Custom Search

Oct 30, 2009

Obama กับรางวัลโนเบลสันติภาพ


วรากรณ์ สามโกเศศ มติชน
วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เมื่อ ประธานาธิบดี Barack Obama ได้รับรางวัลโนเบล
สาขาสันติภาพประจำปี 2009 เมื่อเร็วๆ นี้
ก็มีปฏิกิริยากันกว้างขวางว่าไม่สมควรเพราะยังไม่ได้ทำอะไรเลย
อย่างไรก็ดี มีผู้เขียนบทความที่น่าเชื่อถือได้
อธิบายถึงความเหมาะสมของการได้รับรางวัล
อย่างสมควรรับฟังเพื่อสร้างทัศนคติที่กว้างขวางขึ้น
และถือได้ว่าเป็นการรับฟังความเห็น
จากฝ่ายที่เราอาจไม่เห็นด้วยอย่างเป็นไป
ภายใต้วัฒนธรรมประชาธิปไตย

Bret Stephens ในคอลัมน์ Global View ของ
Asian Wall Street Journal (AWJ)
ให้เหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงคิดว่าการให้รางวัลโนเบลสันติภาพ
แก่ประธานาธิบดี Obama เป็นการเหมาะสม

เขาถามว่าบุคคลต่อไปนี้คือใคร Bertha von Suttner,
Henri La Fontaine, Ludwig Quidde, Norman Angell,
Arthur Henderson, Eisaku Sato, Alva Myrdal
and Joseph Rotblat หลายคนไม่มีใครรู้จัก
เพราะหายไปในฟุตโน้ตของประวัติศาสตร์
บุคคลเหล่านี้แหละคือผู้เคยได้รับ
รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในอดีต

Bret Stephens กล่าวว่า รางวัลสันติภาพนี้เป็นรางวัล
ที่มีความเข้าใจผิดกันอย่างมาก
นอกจากบุคคลที่โดดเด่นเป็นพิเศษเช่น
Carl von Ossietzky, Norman Borlaug,
Andrei Sakharov, Mother Teresa,
Lech Walesa, Aung San Suu Kyi,
Martin Luther King, Anwar Sadat and
Menachem Begin, Mikhail Gorbachev,
Nelson Mandela ฯลฯ แล้ว
ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพส่วนใหญ่
มาจากผู้คนหลากหลายที่โลกไม่ค่อย รู้จัก

บุคคลหลากหลายที่ได้รับรางวัลแต่โลกไม่ค่อยรู้จักเหล่านี้
เขาเรียกว่าเป็นพวก "the goodists"
ซึ่งหมายถึงคนที่เชื่อว่าข้อขัดแย้งทั้งหมด
มาจากความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น
อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
คนที่เชื่อว่าความชั่วร้ายของโลกมาจากเทคโนโลยี
ระบบ ความซับซ้อน และทุกสิ่งอื่นๆ
ยกเว้นที่มาจากหัวใจของมนุษย์ซึ่งมีความรักเป็นที่ตั้ง
คนที่ยกความตั้งใจอันอุดมด้วยคุณธรรมของตนขึ้นเหนือสิ่งอื่นใด
คนที่ใช้การศึกษาเป็นคำตอบสำหรับปัญหาต่างๆ
และเหนือสิ่งอื่นใด goodists
คือคนที่อยากให้ถูกมองว่าเป็นคนดี

รางวัลโนเบลทุกสาขา ยกเว้นสาขาสันติภาพ
จะมีพิธีใหญ่รับรางวัลกันในเมือง Stockholm ประเทศสวีเดน
ในวันที่ 10 ธันวาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสียชีวิตของ
Alfred Noble มหาเศรษฐีและผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์
ผู้ตั้งรางวัลตั้งแต่ ค.ศ.1895 โดยผู้รับรางวัลสาขาต่างๆ
จะมีการบรรยายพิเศษกันก่อนวันงาน

สำหรับ สาขาสันติภาพจะรับในวันเดียวกันโดยประกอบพิธี
ในเมือง Oslo ประเทศนอร์เวย์ พิธีรับรางวัลทั้งสองงาน
จัดกันยิ่งใหญ่โดยเป็นงานเลี้ยงอาหารและผู้มอบ
รางวัลคือพระเจ้าแผ่นดินสวีเดนและนอร์เวย์
โดยพระองค์หลังทรงมอบเฉพาะรางวัลสันติภาพ

คณะกรรมการพิจารณารางวัล โนเบลสาขาสันติภาพ
ประกอบด้วยบุคคล 5 คน ที่ได้รับเลือกจากรัฐสภานอร์เวย์
คณะกรรมการไม่ได้ให้รางวัลแก่ผู้นำประเทศ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองไม่ว่า
จะเป็นประธานาธิบดี Franklin Rossevelt
ผู้ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นป้อมปราการของประชาธิปไตยในโลกหรือ
Winston Churchill ผู้นำอังกฤษผู้ต่อต้านลัทธินาซี
หรือ Charles de Gaulle ผู้รักษาไฟแห่งเสรีภาพของฝรั่งเศส
หรือนายพล Douglas Mac Arthur
ผู้ทำให้ญี่ปุ่นตระหนักในสันติภาพ ฯลฯ

ถึงแม้ว่าบุคคลเหล่านี้มี บทบาทสำคัญยิ่ง
ที่ทำให้เสรีภาพอยู่รอดได้ในศตวรรษที่ 20
แต่คณะกรรมการโนเบลซึ่งเป็น goodists
เลือกที่จะให้รางวัลแก่ผู้รักเทิดทูนสันติภาพชาวอังกฤษ
เช่น Emily Greene Balch (1946)
นักต่อสู้เพื่อลดอาวุธชาวอังกฤษ Philip Noel-Baker (1959)
และชาวไอริช ผู้รณรงค์ต่อต้านสงครามนิวเคลียร์
เช่น Sean Mac Bride (1974)

ประวัติศาสตร์อาจจารึกว่าผู้รับรางวัลโนเบลเหล่านี้ไม่ได้มีส่วน
ร่วมในการนำมาซึ่งสันติภาพอย่างยั่งยืนทั้งก่อนหน้า
รับรางวัลและในเวลาต่อมา และก็เป็นจริงเช่นเดียวกัน
สำหรับบุคคลอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลสันติภาพ
เช่น Kofi Annan, Jimmy Carter, Wangari Maathai,
Mohamed EIBaradei, AI Gore ฯลฯ

การให้รางวัล สันติภาพคือการพยายามสร้างคนที่รัก
และใฝ่สันติภาพให้เกิดขึ้นอีกมากมายใน อนาคต
ซึ่งจะร่วมกันมีผลอย่างสำคัญต่ออนาคตของโลก

Bret Stephens กล่าวว่า บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ซึ่งเป็น goodists
มิได้ทำอะไรมากมายก่อนได้รับรางวัล แต่ Obama
ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและเป็นคนแรกที่กระทำตน
ตามเงื่อนไขของ goodists อย่างชัดแจ้ง
คือให้ความหวัง ตั้งใจสร้างการเปลี่ยนแปลง
ใช้วิธีการทางทูต การลดอาวุธ ความเป็นนานาชาติ ฯลฯ
เขาจะเป็นปากเสียงที่ดีและสำคัญที่สุด
สำหรับสิ่งที่รางวัลตั้งใจสร้างตลาด
ระยะเวลา 108 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น
คณะกรรมการจึงเลือกไม่ผิดอย่างแน่นอนในความเห็นของเขา

ที่เขียนมา ทั้งหมดคือความเห็นของคอลัมนิสต์ผู้หนึ่งใน AWJ
สำหรับผู้เขียนเองมีความเห็นว่าเหตุผลของการตัดสิน
ให้รางวัลของคณะกรรมการ โนเบลข้ามระยะเวลา 108 ปี
ขาดความเป็นมาตรฐานเดียวกันและ
ไม่อยู่ภายใต้อุดมการณ์เดียวกันดังที่อ้าง
อย่าลืมว่า 108 ปี เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากเกินกว่า
ที่จะสามารถมีอุดมการณ์อันมั่นคงและมี
เงื่อนไขเดียวกันได้ในการมอบรางวัลตัวอย่างก็คือมหาตมะ คานธี
ซึ่งมีคุณลักษณะตรงกับ goodists ทุกประการ
แต่ไม่เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ถึงแม้จะได้รับการเสนอชื่อหลายครั้งระหว่าง ค.ศ.1937-1948 ก็ตาม
ทั้งๆ ที่คนในโลกคาดหวังกันมาก ปี 1948
เป็นปีที่เชื่อกันว่าจะเป็นปีที่มหาตมะ คานธี
ได้รับรางวัลอย่างแน่นอน
แต่เสียงปืนในวันที่ 31 มกราคมของปีนั้นก็ทำลายความคาดหวัง
คณะกรรมการคิดจะมอบรางวัลให้ถึงแม้จะเสียชีวิตแล้วก็ตาม
โดยยกเว้นเป็นกรณี พิเศษ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มอบให้
และในปีนั้นก็มิได้มอบให้ใครเลย

อีก ตัวอย่างของการไม่ได้มอบรางวัลให้แก่ goodists
อีกคนหนึ่งคือนาย Dag Hammarskjold
อดีตเลขาธิการสหประชาชาติผู้มีผลงานด้านสันติภาพ
โดดเด่นยาวนานจนต้องมอบรางวัลให้หลังจากเสียชีวิตแล้ว
เป็นกรณีพิเศษในปี 1961
(ตั้งแต่มีการมอบรางวัลโนเบลตั้งแต่ ค.ศ.1901
มีกรณียกเว้นพิเศษเช่นนี้เพียงสองครั้งเท่านั้น
อีกครั้งหนึ่งคือนาย Erik Axel Karlfeldt (รางวัลวรรณคดี, 1931))

การมอบรางวัลให้ ประธานาธิบดี Obama ผู้ประกาศว่าจะแก้ไขปัญหาโลกร้อน
ลดกำลังรบของชาติต่างๆ แก้ไขปัญหานิวเคลียร์
แก้ไขปัญหาตะวันออกกลาง แก้ไขปัญหา ก่อการร้ายสากล ฯลฯ
ก็เท่ากับว่าผูกมัดให้เขากระทำตามที่ให้คำมั่นสัญญาแก่ชาวโลกไว้
ในเชิงกลยุทธ์ทางการทหารรางวัลนี้จะทำให้สหรัฐอเมริกามีทางเลือกน้อยลง
เพราะสิ่งใดที่จำเป็นต้องกระทำในเชิงรุก แฝงด้วยความรุนแรง
รางวัลนี้จะค้ำคอประธานาธิบดี Obama ไม่ให้กระทำได้
และด้วยเหตุนี้
Le Duc Tho ผู้ได้รับรางวัลโนเบลคู่กับ
Henry Kissinger ในการสงบศึกสงครามเวียดนามในปี 1973
(แต่ก็ยังมีการรบกันต่ออีกถึง 2 ปี) จึงปฏิเสธไม่รับรางวัล
(อีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของการมอบรางวัลโนเบล
ที่ปฏิเสธไม่รับคือ Jean-Paul Sartre นักปรัชญาคนสำคัญ)

ไม่ว่าใครจะเห็นว่าประธานาธิบดี Obama เหมาะสมกับ
รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหรือไม่ก็ตาม
สิ่งที่จะได้รับฟังแน่นอนคือคำกล่าวของเขาในการรับรางวัลนี้
ในงานฉลองวันที่ 10 ธันวาคม 2009
ณ กรุง Oslo นอร์เวย์ ซึ่งเชื่อได้ว่าจะประทับใจด้วย
วาทศิลป์ของนักพูดระดับโลกเช่นเขา

หน้า 6