Custom Search

Oct 20, 2009

ปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันใด


บ้านดินของโจน จันใด ที่เชียงใหม่
โจน จันใดลูกชาวนาแห่งยโสธร
ผู้เชียวชาญในการสร้างบ้านดินของประเทศไทย
เดินทางไปรอบโลกเพื่อนำเสนอ
แนวทางในการสร้างบ้านดิน
นักปราชญ์ที่มีแนวคิดในการดำรงค์ชีวิต
อย่างมีความสุขและเรียบง่าย
จนได้รับการขนานนามจากรายการเจาะใจ ว่า
"คนจนผู้ยิ่งใหญ่"กับปรัชญาชีวิตในวิถีของ โจน จันใด

"ชีวิตมันเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เราทำให้มันยากเอง
และอันนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้คือ
ใช้เวลาไม่มากนักในการหากิน
มันเหลือกินแล้วแต่เราใช้เวลาเยอะมาก
ในการหาเพื่อครอบครัว ฉะนั้นใช้ชีวิตให้ง่ายดีกว่า
หลังจากนั้นมา ผมก็เชื่อในเรื่องชีวิตนี้มันง่ายมาตลอด
ทำไมต้องทำให้มันยาก ก็เลยเปลี่ยนชีวิตผมมาตลอดเลย
ไปอยู่บ้านผมยิ่งสบาย ผมพยายามที่จะพูดกับคน
คนที่เย็บหมอนที่บ้านว่าทำหมอน หมอนพวกสามเหลี่ยม
หมอนหนุน เย็บหมอนทั้งวันทั้งคืน
เพื่อที่มีเงินไปซื้ออาหารจากตลาดมา
วันเดียวหมดมื้อเดียว ผมบอกว่า
ถ้าทำสวนเองเนี่ย อย่างผมเนี่ย
ดูแลสวนแค่ 10-15 นาทีต่อวันเนี่ย
ผมมีผัก มีมะละกอ มีอะไรให้ครอบครัว 5-6 คน
อยู่ได้สบาย ทำงานแค่ 15 นาที
ทำไมต้องไปนั่งทำงานตั้งวันละ 10 กว่าชั่วโมงนี่
มันก็ทำให้ผมเห็นว่าชีวิตมันง่าย
แต่อธิบายให้คนเข้าใจไม่ได้"

"รอน้ำผักแค่วันละ 15 นาที แต่บางอาทิตย์

อาจจะใช้เวลามากกว่าเป็นชั่วโมงก็มี
บางครั้งก็อาจจะไปหาขี้วัว หาอะไรมาใส่ด้วย
ซึ่งมันไม่บ่อยนักหรอกนะแค่ครั้ง สองครั้ง
แต่ปกติแล้ว 15 นาที ถือถังตักน้ำแล้ก็เดินมารดผัก"
"ทำปุ๋ยหมักใช้เอง"เขาเริ่มทำบ้านดินหลังแรก
จากความคิดผสมกับที่ได้เห็นภาพการทำบานดิน
ในหนังสือของฝรั่งเมื่อสำเร็จหลังแรก
ก็ทำหลังต่อๆมาให้กับชุมชนในหมู่บ้าน
จนกระทั่งมีชื่อเสียงได้รับเชิญเป็นวิทยากรแนะนำการสร้างบ้านดิน
เป็น work shop ที่มีสมาชิกเข้าร่วมมากมาย
ในความเห็นของโจน
"การทำบ้านดินไม่ใช่เป้าหมายหลักของการทำ Work Shop
ที่เราทำอยู่ เป้าหมายหลักก็คือ
หัดทำอะไรพึ่งตนเอง
กลับมาสร้างศักยภาพให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม
กับสัตว์ทั่วๆ ไป แต่เพราะทุกวันนี้มีศักยภาพของมนุษย์ต่ำกว่า
สัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ซะอีก
เพราะเราขาดการรักษามรดกในการพึ่งตนเอง
คนบางคนก่อไฟไม่เป็น ทำอาหารไม่เป็น
นั่นหมายความว่าศักยภาพในชีวิตมันต่ำลง
ฉะนั้นเราต้องกลับมาพึ่งตนเอง
การทำบ้านดินเป็นส่วนหนึ่งของการพึ่งตนเอง
อาหาร บ้าน ผ้า และยาเนี่ย ก็มาคุยเรื่องนี้แหล่ะ
เพราะว่าชีวิตมันไม่มีความหมายหรอก
ถ้าคนเราพึ่งตัวเองไม่ได้ เพราะว่าอิสรภาพมันก็สูญเสียไป
ความภูมิใจในตัวเองก็ไม่มี คุณค่าของชีวิตเราก็มองไม่เห็น
เพราะแค่ไม่ได้ใช้แรงงานทำงานเนี่ย
ชีวิตก็เป็นเรื่องที่เลื่อนลอยไปแล้ว
คนทำงานในเมืองเนี่ยไม่รู้ว่าชีวิตเพื่ออะไร
หาเงินอย่างเดียว เพราะไม่มีเวลาว่าง
การทำงานคือการมีเวลาว่าง มีเวลาว่างให้กับสมองของเรา
ถ้าสมองมีเวลาว่างมันก็จะเห็น มันก็จะมีความเงียบ
พอความเงียบเกิดขึ้นมันก็จะเห็นความงามได้
ถ้าเห็นความงามได้ ชีวิตก็มีความสุขได้
แต่ชีวิตทุกคนในเมืองไม่มีโอกาส
เพราะมันยุ่งกับงานตลอด
แต่เรื่องงานกลุ้มหนักๆ ตลอด
แต่ถ้าทำงานหนักปุ๊บเนี่ย
โลกจิตโลกความเครียดต่างๆ มันหายไป
ปัญหาของความเครียดที่มีมากมายในโลกนี้ไม่จำเป็น
ต้องพึ่งจิตแพทย์เลย แค่กลับมาทำงานหนักเท่านั้นเอง
หายหมด อันนี้เห็นชัดในหลายๆ กรณี
เพราะคนที่มานี่เราก็คุยกัน
หลายคนเขาเครียดมา มาเพราะเครียด
เรื่องครอบครัว เรื่องงาน
อยากหนีจากสิ่งเหล่านั้น
ถึงได้มา แต่พอมาแล้วมันลืม
อาการปวดหัวมันหายไป
เป็นการบำบัดอย่างหนึ่ง
เพราะเราใช้ร่างกายไม่มีความสมดุล
ทำให้เกิดความผิดปกติ
ฉะนั้นคนชั้นกลางที่มาร่วม Work Shop
ถึงได้ถูกอกถูกใจกัน
มักจะมีครั้งที่ 2 แทบทุกคนเลย
เพราะว่าการทำงานเนี่ยมันน่าเบื่อ
แต่ถ้าทำอะไรที่ไม่รู้สึกว่าเป็นงานมันสนุก
อย่างทำบ้านดินไม่มีใครรู้สึกว่ามันเป็นงานเลย
เรามาเล่นดินกัน"

โจนกับลูกและภรรยาชาวอเมริกัน"เพ็กกี้"
หญิงที่รักงานด้านเอ็นจีโอจากโคโลราโด
ผู้เป็นลูกสาวคุณหมอและอาจารย์แห่ง
ครอบครัวคนชั้นกลางที่มีอันจะกิน
วันนี้เลือกที่จะมาลงหลักปักฐานกับหนุ่มโจน
ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์