Custom Search

Feb 10, 2009

อาลัยพ่อ... : วิกรม กรมดิษฐ์

f Vikrom วิกรม

18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อาลัยพ่อ...
ผมได้พบกับพ่อครั้งสุดท้ายในวันแต่งงานของวิวัฒน์ (น้องชาย) เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ต่อมาสมศรี (น้องสาว) ก็มาบอกว่าพ่ออยากจะพบ เพื่อพูดคุยเรื่องขายที่ดินที่เมืองกาญจน์ แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะพบพ่อหลายครั้งในการประชุมของครอบครัวน้องๆ มักจะเปรยว่าอยากให้ ผมพบกับพ่อ แต่ข่าวคราวเรื่องอารมณ์ของพ่อที่ยังคงร้อนแรงเช่นก่อน ทำให้ผมบ่ายเบี่ยงที่จะไปพบ สาเหตุเพราะผมไม่อยากจะมีความทุกข์ เหมือนในอดีตอีก ผมเคยบอกผ่านคุณวสันต์ โพธิพิมพานนท์ แห่ง เบนซ์ทองหล่อว่า หากพ่อไม่เอาเรื่องเงินมาเป็นเหตุของการพบปะ ไม่มี การใช้อารมณ์ และเราสามารถพูดคุยกันได้แบบพ่อลูกจริงๆ ผมก็ยินดี ที่จะไปกราบเท้าพ่อทันที พวกเราเชื่ออยู่เสมอว่าพ่อมีสุขภาพแข็งแรงกว่าคนทั่วไป จากการบอกเล่าของน้องๆ และพ่อก็แสดงออกถึงความเป็นคนไม่แก่ ด้วยการมีภรรยาใหม่อยู่เรื่อยๆ ถึงแม้จะมีอายุกว่า 80 ปี แล้ว ก็ตาม พ่อมักจะพูดอวดถึงสรรพคุณของยาจีนที่สามารถหามาได้จากทุกหนแห่งไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของประเทศไทย ในใจลึกๆ ผมเชื่อว่า วันที่ผมจะได้พบและพอจะพูดคุยกับพ่อ ได้นั้น คงเป็นวันที่พ่อหมดกำลังวังชาและไม่อารมณ์ร้อนอีกแล้ว ซึ่ง คิดว่าคงอีกหลายปี ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ผมมักจะติดตามเรื่องของพ่อจากน้องๆ มากกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะในการประชุมของ ครอบครัวเมื่อวันเสาร์ที่ 9 พย. 56 ที่ผ่านมา ผมก็เพิ่งรู้ ว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อได้รับฟังจากน้องๆ ทุกคนแล้ว ก็ต่าง ลงความเห็นว่าพ่อน่าจะมีอายุได้มากกว่า 90 ปี ในขณะเดียวกันนั้น ใจผมกลับรู้สึกแปลกๆ จึงกำชับน้องๆ ให้ช่วยกันดูแลพ่ออย่างใกล้ชิด กว่าเดิม วันที่ 13 พย. 56 ช่วงเช้า ก่อนผมจะไปขึ้นเวที พูดที่โรงเรียนศรีวิกรม์ น้องก็แจ้งผมว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ผมตกใจมาก เพราะเพิ่งผ่านไปเพียง 4 วันที่พวกเราพูดคุยกันเกี่ยวกับสุขภาพของพ่อ แล้วพ่อจะเสียชีวิตได้อย่างไร หลังจากพูดเสร็จผมรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช เห็นน้องๆ และหลานเกือบทุกคนยืนอยู่ใกล้ร่าง ที่ไร้วิญญาณของพ่อ ผมได้เห็นหน้าพ่ออีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไป 12 ปี และคงเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้พบพ่อ ผมรู้สึกผิดอย่างมาก ที่ถือทิฐิไม่ยอมไปพบพ่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ไม่เหลือ เวลาอีกแล้วที่ผมจะได้พบพ่ออีก ผมเฝ้ามองหน้าพ่อซ่ึงนอนอยู่บนเตียง มีสายยางสอดเข้าทางปาก ผมจับมือและใบหน้าของพ่อ พลันให้นึกถึง ตอนผมเป็นเด็ก ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เกาะหลังพ่อไว้แน่น นับเป็น ช่วงที่ผมใกล้ชิดกับพ่อมากที่สุดในชีวิต ผมรู้สึกว่ามือและแขนของพ่อ เริ่มแข็ง พ่อของผมได้จากพวกเราไปแล้วจริงๆ ผมเสียใจมากที่ทุกอย่าง ต้องมาจบแบบน้ี ผมยืนคิดและเฝ้ามองหน้าของพ่อ รู้สึกเสียดาย โอกาสที่หมดลงแล้ว นับเป็นวันแห่งการสูญเสียครั้งสำคัญของชีวิต สำหรับพวกเรา ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มแข็งเช่นในอดีต ผมรู้สึกว่า ตนเองเปราะบางมาก จนไม่อยากให้ใครเห็นถึงความอ่อนแอของผม ทุกครั้งหากพูดถึงพ่อและแม่ผมจะน้ำตาไหลเสมอ นั่นคือสาเหตุสำคัญ ที่ผมไม่อยากไปพบพ่อเพราะในใจรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมมักจะใช้ การหลีกหนีความทุกข์ไปสู่ความสบายใจ คงเป็นเพราะอดีตที่ขมขื่น จึงทำให้ผมไม่อยากหวนกลับไปพบสิ่งเหล่านั้นอีก ผมยืนอยู่ข้างศพพ่อ และบอกกับทุกคนในครอบครัวว่า ทุกอย่าง ผ่านไปแล้ว ขอโทษจริงๆ ที่ผมไม่ได้มาพบพ่อ ขอให้อโหสิกรรมให้กับ อดีตทุกอย่าง วันนี้เราเหลือกันแต่พี่น้องของเราเท่านั้น ขอให้ทุกคน รักกันตลอดไป พวกเราจะต้องรักกันเพื่อให้พ่อกับแม่ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ก็จะมีความสุขและภูมิใจในครอบครัวของเรา ผมจับมือพ่อที่แข็งแล้ว และมีโอกาสได้กอดพ่อเป็นครั้งแรกหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 55 ปี และนับเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับชีวิตผม เราต้องจากกันตลอดไปแล้ว ผมเสียใจจริงๆ กับความผิดพลาดในโอกาสสุดท้ายของชีวิตระหว่าง ผมกับพ่อ ผมอยากให้ทุกคนที่ยังมีพ่อและแม่นั้น เข้าใจถึงโอกาสของชีวิต ที่เมื่อหมดไปแล้ว ไม่ว่าเราจะเสียใจหรืออยากจะทำอะไรอีกก็ไม่สามารถเรียกคืนมาได้อีกแล้ว ขอให้ทุกคนอย่าได้ทำผิดพลาด เช่นผมอีกเลย ขอให้ทุกคนในโลกนี้ที่ยังมีโอกาสดีกว่าผม อย่าได้ ปล่อยให้โอกาสที่ยังมีอยู่นั้นผ่านไป ขอให้ระลึกเสมอว่าทุกชีวิต ล้วนมาจากศูนย์ และกำลังเดินทางไปสู่ศูนย์...
วิกรม กรมดิษฐ์
13 พฤศจิกายน 2556