Custom Search

Feb 8, 2009

ธรรมชาติบำบัด




น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล
มติชนรายสัปดาห์
วันที่ 06 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
dr.banchob@balavi.com
http://www.balavi.com/
http://library2.parliament.go.th/news/content-mw/html/2552/mw20090206.html



จากวิ่งเร็วเป็นเดินช้า-ถึงป้องกันมะเร็งตั้งแต่เด็ก 25520104
"ด้วยชีวิตและจิตใจในความเป็นแพทย์ทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ธรรมชาติบำบัดอย่างผมและคุณหมอลลิตา
หรือคุณหมอเจริญ แพทย์ทางเคมีบำบัดก็ตาม
สิ่งที่นำความสุขที่สุดมาให้กับพวกเราก็คือการที่ได้รู้ว่า
คนไข้ที่เรารักษานั้น หายวันหายคืน"

ผมพูดสั้นๆ ในงานวันเปิดตัวหนังสือชื่อ "จากวิ่งเร็วเป็นเดินช้า"
เขียนโดย คุณมีนา เปรื่องวิริยะ เล่าชีวิตที่หลวงพระบาง
ประสบการณ์หลังบำบัดมะเร็งเนื่องจากเธอป่วยด้วยมะเร็งรังไข่
ชนิดเคลียร์เซลล์อะดีโนคาร์ซิโนม่า
และได้รับการรักษาทั้งเคมีบำบัดและธรรมชาติบำบัด
เวลาผ่านไปสี่ปีแล้ว ปัจจุบันเธอมีสุขภาพดี และได้เขียนบันทึกเล่มนี้ขึ้นมา
โดยเชิญ พญ.ลลิตา ธีระสิริ และ นพ.เจริญ วิภูปัญญา
ไปร่วมกันอภิปรายให้ความรู้แก่เพื่อนๆ ที่มาในงาน
บังเอิญผมติดสอยห้อยตามไปในงานด้วย
ก็เลยถูกให้กล่าวข้อคิดเห็นในฐานะคนที่รักใคร่ชอบพอกัน
คุณมีนาเป็นน้องสาวของ คุณนิรมล เมธีสุวกุล
ผู้บุกเบิกสื่อโทรทัศน์เพื่อเยาวชนชุด "ทุ่งหญ้า ป่าใหญ่"
ที่เปิดเผยอัจฉริยภาพของเด็กทั้งในเมืองและชนบทอย่างเท่าเทียมกัน
ถ้าเด็กๆ เหล่านั้นได้มีโอกาสรับการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์
ครอบครัวของเราจึงสนิทชิดชอบกันมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น
ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าน้องสาวเป็นมะเร็ง
คุณนิรมลจึงจูงมือน้องสาวมาหาความเห็นที่สองทางด้านธรรมชาติบำบัด
เพื่อวางแผนในการรักษาธรรมชาติบำบัดในมือแพทย์ย่อมรู้ว่า
มะเร็งรังไข่น่าจะใช้ทั้งการแพทย์แบบแผนและธรรมชาติบำบัดมาจัดการร่วมกัน
การผ่าตัดและเคมีบำบัดเป็นสิ่งที่พึงทำ
พร้อมกันนั้นก็ต้องรู้จักปรับชีวิตเปลี่ยนอาหารเพื่อสร้างภูมิต้านทาน
อันเป็นการรักษาที่ยั่งยืนคุณมีนาเป็นคนที่โชคดีหลายด้าน
เธอมีครอบครัวที่อบอุ่นและพร้อมให้ความร่วมมือในการปรับวิถีชีวิตของเธอ
เธอได้คุณหมอด้านเคมีบำบัดที่เข้าใจจิตใจของผู้ป่วยที่กำลังปรับชีวิตเปลี่ยนอาหาร
และไม่บีบบังคับให้เธอเลือกเดินทางสายเดี่ยว
แต่ให้ความยืดหยุ่นกับเธอในการเลือกกินเลือกอยู่
ในระหว่างรับเคมีบำบัดอย่างมีสัณฐานประมาณ
คุณมีนาจึงได้ใช้ทั้งสูตรอาหารต้านมะเร็ง ฝึกชี่กง โยคะ
โปรแกรมจิตใต้สำนึก เซาน่า วิตามินบำบัด
การให้ออกซิเจนทางเส้นเลือด
เพื่อประคับประคองเธอให้ผ่านวิกฤติของชีวิตแต่เหนือสิ่งอื่นใด
เธอเปลี่ยนชีวิตของเธออย่างหันหัว 180 องศาเลยทีเดียว
คือเปลี่ยนตัวเองจาก การวิ่งเร็ว ด้วยสถานะการงานที่เร่งรัดเหลือแสน
ซึ่งเธอมาประมวลในภายหลังว่า
น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอต้องป่วยเป็นมะเร็งจากดีกรี
ความเครียดที่แบกรับอยู่ เธอถึงกับลาออกจากงานแล้วไปดำเนินชีวิตแบบ
เดินช้า หลังเคมีบำบัดครบถ้วนกระบวนความ
เธอออกแสวงหาหนทางชีวิตสายใหม่
จนกระทั่งไปลงตัวที่หลวงพระบางชีวิตใหม่ของเธอได้รับการเล่าขาน
ร้อยเรียงเป็นตัวอักษร บทแล้วบทเล่าว่าด้วย
หลวงพระบาง...บ้านใหม่ของเรา
เที่ยวเล่นเย็นใจ สัมผัสชีวิตพื้นถิ่น
แค่ภาพลักษณ์ของประตูบทในประสบการณ์ชีวิตเล่มนี้ของเธอ
ก็บอกเราให้เรียนรู้สัจธรรมแล้วว่า เต่ากับกระต่าย
ใครจะมีอายุยืนยาวกว่าเธอบอกด้วยน้ำตาคลอว่า
"ขอบคุณความเจ็บป่วยที่ผ่านมาที่มอบชีวิตใหม่ให้ดิฉัน"
ปัจจุบันกิจวัตรของเธอคือดูแลตัวเองด้วยธรรมชาติบำบัดองค์รวม
ทำอาหารต้านมะเร็งและอาหารสุขภาพ เป็นครูสอนโยคะสมาธิ
เป็นอาจารย์ด้านเรกิ ชำนาญการนวดแผนไทย ฝึกปรือการถ่ายภาพ
และเรียนรู้การเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย
เหนือสิ่งอื่นใดนอกจากหนังสือเล่มนี้ของเธอแล้ว
เธอยังเปิดเวปบล็อกของตัวเอง เพื่อให้เพื่อนร่วมชะตาเดียวกัน
ได้รับการหล่อเลี้ยงด้านกำลังใจซึ่งกันและกัน






ในงานเปิดตัวผมได้พบเพื่อนจากเวปบล็อกของเธอซึ่ง
ต่างก็ไม่เคยพบหน้าค่าตากันก่อน
มาร่วมในงานหลายท่าน น้องผู้หญิงร่วมเวปบล็อกคนหนึ่ง
ซึ่งป่วยด้วยมะเร็งรังไข่และผจญวิบากของชีวิตเช่นเดียวกับเธอ
เล่าให้ผมฟังว่า
"หนูต้องสู้สงครามชีวิตสองสนามในเวลาเดียวกัน
ไม่ได้มีฐานะดีเหมือนเพื่อนๆ คนอื่น หนูเป็นผู้หญิงเดี่ยวลูกชายหนึ่งคน
มีแผงขายเสื้อผ้าเล็กๆ ต้องค้าขายเช้ายันค่ำแบบไม่มีหยุดเสาร์อาทิตย์
พอรู้ว่าเป็นมะเร็งก็ต้องปากกัดตีนถีบหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพ
และเพื่อรักษามะเร็งไปพร้อมกัน
เวลาหนูให้เคมีบำบัดหมอถามว่าจะใช้ยาแก้แพ้ประเภทไหน
มีทั้งชนิดถูกๆ ไม่กี่บาทถึงชนิดเม็ดละ 500 บาท
หนูเลือกใช้เม็ดละ 500 ตอนนั้นยังมีตังเก็บอยู่บ้าง
ด้วยเหตุผลว่า หลังให้เคมีบำบัดวันเดียวหนูก็ต้องไปขายเสื้อผ้าตามเดิม
หนูจะมัวนอนแพ้ยาอยู่ไม่ได้" เธอเล่าชะตาชีวิตด้วยน้ำตารื้น

" หนูใช้จ่ายเสียจนหมดเงิน เคมีบำบัดเข็มสุดท้าย 50,000 บาท
หนูไม่มีจะจ่าย เคยคิดจะหันไปเป็นหญิงบริการ
แต่นั่นไม่ใช่ตัวหนู วันนั้นคิดจะยอมตายเพราะได้ยาไม่ครบ
แต่แล้วลูกค้าคนหนึ่งก็ยื่นเงิน 50,000 บาท
ใส่มือหนูให้ไปรับเคมีจนครบยังดีว่าหนูมาเข้าบล็อก
แล้วก็ได้รู้จักเว็บไซต์ธรรมชาติบำบัดต้านมะเร็งของคุณหมอ
หนูใช้ความรู้จากเว็บไซต์นั่นแหละรักษาตัวหนูเองทั้งอาหารต้านมะเร็ง
สมาธิ สวดมนต์มาเรื่อยๆ หนูบอกกับตัวเองว่า ยังตายไม่ได้
ต้องเลี้ยงลูกคนนี้จนจบปริญญาเสียก่อนคงเหมือนอย่างที่
เว็บไซต์ของคุณหมอเรียกว่าโปรแกรมจิตใต้สำนึกนั่นแหละค่ะ
หนูตั้งปณิธานให้อยู่มาได้จนทุกวันนี้
ทั้งๆ ที่เขียนหนังสือเตรียมจะพิมพ์แจกงานศพตัวเองอยู่เล่มหนึ่งแล้ว
แต่ยังไม่มีโอกาสได้ใช้เลย"

แววตาของเธอเปลี่ยนเป็นประกายสีเหล็ก
เพื่อนผู้หญิงร่วมบล็อกอีกหลายคนคุยกับผมและหมอลลิตาอย่างเป็นกันเอง
เหมือนคนรู้จักกันมาหลายปี ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน
เพราะบ้างก็อ่านงานเขียนบ้างก็ดูเว็บไซต์มาแล้ว
กลับจากงานหมอลลิตาพูดกับผมว่า
"คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า ทั้งหนังสือที่เราเขียน
และเว็บไซต์ที่สู้อุตส่าห์ตั้งขึ้นและใส่ความรู้เพื่อการรักษาตนเองไว้มากมาย
แท้ที่จริงแล้วมีคนได้ประโยชน์อีกมาก วันนี้มาเห็นแล้วก็อิ่มใจ"
อย่างไรก็ตาม ความอิ่มใจของแพทย์ธรรมชาติบำบัดคงจะไม่มากเท่ากับว่า
ถ้าองค์ความรู้เหล่านั้นได้มีผู้คนนำไปใช้ดูแลตัวเองกันตั้งแต่แรก
ก่อนที่จะถึงกับเจ็บป่วยด้วยมะเร็งแล้วหันมารักษา
น่าชื่นใจที่ ในวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมาเป็นวันมะเร็งโลก
สหภาพต้านมะเร็งนานาชาติ (International Union Against Cancer-UICC)
มีนโยบายใหทุกประเทศทั่วโลกรณรงค์เรื่องการป้องกันการเกิดมะเร็งตั้งแต่วัยเด็ก
ปีนี้สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้เปิดโครงการรณรงค์ในเรื่องนี้ด้วย
โดยปีนี้แนวคิดหลักอยู่ที่การรณรงค์ตั้งแต่วัยเด็กให้เปลี่ยน
พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต
ใช้อักษรย่อว่า F4 กล่าวคือ:
ลด 4 F ได้แก่ Fast food, Fat, Fried food และ Fermented food
เพิ่ม 4F ได้แก่ Fruits and vegetables, Fiber, Fish และ Fresh water
เนื้อหาของการรณรงค์มีตั้งแต่ :
- สอนให้ควบคุมน้ำหนักตัวของเด็ก
เพื่อลดความอ้วนซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งหลอดอาหาร
และมะเร็งหลังโพรงจมูก
- เพิ่มการกินที่ให้สมดุลเพื่อสุขภาพ
คือกินผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง
- การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมให้แม่ นมแม่ยังลดความเสี่ยงมะเร็งเม็ดเลือดขาว
และลดความเสี่ยงต่อเบาหวาน ความดันเลือดสูง และโรคอ้วนในเด็กอีกด้วย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ ลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้
มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งต่อมลูกหมาก
เด็กควรออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน ผู้ใหญ่วันละ 30 นาที
เหล่านี้มีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนักตัว
ปรับการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย การขับถ่ายสะดวก
ระดับฮอร์โมนได้สมดุล ส่งเสริมภูมิต้านทาน และต้านอนุมุลอิสระ
"อย่ารอให้สายเกินแก้ แก่เกินแกง" เป็นคำขวัญเพื่อการรณรงค์ปลอดภัยไร้มะเร็ง
ปกป้องได้ตั้งแต่เด็ก
หน้า 93