Custom Search

Nov 17, 2008

คิดถึงหลวงพ่อปัญญานันทะ (2)










คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ
เสฐียรพงษ์ วรรณปก



ผมทราบว่า หลวงพ่อปัญญานันทะได้เดินทางร่วมกับคณะของหลวงพ่ออาจ (พระพิมลธรรม) ไปเผยแผ่ธรรมที่ประเทศยุโรปและอเมริกา และร่วมประชุมกับขบวนการฟื้นฟูศีลธรรมโลก (MRA)
ขบวนการเอ็มอาร์เอที่ว่านี้ เป็นขบวนการฟื้นฟูศีลธรรม เขาเชิญผู้นำทางศาสนาทั่วโลก จัดประชุมที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เมื่อ พ.ศ.2497 การไปประชุมครั้งนั้นของหลวงพ่ออาจได้รับความสำเร็จมาก
เป็นที่รับรู้กันทั่วไป พุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นที่รับรู้ระดับโลก
จึงไม่แปลกใจว่าทำไมชื่อเสียงหลวงพ่ออาจจึงดังเป็นพลุและไม่แปลกที่เป็นที่อิจฉาริษยาของคนบางคนบางกลุ่ม ในวงการพุทธในบ้านเรา ดังเจ้าของหน้าห้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง
เขียนกระแหนะกระแหนพระพิมลธรรม (สมณศักดิ์หลวงพ่ออาจสมัยนั้น)
แทบทุกวัน ความเป็นพหูสูตสามารถกระแหนะกระแหนลึกซึ้ง
ด้วยการแปลงพุทธภาษิตว่า
เอมฺอาเอน ชิเน โกธํ เอมฺอาเอนํ สาธุนา ชิเน
พึงชนะความโกรธด้วยเอ็มอาร์เอ พึงชนะเอ็มอาร์เอด้วยความดีมาถึงตอนนี้ อาจารย์เสฐียร พันธรังษี ศิษย์วัดมหาธาตุ

ขณะนั้นเขียนอยู่หนังสือพิมพ์ชาวไทย ประกาศท้า
ถ้าจะหาเรื่องกันขนาดนี้ให้บอกมา "จะเจอกันที่ไหน เมื่อไหร่" ก็ได้
หลวงพ่อกลับไม่สะทกสะท้าน ขอบคุณผ่านหนังสือพิมพ์ว่า

"ขอบคุณ คุณชายที่ช่วยโฆษณาวัดมหาธาตุให้ โดยไม่ต้องจ้างโฆษณา"
โดนไม้นี้ เล่นเอาคุณชายเป็นง่อยไปเลย
เมื่อกระบวนการทำลายหลวงพ่ออาจดำเนินไปจนถึงที่สุด

หลวงพ่อปัญญานันทะ ผู้ร่วมไปประกาศพระพุทธศาสนากับหลวงพ่อก็พลอยฟ้าพลอยฝนด้วย ถึงไม่ถูกกล่าวหาเหมือนหลวงพ่ออาจ แต่ "ถูกแขวน" ไปพักหนึ่ง
สมณศักดิ์ไม่ขึ้นเลย ในขณะที่พระเล็กพระน้อยได้เลื่อนเป็นพระผู้ใหญ่ไปตามๆ กัน
มีหลายท่านทักว่า ทำไมทางคณะสงฆ์ไม่เลื่อนสมณศักดิ์ให้พุทธทาสภิกขุ

และปัญญานันทะบ้าง คำตอบที่ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังแทบล้มทั้งยืนก็คือ
"ไม่มีผลงาน..."
ผลงานเป็นรูปธรรมเช่นสร้างโบสถ์ สร้างศาลาไม่มี ว่างั้นเถอะ

ส่วนผลงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เทศน์จนคอแหบคอแห้ง
หรือเขียนหนังสือแทบมือหงิก (อย่างท่านพุทธทาส)
ท่านหาว่ามิใช่ผลงานประมาณนั้น
(ข้อหาทำนองนี้ เกิดขึ้นกับเจ้าคุณประยุทธ์ หรือพระพรหมคุณาภรณ์
เช่นกัน ถูกหาว่าไม่เห็นทำอะไร ได้แต่เขียนหนังสือ!)
เพราะมีความคิดเห็นว่างานมิใช่งาน มิใช่งานคืองาน เช่นนี้นี่เอง

สมณศักดิ์ของหลวงพ่อจึงกระท่อนกระแท่น จากพระราชาคณะสามัญ
"พระปัญญานันทมุนี" (พ.ศ.2499) จนเลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นราช
ก็กินเวลาตั้ง 14 ปี (เป็นพระราชนันทมุนี พ.ศ.2514)
ทั้งหมดนี้เพียงบ่นให้ผู้อ่านได้ทราบเท่านั้นเอง

เพราะเรื่องข้อมูลเก่าๆ และลึกซึ้งปานนี้ น้อยคนจะทราบ
บังเอิญผมเป็นคนเก่า (และแก่) ทราบข้อมูลดี จึงนำมาเล่าให้ฟัง
ความจริงพระแท้ท่านมิได้สนใจในยศศักดิ์อัครฐานดอกครับ

จะให้หรือไม่ให้ท่านก็มิได้เดือดร้อน ท่านเห็นไม่ต่างอะไรกับ
"ยศช้าง ขุนนางพระ" แต่เป็นหน้าที่ของคนอื่นที่เห็นคุณค่าจะพึงถวายให้ท่าน
ทั้งนี้ เพื่อยกย่องเชิดชูคนให้เอง (ว่ารู้จักยกย่องคนดี!)
เขียนมาถึงตรงนี้ นึกถึงนิทานเซนขึ้นมาได้

โยมคนหนึ่งหอบเงินไปถวายพระอาจารย์เซนเพื่อบำรุงวัด
บอกว่าขอถวายเงินพันหนึ่ง (ไม่รู้พันเยน หรือพันอะไร)
พระท่านก็เฉย โยมจึงย้ำอีกว่า "ตั้งพันเชียวนะ" ท่านก็ยังเฉย
โยมก็ชักฉุนร้องว่า "เงินที่ถวายนี่ไม่ใช่หามาง่ายๆ นะ"
พระถามว่า "แล้วจะให้อาตมาทำอย่างไร"
"อย่างน้อยก็ขอบคุณบ้างซิ" โยมชักฉุน
"เรื่องอะไร คนให้นั่นแหละควรขอบคุณคนรับ ฉันรับให้ก็บุญแล้ว!"
หลวงพ่อปัญญานันทะท่านไม่เคยถือยศถือศักดิ์แม่แต่น้อย

ดูภาพถ่ายของท่านในโอกาสต่างๆ ก็ดี หนังสือประมวลภาพของท่านก็ดี
ไม่ปรากฏว่ามีรูปท่านถ่ายกับพัดยศเลย ทราบว่าพัดยศท่านรับพระราชทานแล้ว
ก็ทิ้งไว้กุฏิวัดมหาธาตุตั้งแต่บัดนั้น
จากนั้นก็มุ่งหน้าทำงานสั่งสอนประชาชนต่อไป ประกาศนโยบายประกาศธรรม

ต่อไปไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก
ท่านพุทธทาส มีปณิธาน 3 ข้อ

ส่วนหลวงพ่อปัญญานันทะมีนโยบายประกาศธรรม 2 ข้อ ดังนี้
"ข้าพเจ้าขอแจ้งให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้ารักและบูชาพุทธธรรมมาก

เพราะซาบซึ้งในรสสัจธรรมเป็นอย่างดีว่า พระธรรมให้ผลแก่ชีวิตของข้าพเจ้าอย่างไร
จึงขอพูดถึงนโยบายในการประกาศธรรมว่า
ข้าพเจ้ามีความมุ่งหมายในการทำงานเพื่ออะไร
ท่านจักไม่ต้องสงสัยกันต่อไปอีกว่า ข้าพเจ้าเป็นพระประเภทใด
ข้าพเจ้ามีนโยบายแน่วแน่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
แม้เหตุการณ์ของประเทศชาติจะผันผวนไปอย่างใด
ใครจะมาครองเมืองก็ตามที ข้าพเจ้าจะทำตามนโยบายของข้าพเจ้าเสมอ
ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนใจของข้าพเจ ้า จากความเชื่อและการกระทำ
ข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่าที่จะพูดหรือกระทำอันผิดๆ
ความประสงค์ของพระพุทธองค์
ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบกายถวายชีวิตเป็นธรรมพลีแล้ว
ความมุ่งหมายของข้าพเจ้า จึงอยู่ในกฎเกณฑ์ 2 ประการ คือ
1.เพื่อประกาศความจริงที่พระองค์ทรงประกาศไว้
2.เพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำผิดๆ

ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป ตามพุทธธรรม ที่พระบรมศาสดาแสดงไว้"
เพียงสองประการนี้ก็มากมายใหญ่ยิ่งแล้ว ทำจนตายก็ไม่หมด

ไม่หมดจริงๆ เห็นรายการทีวี "คนค้นฅน" เข้าใจว่าเป็นรายการล่าสุด
ได้ยินหลวงพ่อตอบผู้สัมภาษณ์ว่า "ยิ่งอายุเหลือน้อย ยิ่งต้องทำงาน
ตายแล้วทำไม่ได้"
เห็นภาพท่านถูกหามขึ้นรถไปบรรยายธรรมกรมประชาสัมพันธ์

โดยเพิ่งรู้ว่าร่างกายท่านมีเข็มฉีดยาฝังอยู่ด้วย เห็นแล้วน้ำตาไหล
ถึงขนาดนี้แล้วหลวงพ่อยังทำงานรับใช้พระศาสนาไม่เห็นแก่ชีวิต
ขณะเดียวกันมโนภาพผมก็สะท้อนภาพของผู้ที่เป็นตัวแทนพระศาสนา

อีกจำนวนมากเพิกเฉยต่ออนาคตพระพุทธศาสนา
บ้างก็มีพฤติกรรมย่ำยีพระศาสนาทั้งโดยเจตนาและด้วยความโง่เขลารู้เท่าไม่ถึงการณ์
ภาพที่ว่านี้รวมถึงพนักงานผู้มีหน้าที่รับใช้งานพระศาสนาบางกลุ่มบางคนด้วย
อย่างช่วยไม่ได้
สมควรสวดพุทธพจน์บทว่า "อนิจฺจา วต สงฺขารา" จริงๆ ครับ
จริงอยู่พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงประกาศแล้ว แม้จะสรุปให้กะทัดรัด

สั้นสุดว่า มี 2 ประการ คือ
(1) ความทุกข์ และ
(2) การดับทุกข์ แค่นั้น
แต่เอาเข้าจริงแล้วมิใช่เรื่องเล็ก

การจะชี้ให้คนทั่วไปเห็นว่านี่คือความทุกข์ไม่ใช่ของง่าย
แม้ว่าเขาคนนั้นกำลังอยู่ในวังวนของความทุกข์
เขายังไม่รู้ว่าตนกำลังทุกข์ เขายังคิดว่าเป็นสุขเสียอีก
ไม่ต่างกับหนอนอ้วน ดำผุดดำว่ายอยู่ในหลุมอาจม

เทวดามาชวนไปอยู่สวรรค์ ก็ไม่ยอมไป เพราะรู้ว่าบนสวรรค์นั้นต้องเนรมิต
เอาอาหารหรือสิ่งที่ต้องการจึงจะได้ เหนื่อยเปล่าๆ สู้อยู่ที่หลุมคูนี่ดีกว่า
ไม่ต้องเสียกำลังเนรมิต ถึงเวลาพระคุณเจ้าก็จะมาเนรมิตให้เอง!
ยิ่งภารกิจทำลายความโง่งมงายของคนยิ่งต้องออกแรงมาก

ภาพหลวงพ่อต่อสู้กับความโง่งมงาย หรือความยึดติดของผู้คนผุดขึ้น
ในสมองของผมชัดเจน จากการเป็นแฟนพันธุ์แท้ติดตามไปฟัง
ปาฐกถาสมัยผมเป็นเณรน้อย ยังจำคำพูดบางประโยคก้องหู
ไม่นึกว่าจะมีโอกาสเขียนถึง เช่นประโยคว่า
"เทวดา (พระภูมิ) เป็นเทวดาชั้นต่ำ แค่บ้านอยู่ยังไม่มีปัญญาสร้าง

ต้องให้คนเมตตาสร้างให้ สร้างบ้านให้เขาแล้ว
เขาควรมากราบไหว้คนสร้างให้ นี่อะไร คนยังมานั่งไหว้เขาปลกๆ
ดูแล้วมันน่าหัวเราะ..."
ในยุคที่หลวงพ่อเทศนาต่อต้านศาลพระภูมินั้น

มีพระคุณเจ้าบางท่านพูดทำนองขำๆ ว่า
"ยิ่งหลวงพ่อปัญญาฯ ต่อต้านมาก ศาลพระภูมิยิ่งงอกขึ้นเป็นดอกเห็ด"
ทำไมไม่คิดในมุมกลับว่า ขนาดต่อต้าน ขนาดพูดให้เห็นว่าเป็นเรื่องไม่ถูกไม่ต้อง

มันยังงอกป่านนี้ ถ้าไม่พูดไม่เตือนเสียเลย จะงอกขนาดไหน
กิจกรรมแจกเครื่องรางของขลังก็เช่นกัน มีปฏิบัติกันทั่วไปในหมู่ศิษย์พระตถาคต

(ความจริงมิบังควรใช้คำนี้เรียกตนเองด้วยซ้ำ) ไปไหนก็แจกแต่เหรียญแต่พระ
บางทีก็แจกไม่ดูคนรับก็มี
ผมเองเป็นคนไม่นิยมพระเครื่อง แต่ไปไหว้พระคุณเจ้าที่ไหน

ก็ควักเหรียญควักพระให้ จะไม่รับก็เกรงใจ
ถ้ามีพระพุทธบุตรอย่างหลวงพ่อมากๆ ก็น่าจะดี

ญาติโยมจะได้ไม่ต้องแบกต้องหอบเครื่องรางของขลังให้หนัก
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหลวงพ่อปัญญาฯ ยังมีฤๅษีเสริฐ ฤๅษีเสริฐ

เป็นนามหลวงพ่อประเสริฐ อดีตเจ้าอาวาสวัดไทยสาวัตถี ใกล้พระเชตวันมหาวิหาร
เมืองอินเดีย ท่านเป็นพระมีเชื้อเขมร
อยู่อินเดียมานาน ญาติโยมไปไหว้พระที่อินเดีย จะพากันไปเยี่ยมวัด

ทำบุญทำทานตามปกติของชาวพุทธทั่วไป
คราวหนึ่งคณะแสวงบุญพากันไปทอดผ้าป่าที่วัดหลวงพ่อฤๅษีเสริฐ
เสร็จพิธีถวายผ้าป่า หลวงพ่อฤๅษีก็ล้วงย่ามนำพระ
(ที่นำมาจากเมืองไทย) มาแจกญาติโยม คนละองค์สององค์
หลวงพ่อปัญญานันทะไปด้วยครานั้น ทนไม่ได้ ก็พูดตามนิสัยคนตรงของท่าน

ที่ไม่อยากเห็นพระทำนอกเรื่องเกินไป จึงพูดว่า
"มาถึงอินเดียแล้ว ยังมาแจกพระแจกเหรียญอยู่อีก"
ทำนองว่า ไม่ละอายใจบ้าง อยู่ใกล้ๆ สถานที่พระพุทธองค์เคยประทับอย่างนี้
ญาติโยมต่างเงียบ ทันใดนั้นหลวงพ่อฤๅษีก็ชี้หน้าหลวงพ่อปัญญานันทะ

ว่า "หยุดนะ ที่นี่ใครใหญ่"
ได้ผล หลวงพ่อปัญญาฯ เป็นฝ่ายเงียบ เงียบกริบยิ่งกว่าญาติโยมอีก

หลายคนสงสัยว่า หลวงพ่อยอมฤๅษีเสริฐง่ายๆ ได้อย่างไร
"เขาพูดถูก วัดของเขา เราจะใหญ่แข่งเขาได้ยังไง"

หลวงพ่อปัญญาฯ พูดพลางหัวเราะ
ครับ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือหลวงพ่อปัญญานันทะยังมีฤๅษีเสริฐ!