyde Park ในชิคาโก
ขณะเดียวกันเขาเริ่มงานสอนหนังสือวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ
ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิคาโกจนถึงปี 2004 ในปี 2004
นี้เองเป็นปีที่ชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการเมืองของสหรัฐฯ
จากการได้รับเลือกเป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกในสภาสูงจากรัฐอิลลินอยส์
และเขาได้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในงานประชุมพรรคเดโมแครตประจำปี
ซึ่งสุนทรพจน์ของเขาในครั้งนั้นโดนใจชาวเดโมแครตหลายคน
รวมทั้ง สื่อมวลชนด้วย เรียกได้ว่าเขาเป็นนักการเมือง
หนุ่มหน้าใหม่ที่มาแรงในยุคนี้ ด้วยประวัติทางการเมืองยังค่อนข้างใสสะอาด
ยังไม่มีผลงาน ที่ติดลบ เพราะยังมีผลงานไม่มากนัก
แต่ด้วยความที่เป็นคนที่มีวาทศิลป์ยอดเยี่ยม
ผนวกกับมาดปัญญาชน สุขุม ลุ่มลึก และติดดินอยู่ในที
สามารถเข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม
ตั้งแต่นักการเมืองผู้หนาประสบการณ์พนักงานบริษัทไปจนถึงเกษตรกร
อีกทั้งสตรี เด็ก และคนชรา
อย่างไรก็ดีมีนักวิเคราะห์การเมืองอย่าง Robert Putnum แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
มีความเห็นว่า โอบามาจืดไปสำหรับ การเมือง
เทียบไม่ได้กับบิล คลินตัน...บารมีและวาสนาของบารัก โอบามา
จะไปถึงขั้นเป็นผู้นำของประเทศนั้นยังไม่มีใครตอบได้
ต้องยอมรับว่าในส่วนวงการบันเทิงนั้นเรื่องสีผิวค่อนข้างเท่าเทียมแล้ว
แต่ยังมีความพยายามพลักดันให้ประเด็นลดการเหยียดผิวไปพิสูจน์ตัวเองในระดับชาตินั่นเอง
โอบามาจึงได้รับอนิสงค์จากประเด็นนี้ไปอย่างเต็มๆอย่างการโดดมาช่วยโอบามาหาเสียของ
โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรผิวสีรายการทอล์กโชว์ชื่อดังที่เป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของสหรัฐ
ทำให้ฐานเสียงโอบามาแน่นขึ้น และโกยคะแนนเป็นกอบเป็นกำล่าสุดนี้
อย่างที่เรารู้กัน จากข่าว โอบามาเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2008
โดยได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง
และกลุ่มชาวอเมริกันผิวดำ ในการคอคัสรอบแรกที่จัดขึ้นในรัฐไอโอวา
เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2551 เขาได้รับคะแนนนิยม 38%
เหนือนายจอห์น เอ็ดเวิร์ดส (30%) และนางฮิลลารี คลินตัน (29%)
อย่างพลิกความคาดหมาย
แต่ด้วยกระแสตีหน้าเศร้าเรียกคะแนนสงสาร จากฮีลลารี
พร้อมกับกระแสเหยียดผิวอย่างเงียบๆ ทำให้คะแนนผลิกโผหักปากการเซียน
ฮีลลารี่กลับมาแซงอย่างเฉียดฉิว ที่รัฐ นิวแฮมเชียร์
ทำให้การลุ้นอัศวินหน้ามนคนนี้ เข้าสู่ทำเนียบขาว
คงได้เหนื่อยกันยาวๆอย่างไรก็ตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ
ครั้งนี้ จะเป็นการผลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่แน่นอน
ไม่เรื่องใดก็เรื่องนึงระหว่างเท่าเทียมของชาย หญิงหรือ เท่าเทียมของทุกเชื้อชาติ
ไม่มีขาวมีดำ หรืออาจไม่ทั้งสองเลย
เพราะประเด็นหลักที่เข้ามามีบทบาทในแนวคิดการเลือกตั้งครั้งนี้
คือ เรื่องเศรษฐกิจ อันส่งผลเหมือนไฟลามทุ่ง ไปแทบทุกในทุกย่อมหญ้าในสหรัฐแล้ว






EMMANUEL DUNAND / AFP/Getty Images US
President-elect Barack Obama speaks
during his victory rally in Chicago
November 4, 2008.
Updated: 1:43 a.m. ET November 5, 2008

บทความ >>
กว่าจะเป็นโอบามาเขาแข็งแกร่งพอหรือไม่
นี่คือคำถามในใจทุกคนเมื่อพูดถึง
บารัก โอบามา
ส่วนคนที่รู้จักผู้สมัครชิงตำแหน่ง
ประธานาธิบดีคนนี้มาตั้งแต่เด็ก
บอกตรงกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มาจาก
"ความใฝ่ฝันของพ่อ" เท่านั้น
แต่มาจากความเก่งกล้าของแม่ด้วย
และเหนือสิ่งอื่นใดคือความทะเยอทะยาน
ของโอบามาเองโดย ทอดด์ เพอร์ดัมมิถุนายน 2551
ปลายปี 2545 บารัก โอบามา เป็นสมาชิกวุฒิสภาแห่งรัฐอิลลินอยส์
มาแล้วเกือบหกปีสังกัดพรรคเดโมแครตซึ่งมีเสียงข้างน้อยในสภาโดย
เป็นตัวแทนของชุมชนอเมริกันผิวดำในชิคาโก
เขาทำหน้าที่ทุกอย่างเท่าที่สมาชิกเดโมแครตจะทำได้ในรัฐ
ที่พรรครีพับลิกันครองอำนาจมานาน
แต่บัดนี้เขาพร้อมจะเขียนประวัติหน้าใหม่แล้ว
ไม่นานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ เดือนพฤศจิกายนปีนั้นเอง
ชาวเมืองอิลลินอยส์จำนวนมากพร้อมใจกันลงคะแนนให้พรรคเดโมแครต
กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
ไม่กี่เดือนต่อมา โอบามาก็เดินไปหาเอมิล โจนส์ จูเนียร์
ประธานวุฒิสภาคนใหม่ซึ่งว่ากันว่า
เป็นนักการเมืองผิวดำผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในอิลลินอยส์

โอบามามีเรื่องสำคัญมาบอกโจนส์
"โอบามาพูดกับผมว่า"
โจนส์ทวนความหลัง
"ตอนนี้คุณเป็นประธานวุฒิสภาแล้ว แสดงว่ามีอำนาจ"
โจนส์พูดคำสุดท้ายแบบเน้นเสียงราวกับจะบ่งเป็นนัยว่า
เขาเองก็ชื่นชอบอำนาจของตัวเองเช่นกัน
ผมย้อนถามโอบามาว่า "คุณคิดว่าผมมีอำนาจ อย่างที่ว่าแล้วหรือ"
โอบามาตอบว่า
"ตอนนี้คุณมีอำนาจมาก"
ผมจึงถามต่อว่า"ผมมีอำนาจแบบไหน"
"คุณมีอำนาจแบบที่สามารถปั้นใครเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯก็ได้"
โจนส์หัวเราะหึๆ
แล้วเล่าต่อว่า "ผมเลยบอกโอบามาว่า"
"เข้าท่าดีนะ ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย คุณมีใครที่พอจะแนะนำได้ไหม"
เขาตอบว่า "ก็ผมนี่ไง"
สองปีต่อมา โอบามาได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ
และเดือนกุมภาพันธ์ 2550
เขาประกาศว่าจะลงชิงชัยในสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีเรื่องต่อไปนี้
ไม่ใช่เส้นทางสู่สนามเลือกตั้งประธานาธิบดี หรือการอภิปรายเรื่องนโยบายรัฐบาล
แต่เป็นเส้นทางชีวิตและการเลี้ยงดูวัยเด็กของชายผู้หนึ่งที่มีสิทธิ์ก้าวขึ้น
เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือนมกราคมปีหน้า
โอบามาเคยฝากฝีมือด้านวรรณศิลป์มาแล้วในหนังสืออัตชีวประวัติเรื่อง...
Dreams from My Father : บารัก โอบามา ผมลิขิตชีวิตเอง








หนทางสู่ประวัติศาสตร์
ไทยรัฐ
7 พ.ย. 51

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่านาย บารัก โอบามา วุฒิสมาชิกผิวสีลูกครึ่งเคนยา-อเมริกัน
ชนะเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 และเป็นผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ
สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในดินแดนที่ปัญหาเรื่องเชื้อชาติ
ฝังรากหยั่งลึกมานาน คนอเมริกันนิโกร หรือจะเรียก ผิวสี หรือ ผิวดำ ก็สุดแล้วแต่
เขามีหนทางต่อสู้ยากลำบากอย่างไรกว่าจะได้มาซึ่งสิทธิ์เท่าเทียม
ทีมข่าวต่างประเทศขอนำมาเล่าสรุปพอสังเขปให้ได้ ทราบกัน
เทียบเคียงเป็นปี พ.ศ. ดังต่อไปนี้

2162-ทาสแอฟริกันชนผู้ด้อยโอกาสกลุ่มแรกถูกนำมาที่เวอร์จิเนีย อาณานิคมของอังกฤษ
เพื่อเป็นตัวจักรขับเคลื่อนการพัฒนาชาติที่จะเป็น “สหรัฐอเมริกา” ที่ยิ่งใหญ่คับโลก

2319-กลุ่มนักรบรักชาติประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักร (อังกฤษ)

หลังขัดผลประ-โยชน์เรื่องภาษี แต่ไม่ใช่เรื่องทาส เริ่มยุคนาย จอร์จ วอชิงตัน

ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศเกิดใหม่ แต่ระบบทาสยังอยู่คง

ต้นศตวรรษที่ 19-ระบบทาสและการค้าทาสค่อยถูกยกเลิกในรัฐส่วนใหญ่แถบยุโรป
2407-08-ระบบทาสแพร่หลายในกลุ่มสหพันธรัฐ 11 แห่งทางใต้
แต่ถูกต่อต้านในทางเหนือ จนก่อเกิดสงครามกลางเมือง
สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ

2408-สหรัฐฯแก้ไขรัฐธรรมนูญ ครั้งที่ 13 ยกเลิกระบบทาส กลุ่ม “คู คลักซ์ แคลน”
สมาคมลับพวกผิวขาวที่มุ่งใช้ความรุนแรง ถูกก่อตั้งไล่ทำร้ายคนผิวสี

2439-ศาลสูงตัดสินยอมรับการแบ่งแยกเชื้อชาติที่มีอย่างแพร่หลายในกลุ่มรัฐทางภาคใต้
คำตัดสินข้างต้นเปิดทางสู่กฎหมายแห่งการเลือกปฏิบัติที่เรียกว่า “จิม โครว์”

2452-มีการก่อตั้งสมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี (NAACP)
ให้การช่วยเหลือคนผิวสีให้ได้รับสิทธิ์ต่างๆ

2484-88-อเมริกันนิโกรร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพสหรัฐฯในสมรภูมิสงคราม
โลกครั้งที่ 2 แต่แยกรบเป็นคนละกองกับทหารผิวขาว

2492-ประธานาธิบดีลงนามกฎหมายยกเลิกแบ่งแยกเชื้อชาติในกองทัพ

2497-ศาลสูงตัดสินให้การแบ่งแยกเชื้อชาติในโรงเรียนผิดกฎหมาย

2498-นาง โรซา พาร์ก นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเรือนคนผิวสี
สร้างความฮือฮาด้วยการไม่ยอมลุกสละที่นั่งบนรถโดยสารให้คนผิวขาว
ในรัฐอลาบามา ต่อด้วยการปรากฏขึ้นของ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
นักเรียกร้องสิทธิพลเรือนระดับตำนาน

2500-สภาคองเกรสอนุมัติบังคับใช้ พ.ร.บ.เกี่ยวกับสิทธิพลเรือน การันตี “สิทธิเลือกตั้ง”
ให้อเมริกันชนคนผิวสี แต่ในกลุ่มรัฐทางใต้ยังไม่ปฏิบัติตาม คนผิวสียังไร้สิทธิ์ไร้เสียง
2503-มีการแก้ไข พ.ร.บ.สิทธิพลเรือน กำหนดบทลงโทษผู้ขัดขวาง
ความพยายามของใครก็ตามในการลงทะเบียนหรือใช้สิทธิเลือกตั้ง

2506-สถานการณ์ด้านสิทธิพลเรือนเป็นไปอย่างดุเดือด
เกิดเหตุรุนแรงในหลายส่วนของประเทศ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ปราศรัยต่อฝูงชนเรือนแสนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ด้วยวลีเด็ด “ผมมีความฝัน”
ว่าสักวันหนึ่งลูกๆ 4 คนจะอยู่ในประเทศแห่งนี้ที่ซึ่งจะไม่มีการตัดสินคนตรงสีผิว
(อีกต่อไป)

2509-นักเคลื่อนไหวหัวรุนแรงก่อตั้งกลุ่มแบล็ก แพนเธอร์ ปาร์ตี้
ป้องกันและแก้ไขสิทธิ์คนผิวสี

2511-มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ถูกลอบสังหาร
เกิดจลาจลหลายพื้นที่ทั่วสหรัฐฯ

2532-พล.อ. โคลิน พาวเวล อเมริกันผิวสีคนแรกผงาดขึ้น
เป็นผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯและ รมว.ต่างประเทศ

2535-เกิดจลาจลด้านเชื้อชาติ หลังคนขับรถผิวสีถูกตำรวจทุบตี
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 59 ศพ ในเหตุวุ่นวายที่นครลอสแอนเจลิส

2548-ดร. คอนโดลีซซา ไรซ์ เป็นผู้หญิงผิวสีคนแรกที่ได้เป็น
รมว.ต่างประเทศเป็นคนที่ 2ต่อจากนายพลพาวเวล จวบจนปีนี้ พ.ศ.2551
นาย บารัก โอบามา เป็นคนผิวสีคนแรกที่ได้เป็นตัวแทนพรรคใหญ่ (เดโมแครต)
ชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีจนสมหวังดั่งตั้งใจ
ทลายกำแพงกั้นด้านเชื้อชาติลงราบคาบ.
ทีมข่าวต่างประเทศ





ชื่อ : บารัก โอบามา
วันเดือนปีเกิด : 4 สิงหาคม 2504
ประวัติครอบครัว
บิดา นายบารัก โอบามา ซีเนียร์ (บารัก ฮุสเซน โอบามา)
มารดา นางสแตนลีย์ แอนน์ ดันแฮม (เสียชีวิต)
ชื่อคู่สมรส นางมิเชล นามสกุลเดิมของคู่สมรส โรบินสัน
มี ธิดา 2 คน คือ 1. มาเลีย แอนน์ 2 . นาตาชา หรือ ซาช่า
ประวัติการศึกษา
จบจากโรงเรียนที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
- จบจากโรงเรียนเซนต์ฟรานซิสอัสสิชีคาทอลิก
(St. Francis Assisi Catholic School)
- จบจากโรงเรียน Sekolah Dasar Negeri Menteng 01
- จบจากโรงเรียนปูนาโฮ อะคาเดมี
- จบชั้นมัธยมศึกษาที่เกาะฮาวาย
- จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากวิทยาลัยออคซิเดนทอล แคลิฟอร์เนีย
ปี 2526 จบปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์
สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
ในนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
(โอนย้ายหน่วยกิตจากวิทยาลัยออคซิเดนทอลไปศึกษามหาวิทยาลัยโคลัมเบีย)
- จบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
- จบปริญญาโท คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ปี 2534 จบปริญญาเอกทางด้านกฎหมาย
จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (เกียรตินิยมอันดับ 2)
การทำงาน และตำแหน่งหน้าที่
20 มกราคม 2552 ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44
สิงหาคม 2551 ตัวแทนพรรคเดโมแครต
ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา
4 มกราคม 2548 สมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา
พฤศจิกายน 2547 ลาออกจากสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประจำรัฐ
ปี 2545 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประจำรัฐอิลลินอยส์ (7 ปี)
ปี 2541 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประจำรัฐอิลลินอยส์
ปี 2539 สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประจำรัฐอิลลินอยส์
ปี 2538 อาจารย์สอนด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มหาวิทยาลัยชิคาโก
- บรรณาธิการข่าวชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรก
ของวารสารฮาร์วาร์ด ลอร์ รีวิว
- ประธานฮาร์วาร์ด ลอร์ รีวิว ซึ่งเป็นนิตยสารด้านกฎหมาย
ที่มีชื่อที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา
- อาจารย์สอนวิชานิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์
ปี 2528 ทำงานเป็นบุคลากรด้านชุมชนในนิวยอร์ก และชิคาโก
- ทนายความ





Obama's farewell address 
President Obama gave his final nationwide address as president on Tuesday night