Custom Search

Feb 11, 2009

พยากรณ์เศรษฐกิจไทย.....ใจเย็นๆก็ได้


วรากรณ์ สามโกเศศ
มติชน
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ได้ยินคำพยากรณ์เศรษฐกิจไทยของปี 2552 ของเหล่า
บรรดา "ผู้รู้" หรือ "โหร (น) เศรษฐกิจ"
แล้วรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของ "ผู้พอรู้"เรื่องเศรษฐกิจ
ที่จะต้องออกมาแสดงความเห็นเพื่อไม่ให้สาธารณชน
รู้สึกสับสนจนขาดความเชื่อมั่นมากกว่าที่เป็นอยู่
ในพื้นฐานผมไม่เชื่อว่าท่าน "ผู้รู้" 3-4 คน
ที่ออกมาพยากรณ์อย่างน่ากลัวนั้นมีความประสงค์ร้าย
เพียงแต่ว่าต้องการแสดงความเป็นผู้รู้
แต่บังเอิญมันล้ำเส้นแห่งความมีเหตุมีผลมากไปหน่อยเท่านั้น
ท่านหนึ่งบอกว่า "เศรษฐกิจไทยปี 2552 มีโอกาสติดลบถึง 4%
อีกท่านบอกว่าติดลบ 1% อีกท่านหนักหน่อยบอกว่าจะ ติดลบ 4.05%
ซึ่งถือว่าติดลบมากที่สุดในโลก"ว่าเข้าไปนั่น

สิ่งที่ต้องพูดกันให้ชัดเจนก็คือ "ติดลบ" หมายถึงอะไร
ตัวที่อ้างอิงถึงกันก็คือ จีดีพี (GDP) หรือผลผลิตมวลรวมในประเทศ
ซึ่งก็คือผลรวมของรายได้ที่เกิดขึ้นจากการผลิตของทุกคน
ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ประเทศหนึ่งในเวลาหนึ่งปีโดยไม่สนใจว่า
ผู้ก่อให้เกิดการผลิตนั้นมีสัญชาติอะไรพูดง่ายๆ
จีดีพีก็คือรายได้รวมของทุกคนในประเทศ แต่ที่ต้องระวังหน่อยก็คือ
จีดีพีที่พูดถึงกันนี้โดยแท้จริงแล้วเป็นตัวเลขที่อยู่บนพื้นฐานของราคาคงที่
โดยเป็นเรื่องเทคนิคว่าใช้ราคาของ ปีหนึ่งในอดีตเป็นปีฐาน
เพื่อจีดีพีจะได้วัดผลผลิตจริงๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศ
หรือวัดรายได้จริงของผู้คนในประเทศ
โดยไม่มีอิทธิของราคาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยถ้าไม่ใช้เทคนิคเรื่องปีฐาน
บางปีตัวเลขก็จะโด่งสูงมากหากปีนั้นมีเงินเฟ้อสูง
โดยที่ไม่มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใดเมื่อจีดีพีมีความหมายดังนี้แล้ว
มันจะมีค่าติดลบได้อย่างไร คำตอบก็คือมันติดลบไม่ได้แน่นอน
แต่ที่พูดกันว่าติดลบนั้นก็เพราะผู้คนพูดกันอย่างไม่กระชับและไม่ถูกต้อง "ติดลบ"
ในความหมายนี้หมายถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
หรืออัตราการขยายตัวของจีดีพีที่ว่านี้มันเป็นลบ
กล่าวถึงแทนที่จะขยายตัวเป็นอัตราบวก เช่น ร้อยละ 4-5 ดังเคย
(ซึ่งหมายถึงว่าจีดีพีมีขนาดใหญ่โตขึ้น) กลับหดตัว
หรือขยายตัวในอัตราลบ (ซึ่งหมายถึงว่าจีดีพีมีขนาดเล็กลง)
กล่าวโดยสรุปก็คือ "ติดลบ" หมายถึงอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นลบ
ซึ่งหมายถึงว่าจีดีพีมีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
เช่น สมมุติว่าปลายปี 2551 มีขนาด 100 ล้านๆ บาท
แต่ปลายปี 2552 มีขนาด 96 ล้านๆ บาท
ก็หมายความว่าเศรษฐกิจในปี 2552 "ติดลบ" 4%
ข้อพึงระวังเรื่องจีดีพีก็คือมันรวมเฉพาะรายได้
อันเกิดจากการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขายผ่านตลาดเท่านั้น
ดังนั้น งานแม่บ้าน มูลค่าข้าวหรือผักผลไม้ที่ปลูกกินกันเอง
โดยไม่มีการซื้อขาย ฯลฯ จึงไม่อยู่ในจีดีพีนอกจากนั้น
จีดีพียังรวมเฉพาะสิ่งที่ถูกกฎหมายอีกด้วย
ดังนั้น มูลค่ายาบ้า บริการโสเภณี การผลิต CD เถื่อน ฯลฯ
จึงไม่รวมอยู่ในจีดีพีด้วยการนับ
ในลักษณะนี้ของจีดีพีตัวเลขการขยายตัวของจีดีพี
จึงไม่สะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริงในประเทศของเรา
เพราะบ้านเรามีอะไรที่เถื่อนๆ
แต่สร้างรายได้อยู่เป็นอันมากขอกลับมาเรื่องพยากรณ์จีดีพีอีกครั้ง
จีดีพีเป็นตัวเลขประมาณการ
ไม่ใช่ตัวเลขลงตัวแน่นอนโดยมีหลักฐานหรือเอกสารประกอบยืนยัน
เพียงเฉพาะบางส่วนของ จีดีพีเท่านั้น เช่น การใช้จ่ายภาครัฐ การส่งออก
นำเข้าที่พอมีหลักฐานยืนยัน ส่วนการลงทุน
การบริโภคของประชาชนนั้นต้องใช้การประมาณการหรือการเดาอย่างมีเหตุผล
(guesstimae = guess+estimate) ประกอบ
ตัวเลขจีดีพีจึงเป็นตัวเลขที่ถกเถียงกันได้
บางครั้งก็ "ตกแต่ง" กันหนัก ยิ่งจีดีพีรายไตรมาสแล้วยิ่งปวดหัว
เพราะกิจกรรมการผลิตมันเกิดขึ้นตลอดเวลา
จะตัดตรงใด ให้รวมไว้ในไตรมาสใด
และยิ่งจีดีพีจังหวัดแล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก
บ่อยครั้งส่วนประกอบของ guess นั้นมากกว่า estimate
ประเด็นสำคัญก็คือไม่มีใครบอกได้ว่าตัวเลขจีดีพีนั้นผิดหรือถูก
เนื่องจากการตรวจสอบทำได้ทางอ้อมเท่านั้น
ด้วยการสอบยันกับมูลค่าการใช้จ่ายรวมของประเทศ
บางประเทศเล่นกลกับตัวเลขจีดีพี
เพื่อจะแต่งให้มันขยายตัวสูงด้วยการเปลี่ยนปีฐานของราคาเสียใหม่
ซึ่งก็จะได้มูลค่าจีดีพีใหม่ ปัจจุบันไม่ค่อยมีประเทศไหนกล้าทำแล้ว
เพราะมีคนรู้ทันกันแยะและอาจสั่นคลอนความเชื่อถือได้
ทั้งหมดนี้คือประเด็นเกี่ยวข้องของจีดีพี
ที่สาธารณชนพึงระวังมิให้ถูกหลอก
และเพื่อเข้าใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงในเชิงวิชาการ
การพยากรณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต้อง
อาศัยการสร้างโมเดลขนาดใหญ่มีตัวแปรนับร้อยประกอบวิชาสถิติขั้นสูง
แต่ผลที่ออกมาก็ดังที่รู้กัน มันถูกต้องในขอบเขตหนึ่ง
ถ้าไม่มีปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมภายนอกมากระทบอย่างรุนแรงมาก
ดังเช่นวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรืออุกกาบาตลูกใหญ่พุ่งสู่โลก ฯลฯ
การที่ท่าน "ผู้รู้" ออกมาพยากรณ์หรือ
จินตนาการว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์
โดยไม่มีโมเดลชั้นเลิศอยู่ที่บ้านและไม่รู้ชัดแจ้งล่วงหน้าหลายเดือน
ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของโลกจะออกหัวหรือออกก้อย
จึงเป็นเรื่องของการล้ำเส้นแห่งความมีเหตุมีผล
แพคเกจกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุดของโลก
ของสหรัฐอเมริกาจำนวน 800,000 กว่าล้านเหรียญ
ยังไม่ผ่านสภาทั้งสองออกเป็นกฎหมาย และยังไม่ได้ใช้สักเหรียญ
ยังไม่รู้ว่าปัญหาขาดแคลนเงินสดของธนาคารสหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น
ตลอดจนบริษัทยักษ์ของโลกคลี่คลายไปหรือยัง
และจะมีบอมบ์ลูกใหม่ระเบิดออกมาอีกหรือไม่
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ผ่านเป็นกฎหมายและยังไม่ได้ใช้สักบาท
แต่ท่าน "ผู้รู้" ทั้งหลายพยากรณ์ได้เลยว่าจะติดลบเท่านี้เปอร์เซ็นต์
และแถมมีจุดอีกด้วยที่ "ข้ามเส้น"
ที่สุดก็คือบอกได้ด้วยว่าไทยจะติดลบมากที่สุดในโลก
ทั้งๆ ที่โลกประกอบด้วย 200 กว่าประเทศ
จะพยากรณ์ถูกว่าไทยติดลบแย่สุดสุด
ในโลกก็หมายความว่าต้องพยากรณ์ของทั้ง 200 กว่าประเทศถูกต้องด้วย
มิฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเศรษฐกิจไทยติดลบมากที่สุดในโลก
ภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกปัจจุบันยังแกว่งอย่างไม่รู้ทิศทาง
การบอกใบ้หวยยังง่ายกว่าพยากรณ์เศรษฐกิจไทยปีหน้าเลยครับว่า
อัตราขยายตัวจะเป็นบวกหรือลบ
สำมะหาอะไรกับจะรู้ว่าจะขยายหรือหดกี่เปอร์เซ็นต์
ในขณะนี้ช่วยกันประคับประคองความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยกันไว้ดีกว่า
จนกว่าพอชัดเจนและมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร
จึงค่อยแสดงความเห็นกันอย่าลืมว่าปี 2552
ยังเหลืออีกกว่า 10 เดือน ไม่มีใครรู้ว่าจะมีระเบิดระดับโลกเกิดขึ้นอีกหรือไม่
และวิกฤตโลกซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากนั้น
จะคลี่คลายได้มากน้อยเพียงใดใน 3-4 เดือนข้างหน้า
หน้า 6